ธรรมกับภัยพิบัติจาก“ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น ”รวบรวมโดย:พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย chunhapong, 18 มกราคม 2014.

  1. chunhapong

    chunhapong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +731
    [FONT=&quot]โลก หรือโลกะ แปลว่ามีอันฉิบหายไปในที่สุด คืออนัตตา-พัง-สลายตัวหรือตายนั่นเอง ทุกสิ่งในโลกรวมทั้งเทวโลกและพรหมโลกล้วนตกอยู่ภายใต้กฎของไตรลักษณ์ทั้ง สิ้น ช้าหรือเร็วเท่านั้น ดังนั้นพึงชำระจิตให้ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างในโลกลงเสีย เพราะมันไม่เที่ยง ยึดเข้าก็เป็นทุกข์

    [/FONT][FONT=&quot] อะไรมันจักเกิด มันก็ต้องเกิด เช่นสงคราม-โรคระบาด-ไฟไหม้-น้ำท่วม-ฝนแล้ง-แผ่นดินไหว-พายุหมุนห้ามกันไม่ได้ เป็นวาระกรรมของโลก-วาระกรรมของประเทศ รักษากำลังใจให้ดี พวกเจ้ายังจักได้ดูอะไรอีกหลายเรื่อง ทำใจให้ได้นะ

    [/FONT][FONT=&quot]เชื้อโรคระบาดก็เป็นกฎของกรรม จงอย่าไปฝืนกฎของกรรม จงทำกำลังใจให้สงบ มองทุกอย่างตามความเป็นจริง ทำใจให้สบาย อย่ากังวล และพยายามฝึกฝนร่างกายให้แข็งแรงเข้าไว้ อย่าอ่อนแอ หมั่นพักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอด้วย

    [/FONT][FONT=&quot] สาเหตุที่ทำให้เกิดโรค ทางโลกการแพทย์เขียนไว้ว่า มี ๓ อย่างคือ เกิดจากอาหารเป็นพิษ เกิดจากอุณหภูมิเปลี่ยนแปลง หรือลม-ฟ้า-อากาศเปลี่ยนแปลง และเกิดจากเชื้อโรค หรือพยาธิ(พยาธิต่างๆ) พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าต้นเหตุที่ทำให้เกิดโรคคือ กรรม หรือการกระทำที่แต่ละบุคคลทำเอาไว้ในอดีต กฎของกรรมนั้นเที่ยงเสมอ และให้ผลไม่ผิดตัวด้วย กรรมใดที่ไม่เคยทำเอาไว้ในอดีต วิบากกรรมย่อมเกิดกับผู้นั้นไม่ได้ ทรงเน้นเรื่องศีล ๕ สามารถอธิบายได้ชัดแจ้งทั้ง ๕ ข้อ ไม่ขอเขียนรายละเอียด

    [/FONT][FONT=&quot]อย่าไปดิ้นรนกับเรื่องราวต่างๆ ของโลก รักษากำลังใจให้เรียบร้อย หมั่นพิจารณาธรรมดาให้มากๆ ไม่มีอะไรเป็นสิ่งปกติของโลก และทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่เที่ยง ไม่มีใครฝืนกฎของธรรมดาไปได้ และอย่าห่วงประเทศชาติจนเกินไป ทุกอย่างมีที่สิ้นสุด อย่าลืมให้เห็นกฎของไตรลักษณ์ อันไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้ จงวางใจว่าประเทศไทยจะคงยืนอยู่ต่อไปจนครบ ๕,๐๐๐ ปี ตามที่ตถาคตเคยตรัสไว้ ไม่จริงก็ไม่ตรัส ตรัสอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอื่น คำตรัสของตถาคตไม่มีเปลี่ยนแปลง[/FONT]
     
  2. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    ท่านที่เชื่อตามนี้ โปรดสละเวลาศึกษา เรื่องการสร้างพระพุทธอลังการ

    ขออนุญาตครับ

    ท่านที่เชื่อตามนี้ โปรดสละเวลาศึกษา เรื่องการสร้างพระพุทธอลังการ(พระใหญ่ชัยภูมิ)ด้วยนะครับ

    ผมก็เขียนไปมากแล้ว โดยเฉพาะในเว็บนี้

    หรือจะรอเป็นกลุ่มท้ายๆ ที่เข้าใจก็เป็นเรื่องของท่านเอง?

    หรือเชื่อว่าถ้าโลกเกิดมหาภัยพิบัติ เรายังจะสามารถสืบพระศาสนาต่อไปได้?

    หรือจะดูอยู่เฉยๆ ดูเขากอบโกยเอากุศลผลบุญของเขาเพียงอย่างเดียว?

    หรือจะมาปล่อยวางเอาตอนนี้ ตอนที่โลกกำลังเกิดภัยพิบัตินี่นะ?

