ท่านสุปพุทธกุฏฐิ โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย สว่างแดนดิน, 3 กรกฎาคม 2010.

  1. สว่างแดนดิน

    สว่างแดนดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    135
    ค่าพลัง:
    +307
    ท่านสุปพุทธกุฏฐิ

    โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน<O:p</O:p

    บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลายเคยปรารภกันว่าในสมัยองค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาเขาฟังเทศน์กันอย่างง่ายแล้วก็ปฏิบัติกันแบบง่ายพระพุทธเจ้าเทศน์จบเมื่อไรก็ปรากฎว่าบางท่านได้เป็นพระอรหันต์บ้างบางท่านได้เป็นพระอนาคามีบ้างเป็นพระสกิทาคามีบ้างเป็นพระโสดาบันกันบ้างอย่างนี้รู้สึกว่าง่ายมากเกินไปแต่ว่าในสมัยนั้นองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเทศน์เหตุที่เขาจะได้เป็นอริยเจ้าอย่างนั้นเขาตั้งใจยังไงบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายจะทราบได้จากเรื่องนี้<O:p</O:p
    ความมีอยู่ว่าเมื่อองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ในวันหนึ่งองค์สมเด็จพระบรมครูทรงเสด็จไปในภาคพื้นปกติเวลาที่พระพุทธเจ้าเทศน์น่ะบรรดาท่านพุทธบริษัทหาธรรมาสน์เทศน์นี่ยากเต็มทีเพราะว่าองค์สมเด็จพระชินสีห์มักจะเทศน์กลางป่าบ้างกลางทุ่งนาบ้างเอาสังฆาฏิปูบ้างนั่งบนตอไม้บ้างนานองค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาจึงจะเทศน์ในพระมหาวิหารในวันนั้นองค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาทรงเสด็จประทับอยู่ที่ตอไม้มีคนทั้งหลายแวดล้อมนั่งฟังกันอยู่เป็นอันมาก
    <O:p</O:p
    ขณะที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจะแสดงพระสัทธรรมเทศนาเวลานั้นก็ปรากฎว่ามีกระทาชายนายหนึ่งมีนามว่าสุปพุทธกุฏฐิคำว่าสุปพุทธะเป็นชื่อกุฏฐินี่เป็นฉายาที่มีฉายาอย่างนี้เพราะว่าแกเป็นโรคเรื้อนทั้งตัวชาวบ้านจึงให้นามว่าสุปพุทธะแล้วก็ลงท้ายว่ากุฏฐิซึ่งแปลเป็นใจควาว่านายสุปพุทธะผู้เป็นโรคเรื้อนแล้วท่านผู้นี้ก็มีอาชีพเป็นขอทานด้วย
    <O:p</O:p
    บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายเวลาที่เธอเข้ามาเห็นองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาประทับนั่งอยู่บนตอไม้มีบรรดาประชาชนทั้งหลายแวดล้อมอยู่เป็นส่วนมากสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากำลังจะแสดงพระสัทธรรมเทศนาท่านสุปพุทธกุฏฐิก็บังเกิดมีความเลื่อมใสในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้นั่งลงตั้งใจจะฟังองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์แสดงธรรมแต่ทว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายควรจะนึกถึงความเป็นจริงเขาทั้งหลายเหล่านั้นทั้งชายและหญิงเป็นคนที่มีรูปร่างหน้าตาปกติมีฐานะดีแต่ทว่าชายผู้เป็นโรคเรื้อนคนนี้เป็นโรคเรื้อนด้วยแล้วก็เป็นขอทานไม่กล้าที่จะเข้าไปนั่งปะปนกับชาวบ้านเพราะเกรงว่าเขาจะรังเกียจจึงได้นั่งอยู่ท้ายปลายสุดของบรรดาบริษัทที่รับฟังพระธรรมเทศนานั่งห่างเขา
