ธรรมะคือ อะไร ตอนที่ ๑๕

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย telwada, 8 กรกฎาคม 2011.

  1. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    ธรรมะคือ อะไร ตอนที่ ๑๕"
    ในตอนที่ ๑๕ (สิบห้า) นี้ข้าพเจ้าจะกล่าวถึง "ทุกข์มรรค อริยสัจ" ที่ข้าพเจ้ากล่าวว่า "ทุกข์มรรค อริยสัจ"นั้น ก็เพราะเป็น "หนทางที่ทำให้ถึงความดับทุกข์" ถึงแม้ว่าตามพระไตรปิฎกจะกล่าวว่าเพียงว่า "มรรค อันมีองค์๘" แต่"ทุกข์มรรค อริยสัจ"ที่ข้าพเจ้าจะอรรถาธิบายต่อไปนี้ย่อมครอบคลุมบุคคลทุกบุคคล ครอบคลุมการครองเรือนในทุกการครองเรือนของมนุษย์ ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพแวดล้อมไหน สังคมแบบใด และจะกล่าวให้เป็นไปตามหลักที่มีปรากฎอยู่ในพระไตรปิฎก พร้อมอธิบายตามหลักตรรกวิทยาเพื่อให้ท่านทั้งหลาย ทุกสาขาอาชีพ ได้ศึกษา ได้เรียนรู้ ได้คิดพิจารณา ไตร่ตรอง ตามเหตุตามผล เพื่อความเจริญในพุทธศาสนาสืบต่อไป
    มรรค อันมีองค์ ๘ ตามหลักพระไตรปิฎกนั้น เป็นหลักปฏิบัติ สำหรับ บุคคลทั่วไป สำหรับการสังคมเป็นอยู่ร่วมกัน ถึงแม้ว่าจะเป็นการปฏิบัติทั้งทางกาย วาจา และใจ ก็ตามที แต่เป็นหลักการปฏิบัติ เพื่อให้เกิดความสามัคคี มีความรักใคร่ปรองดอง ในการสังคมเป็นอยู่ร่วมกัน เพื่อจักทำให้จิตใจความคิดของผู้ปฏิบัติ บริสุทธิ์ ไม่คิดไปในทางชั่วร้าย ไม่คิดไปในทางที่ก่อให้เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง สามารถทำให้สามารถแขจัดอาสวะและป้องกันอาสวะมิให้เกิดขึ้นในจิตใจได้ในระดับหนึ่ง เป็นการขจัดอาสวะและป้องกันอาสวะมิให้เกิดขึ้นในชั้นพื้นฐาน คือเป็นการขจัดอาสวะและป้องกันอาสวะมิให้เกิดขึ้นเป็นระดับเริ่มแรกซึ่ง "มรรค อันมี องค์ ๘" ตามหลักพระไตรปิฎกนั้น ประกอบไปด้วย
    ๑.สัมมาทิฏฐิ คือ ความมีปัญญาเห็นชอบ ตามหลักความเป็นจริง เช่น ทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว ฯลฯ
    ๒.สัมมาสังกัปปะ คือ ดำริชอบ คือ ๑.เนกขัมมสังกัปปะ ดำริจะออกจากกามหรือปลอดจากโลภะ ๒.อัพยาปาทสังกัปปะ ดำริในอันไม่พยาบาท ๓.อวิหิงสาสังกัปปะ ดำริในอันไม่เบียดเบียน
    ๓.สัมมาวาจา คือ เจรจาชอบ คือเว้นจาก วจีทุจริต ๔ อันได้แก่ ๑.มุสาวาท พูดเท็จ ๒.ปิสุณาวาจา พูดส่อเสียด ๓.ผรุสวาจา พูดคำหยาบ ๔.สัมผัปปลาป พูดเพ้อเจ้อ ดู ทุจริต
    ๔.สัมมากัมมันตะ คือ ทำการชอบ หรือการงานชอบ ได้แก่ การกระทำที่เว้นจากความประพฤติชั่วทางกาย ๓ อย่าง คือฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม คือ เว้นจาก กายทุจริต ๓