    เห็นหลายๆท่าน เห็นหลายๆกลุ่ม ต่างก็เชื่อมั่นในสติปัญญา ในแนวทางของตน
    ขออย่าได้เหมือนกลุ่มที่เคยเชิดชู "เณรคำ" ก็แล้วกัน

    แล้วกาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์

    ขอโมทนาบุญ ขออนุโมทนาบุญ

    ลุงมหา

     
  3. chunhapong

    chunhapong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +731
    [FONT=&quot] การสร้างพระช่วยบรรเทาการเจ็บป่วยทางร่างกายได้ หากเราได้มีส่วนร่วมบุญในการสร้างพระกับเขาด้วย ก็จักมีอานิสงส์ใหญ่ตามๆ กันมา ได้ทั้งรูปธรรม และนามธรรม ทั้งๆ ที่ไม่ได้คิดหวังผลตอบแทน ทำดี-ทำบุญทุกอย่างก็เพื่อพระนิพพานจุดเดียว สุขภาพร่างกายจักดีขึ้น นี่เป็นรูปธรรม สำหรับผลของการปฏิบัติของทุกๆ คนที่ร่วมบุญกันสร้างพระ ก็จักได้ดีขึ้น นี่เรียกว่านามธรรม สิ่งเหล่านี้เรียกว่าผลตอบแทน ไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทอง หากแต่เป็นอริยทรัพย์อริยผล ผู้ร่วมบุญสร้างพระจึงมีอานิสงส์มาก จึงส่งผลให้การปฏิบัติธรรมก้าวหน้าขึ้น ทุกคนมีโอกาสเข้าสู่ความเป็นพระอริยเจ้าได้ง่าย บุคคลใดที่มีฐานของบุญมั่นคงถาวรอยู่แล้ว เช่นตัดสังโยชน์เบื้องต่ำ ๓ ข้อแรกได้แล้ว ก็จักยิ่งส่งมรรคผลได้เร็วยิ่งขึ้น

    [/FONT]
    [FONT=&quot]สมัยสมเด็จองค์ปัจจุบันมีผู้ศรัทธาสร้างวัดไว้มากมายแล้วน้อมถวายให้กับพระพุทธองค์ นิมนต์ทั้งสาวกให้พักอยู่ในวัดเหล่านั้น แต่ละวัดได้ก่อสร้างอย่างสวยงามวิจิตรพิสดารมาก อย่างของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีหรือของท่านวิสาขามหาอุบาสิกา เป็นต้น หรือแม้แต่วัดพระราชาในแคว้นต่างๆที่สร้างถวายให้ ก็มิได้น้อยหน้ากันเท่าไหร่นัก เหล่านั้นล้วนแต่ถวายวัตถุทั้งสิ้น ในเพลานี้กาลเวลาล่วงมาสองพันกว่าปีแล้ว วัดเหล่านั้นก็สลายตัวไปหมด ปัญหา สำคัญคือ จิตใจจักต้องไม่ฝืนความเป็นจริง จงใช้ปัญญาพิจารณา จักช้าหรือเร็ว ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ก็เป็นอนัตตาอยู่ดี หากจักไปพระนิพพานในชาตินี้ก็ไม่ควรจักยึดอะไรไว้ให้มันเป็นอัตตาตัวตนขึ้น มา ควรจักปล่อยวาง-อย่าเสียดาย-อาลัยทุกสิ่งในโลกลงเสีย เพราะหากเกิดตายในขณะจิตนี้ขึ้นมา ก็จักไปไม่ถึงพระนิพพาน[/FONT]
     
  4. chunhapong

    chunhapong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +731
    สงครามภายนอกจงอย่าสนใจ สนใจแต่สงครามภายใน เพราะสงครามภายนอกแก้ไขอะไรไม่ได้ ส่วนสงครามภายใน หรือปัญหาที่เกิดขึ้นกับจิตของเราสามารถแก้ไขได้ หากใช้อริยสัจเป็นหลักสำคัญในการแก้ไขปัญหา คือกรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ เราจะต้องหาต้นเหตุแห่งปัญญานั้นๆ ให้พบ แล้วแก้ที่ต้นเหตุของปัญหานั้นๆ จึงจะสำเร็จสมบูรณ์ ผู้ที่รู้กฎของกรรมได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุดมีพระองค์แต่ผู้เดียว คือ พระพุทธเจ้า ส่วนพวกเรารู้ได้จำกัดตามศีล-สมาธิ-ปัญญา ที่บำเพ็ญมาในอดีตไม่เสมอกัน ดังนั้นในเมื่อสงครามภายนอกเกิดขึ้นแล้ว ให้ทำใจให้สงบ แล้วจักอยู่ได้อย่างไม่ต้องเดือดร้อน จงอย่าประมาทในกรรม พิจารณาคำสอนไปให้ดีแล้วนำไปปฏิบัติด้วย ใจจักเป็นผลดีมีความสุข เมื่อใจเป็นสุขย่อมทำให้สุขภาพกายดีขึ้นด้วย

    ให้สนใจแต่สงครามภายใน รักษากำลังใจให้ตั้งมั่นอยู่ในอุเบกขารมณ์ ถ้าหากสงครามใหญ่จักเกิดขึ้น ก็จัดเป็นเรื่องธรรมดา อันเป็นกรรมของชาวโลกที่จักหลีกเลี่ยงไม่ได้ให้เตรียมการให้พร้อมในทุกสิ่งทุกอย่าง เท่าที่จักเตรียมได้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น จงอย่าตื่นเต้นหรือตกใจ แล้วจักมีสติเตรียมการแก้ไขเหตุการณ์ทั้งหมดได้ครบถ้วน
     
  5. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    หลักสูตรการปฏิบัติที่ชัดเจนของฝ่ายธรรมยุติ