    <O:p</O:p
    เวลานั้นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงธรรมกล่าวถึงโทษของการละเมิดศีล 5 กล่าวถึงคุณการปฏิบัติในศีล 5 เป็นต้นโดยองค์สมเด็จพระทศพลเทศน์มีใจความว่าบุคคลที่จะมีความสุขได้ก็ต้องเป็นบุคคลที่ไม่มีใจร้ายนั่นก็คือ<O:p</O:p
    1. ไม่ทำลายชีวิตสัตว์และไม่ทำลายชีวิตคนเพราะสัตว์ก็ดีคนก็ดีย่อมมีการรักชีวิตรักร่างกายของตนมีสภาวะเสมอกันเหตุฉะนั้นองค์สมเด็จพระทรงธรรม์จึงทรงแนะนำให้ทุกคนมีเมตตาความรักซึ่งกันและกันมีกรุณาความสงสารซึ่งกันและกันไม่ทำร้ายซึ่งกันและกัน<O:p</O:p
    และประการที่ 2 ไม่ยื้อแย่งทรัพย์ของบุคคลอื่นมาเป็นของตนโดยไม่ชอบธรรม<O:p</O:p
    และก็ประการที่ 3 ไม่ยื้อแย่งคนรักของบุคคลอื่นมาครอบครองโดยที่เจ้าของไม่ได้อนุญาต<O:p</O:p
    ประการที่ 4 องค์สมเด็จพระโลกนาถตรัสว่าควรจะพูดแต่ความจริงเพราะคนทุกคนรักความจริง<O:p</O:p
    ประการที่ 5 สมเด็จพระบรมศาสดาทรงตรัสว่าไม่ควรดื่มสุราและเมรัยเพราะเป็นฐานะที่ตั้งแห่งความประมาท
    <O:p</O:p
    แล้วองค์สมเด็จพระโลกนาถก็ทรงกล่าวแสดงถึงโทษของการละเมิดศีล 5ว่าบุคคลใดทำปาณาติบาฆ่าสัตว์ตัดชีวิตประทุษร้างร่างกายเขาตายจากความเป็นคนก็ไปเกิดเป็นสัตว์นรกแล้วก็มาเป็นเปรตเป็นอสุรกายเป็นสัตว์เดรัจฉานเกิดมาภายหลังก็มาเป็นคนกรรมที่เป็นอกุศลให้ผลยังไม่ถึงที่สุดก็ตามมาให้ผลในสมัยที่เป็นมนุษย์นั่นก็คือมีร่างกายมีการป่วยไข้ไม่สบายบ้างมีร่างกายทุพลภาพบ้างมีชีวิตสั้นพลันตายบ้างเป็นต้น<O:p</O:p
    หลังจากนั้นองค์สมเด็จพระทศพลก็ทรงตรัสโทษของอทินนาทานว่าคนที่ทำอทินนาทานคนประเภทนี้เกิดมาเป็นคนก็จะพบกับการถูกล้างผลาญทรัพย์สมบัติคือไฟไหม้ทรัพย์สมบัติบ้าง น้ำท่วมบ้างลมพัดให้สมบัติสลายตัวบ้างถูกโจรลักบ้าง<O:p</O:p
    โทษของกาเมสุมิจฉาจารก็เป็นปัจจัยให้คนทั้งหลายเหล่านั้นมีชีวิตไม่เป็นสุขคือคนในครอบครัวหรือในบังคับบัญชาว่ายากสอนยากเป็นการขื่นขมระทมใจ<O:p</O:p
    โทษมุสาวาทเป็นปัจจัยให้ไม่มีใครเชื่อฟังถึงแม้จะพูดวาจาจริง<O:p</O:p
    ข้อที่ 5 องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงตรัสว่าถ้าเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วคือผ่านนรกเปรตอสุรกายมาแล้วอย่างนี้องค์สมเด็จพระประทีปแก้วกล่าวว่าโทษการดื่มสุราและเมรัยจะต้องกลายเป็นคนเป็นโรคเส้นประสาทบ้างเป็นคนบ้าบ้าง<O:p</O:p
    สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวถึงโทษการละเมิดศีล 5 คือปัญจเวรแล้วต่อไปสมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาก็กล่าวถึงคุณการปฏิบัติในศีล 5 ประการครบถ้วนว่า

