ธรรมทานเป็นเยี่ยม-รสพระธรรมเป็นยอด-ยินดีในธรรมประเสริฐ-สิ้นตัณหาชนะทุกข์ทั้งปวง

ในห้อง 'พระไตรปิฎก' ตั้งกระทู้โดย apiraks, 23 กรกฎาคม 2013.

  1. apiraks

    apiraks เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +508
    เรื่องท้าวสักกเทวราช

    พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภท้าวสักกเทวราช ตรัสพระธรรม
    เทศนานี้ว่า " สพฺพทานัง " เป็นต้น.

    ปัญหา ๔ ข้อของเทวดา
    ความพิสดารว่า ในสมัยหนึ่ง เทพดาในดาวดึงสเทวโลกประชุม กันแล้ว
    ตั้งปัญหาขึ้น ๔ ข้อว่า

    " บรรดาทานทั้งหลาย ทานชนิดไหนหนอแล ? บัณฑิตกล่าวว่าเยี่ยม,
    บรรดารสทั้งหลาย รสชนิดไหน ?บัณฑิตกล่าวว่ายอด,
    บรรดาความยินดีทั้งหลาย ความยินดีชนิดไหน ? บัณฑิตกล่าวว่าเลิศ,
    ความสิ้นไปแห่งตัณหาแล บัณฑิตกล่าวว่าประเสริฐที่สุด เพราะเหตุไร ?

    แม้เทพดาองค์หนึ่ง ก็มิสามารถจะวินิจฉัยปัญหาเหล่านั้นได้. ก็เทพดาองค์หนึ่ง
    ถามกะเทพดาองค์หนึ่ง, แม้เทพดาองค์นั้น ก็ถามเทพดาองค์อื่นอีก, ก็เทพดาทั้งหลาย
    ถามกันและกันอย่างนั้น ด้วยอาการอย่างนั้น ได้ท่องเที่ยวไปในหมื่นจักรวาลถึง ๑๒ ปี.

    เทวดาพากันไปถามปัญหาท้าวมหาราชทั้ง ๔
    เทวดาในหมื่นจักรวาล ไม่เห็นเนื้อความแห่งปัญญาโดยกาลแม้มีประมาณเท่านี้
    ประชุมกันแล้ว ไปยังสำนักของท้าวมหาราชทั้ง ๔, เมื่อท้าวมหาราชกล่าวว่า
    " พ่อทั้งหลาย ทำไมจึงมีเทพสันนิบาตกันใหญ่ ?" จึงกล่าวว่า " พวกผมตั้ง
    ปัญหาขึ้น ๔ ข้อแล้ว เมื่อไม่สามารถจะวินิจฉัยได้จึงมายังสำนักของท่าน,"
    เมื่อท้าวมหาราชกล่าวว่า "ชื่อปัญหาอะไรกัน ?พ่อ " (จึงบอกเนื้อความนั้น) ว่า
    " พวกผมไม่สามารถวินิจฉัยปัญหาเหล่านี้ได้ คือ

    ' บรรดาทาน รส และความยินดี ทาน รส และความยินดีชนิดไหนหนอแล
    ประเสริฐสุด ? ความสิ้นไปแห่งตัณหาเทียว ประเสริฐสุด เพราะเหตุไร ?" จึงมาหา.

    ท้าวมหาราชทั้ง ๘ กล่าวว่า " พ่อทั้งหลาย แม้พวกเราก็หารู้เนื้อความแห่งปัญหาเหล่านี้ไม่;
    แต่พระราชาของพวกเรา ทรงดำริอรรถที่ชนตั้งพันคิดแล้ว ย่อมทรงทราบโดยขณะเดียวเท่านั้น,
    พระองค์ประเสริฐวิเศษกว่าพวกเราทั้งหลาย ทั้งทางปัญญาและทางบุญ,
    พวกเราจงไปยังสำนักของพระองค์เถิด" แล้วพาหมู่เทพดานั้นนั่นแลไปยังสำนัก
    ของท้าวสักกเทวราช, ถึงเมื่อท้าวสักกเทวราชนั้นตรัสว่า " พ่อทั้งหลาย
    ทำไมจึงมีเทพสันนิบาตกันใหญ่ ? " ก็กราบทูลเนื้อความนั้น. ท้าวสักกะทรง
    พาพวกเทวดาไปเฝ้าพระศาสดาท้าวสักกะตรัสว่า " พ่อทั้งหลาย คนอื่นย่อม
    ไม่สามารถรู้เนื้อความแห่งปัญหาเหล่านี้ได้, ปัญหาเหล่านั่น เป็นวิสัยของ
    พระพุทธเจ้า, แล้วตรัสถามว่า " ก็เดี๋ยวนี้ พระศาสดาประทับอยู่ ณ ที่ไหน ?"
    ทรงสดับว่า " ในพระเชตวันวิหาร" จึงตรัสว่า " พวกเธอมาเถิด, พวกเราจักไป
    ยังสำนักของพระองค์" ทรงพร้อมด้วยหมู่เทพดา ให้พระเชตวันทั้งสิ้นสว่างไสว
    ในส่วนแห่งราตรี เข้าไปเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมแล้ว ประทับยืนอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง,
    เมื่อพระศาสดาตรัสว่า " มหาบพิตร ทำไมพระองค์จึงเสด็จมาพร้อมกับหมู่เทพดา
    มากมาย ?" จึงกราบทูลว่า "พระเจ้าข้า หมู่เทพดาพากันตั้งปัญหาชื่อเหล่านี้,
    คนอื่นที่ชื่อว่าสามารถรู้เนื้อความแห่งปัญหาเหล่านี้ได้ หามีไม่, ขอพระองค์
    ได้ทรงประกาศเนื้อความแห่งปัญหาเหล่านี้ แก่พวกข้าพระองค์เถิด."