    ๕.สัมมาอาชีวะ คือ เลี้ยงชีวิตชอบ คือเว้นจากเลี้ยงชีวิตโดยทางที่ผิด เช่น โกงเขาหลอกลวง สอพลอ บีบบังคับขู่เข็ญ ค้าคน ค้ายาเสพติด ค้ายาพิษ เป็นต้น
    ๖.สัมมาวายามะ คือ ความเพียรชอบ คือเพียรในที่ ๔ สถาน ได้แก่
    ก..สังวรปธาน คือ เพียรระวังบาปอกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด มิให้เกิดขึ้น
    ข..ปหานปธาน คือ เพียรละบาปที่เกิดขึ้นแล้ว
    ค..ภาวนาปธาน คือ เพียรทำกุศลธรรมที่ยังไม่มียังไม่เกิด ให้เกิด
    ง.อนุรักขนาปธาน คือ เพียรรักษากุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้วไม่ให้เสื่อม และบำเพ็ญให้เจริญยิ่งขึ้นไปจนไพบูลย์
    ๗.สัมมาสติ คือ ระลึกชอบ คือระลึกใน สติปัฏฐาน
    ๘.สัมมาสมาธิ คือ ตั้งจิตมั่นชอบ, จิตมั่นชอบ คือสมาธิที่เจริญตามแนวของ ฌาน ๔ (จากพระไตรปิฎก และ พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับ พระธรรมปิฎก ป.อ.ปยุตฺโต)
    เมื่อท่านทั้งหลายได้อ่าน หรือเคยอ่าน หรือรู้อยู่แล้วว่า มรรคอันมีองค์ ๘ ตามนัยที่ได้กล่าวไปแล้วนั้น ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง ก็ให้ท่านทั้งหลายได้คิดพิจารณาให้ดีว่า การปฏิบัติตามนัยที่ได้กล่าวไป ย่อมต้องประกอบไปด้วย สติสัมปชัญญะ อันเกิดจาก ความมี สมาธิ และมี สติ อยู่เสมอ อีกทั้งยังต้องสนใจตัวเอง สร้างความคิดเพื่อให้เกิดความเพียรทั้ง ๔ อย่าง มีสติสัมปชัญญะ ในอันที่จะ ประพฤติชอบ ปฏิบัติชอบ ในการเลี้ยงชีพ ในการประพฤติตน พระพฤติตัว ในการการคิด ในการหวลนึกถึง ในการเจรจาติดต่อสื่อสาร มีความคล้อยตามหรือเชื่อตามหลักความเป็นจริง คือความมีปัญญา(ความรู้สามารถนำไปประพฤติปฏิบัติได้จริงตามความรู้นั้น)
    "มรรคอันมีองค์ ๘" เป็นการประพฤติปฏิบัติ เพื่อสังคมที่สงบสุข ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน เชื่อในสิ่งที่ดีสิ่งที่เป็นหลักความจริง,คิดไปในทางที่จะละซึ่ง ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความไม่ผูกพยาบาทซึ่งกันและกัน,พูดไปในทางที่ไม่ โกหก หลอกลวง เพ้อเจ้อ หยาบคาย ส่อเสียด ซึ่งย่อมเป็นเหตุที่นำมาซึ่งความทุกข์, ประพฤติปฏิบัติในทางที่ไม่ก่อให้เกิดความเบียดเบียนทางกาย เรียกว่า การงานชอบ,ประกอบอาชีพสุจริต ,มีความเพียรที่จะละสิ่งที่ไม่ดี เพียรระวังมิให้ประพฤติไม่ดี เพียรสร้างแต่ความดี และรักษาความดีนั้นเอาไว้,หวลนึกถึง กาย,เวทนา(ความรู้สึก),จิต,การรับรู้เมื่อได้รับการสัมผัส,ธรรม คือ ความรู้ทั้งหลาย อยู่เสมอ
    จบตอนที่ ๑๕
    จ่าสิบตรี เทวฤทธิ์ ทูลพันธ์
    ๘ กรกฎาคม ๒๕๕๔
     

แชร์หน้านี้

Loading...