    <O:p</O:pศีลข้อที่ 1 คนรักษาได้ด้วยเมตตาถ้าเกิดมาภายหลังจะมีโรคภัยไข้เจ็บเล็กน้อยมีชีวิตมีอายุขัยร่างกายสะสวยงดงามร่างกายดีเป็นปกติ <O:p</O:p
    ศีลข้อที่ 2 ถ้ารักษาได้ทรัพย์สมบัติทั้งหลายที่มีอยู่จะไม่สลายตัวเพราะไฟไหม้ 1 น้ำท่วม 1 ลมพัด 1 โจรผู้ร้ายไม่รบกวน 1<O:p</O:p
    ศีลข้อที่ 3 พระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวว่าถ้าทรงไว้ได้คนใต้บังคับบัญชาจะว่านอนสอนง่ายอยู่ในโอวาท<O:p</O:p
    ศีลข้อที่ 4 องค์สมเด็จพระโลกนาถกล่าวว่าสัจวาจาที่กล่าวไว้ในชาติก่อนนั้นไซร้จะเป็นปัจจัยให้เกิดมาในชาติหลังมีวาจาเป็นที่รักของบุคคลผู้รับฟัง<O:p</O:p
    ศีลข้อที่ 5 องค์สมเด็จพระศาสดากล่าวว่าถ้ารักษาได้เกิดมาภายหลังจะเป็นคนมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์มีปัญญาดี
    <O:p</O:p
    เมื่อองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้ก็ลงท้ายศีลว่าสีเลนสุคติงยันติบุคคลใดมีศีลบริสุทธิ์เกิดในสมัยที่เป็นมนุษย์ก็มีความสุขตายไปแล้วก็มีความสุขมีสวรรค์เป็นที่ไป<O:p</O:p
    ข้อที่ 2 องค์สมเด็จพระจอมไตรกล่าวว่าสีเลนโภคสัมปทาบุคคลใดปฏิบัติในศีลได้นี้ในขณะที่มีชีวิตอยู่นี้สมเด็จพระบรมศาสดาตรัสว่ามีทรัพย์สมบูรณ์แบบคือการจับจ่ายใช้สอยทรัพย์จะมีตามปกติทรัพย์ไม่สิ้นเปลืองจะมีความสุขเพราะการปกครองทรัพย์ตายไปเป็นเทวดาก็มีทิพยสมบัติมาเป็นคนก็จะเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีเพราะความดีในข้อนี้<O:p</O:p
    ข้อสุดท้ายองค์สมเด็จพระชินสีห์กล่วว่าสีเลนนิพพุติงยันติบุคคลใดมีศีลครบถ้วนบริบูรณ์จะเป็นปัจจัยให้เข้าถึงพระนิพพานได้โดยง่าย<O:p</O:p
    ครั้นเมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาตรัสจบก็ปรากฎว่าบุคคลผู้รับฟังได้เป็นพระอริยเจ้าเป็นพระโสดาบันบ้างสกิทาคามีบ้างอนาคามีบ้างเป็นพระอรหันต์บ้างสำหรับท่านที่เป็นอรหันต์ก็ขออุปสมบทบรรพชาในพระพุทธศาสนาทันทีแต่ทว่าสุปพุทธะผู้เป็นโรคเรื้อนและเป็นยาจกคนนี้ปรากฎว่าเธอได้เป็นพระโสดาบันมีความปลื้มใจเป็นอันมาก
    <O:p</O:p
    เมื่อสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสจบคนทั้งหลายก็พากันลาพระพุทธเจ้าพระพุทธเจ้าก็เสด็จกลับพระวิหารสำหรับท่านสุปพุทธกุฏฐิซึ่งเป็นพระโสดาบันก็กลับกระท่อมของตนในตอนกลางคืนได้มาปรารภพระธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระทศพลว่า<O:p</O:p
    โอหนอพระธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงไพเราะอย่างยิ่งทำให้ท่านบรรดาพุทธบริษัทชายหญิงเข้าถึงความเป็นคนดีแต่ว่าพระธรรมเทศนาที่เราฟังแล้วนี้จับใจมากเป็นจิตใจให้คิดเห็นว่าชีวิตของบุคคลเราเกิดมามันต้องตายเมื่อตายแล้วความตายไม่ได้ทำให้จิตใจสลายไปด้วยช่วยให้คนมีความสุขอาศัยตัวเราที่เป็นโรคเรื้อนและเป็นขอทานในชาตินี้เห็นจะเป็นเพราะที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ทรงกล่าวว่าเคยทำปาณาติบาตฆ่าสัตว์ตัดชีวิตทำร้ายร่างกายเขาร่างกายเราจึงไม่เป็นปกติมีเชื้อโรคเรื้อนประจำกายที่มีทรัพย์สินไม่พอกินไม่พอใช้ต้องขอทานเขากินเห็นจะเป็นโทษอทินนาทานแต่ทว่าเวลานี้สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสอนเราให้เข้าใจถึงความเป็นจริงฉะนั้นพระพุทธศาสนามีพระพุทธรัตนะธรรมรัตนะและสังฆรัตนะทั้ง 3 ประการเป็นที่เคารพสักการะของจิตใจของเราเป็นอย่างยิ่ง”
    <O:p</O:p
    เป็นอันว่าสุปพุทธกุฏฐิฟังเทศน์แล้วก็เกิดความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้าด้วยเลื่อมใสในพระธรรมด้วยเลื่อมใสในบรรดาพระอริยสงฆ์ทั้งหลายด้วยและจิตใจของเธอคิดไว้ว่านับตั้งแต่บัดนี้ไปจนกว่าจะตายจะมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นก็ตามทีเรานี้จะไม่ยอมละเมิดศีล 5 เป็นอันขาดองค์สมเด็จพระบรมโลกนาถกล่าวในข้อท้ายว่าสีเลนนิพพุติงยันติคือกล่าวว่าการทรงศีลบริสุทธิ์เป็นปัจจัยให้เข้าถึงนิพพานโดยง่ายฉะนั้นธรรมใดที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสแล้วเราจะรักษาด้วยดีเราต้องการพระนิพพาน<O:p</O:p
    รวมความว่าท่านมีความรู้ตัวว่าท่านนี้ต้องการพระนิพพานท่านเองท่านเป็นพระโสดาบันท่านก็ทราบ
    <O:p</O:p
    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัทจงจำให้ดีว่าการฟังเทศน์จากองค์สมเด็จพระชินสีห์นั้นเขาก็คิดไปด้วยหาเหตุหาผลเมื่อได้เหตุได้ผลก็ตั้งใจของตนให้ตรงตามความเป็นจริงตามธรรมปฏิบัติตามนั้นทรงอารมณ์ตามนั้น
    <O:p</O:p
    สำหรับท่านสุปพุทธกุฏฐินี่ท่านเป็นขอทานก็คิดว่าเป็นคนที่ชาวบ้านเขาเหยียดหยามว่าเป็นคนชั้นต่ำเป็นคนมีทรัพย์สินน้อยแล้วประการที่สองท่านเป็นโรคเรื้อนเป็นโรคที่น่ารังเกียจแต่ทว่าความเป็นพระอริยเจ้าไม่ได้เลือกบุคคลไม่ใช่ว่าต้องเป็นบุคคลที่มีฐานะดีมีร่างกายดีมีความรู้ดีมีความสามารถดีเป็นพิเศษมีศักดิ์ศรีดีจึงจะเป็นพระอริยเจ้าได้ความเป็นพระอริยเจ้าไม่ได้เลือกบุคคลเลือกใจคน<O:p</O:p