    ขออนุญาตครับ

    ถึงแม้ว่าลุงมหาเป็นศิษย์สายเทพสายพรหม(เสด็จพ่อ ร.๕ ตำหนักบางพลี)
    แต่ก็ได้รับพรจากองค์หลวงปู่ใหญ่ก่อนการเริ่มปฏิบัติธรรม
    เมื่อปฏิบัติไปได้แค่ ๘-๙ ปีแรก ก็ได้รับการตรวจจิต จากครูบาอาจารย์พระเถระผู้ใหญ่ฝ่ายธรรมยุติ
    เมื่อตรวจให้แล้ว ท่านก็รับรองว่าปฏิบัติมาได้อย่างถูกต้อง
    ครูบาอาจารย์ท่านยังบอกอีกว่า ถ้าปฏิบัติต่อไปอย่างสม่ำเสมอ ชาตินี้ก็มีสิทธิ์สำเร็จ(ขั้นอรหันต์)
    ท่านยังเมตตาแนะนำไม่ให้ลุงมหาย้ายงานไปอยู่ทั้งบริษัทโรงกลั่นน้ำมัน และ บริษัทผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่
    แม้จะทำงานอยู่ที่เดิม งานก็ยังหนักอยู่ดี
    จนต้องลดการปฏิบัติลงไป เอาแค่ประคองๆไปก็พอแล้ว

    เห็นศิษย์สายฝั่งของท่าน พูดถึงธรรมแบบปริยัติกันมาก
    ลุงมหาก็ไม่เข้าใจ เพราะตนเองปฏิบัติแบบธรรมยุติคือ


    "รู้อะไรมาเรียนอะไรลืมให้หมด อยากรู้อะไรให้ปฏิบัติเอา"

    ลุงมหาก็เลยไม่รู้ว่าฝั่งทางโน้นพากันปฏิบัติอย่างไร

    จะให้ดีทำไมไม่พากันสรุปหลักสูตรของครูบาอาจารย์ของท่าน
    บอกวิธีปฏิบัติ บอกขั้นตอนให้ชัดเจน

    เพราะฝ่ายธรรมยุตินั้น องค์หลวงตาท่านก็สรุปให้อย่างชัดเจนอยู่แล้วว่า


    "วิธีปฏิบัติตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงพระนิพพาน"เป็นอย่างไรบ้าง

    "การปฏิบัติเริ่มต้นจนถึงพระนิพพาน"​


    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=tbdpB_IGfIg]การปฎิบัติเริ่มต้นจนถึงเข้าพระนิพพาน หลวงตามหาบัว - YouTube[/ame]

    ยิ่งองค์หลวงตาท่านบอกเล่าว่า


    "ถ้าผู้ปฏิบัติมาบอกว่าละสังโยชน์ ๑๐ อย่างนั้น อย่างนี้ แสดงว่าผู้นั้นไม่เคยปฏิบัติเลย"
    "เพราะความรู้ที่เกิดขึ้นในจิตนั้น แค่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร จึงไม่มีคำว่าสังโยชน์ ๑๐ เกิดขึ้นในจิต"


    ยิ่งท่านที่หยิบยกเอาคำสอนของมหาเปริญ ๙ ขึ้นมาอ้างยิ่งดูแย่ใหญ่
    เพราะองค์หลวงตามหาบัวท่านสอนว่า


    "พวกมหาเปริยญนั้น เรียนมาสูงเท่าไร ก็เป็๋นแค่สัญญาความจำ"
    "จึงรู้ว่ามีความรู้เป็๋นศูนย์ เพราะว่าความรู้นั้น ไม่ได้รู้มาจากการปฏิบัติ"
    "ทำไมเราจะไม่รู้ ตัวเราเอง ก็ได้เคยเรียนมาจนได้เป็นมหานี่น่ะ"
    "ต้องขอขมาต่อพระไตรปิฎก ด้วยไม่ได้ดูถูกดูแคลนพระธรรมแต่อย่างใด"


    เห็นฝ่ายโน้นพูดถึงการปฏิบัติ ยังกับว่า พระนิพพานนั้น ง่ายเหมือน เก็บผลส้มเอาจากต้น อย่างนั้นเหละ

    สรุป
    พอจะบอกเล่า วิธีปฏิบัติ ลำดับ ขั้นตอน ออกมาได้บ้างไหม
    เหมือนที่องค์หลวงตาท่านได้เมตตาสรุปให้ว่า


    "วิธีปฏิบัติตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงพระนิพพาน"

    ขอโมทนาบุญ ขออนุโมทนาบุญ

    ลุงมหา

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มกราคม 2014
  6. chunhapong

    chunhapong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +731
    [FONT=&quot]การ ปฏิบัติเพื่อเข้าสู่พระนิพพานมีหลายทาง บาลีว่า เป็นโพธิปักขิยะธรรม ๗ หมวด คือมหาสติปัฏฐาน ๔, อิทธิบาท ๔, สัมมัปปทาน ๔, อินทรีย์ ๕,พละ ๕, โพชฌงค์ ๗ และอริยมรรค ๘ ย่อแล้วคือ ศีล-สมาธิ-ปัญญานั่นเอง ใครพอใจทางไหนก็ให้เดินทางนั้น[/FONT]
     