    พระศาสดาทรงแก้ปัญหา

    พระศาสดาตรัสว่า " ดีละ มหาบพิตร ตถาคตบำเพ็ญบารมี ๓๐ ทัศ บริจาค
    มหาบริจาค ๑ แทงตลอดพระสัพพัญญุตญาณแล้ว ก็เพื่อตัดความสงสัยของชน
    ผู้เช่นพระองค์นี่แหละ, ขอพระองค์จงทรงสดับปัญหาที่พระองค์ถามแล้วเถิด:
    บรรดาทานทุกชนิด ธรรมทานเป็นเยี่ยม, บรรดารสทุกชนิด รสแห่งพระธรรม
    เป็นยอด, บรรดาความยินดีทุกชนิด ความยินดีในธรรมประเสริฐ, ส่วนความสิ้น
    ไปแห่งตัณหาประเสริฐที่สุดแท้ เพราะความเป็นเหตุให้สัตว์บรรลุพระอรหัต"

    ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า :-

    " ธรรมทาน ย่อมชนะทานทั้งปวง, รสแห่งธรรม ย่อมชนะรสทั้งปวง,
    ความยินดีในธรรมย่อมชนะความยินดีทั้งปวง, ความสิ้นไปแห่งตัณหา
    ย่อมชนะทุกข์ทั้งปวง."


    พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้าที่ 323
    พระไตรปิฎกฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย


    ก่อนอื่นผมอยากจะบอกว่า ผมตั้งกระทู้นี้เป็นกระทู้แรก ในห้องที่เรียกได้ว่ามีผู้สนใจเข้าชมน้อยมากๆ
    ส่วนตัวแล้วผมคิดว่า เราทั้งหลายเกิดมายุคที่ คำสอนของพุทธองค์ถือได้ว่ายังครบสมบูรณ์มากๆ
    พระพุทธเจ้าในยุคที่มนุษย์มีอายุเฉลี่ยราวร้อยปีนั้น ย่อมลงรายละเอียดของหลักธรรมไว้ค่อนข้างมาก

    ในเวปนี้ห้องที่มีผู้ชมมากที่สุดนั้น ผมสังเกตุในเวลาประมาณตีสองถึงตีสาม ยังมีผู้ชมอยู่ถึง 200 คน
    เป็นอย่างน้อย ช่วงเวลาหัวค่ำไม่ต้องพูดถึงเป็นหลักพัน พวกเขาเข้ามาดูอะไรกัน ผมไม่อาจตอบได้
    แต่ที่แน่ๆนั้น ส่วนใหญ่คงไม่ได้ตั้งใจเข้ามาหาคำสอนของพุทธองค์ในพระไตรปิฎกแน่นอน