    รวมความว่าท่านสุปพุทธกุฏฐิท่านถึงความเป็นคนทรงคุณธรรม 3 ประการได้ครบถ้วนก็คือ<O:p</O:p
    ในข้อแรกมีความเคารพในพระพุทธเจ้าในพระธรรมในพระอริยสงฆ์นี่เป็นปัจจัยตัวที่หนึ่งให้เป็นพระโสดาบันหรือพระสกิทาคามี<O:p</O:p
    จำไว้ให้ดีนะว่าคนที่จะเป็นพระโสดาบันหรือพระสกิทาคามีน่ะเขาทรงคุณธรรมตามนี้ที่เรียกกันว่าองค์ของพระโสดาบันท่านที่เป็นพระโสดาบันนั้นมีความเคารพในพระพุทธเจ้าในพระธรรมพระสงฆ์ด้วยจริงใจ<O:p</O:p
    ประการที่สองทรงศีล 5 บริสุทธิ์<O:p</O:p
    แล้วก็ประการที่สามจิตต้องการพระนิพพานเป็นอารมณ์นึกอย่างเดียวว่าเราตายชาตินี้ขอไปนิพพานการทำความดีทุกอย่างเราทำเพื่อพระนิพพานอย่างเดียวอย่างนี้พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่าพระโสดาบันหรือพระสกิทาคามี<O:p</O:p
    ถ้าใครทำใจได้อย่างนี้ปฏิบัติได้ตามนี้ละก็ทุกคนเป็นพระโสดาบันก็ได้เป็นพระสกิทาคามีก็ได้ใจความสำคัญในตอนนี้มีเท่านี้
    <O:p</O:p
    ต่อไปตอนกลางคืนท่านสุปพุทธะได้มาพิจารณาความดีที่ท่านได้ในคราวนี้ว่าท่านเป็นพระโสดาบันเพราะพระธรรมเทศนาของสมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมา-สัมพุทธเจ้าแท้ขึ้นชื่อว่าพระพุทธเจ้าทรงมีคุณแก่ท่านอย่างยิ่งแต่ก็คิดในใจว่าเวลานี้สมเด็จพระชินสีห์ทรงทราบหรือเปล่าว่าท่านเป็นพระโสดาบัน<O:p</O:p
    แต่ความจริงใครจะเป็นอะไรพระพุทธเจ้าทรงทราบเสมอทราบด้วยอำนาจพระพุทธญาณแต่ทว่าท่านสุปพุทธกุฏฐิท่านเพิ่งจะเป็นพระโสดาบันท่านเพิ่งจะพบพระพุทธเจ้าใหม่จึงไม่มีความเข้าใจตามความเป็นจริงว่าพระพุทธเจ้าจะทราบหรือไม่ทราบจึงได้นอนคำนึงคืนนั้นทั้งคืนท่านนอนไม่หลับเพราะความปลื้มใจมีความอิ่มใจในความเป็นพระโสดาบันท่านจึงได้คิดในใจว่า 1. เราเป็นขอทานด้วยแล้วก็ประการที่ 2. เราก็เป็นคนเป็นโรคเรื้อนถ้าสมเด็จพระมหามุนีทรงทราบว่าเราเป็นพระโสดาบันจะทรงดีพระทัยมากจึงอยากจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจะทูลให้ทรงทราบว่าท่านเองได้เป็นพระโสดาบันคืนนั้นจึงนอนไม่หลับ
    <O:p</O:p
    ตอนเช้ารีบกินข้าวแต่เช้าหุงข้าวกินกับข้าวก็ไม่มีอะไรมากจัดแจงแต่งกายอย่างดีที่สุดของขอทานออกจากบ้านตั้งใจจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้าจะกราบทูลให้ทรงทราบว่าตัวเองเป็นพระโสดาบันทั้งนี้เพราะอาศัยธรรมปีติล้นกำลังใจ<O:p</O:p
