ทําไมเจ้าชายสิทธัตถะเกิดมาเดินได้แล้วพูดได้ด้วย(มีคําตอบ)

เครดิตจากเก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๔

 

พระอภิสวาจานี้ผมเพิ่งอ่านมาจากวัดถ้ำสาริกาเมื่อวาน ยืนพิจารณาในใจอยู่ตั้งนาน แหมช่างใจตรงกันกับท่านเจ้าของกระทู้จริง สำหรับผมไม่เคยมีปรัศนีย์ใดๆเลยเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า ผมเชื่อด้วยใจทุกๆสิ่งที่เกี่ยวกับท่านนั้นเป็นข้อเท็จจริงแท้ ผมตั้งคำถามกับตนเองตลอดว่าเราปฏิบัติความดีหนีความชั่วตามคำสอนท่านแล้วหรือยัง

 

เรื่องมันมาจากนักการเมืองคนหนึ่งที่อ้างว่าจะตามหาแก่นธรรมหยิบมาเหยียดหยามพระพุทธศา่สนา โดยเอาไปเปรียบเทียบกับวัวควาย กาลเวลาผ่า่นไปนักการเมืองคนนี้ก็กลายเป็นที่ปรึกษาใหญ่ รับผลประโยชน์ก้อนโตให้อีกศาสนาหนึ่ง พฤติกรรมบ่งบอกเจตนา

 

เพื่อนที่ไม่เชื่อ ถามเราว่าทำไมถึงเดินได้7ก้าว เป็นเรื่องเกินจริง
เราบอกว่าเราไม่รู้เพราะเราไม่เห็น แต่ถ้าตามหลักพระพุทธศาสนา ถ้ามีสติรู้ตัวตั้งแต่ตายจนเกิดใหม่ ก็จะไม่หลงลืม จึงรู้สึกทักษะการเดินและพูด แล้วถามเพื่อนต่อว่า เคยอ่านไตรภูมิพระร่วงมั้ย เพื่อนบอกไม่เคย ไม่แน่ใจ แล้วไม่เถียงกลับเราด้วย สงสัยไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ แล้วคิดเองเออเองว่าเป็นเรื่องเกินจริง

เราเลิกคิดนานแล้ว อจินไตย ถ้าปฏิบัติจนเกิดปัญญาแล้วสักวันจึงจะกลับมาพิจารณาใหม่

 

ขอขุดกระทู้ตัวเองนะครับ เพื่อมีคนสงสัยจะได้หายสงสัย

 

อ่านแบ๋ว

 

ขอดันกระทู้นะครับ เพื่อมีคนสงสัยจะได้หายสงสัย

 

เป็นส่วนของความเชื่อเพื่อปลูกฝังความศรัทธานะครับ เรารับรู้เรายินดี แต่ก็อย่าไปยึดติดมากว่าจะเป็นอย่างนั้นต้องเป็นจริงๆเป็นแน่ๆ หลายๆส่วนในพระธรรม ส่วนเกี่ยวกับอิทถิฤทธิ์ปาฏิหาริย์รับแล้วต้องวางครับ พระพุทธเจ้าเอง ท่านก็เพิ่งมาตรัสรู้เอาตอนอายุ 30 กว่าแล้ว เพิ่งมาระลึกชาติได้ เพิ่งมามีญาณทัศน เพิ่งเกิดอาสวักขยญาณ ถึงท่านจะสะสมบารมีมามาก แต่ก็ไม่ได้เกิดมาแล้วระลึกได้ทันทีครับ ฉะนั้น ความเป็นจริงของทารก คือในระยะแรกต้องร้อง และทำได้แค่คลาน พูดไม่ได้เพราะยังขาดการเรียนรู้

 