  7. chunhapong

    chunhapong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +731
    เรื่องน้ำจะท่วมโลกหรือไม่ และเรื่องไฟบรรลัยกัลป์ล้างโลก ความโดยย่อมีอยู่ว่า เพื่อผมท่านเกิดวิตกจริต นึกถึงเรื่องอนาคตธรรมที่ยังมาไม่ถึง ทำให้จิตมีความกังวล สร้างทุกข์ให้เกิดกับใจโดยคิดว่า เมื่อโลกร้อนขึ้นจะทำให้หิมะที่ขั้วโลกละลาย ทำให้น้ำทะเลสูงขึ้น จะมาถึงเมืองไทยหรือไม่ ทรงตรัสว่า “ปกติธรรมน้ำในที่สูงย่อมไหลลงในที่ลุ่มราบต่ำกว่าอยู่เสมอ น้ำมีสภาพเหลวย่อมไปถึงกันได้ด้วยกันหมด” เพื่อนผมก็นึกถึงอนาคตธรรมต่อไปว่า ตอนที่โลกเข้าสภาวะอนัตตา ในตอนนั้นพระอาทิตย์จะก่อตัวขึ้นเพิ่มเป็นดวงที่ ๒-ดวงที่ ๓-ดวงที่ ๔ ไปจนกระทั่งครบ ๗ ดวง (ตามที่พระท่านบอกไว้) ความร้อนจากแสงพระอาทิตย์จะทำให้หิมะละลาย เป็นเหตุให้น้ำท่วมโลกได้ แต่ขณะเดียวกันความร้อนก็ทำให้น้ำระเหยแห้งไปหมด ในที่สุดทุกสิ่งทุกอย่างในโลกต้องหลอมเหลวกายเป็นน้ำด้วยความร้อน เรียกว่าไฟบรรลัยกัลป์ล้างโลก เรื่องเหล่านี้ทรงสั่งให้บันทึกไว้ เพื่อประโยชน์แก่คนรุ่นหลัง เพราะทุกอย่างเป็นอริยสัจ ที่ให้บันทึกเพื่อให้มุ่งอริยสัจ คือ เห็นทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีอนัตตาไปในที่สุด บันทึกเพื่อให้เห็นทุกข์ ถ้าไม่เห็นทุกข์ก็ไปพระนิพพานไม่ได้
     
  8. chunhapong

    chunhapong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +731
    ความรู้รอบตัวที่มีประโยชน์ในการมีชีวิตอยู่ในโลก (ทรงให้บันทึกไว้เพื่อประโยชน์แก่ชนรุ่นหลัง) อากาศร้อนมาก ก็ดื่มน้ำเข้าไปมาก แต่ยังไม่หายกระหาย คอแห้งผาก พระท่านเมตตามาบอกว่า ให้เอาเกลือใส่ลงไปสักเล็กน้อย พอกร่อย ๆ ไม่ถึงกับเค็ม เมื่อทำตามท่านบอก ดื่มแล้วอาการกระหายน้ำก็หายไปอย่างชะงัด คอหายแห้ง เรื่องผักกระสัง ซึ่งขึ้นอยู่ตามพื้นดินที่มีความชุ่มชื้นทั่ว ๆ ไป ท่านแม่ศรีมาบอกว่า กินได้เป็นอาหารสำคัญในเวลาเกิดสงคราม ผักอื่น ๆ ปลูกยาก แต่ผักนี้ขึ้นเองตามธรรมชาติ ท่านหมอชีวกฯ มาบอกว่า ผักกระสัง เป็นยารักษาโรคน้ำเหลืองเสีย ในการนำเอามาทำอาหารกิน ท่านแม่ศรีสอนว่า ให้ผัดกับกระเทียมเจียวเหมือนกับผัดกับผักบุ้ง ขณะที่ไฟร้อน ๆ ให้ใส่ผักกระสังลงไป กลับไป-กลับมา ๒-๓ ที ก็เอาขึ้นได้ หรือจะทำเป็นน้ำแกงต้มจืดใส่หมูบะช่อ ปรุงทุกอย่างให้เสร็จก่อนแล้วจึงค่อยใส่ผักกระสังลงไปในขณะที่น้ำกำลังเดือด แล้วยกลงทานได้เลย ทรงตรัสว่า บันทึกไว้เถอะ แล้วคนรุ่นหลังจะได้ประโยชน์เอง เบื้องหน้าโลกวิบัติ อาหารก็จักขาดแคลน การอยู่อย่างไม่ประมาทของพวกเจ้า จักเป็นตัวอย่างในการดำรงชีวิตสืบไปเบื้องหน้า แต่ห้ามคิดว่าตนเองดีแล้ว ให้ทำไปตามคำสั่งพระ ให้ทำไปตามหน้าที่ แต่จิตจงปล่อยวางให้เป็นสภาวะธรรมที่สักแต่ว่าเท่านั้นเอง

    เรื่องข้าวมันไก่ มีความจริงอยู่ว่า ผู้ทำจะต้มไก่ให้สุกแค่ ๗๐ เปอร์เซ็นต์ เพื่อให้เนื้อไก่นุ่มและหวาน หากต้มสุก ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เนื้อไก่จะหายนุ่มและไม่หวาน ผลเสียก็คือเนื้อที่ติดกระดูกไก่จะไม่สุก ยังมีเลือดไก่สีแดงปรากฏอยู่ จุดนี้แหละที่เชื้อโรคยังไม่ตาย พยาธิก็ยังไม่ตาย เมื่อเอากระดูกไก่ต้มจากร้านข้าวมันไก่ไปให้หมากิน หมาก็ติดโรคพยาธิ ติดเชื้อโรคและตายได้ในที่สุด ต้นเหตุเพราะคนยังติดในรสของอาหาร โดยทำร้ายตนเองโดยตรง ชอบกินไก่เนื้อหวาน แต่เป็นอันตราย เนื้อนุ่ม-ไม่เหนียวแต่เป็นอันตราย จุดนี้พระท่านสอนว่าแม้คนก็อาจติดโรคเหล่านี้ได้ เพราะชอบแทะกระดูกไก่ต้ม ชอบกินข้าวมันไก่ร้านที่ต้มไก่ไม่สุก ทรงตรัสว่า มองทุกอย่างตามความเป็นจริง การบริโภคอาหาร จงอย่าติดในรสให้มากจนเกินไป การพิจารณาอาหารตามความเป็นจริง จักทำให้เห็นคุณ-เห็นโทษของการบริโภคอาหารได้อย่างชัดเจน และสามารถตัดได้ในด้านการติดในรสอาหารได้ในที่สุด
     