    เวลานั้นท้าวโกสีย์สักกเทวราชคือพระอินทร์อยู่บนวิมานนั่งอยู่ที่บนบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ทรงทราบว่าเวลานี้สุปพุทธกุฏฐิจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระบรมโลกนาถตั้งใจจะกราบทูลให้ทรงทราบว่าเป็นพระโสดาบันถ้ากระไรก็ดีวันนี้เราจะลองใจสุปพุทธกุฏฐิดูว่ามีความเคารพในองค์พระบรมครูจะเป็นพระโสดาบันจริงหรือเปล่าคิดแล้วท่านจึงได้เหาะมาลอยอยู่ในอากาศใกล้ข้างหน้าคือไม่สูงกว่าศรีษะของสุปพุทธกุฏฐิเท่าไรจึงได้ตรัสถามว่าสุปพุทธกุฏฐิเธอจะไปไหน”<O:p</O:p
    ท่านสุปพุทธกุฏฐิเห็นท้าวโกสีย์สักกเทวราชลอยอยู่ใกล้จึงได้กล่าวว่าท้าวโกสีย์เวลานี้เราจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้า”<O:p</O:p
    พระอินทร์ท่านจึงได้ถามว่าไปเฝ้าทำไม”<O:p</O:p
    ท่านสุปพุทธะก็ตอบว่าฉันจะไปกราบทูลองค์สมเด็จพระจอมไตรว่าเวลานี้ฉันเป็นพระโสดาบันแล้ว”<O:p</O:p
    พระอินทร์ก็เลยแกล้งพูดว่าเธอน่ะรึคนอย่างเธอเป็นโรคเรื้อนอย่างนี้เป็นขอทานอย่างนี้น่ะรึจะเป็นพระโสดาบันฉันไม่เชื่อ”และพระอินทร์ก็กล่าวต่อไปว่าเอาอย่างนี้ก็แล้วกันมาพิสูจน์กันไม่ใช่ว่าพิสูจน์ผิดพิสูจน์ถูกเธอทราบไหมว่าเวลานี้เธอเป็นขอทาน”<O:p</O:p
    ท่านสุปพุทธกุฏฐิก็บอกว่าฉันเป็นขอทานอาชีพจ้ะทำไมฉันจะไม่รู้ตั้งแต่ออกจากท้องพ่อท้องแม่ฉันก็ขอทานตลอดมา”<O:p</O:p
    พระอินทร์ก็ถามต่อไปว่าท่านทราบหรือเปล่าว่าตัวเองเป็นโรคเรื้อนเป็นโรคที่ชาวบ้านเขารังเกียจ”<O:p</O:p
    สุปพุทธะก็บอกว่าไม่น่าจะถามไม่น่าจะโง่ฉันรู้”<O:p</O:p
    แล้วพระอินทร์ก็เลยบอกว่าสุปพุทธะความเป็นคนจนเป็นของไม่ดีไม่มีความสุขในชีวิตและร่างกายที่ประกอบไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บอย่างนี้ก็จะมีความทุกข์หนักเอาอย่างนี้นะถ้าหากว่าท่านพูดตามคำเราพูด 3 คำจะตั้งใจพูดหรือว่าสักแต่ว่าพูดก็ได้พูดเฉยเล่นก็ได้ถ้าหากท่านพูดตามคำเราแนะ 3 คำละก็ประการที่ 1 เราจะบันดาลทรัพย์ให้มากมายให้กลายเป็นมหาเศรษฐีประการที่ 2 โรคเรื้อนนี้ในร่างกายของท่านจะหมดไปจะกลายเป็นคนมีร่างกายสมบูรณ์และจะมีความสวยสดงดงามมาก”<O:p</O:p
    ท่านสุปพุทธกุฏฐิก็ดีใจถามว่าจะให้ว่ายังไงล่ะพระอินทร์ว่ามาเถอะถ้าไม่เกินวิสัยที่ฉันจะพูดได้ฉันจะพูด”<O:p</O:p
    พระอินทร์ก็บอกว่าเธอพูดเล่นก็ได้นะไม่ต้องตั้งใจว่าหรอกไม่ต้องตั้งใจเอาจริงเอาจังแค่ว่าตามเราพูดเล่นก็พอ”<O:p</O:p
    ท่านสุปพุทธะก็พร้อมรับท่านจึงกล่าวว่าเธอจงพูดอย่างนี้นะว่าพระพุทธเจ้าไม่ใช่พระพุทธเจ้าพระธรรมไม่ใช่พระธรรมพระสงฆ์ไม่ใช่พระสงฆ์เอาแค่นี้ก็แล้วกันพูดเล่นก็ได้ไม่ต้องตั้งใจ”<O:p</O:p