    ไม่ได้รู้สึกน้อยใจ ว่าทำไมคนยุคนี้ไม่สนใจคำสอนของพุทธองค์ ทั้งที่บอกกับคนอื่นว่าเป็นพุทธศาสนิกชน
    รู้แต่เพียงว่า หากอยากสร้างบุญ อยากสบายภายหน้า ก็ให้นำเงินไปถวายวัด หากอยากหลุดพ้นก็พากัน
    ฝึกสมาธิ ฝึกฌาณ โดยที่ไม่อ่านคู่มือในการฝึกที่มีอยู่แล้วในพระไตรปิฎกกันเลย การฝึกกรรมฐานต้องมี
    ทานพอประมาณ ศีลดีไม่ด่างพร้อย ที่สำคัญต้องตัดกังวลสิบประการ (ปลิโพธ) เพื่อความปลอดโปร่งใน
    ขณะฝึกฝน พุทธองค์ท่านสอนแม้กระทั่งการเตรียมตนก่อนฝึก แต่จะมีสักกี่คนที่สนใจ ตนยังมีทุกข์ครบทั้ง
    สิบประการ ฝึกไปฝึกมา ได้รับกระแสสุข เย็นสบาย ออกจากสมาธิมา ทุกข์เหมือนเดิม ทีนี้ก็ไม่สนใจสิ่งใด
    ตั้งหน้าตั้งตาเข้าสมาธิ หาสุขกันเพียงอย่างเดียว สุดท้ายไม่ได้มรรคผลใดๆ

    เนื่องมาจากสังคมของมนุษย์ยุคนี้ ไม่เจริญเท่ากับยุคที่มนุษย์มีอายุเฉลี่ยเป็นหมื่นๆปี พระพุทธเจ้าใน
    สมัยนั้นๆ ตรัสเทศน์เพียงอริยสัจสี่ และมรรคแปด เพียงเท่านั้นก็มีผู้รู้ตามบรรลุอรหัตตผลเป็นล้านๆ
    ต่างจากสมัยนี้ที่ต้องมีการบัญญัติพระวินัยไว้มากมาย (ดังนั้นแล้วก็ยังมีพระไม่ปฏิบัติตามมากมาย)
    บรรยายเนื้อหาคำสอนพระธรรม ไว้อย่างละเอียดลออ แต่มีผู้สนใจรู้ตามเพียงหยิบมือ นั่นยังไม่รวม
    ผู้ที่ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ โดยไม่อ้างอิงหลักคำสอน หลงเข้าป่าเข้าดงไปก็ไม่น้อย ตั้งตนเป็นผู้วิเศษ
    ปฏิบัติหนีคำสอนของพุทธองค์ ก่อตั้งสำนักสร้างวัตถุใหญ่ๆแพงๆพาผู้ศรัทธาหลงผิดไปไม่น้อยโดย
    กล่าวอ้างว่าเป็นคำสอนในพุทธศาสนา


    ผู้ตั้งกระทู้มีเจตนาเผยแผ่คำสอนในพระไตรปิฎกเท่านั้น หากเนื้อหาคำพูดไม่ถูกใจท่านผู้ใด
    กระผมขอรับผิดแต่เพียงผู้เดียว และขออโหสิกรรมไว้ล่วงหน้าเพื่อไม่ให้มีการจองเวรกันต่อไป

    ขอเจริญในธรรมทุกท่านนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กรกฎาคม 2013
  2. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนมหาปฐพีนี้มีน้ำเป็นอันเดียวกัน
    บุรุษโยนแอกซึ่งมีช่องเดียวลงไปในมหาปฐพีนั้น
    ลมทิศบูรพาพัดเอาแอกนั้นไปทางทิศประจิม
    ลมทิศประจิมพัดเอาไปทางทิศบูรพา
    ลมทิศอุดรพัดเอาไปทางทิศทักษิณ
    ลมทิศทักษิณพัดเอาไปทางทิศอุดร
    เต่าตาบอดมีอยู่ในมหาปฐพีนั้น ต่อล่วงร้อยปีๆ มันจะโผล่ขึ้นคราวหนึ่งๆ
    เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เต่าตาบอดนั้น ต่อล่วงร้อยปีๆ
    มันจะโผล่ขึ้นคราวหนึ่งๆ จะสอดคอให้เข้าไปในแอกซึ่งมีช่องเดียวโน้นได้บ้างหรือหนอ?
    ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่เต่าตาบอด ต่อล่วงร้อยปีๆ
    มันจะโผล่ขึ้นคราวหนึ่งๆ จะสอดคอเข้าไปในแอกซึ่งมีช่องเดียวโน้นเป็นของยาก.
    พ. ฉันนั้นภิกษุทั้งหลาย
    การได้ความเป็นมนุษย์เป็นของยาก
    พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะอุบัติในโลกเป็นของยาก
    ธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้วจะรุ่งเรืองในโลกก็เป็นของยาก
    ความเป็นมนุษย์นี้เขาได้แล้ว
    พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติแล้วในโลกและธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้วก็รุ่งเรืองอยู่ในโลก
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละเธอทั้งหลายพึงกระทำความเพียรเพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า
    นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา.

    พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๑ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค ข้อที่ ๑๗๔๔
     

แชร์หน้านี้

Loading...