  9. chunhapong

    chunhapong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +731
    หลวงปู่วัย สอนวิธีคลายเส้น ขาข้างไหนตึง ให้งอขาข้างนั้นให้เต็มที่ แล้วสะบัดออกไปข้างหน้าให้แรง ๆ เส้นหรือขาข้างนั้นก็จะหายตึงได้ หากเกิดแผลพุพองตามใบหน้าโดยไม่ทราบสาเหตุและคัน ท่านว่าเกิดจากเชื้อโรคที่มีอยู่ในอากาศ เชื้อโรคพวกนี้ชอบกินผิวหนังคนเป็นอาหาร หากทิ้งไว้นาน ๆ ก็อาจจะเน่าได้ ให้ใช้สารส้มกับด่างทับทิมละลายน้ำล้างหน้า-ล้างตัวและทาหน้า ก็จะหายคันและแผลจะหายไป หากใช้ผักกระสังและขมิ้นอ้อยกินด้วย ก็จะช่วยให้อาการของโรคหายเร็วขึ้น แคลเซียมไม่ควรกินตอนกลางคืน เพราะกินแล้วก็นอน ไม่ได้ออกกำลังกาย แคลเซียมที่กินนั้นจะไปเกาะกระดูก สรุปว่ากินผิดเวลามีผลเสียมากกว่าผลดี
     
  10. chunhapong

    chunhapong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +731
    เรื่องโลหิตเป็นพิษจากการติดในรสของอาหาร ทำให้มีเลือดออกตามผิวหนังเป็นจ้ำ ๆ ทั้งแขนและขา สาเหตุมาจากชอบกินอาหารร้อน ๆ ใส่ถุงพลาสติกและโฟม และกินเป็นประจำเป็นเวลานาน ๆ ชอบกินอาหารรสเปรี้ยวจัด เค็มจัดและร้อน ๆ ใส่ถุงพลาสติก ความเปรี้ยวเป็นกลด ความเค็มเป็นด่าง ทำให้เกิดปฏิกิริยากับถุงพลาสติกและโฟม สามารถละลายหรือกัดถุงพลาสติก หรือแม้แต่เหล็กก็ยังกัดให้ผุได้ กินนาน ๆ ติดต่อกันร่างกายไม่สามารถจะขับสารพิษเหล่านี้ให้ออกจากร่างกายได้หมด สารพิษเหล่านี้ก็ตกค้างสะสมมากขึ้น ๆ จนเกิดโรคขึ้นมาตามลำดับ พระท่านให้ใช้รางจืดเถาดอกสีม่วง ต้มกินเช้าแก้วเย็นแก้ว ก่อนอาหาร จะช่วยล้างสารพิษออกได้ หากน้ำเหลืองไม่ค่อยดี ก็ให้กินผักกระสังได้ บุคคลที่กำลังเป็นโรคนี้อยู่ ก็ใช้ตามที่ท่านบอกโรคก็หายดี
     
  11. chunhapong

    chunhapong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +731
    เรื่องสรรพคุณของน้ำมันยาง เพื่อนผมท่านเลี้ยงหมาไว้หลายตัว บางตัวเป็นขี้เรื้อนชนิดเปียก คือมีน้ำเหลืองไหลมาก รักษาด้วยผงกำมะถัน กับยาฉุน และน้ำมันมะพร้าวก็หายได้ดี แต่มีอยู่ตัวหนึ่งใช้ยาสูตรนี้ทาไม่หาย ก็ใช้ต้นเถาคันกับข่อย ต้มน้ำฝาดอาบให้ ก็ระงับอาการของโรคไปได้ระยะหนึ่ง พระท่านแนะนำให้ใช้น้ำมันยางทาแล้วจะหาย ก็ลองทาดู แผลก็แห้งและหายได้ในที่สุด และทรงแนะนำต่อไปว่า ถ้าเกิดสงครามขึ้น มีการใช้ระเบิดที่มีกัมมันตภาพรังสี เกิดแผลเน่าเปื่อยขึ้นตามเนื้อตัว เพราะแพ้รังสี ก็ใช้น้ำมันยางทาโดยต้องทาบ่อยๆ ครั้งก็จะหายได้
     
  12. chunhapong

    chunhapong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +731
    ประโยชน์ของโซดาจืด หลวงปู่วัยท่านเมตตาสอนไว้ดังนี้

    โซดาจืดช่วยล้างสารเคมี ที่ตกค้างให้ออกจากกระแสเลือดได้เร็วขึ้น แต่อย่าดื่มพร้อมอาหารจะไม่ได้ผล เพราะจะไปผสมกับอาหารเสียหมด ท่านแนะให้ดื่มตอนท้องว่าง สำหรับพระก็ระหว่าง ๑๕.๐๐-๑๘.๐๐ น. แต่ห้ามดื่มหลัง ๑๘.๐๐ น. กรดโซดาจะกัดกระเพาะอาหาร เพราะตอนนั้นกระเพาะว่างจากอาหารหนัก หากใช้ถูกเวลาจะช่วยล้างสารเคมีที่ตกค้างได้ เหมือนกรดกัดสนิมเหล็กที่เกาะอยู่ในท่อให้หลุดออกมา แล้วขับออกทางปัสสาวะและอุจจาระ เพียง ๒-๓ วันก็รู้ผล