    สุปพุทธะพอฟังเท่านั้นเกิดความไม่พอใจชี้หน้าด่าพระอินทร์ทันทีว่าพระอินทร์ถ่อยจงถอยไปเจ้ามาพูดอะไรตามนั้นสำหรับพระพุทธเจ้าพระธรรมพระอริยสงฆ์เป็นจิตใจที่เราเคารพอย่างยิ่งเวลานี้กล่าวว่าเราเป็นคนจนนั่นเราจนจริงสำหรับโลกียทรัพย์แต่อริยทรัพย์ของเราสมบูรณ์บริบูรณ์เราเป็นพระโสดาบันท่านจงถอยไปไอ้โรคเรื้อนจังไรอย่างนี้ไซร้มันเป็นกับเรามาตลอดกาลตลอดสมัยเราไม่มีทุกข์ใจเจ้าสรรหาอะไรมาพูดตามถ้อยคำเลวของท่านจงหลีกไปเดี๋ยวนี้”
    <O:p</O:p
    รวมความว่าท่านสุปพุทธะจึงได้ไล่พระอินทร์ไปแต่พระอินทร์ท่านหลีกไปแล้วท่านก็ไม่ไปไหนท่านย่องไปบ้านสุปพุทธกุฏฐิ<O:p</O:p
    ท่านสุปพุทธกุฏฐิก็หลีกจากพระอินทร์ไปแล้วก็ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าแต่ตอนนี้ตามพระบาลีท่านไม่ได้บอกเข้าใจว่าจะไปพบพระพุทธเจ้าจริงแล้วกราบทูลจริง<O:p</O:p