เป็นพุทธประเพณี อันเป็นพุทธวิสัยปฏิบัติเช่นนี้ทุกพระองค์

กระผมจะขอกล่าวแค่ไม่กี่เรื่อง เช่นกรณีการประสูติว่า

พระมหาโพธิสัตว์ จุติ ดับจิตมาเกิดในพระครรภ์ของพุทธมารดานั้น มีประเพณีปฏิบัติเหมือนกันทุกพระองค์คือ
1 ทรงมีญาณทัศนะรู้แจ้งด้วยกาละคือถึงเวลาแล้วที่จะต้องจุติลงไปเกิดเพื่อตรัสรู้
2 ขณะจุติก็ทรงมีสติ
3 ขณะปฏิสนธิกายและจิต ในพระครรภ์ทรงมีสติ
4 ขณะเจริญพระครรภ์ กายทารกเจริญขึ้น ทรงมีสติ
5 ขณะประสูติ พระพุทธมารดาจะต้องคลอดบุตรด้วยการยืนคลอด การคลอดออกมาประทับยืน ทรงมีสติ
6 เมื่อประสูติประทับยืนแล้ว จะต้องก้าวดำเนินไปข้างหน้า7ก้าว ทรงมีสติ
ึ7 ทรงกล่าววาจา เราจักเป็นผู้ประเสริฐที่สุดในโลก ซึ่งจะหาผู้ใดเสมอเหมือนไม่มี ชาติที่เกิดนี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา เราจะไม่ได้เกิดต่อไปในเบื้องหน้าอีกแล้ว” ทรงกล่าวด้วยสติและปณิธาณที่สำคัญอันเป็นปราถนาสูงสุดของพระองค์

การมาประสูติของพุทธองค์เพื่อตรัสรู้นั้น อันความมีสตินั้นมีอยู่แต่ทว่า ความจำบางส่วนในอดีตชาติก็หายไปบางส่วน ครั้งจุติก็หายไปส่วนหนึ่ง ครั้งอยู่ในครรภ์ ปฏิสนธิจิตก็หายไปส่วนหนึ่ง ครั้งประสูติออกมาก็หายไปส่วนหนึ่ง แต่ความจำอันเป็นมหาปณิธาณนั้นยังคงอยู่
ไม่จางหายไป แต่ความจำส่วนอื่นๆได้จางหายไปตามลำดับ ส่วนสติท่านนั้นมีอยู่ไม่ขาด
การก้าวเดินและการเปล่งพระวาจานั้นกระทำได้ด้วยสติและอิทธิฤทธิ์ ที่พระองค์ทรงมีอยู่แล้วด้วยบุญบารมีที่สร้างสั่งสมมานับครั้งไม่ถ้วนจากอดีตชาติ

และเมื่อความจำของพระองค์บางส่วนที่หายไป พระองค์เมื่อเจริญวัย ถูกการเลี้ยงดู ถูกปัจจัยแห่งโลกิยะปรุงแต่ง แต่ด้วยมหากุศลบารมีให้ผล จนในที่สุดย่อมทำให้ได้พบกับเทวทูต ทั้ง4นั่นเอง จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินเข้าสู่บรรชิตและตรัสรู้ในที่สุดครับ

ขออธิบายเพียงแค่นี้ก่อนครับ

ผู้ปราถนาพุทธภูมิ ย่อมต้องเข้าใจพุทธวิถี พุทธประเุพณี พุทธจริยะวัตรนานาประการ ไม่อย่างนั้นเธอจะเป็นพระพุทธเจ้า ผู้ทรงคุณงามความดี ทรงคุณบริสุทธิ์ 3ประการได้อย่างไรครับ สาธุ

 

คำถามแบบนี้ควรระวังนะครับ ด้วยเหตุดังนี้

- ถ้าพระพุทธเจ้าท่านทำได้จริง แล้วเราไปบอกว่าไม่จริง จะเท่ากับว่าเราไปกล่าวตู่พระพุทธเจ้าถือเป็นบาปหนัก และคนที่ไม่เชื่อเค้าก็จะเรียกร้องหาหลักฐานตามแนวทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งหลักฐานเดียวก็คือตัวของพระพุทธเจ้า แต่ท่านก็ปรินิพพานไปแล้วจึงไม่สามารถพิสูจน์อะไรได้ เป็นแค่ความจริงที่ถูกทิ้งไว้เท่านั้น

คนสมัยนี้คิดว่าตนเองฉลาดเกินไป แต่คิดแบบนั้นก็ยิ่งทำให้ตนเองห่างไกลจากความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ

สำคัญคือ จงรักษาศรัทธาที่ดีในใจของเราต่อไป อย่าให้ผู้ที่ไม่เชื่อมาทำให้เราไขว้เขว(เพราะเขาไม่ได้เก่งหรือรอบรู้ไปกว่าเรา) เพราะเมื่อใดที่เราหมดศรัทธา ชีวิตเราก็ไร้ค่า