    โซดาจืด ช่วยทำให้หายสะอึกได้ ช่วยแก้ท้องอืด-ท้องเฟ้อ แต่อย่ากินบ่อยจะเป็นโทษ ถ้าใช้เป็น ช่วยได้หลายอย่าง ช่วยล้างปอด-ตับ-ไตได้ด้วยในปริมาณที่สมควร อย่ากินติดต่อกันหลายวัน แค่ ๗ วันก็ควรจะเลิกได้
     
  13. chunhapong

    chunhapong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +731
    เรื่องไข้สมองอักเสบอันเกิดจากหมูนั้น ยังมาไม่ถึงเมืองไทยในระยะนี้ แต่ต่อไปข้างหน้ายุงจักเป็นพาหนะนำ โรคนี้ให้แพร่ระบาดไปทั่วโลก แม้แต่เมืองไทยก็ไม่ยกเว้น ให้คอยฟังข่าวเอาไว้ให้ดี ถ้ามีข่าวระบาดเข้าเมืองไทย มีคนตายก็พึงงดซื้อเนื้อหมูกินได้ ซึ่งต่อไปแม้แต่สัตว์ปีก-สัตว์น้ำ-สัตว์บก ซึ่งมนุษย์มักนำมาบริโภคเป็นอาหาร ก็จักเกิดโรคระบาดขึ้นมาหนุนเนื่องกันไป ทั้งนั้นเป็นกฎของกรรม
     
  14. chunhapong

    chunhapong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +731
    จงอย่าประมาทเรื่องน้ำท่วม และภัยจากสงคราม ทั้งสองกรณีนี้สามารถจักเกิดขึ้นได้ ให้คอยสังเกตการณ์และเตรียมการณ์เอาไว้แต่เนิ่นๆ อย่างในกรณีน้ำจักท่วม ให้คอยดูระดับน้ำในแม่น้ำด้วย อย่าคิดว่าไม่ใช่หน้าของฤดูน้ำท่วม เวลานี้กาลของฤดูเปลี่ยนแล้ว เนื่องจากภาวะภูมิอากาศของโลกวิปริตไป จงอย่าได้ยึดว่ายังไม่ถึงฤดูฝน พึงอยู่อย่างผู้รู้ในสภาวะต่างๆ จักได้ไม่เดือดร้อน และลำบากให้มากจนเกินไป เรื่องภัยจากสงคราม ก็จงอย่าประมาท ให้คอยติดตามข่าว และพร้อมอยู่ในความไม่ประมาท ให้พิจารณาแบบเดียวกัน เพราะอีกไม่นาน ภัยสงครามจักเกิดขึ้นโดยมีจีนเป็นต้นเหตุ ทั่วทั้งทวีปเอเชียจักเดือดร้อน เรื่องของโลกยังจักวุ่นวายไปอีกนาน ให้เห็นทุกข์เห็นโทษของการเกิดมาในโลกนี้ เป็นที่อันหาความสงบไม่ได้ ให้เพียรปล่อยวาง และรู้สักเพียงแต่ว่ารู้ อยู่ให้มีความเดือดร้อนให้น้อยที่สุดเท่าที่จักทำได้ แล้วจงตั้งสติเอาไว้ให้ดี อย่าตกใจกับเรื่องราวต่างๆ อันจักเกิดขึ้นต่อไปข้างหน้า ให้ระลึกเอาไว้เสมอว่า โลกมันเป็นอย่างนี้แหละ มีอันที่จักต้องฉิบหายไปในที่สุด
     
  15. chunhapong

    chunhapong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +731
    มองทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสุข แต่จิตพึงมีสุขด้วยยอมรับนับถือในกฎธรรมดา ฟังข่าวในประเทศและต่างประเทศย่อมมีข่าวทั้งดีและไม่ดี ก็ให้ลงตัวธรรมดาหมด โลกใกล้ยุคมิคสัญญี ก็เป็นปกติที่จักเห็นแต่ความเร่าร้อนไปทุกหย่อมหญ้า เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ ก็ย่อมเดือดร้อนน้อยกว่าเมืองอื่น ๆ เขา แต่ก็ไม่พึงประมาทในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น พึงติดตามกันไปเป็นระยะ ๆ ดูเหตุการณ์ภายนอกแล้ว หันมาดูสภาวะของจิตใจ คือรู้จักทำใจให้เป็นปกติ เห็นเป็นปกติธรรม แล้วจิตจักสงบยอมรับความเป็นปกติธรรมนั้น ๆ ให้รู้ความจริงว่านี่แหละโลกย่อมมีอันฉิบหายไปในที่สุด ซึ่งร่างกายของเรานี้ก็เช่นกัน หาได้มีการแตกต่างไปกับโลกนี้ มองความจริงให้เห็น แล้วฝึกจิตให้ยอมรับนับถือความเป็นจริงด้วย
     
  16. DNA1126

    DNA1126 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    145
    ค่าพลัง:
    +1,874
    ได้ความรู้มากครับ ทั้งเรื่องข้อคิดธรรมะ,ยารักษาโรคและสัญญาณเตือนภัยพิบัติ นับว่าเป็นกระทู้ที่ดีมากๆครับ ถ้าพอมีเวลานำสาระลงอัพเดตเรื่อยๆนะครับ...คาราวะด้วยใจ
     