    สำหรับพระอินทร์ท่านก็ย้อนหลังมาที่บ้านของสุปพุทธกุฏฐิมาถึงก็บันดาลแก้วเจ็ดประการให้ตกจากอากาศเต็มบริเวณบ้านสุปพุทธกุฏฐิเต็มเลยหลังคากระท่อมไปแล้วบันดาลให้ร่างกายของสุปพุทธกุฏฐิหมดจากความเป็นโรคเรื้อนเป็นคนที่มีความสวยสดงดงามตามที่ท่านให้สัญญาแต่ความจริงไม่พูดท่านก็ไม่ว่าท่านทราบว่าสุปพุทธกุฏฐิเป็นพระโสดาบันจริงที่ท่านสอบอย่างนี้เพราะว่าพระอินทร์ท่านเป็นพระโสดาบันท่านรู้กำลังใจของสุปพุทธกุฏฐิและรู้กำลังใจของบุคคลผู้เป็นพระโสดาบัน<O:p</O:p

    เมื่อท่านสุปพุทธกุฏฐิกลับมาบ้านเห็นบ้านหายบริเวณลานบ้านทั้งหมดสูงกว่าหลังคาเป็นไหนเต็มไปด้วยแก้วเจ็ดประการร่างกายของตนนั้นก็กลายเป็นร่างกายของบุคคลที่มีความสวยสดงดงามอย่างยิ่งและโรคเรื้อนก็หายไปจึงตกใจคิดว่าไอ้ทรัพย์นี่มันมาจากไหนจึงเข้าเฝ้าพระเจ้าปเสนทิโกศลบรมกษัตริย์พระบาทท้าวเธอเป็นพระราชาเวลานั้นกราบทูลว่าเวลานี้ทรัพย์ของพระองค์ทรัพย์ของแผ่นดินเกิดขึ้นในบ้านของข้าพระพุทธเจ้าพระเจ้าข้า”<O:p</O:p
    พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ถามว่ามีอะไรบ้าง”<O:p</O:p
    ท่านสุปพุทธกุฏฐิก็บอกว่ามีแก้วเจ็ดประการมันเต็มไปหมดเต็มบริเวณพื้นที่บ้านทั้งหมดสูงเกือบจะเท่ายอดตาล”<O:p</O:p
    พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ถามว่าต้องการภาชนะเท่าไรจึงจะขนพอ”<O:p</O:p
    ท่านสุปพุทธกุฏฐิก็บอกว่าประมาณ 500 เล่มเกวียนจึงจะขนพอพระเจ้าข้า”<O:p</O:p
    พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงได้ให้คนนำเกวียนประมาณ 500 เล่มเกวียนเศษขนแก้วเจ็ดประการมากองที่พระลานหลวงแล้วประกาศให้คนมาดูกันถามว่าเวลานี้ทรัพย์ใหญ่เกิดขึ้นแล้วแก่หลวงใครมีสมบัติเท่านี้บ้าง”<O:p</O:p
    เศรษฐีทั้งหลายก็บอกว่าแก้วเจ็ดประการอย่าว่าแต่มีเท่านี้เลย 1 ทะนานมันยังหาได้ยาก”<O:p</O:p

