ธรรมะจากหลวงพ่อปราโมทย์ ปราโมชโช

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย nondanun, 10 สิงหาคม 2008.

  1. nondanun

    nondanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    5,980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +32,612
    [​IMG]


    อย่าเที่ยวรู้ออกไปนอก ให้รู้ปัจจุบันธรรมในกายและจิตของตน ด้วยจิตที่เป็นกลาง

    คำตอบเพียงเท่านี้ สามารถแก้ปัญหาการปฏิบัติได้เกือบทั้งหมดแล้ว

    กล่าวคือ กลุ่มปัญหาที่ชวนให้ฟุ้งซ่าน
    ล้วนเป็นผลพวงของความคิดเท่านั้น
    ยิ่งคิดมากก็ยิ่งสงสัยมาก และยิ่งสงสัยมากก็ยิ่งคิดมาก
    และยิ่งคิดมาก ก็ยิ่งห่างไกลจากการเจริญสติสัมปชัญญะ ออกไปทุกที
    ถ้าหันมารู้ปัจจุบันธรรมอยู่ภายในกายและจิตของตน
    จะต้องสงสัยทำไมว่า นรก สวรรค์ ชาติก่อน ชาติหน้า ผีสางเทวดา มี หรือไม่มี
    เพราะพอจิตสงสัย ก็รู้เท่าทันความสงสัยใคร่รู้นั้น ความสงสัยก็ดับไปเอง
    เมื่อความสงสัยดับไปแล้ว จำเป็นอะไรที่จะต้องหาคำตอบต่อไปอีก

    เมื่อรู้ปัจจุบันธรรมอยู่ในกายและจิตของตนแล้ว
    กลุ่มปัญหาที่เกี่ยวกับเงื่อนไขของการปฏิบัติ
    และปัญหาสภาพแวดล้อม ก็หมดความหมาย
    เพราะการปฏิบัติธรรมไม่ได้เบียดบังเวลาทำมาหากิน
    ไม่เกี่ยวกับอาหาร เครื่องนุ่งห่ม เวลา หรือพิธีกรรมต่างๆ

    เมื่อรู้ปัจจุบันธรรมอยู่ในกายและจิตของตนแล้ว
    กลุ่มปัญหาเกี่ยวกับวิธีเริ่มต้นของการปฏิบัติ ก็หมดความหมาย
    คำบริกรรม กิริยาท่าทาง อะไรต่างๆ เหล่านี้ ล้วนไม่ใช่สาระสำคัญ
    แต่เป็นเพียงอุบายเบื้องต้น
    เพื่อให้ผู้ปฏิบัติสามารถเข้ามารู้ปัจจุบันธรรมในกายในจิตของตนเท่านั้น

    เมื่อรู้ปัจจุบันธรรมอยู่ในกายและจิตของตนแล้ว
    กลุ่มปัญหาเกี่ยวกับอาการของจิตในขั้นการทำสมถะ ก็หมดความหมาย
    เพราะอาการทั้งหมด เป็นเพียงสภาพธรรมที่ถูกรู้เท่านั้น
    พอรู้แล้ว หากย้อนมาอ่านจิตใจตนเองให้แจ่มแจ้ง
    อาการของจิตก็หมดความหมายไปในทันที
    เช่น เมื่อปฏิบัติอยู่ แล้วเห็นภาพผีปรากฏขึ้นมา
    ผู้ปฏิบัติไม่จำเป็นต้องวิเคราะห์วิจัยว่าผีจริง หรือผีปลอม
    เพราะจริงก็เหมือนเท็จ เท็จก็เหมือนจริง
    คือมันเป็นสิ่งที่ถูกรู้เหมือนๆ กัน
    ที่สำคัญคือ ให้ย้อนเข้ามาอ่านจิตตนเองให้ดี
    มันกลัว มันอยากหนี มันสงสัย หรือมันอยากรู้
    ให้รู้เท่าทันจิตตนเองไว้ สิ่งที่ปรากฏนั้น
    ก็ไม่มีความหมายมากไปกว่าการเห็นรูปธรรมดาๆ รูปหนึ่ง
    หรือเกิดรู้เห็นพระจุฬามณี หรือพระพุทธเจ้า
    ก็ให้ย้อนมาอ่านจิตของตนเองเช่นกัน
    เพราะรูปนิมิตภายนอกทั้งปวงนั้น
    ไม่ใช่สาระแก่นสารเพื่อการยึดถือแต่อย่างใด

    เมื่อรู้ปัจจุบันธรรมอยู่ในกายและจิตของตนแล้ว
    กลุ่มปัญหาเกี่ยวกับวิธีเจริญวิปัสสนา ก็หมดความหมาย
    จะต้องคิดทำไมว่าจะต้องรู้อะไร ในเมื่อทุกสิ่งที่ถูกรู้ก็มีค่าเท่ากันทั้งนั้น
    หากจิตเขาจะรู้สิ่งใดชัด ก็เอาสิ่งที่กำลังรู้ชัดนั่นแหละมาเป็นอารมณ์
    หรือเรื่องญาณนั้นญาณนี้ก็เป็นของสมมุติ
    เราไม่ได้ปฏิบัติเพราะอยากได้ญาณ
    มรรคผลนิพพานก็ไม่เห็นจะต้องอยากได้
    เพราะหากจิตจะได้ เขาก็ได้ของเขาเอง
    แต่ยิ่งเราอยาก ก็ยิ่งไม่ได้
    ส่วนวิปัสสนูปกิเลสก็เกิดไม่ได้ ถ้าไม่หลงลืมตัวขาดสติสัมปชัญญะ

    นักปฏิบัติที่คิดมาก มีปัญหามาก ก็เพราะไม่พยายามรู้ตัว
    ไม่มีสติพิจารณาอยู่ในกายในจิตของตนเอง
    เอาแต่หลงไปกับสิ่งที่ถูกรู้ เอาแต่พยายามแก้อาการของจิต
    ปฏิบัติไปด้วยความอยากรู้ อยากเห็น อยากเป็น อยากได้

    หากผู้ปฏิบัติพยายามรู้ตัวอย่างต่อเนื่องเข้าไว้
    และมีสติสอดส่องอยู่ในกายในจิต
    หรือในวงขันธ์ ๕ ของตนอย่างเป็นปัจจุบัน
    ก็แทบไม่มีปัญหาจะต้องถามใครอีกต่อไปแล้ว

    ๒๓ กันยายน ๒๕๔๒


    คอลัมน์ ธรรมะจากผู้รู้
    หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช
    จากนิตยสารธรรมะใกล้ตัวฉบับที่ 26 พฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม 2550

    <!-- End main-->ที่มา http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=hobbit&month=11-2007&date=04&group=7&gblog=16
     
  2. mississaarie

    mississaarie Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +64
    ขอบพระคุณมากๆค่ะ

    ฟังหลวงพ่อปราโมทย์ทุกวันจิตเเจ่มใสจริงๆค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...