  17. chunhapong

    chunhapong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +731
    ภัยจากยาฆ่าแมลง ปัจจุบันภัยจากยาฆ่าแมลงอยู่กับอาหารการบริโภคเป็นส่วนใหญ่ และอยู่ในผักซึ่งต้องบริโภคกันอยู่ทุกๆ วัน ชาวไร่ - ชาวสวนมีความรู้เรื่องพิษ - ภัยจากยาฆ่าแมลงน้อย มุ่งเอาประโยชน์ของตนเองเป็นสำคัญ จึงใช้ยาฆ่าแมลงกันมากมาย และมีความเข้มข้นสูงกว่าปกติธรรมดา เพื่อป้องกันแมลงที่มาทำลายพืชผลของตน ตนเองมิกล้ากินก็มาก แต่ใครจักกินฉันไม่เกี่ยว ขอให้ผักผลไม้ของฉันไม่มีตำหนิเป็นใช้ได้ เพื่อนผมท่านฟุ้งไปตามจริตของท่าน เรื่องนี้หลวงปู่วัยท่านมาสงเคราะห์เพื่อนผมว่า เอ็งเคยเห็นหมาโดนยาเบื่อไหม คนเลี้ยงหมาเขาเอาไข่ขาวดิบๆ กรอกปากหมา เพื่อให้หมาอาเจียนเอาสารพิษนั้นออกมา ยาฆ่าแมลงที่เอ็งกินเข้าไปพิษน้อยกว่ายาเบื่อหมาให้ตาย กินไข่ขาวเข้าไปซิ ถ้าหากสารพิษตกค้ารงมากก็จะอาเจียน แต่ถ้าหากไม่มากก็จะขับออกทางปัสสาวะ - อุจจาระหรือทางเหงื่อได้ในที่สุด ถ้าไม่แน่ใจ ๑๐ วัน ก็กินไข่ขาวเสียทีหนึ่งก็ได้ เพื่อนผมก็ลองกินไขขาวดิบๆ เข้าไปประมาณ ๑ ชั่วโมง ต่อมาก็รู้สึกขย้อน แต่ไม่อาเจียน ปัสสาวะบ่อย ตกเย็นก็ผายลมถี่ๆ (ตด) ซึ่งปกติไม่ค่อยจะตดกับใครนัก หลวงปู่วัยท่านมาบอกว่าในไข่ขาวมีสารชนิดหนึ่ง จำชื่อไม่ได้ท่านบอกเป็นภาษาอังกฤษ สามารถกวาดล้างสารพิษ ทำให้อาเจียนออกมาได้ ทรงตรัสว่าสถานการณ์ของโลกจักเลวร้ายลงทุกวัน รวมทั้งชีวิตจิตใจของปุถุชน จักเห็นแก่ตัวมากขึ้น การคำนึงถึงบุคคลอื่นจักมีน้อย เอาแต่ผลประโยชน์ของตนเองเป็นใหญ่ ดังนั้นเจ้าจึงพึงตระหนักถึงสภาวะอันนี้เอาไว้ให้ดี แต่ก็จงเห็นเป็นธรรมดาร การป้องกันสารพิษย่อมเป็นไปได้ยากมาก นอกเสียจากต้องพิจารณาและดูแลอย่างรอบคอบ ตอนนี้เจ้าเห็นประโยชน์ของการปลูกผักกินเองแล้วหรือยัง (ก็รับว่าเห็นแล้ว) ต่อไปของข้างนาก็กินไม่ได้ หมายถึงผักบุ้ง - ตำลึงที่อยู่ข้างนา จักมีสารยาฆ่าแมลงปนเปื้อนอยู่ ยังไม่ต้องถึงมีสงครามใหญ่เกิด อันทำให้เกิดสารกัมมันตภาพรังสีจากการสู้รบ แต่ความเห็นแก่ตัวของคนก็ทำให้เกิดสารพิษปนเปื้อนเสียก่อน แม้แต่ผัก - ผลไม้นอกฤดูกาล ก็เต็มไปด้วยสารพิษปนเปื้อน ของนอกประเทศหรือในประเทศก็พอกัน ทั้งนี้ทั้งนั้น เพราะกฎของกรรมบังคับให้คนต้องเป็นอย่างนี้ หายนะครั้งยิ่งใหญ่กำลังเยือนโลก แต่จงเห็นเป็นกฎของกรรม อันไม่มีใครที่จักฝืนได้ โลกนี้เป็นทุกข์โลกนี้ไม่เที่ยง โลกนี้เป็นอนัตตาไปในที่สุด โลกเป็นปกติธรรมอยู่อย่างนี้ จงทำจิตให้อยู่เหนือโลก มุ่งพระนิพพานเป็นที่ไป
     
  18. chunhapong

    chunhapong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +731
    เรื่องโลกไม่เที่ยง - ขันธโลกหรือร่างกายไม่เที่ยง - ธาตุ ๔ หรือดิน - น้ำ - ลม - ไฟไม่เที่ยง ทรงตรัสว่า “ปีนี้อากาศหนาวจัด จักต้องระมัดระวังสุขภาพให้มาก พึงให้ความอบอุ่นกับร่างกายให้เพียงพอ เพื่อจักได้ไม่เจ็บไข้ไม่สบาย” “อากาศจักวิบัติต่อไปอีก สิ่งที่ไม่เคยได้เห็นก็จักเห็น สิ่งที่ไม่เคยได้ยินก็จักได้ยิน ทั้งนี้ทั้งนั้นให้ถือว่าเป็นกฎของกรรม อันไม่สามารถที่จักหลีกเลี่ยงได้”
     