    ฉะนั้นพระเจ้าปเสนทิโกศลจึงแต่งตั้งให้สุปพุทธเป็นมหาเศรษฐีให้เศวตฉัตร 3 ชั้นให้ข้าทาสหญิงชาย 100 ให้ช้าง 100 ม้า 100 โค 100 กระบือ 100 ข้าทาสหญิง 100 ชาย 100 มีบ้านส่วยสำหรับเก็บภาษี 100 หลัง<O:p</O:p

    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านที่เล่ามานี้ต้องการให้บรรดาท่านพุทธบริษัททราบว่าการฟังเทศน์นะอย่าฟังกันเฉยในสมัยโบราณน่ะท่านไม่ได้ฟังเฉยท่านฟังแล้วต้องคิดต้องตั้งใจปฏิบัติตามไปด้วยจึงช่วยให้คนเป็นพระอริยเจ้ากันง่าย<O:p</O:p

    สำหรับการเป็นพระโสดาบันก็ดีพระสกิทาคามีก็ดีทั้งสองประการนี้ไม่ใช่ของสูงของเลิศประเสริฐคิดว่าเราจะทำไม่ได้ถ้าจะเรียกกันไปพระโสดาบันกับพระสกิทาคามีก็เป็นเรื่องของชาวบ้านชั้นดีนั่นเองไม่มีอะไรมากแต่ว่าพระพุทธเจ้าท่านทรงเรียกพระแล้วนะผู้หญิงก็ตามผู้ชายก็ตามที่ไม่ได้บวชพระไม่ได้บวชเณรถ้าเป็นพระโสดาบันพระพุทธเจ้าท่านทรงเรียกว่าพระเพราะว่าเป็นพระแท้<O:p</O:p
    สำหรับคนที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนาที่ยังไม่ได้เป็นพระโสดาบันท่านเรียกว่าสมมุติสงฆ์เพราะว่าเป็นสงฆ์สมมุติไม่ใช่สงฆ์แท้ความเป็นพระแท้ของความเป็นพระก็เริ่มต้นตั้งแต่พระโสดาบันอย่างที่ท่านเรียกนางวิสาขาหรืออนาถบิณฑิกเศรษฐีท่านเรียกนางวิสาขาว่าพระโสดาบันเรียกอนาถบิณฑิกเศรษฐีว่าพระโสดาบันอันนี้เป็นพระแท้ <O:p</O:p

    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัทจงจำไว้ว่าความเป็นพระโสดาบันเขาเรียกว่าองค์ของพระโสดาบันเราไม่ต้องพูดถึงสังโยชน์สังโยชน์ฟังกันแล้วลำบากใจจำไว้แต่เพียงว่าความเป็นพระโสดาบันมีทรงคุณธรรม 3 ประการจำไว้ให้ดีเป็นของไม่ยากคือ<O:p</O:p
    1. มีความเคารพในพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์จริงพระสงฆ์นี่เลือกเอาพระอริยสงฆ์นะเพราะถ้าไม่ใช่พระอริยะแกก็ไม่ค่อยแน่นักหรอกดีไม่ดีแกก็เลวกว่าชาวบ้านเขาก็มี<O:p</O:p
    2. งดการละเมิดศีล 5 โดยเด็ดขาดเรียกว่ารักษาศีลยิ่งกว่าชีวิตศีล 5 ประการนี้รักษาโดยเด็ดขาด<O:p</O:p
    3. จิตใจของพระโสดาบันมุ่งอย่างเดียวคือนิพพานขึ้นชื่อว่าทำความดีตั้งแต่ฟังเทศน์ปฎิบัติธรรมลงไปถึงเทกระโถนล้างส้วมตั้งใจอย่างเดียวเราทำเพราะเมตตาปราณีแก่บุคคลทั้งหลายความดีนี่ไม่ต้องการตอบแทนจากบุคคลผู้ใดเราต้องการอย่างเดียวทำเพื่อผลของพระนิพพานเพียงเท่านี้เขาเรียกกันว่าพระโสดาบัน <O:p</O:p
    เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายตามที่เล่ามาในเรื่องสุปพุทธกุฏฐิก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ขอขอบคุณเว็บ : www.kaskaew.com
     

แชร์หน้านี้

Loading...