  19. chunhapong

    chunhapong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +731
    อย่ากังวลกับงานทางโลก และเหตุการณ์ใดๆ ของโลก ซึ่งกำลังตึงเครียด ข่าวร้ายใดๆ เข้ามากระทบก็ให้เห็นเป็นกฎของกรรม เป็นกฎธรรมดาของโลกที่แก้ไขอะไรไม่ได้ โลกมันก็เป็นของมันอยู่อย่างนี้แหละ เพราะมันไม่เที่ยง เดินเข้าหาความดับเป็นอนัตตาอยู่เป็นปกติทุกยุค ทุกสมัย แม้แต่ตถาคตเจ้าแต่ละพระองค์ในสมัยยังทรงชีวิตอยู่ สภาวะข้าวยากหมากแพง ฝนแล้ง เกิดทุพภิกขภัยต่างๆ ก็มีอยู่ทุกๆ พุทธันดร ซึ่งจุดนั้นคนจักเห็นทุกข์มาก ผู้ที่มีดวงตาเห็นธรรมก็จักมีมาก แต่ในขณะเดียวกันผู้ที่ยังมีกิเลสหนา ก็จักทะยานอยากมาก (มีตัณหามาก) ก็จักดิ้นรน - แสวงหาทรัพย์ - หาลาภ - หายศด้วยความเร่าร้อน หาเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักพอ ยิ่งดิ้นรนมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทุกข์มากเท่านั้น เพราะเขาไม่เห็นทุกข์ ทั้งๆ ที่ตายไปเขาก็เอาอะไรไปไม่ได้ เพราะมันเป็นสมบัติของโลก ซึ่งไม่มีใครสามารถจักเอาไปได้ เพราะความโลภ - โกรธ - หลงเต็มจิต ติดใจ - ติดกายอยู่ จนกระทั่งวันตาย ยกเว้นพวกมีบารมีธรรมสูง (บารมี ๑๐ ประการ) มีปัญญารู้ธรรมของโลก และธรรมพ้นโลก คือ ศีล - สมาธิ - ปัญญา ทาน - ศีล - ภาวนา ช่วยตัดอารมณ์ โลภ - โกรธ - หลง ได้ตามลำดับจนดับสนิทเป็น มุจเฉทปหาน ก็จักเอาสมบัติของโลกซึ่งเอาไปไม่ได้ แต่หากเชื่อและปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ ในเรื่องทานบารมี จากกำลังใจมีบารมีต้นๆ หยาบๆ แล้วเจริญเป็นขั้นกลางเป็นอุปบารมี และ ปรมัตถบารมีตามลำดับ ก็สามารถจักเอาสมบัติของโลก (โลกียทรัพย์) ไปเป็นอริยทรัพย์ (โลกุตรทรัพย์) ทำทานเพื่อตัดความโลภจนชินกลายเป็นจาคะ เป็นจาคานุสสติในทาน มีปัญญาเห็นความละเอียดของทาน จากทาสทาน - สหายทาน สามีทานตามกำลัง เป็นสังฆทาน - วิหารทาน - ธรรมทานภายนอก - ธรรมทานภายใน แล้วจบลงที่อภัยทาน หากทำได้ทรงตัวสังขารุเบกขาญาณก็เกิดขึ้นทรงตัว ก็จบกิจในพระพุทธศาสนา (ผมไม่ขอเขียนรายละเอียด เพราะธรรมในพุทธศาสนาเป็น ปัจจัตตัง ถึงแล้วจึงจะรู้ได้เอง เฉพาะตนของใครของมัน กรรมใครกรรมมัน อธิบายเท่าไหร่ก็ไม่มีทางรู้จริงได้ ทุกอย่างล้วนมีระดับจากหยาบ - กลาง - ละเอียด เหมือนกับอารมณ์พระโสดาบันมี ๓ ระดับนั่นแหละ แม้ตัวผมเองก็ต้องรู้ว่าตนเองปฏิบัติได้แค่ไหน ยังเหลืออยู่เท่าไหร่ก็ต้องรู้)
     
  20. chunhapong

    chunhapong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +731
    สถานการณ์ของโลกยิ่งร้อนแรงขึ้นทุกวัน ก็ต้องอดทนใช้บารมี ๑๐ ช่วยเพิ่มกำลังใจให้เต็มอยู่เสมอ พิจารณาให้เห็นทุกข์ตามหลักของอริยสัจ ก็จักมีดวงตาเห็นธรรมได้มากขึ้น ทุกอย่างให้พิจารณาลงตัวธรรมดาเข้าไว้จักไม่พลาดเป้าหมาย คือทุกสิ่งทุกอย่างมุ่งทำเพื่อพระนิพพานจุดเดียว จงอย่าประมาทในชีวิต เพราะความตายย่อมมีอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก ปฏิบัติเพื่อตัดกิเลสให้น้อยลง (อารมณ์โลภ - โกรธ - หลง) โดยใช้สังโยชน์ ๑๐ เป็นเครื่องวัดใจ แต่ทางลัดก็จงอย่าทิ้ง รู้ลม - รู้ตาย - รู้นิพพาน ทุกข์เสียให้พอ ต่อไปจักไม่ต้องกลับมาทุกข์อย่างนี้อีก อย่าละความเพียร หรือท้อแท้เสียอย่างเดียว เพราะเป็นชาติสุดท้ายแล้ว ทำอะไรอย่าหวังผลตอบแทน ทำเพื่อพระพุทธศาสนา และพระนิพพานจุดเดียวเท่านั้นเป็นพอ
     

แชร์หน้านี้

Loading...