ทำไมผมลดสมาธิ ไปปล้ำกับสติ โทสะกำเริบ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย overmage, 21 เมษายน 2012.

  1. overmage

    overmage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2011
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +128
    กล่าวคือ หลังจากที่ได้ไปปฏิบัติธรรม ที่สำนักแห่งหนึ่ง (ขอสงวนชื่อ) ได้ฝึกวิชา สติปัฏฐาน 4

    เขาให้ใช้สติ จับรู้ขันธ์5 คือ รูป ช่วง2 - 3 วันแรก ไม่ได้อะไรเลย เพราะคุ้นกับสมถะ หากเครียด

    หรือเจอเวทนา ผมจะหยุดทันที แล้วค่อยเริ่มใหม่ แต่อันนี้ เขาให้สู้ ให้ดูมันจนกว่ามันจะดับไปเอง

    มาทำได้ในวันหลังๆ (ได้หมายถึง มีสมาธิไม่ฟุ้ง ไม่นรกในใจแตก) นั่งดูมันจนรู้ว่า เพราะจิต

    มีเวทนาเกาะ มันเลยเจ็บ ทรมาน พอคิดได้ เกิด ปิติ หายปวดเลย ดับหมด

    แต่เพียงชั่วคราวนะครับ เดี๋ยวมันก็กลับมาใหม่ ตอนนั้นผมเข้าใจว่า ปิติ และวิมุต คืออะไร

    ผมนั่งยิ้มเป็นคนบ้า อยู่นานเหมือนกันครับ ไม่เข้าใจว่ายิ้มทำไม พอครบ 7 วัน กลับบ้าน

    มีปัญหาเลยครับ กล่าวคือ โทสะกำเริบง่ายมากกว่าเดิมครับ อะไรไม่ถูกใจ ก็เคือง

    เลยงง ว่า เพราะเราทิ้ง พุทโธ ใช่ไหมครับ เพราะที่นั่นใช้ ยุบพอง ดูท้อง

    อีกอย่าง ผมรู้สึกว่า รู้ตัว แต่ไม่สามารถทำมันให้ลดน้อยลงได้เลย (ตัวกิเลส)

    รบกวนขอคำแนะนำครับ

    อยู่กับลม แต่ไม่รู้ลม คือคนที่ตายจากความดี
     
  2. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    กำหนดรู้ตามที่มันเป็น มิใช่ให้มันเป็นตามความยึดความอยากของตน
    นิพพานคืออะไร ?
     
  3. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,647
    คุณคิดว่าคุณทำอะไรแล้วดี ทำอะไรแล้วสงบ ไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนครับ....

    ยุบหนอพองหนอก็สมถะนั่นหละครับ....ใครบอกว่าเป็นวิปัสสนา....วิปัสสนาแต่ชื่อการปฏิบัติคือสมถะ....
     
  4. ปุณบพิธ

    ปุณบพิธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +2,135
    ถ้ายึดคำว่า ยุบ พอง กลายเป็นสมถะทันทีครับ
    ให้ดูที่ การเคลื่อนไหวของท้อง ดูที่สภาวะที่เกิดขึ้นจริงในร่างกายเรา ดูสิ่งที่เด่นชัดที่สุด

    ถ้าเจ้าของกระทู้ แต่ก่อนยึดถือพุทโธได้ตลอดเวลา มันก็ตามนั้นแหละครับ เพราะไปรับอารมณ์อื่นเข้ามาแทนสิ่งที่ยึดไว้เดิม
    ก็ตามดูไป ระลึกรู้ว่า โทสะก็ไม่เที่ยง สิ่งที่มากระทบก็ไม่เที่ยง เดี๋ยวมันจะค่อยๆ คลายลงไปครับ
     
  5. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,647

    จิตไหลไปสงบรู้อยู่ที่ท้องก็สมถะนั่นหละครับ....คุณดูสถาวะธรรมสิ จิตไปรู้อยู่ที่ลมหายใจที่จมูก กับไปรู้อยู่ที่ท้อง มันสถาวะเดียวกันนะ คือไปรู้เพื่อให้มันไปสงบ อันนี้หละคือสมถะชัดเจน....ต่างกันแต่เฉพาะฐานที่ตั้งของจิต เท่านั้นหละ....

    ส่วนจะพุทโธ หรือ ยุบหนอพองหนอ ค่าเท่ากันคือ คำบริกรรม...
     
  6. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ...........เจริญสติไปสิครับ...รู้เท่าทันโทสะ ราคะ โมหะที่เกิด...เจริญให้มากทำให้มาก เพราะอย่างน้อย คุณจะต้องรู้ว่า คุณ ทิ้งสติ ไม่ได้แน่แน่ นี่คือ คีย์:cool:
     
  7. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ไม่มีสติปัฏฐานสำนักใด ที่ขาด สมาธิ..ใช้แต่สติ ..!:cool: สติ จะต่อเนื่องได้ด้วยสมาธิ เท่านั้น.:'(
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 เมษายน 2012
  8. overmage

    overmage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2011
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +128
    ช่วยขยายความอีกนิดครับพี่ ผมยัง งงๆ อยู่ครับ

    แต่ยังไงผมก็จะไม่กลับไปยุบพองละ หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ชั่ง ผมขอเจริญพุทธานุสติ

    เหมือนเดิมดีกว่าครับ อารมย์เย็นกว่า เข้าขณิกสมาธิได้ไวกว่าตั้งเยอะ

    หรือไม่ ก็คงต้องรอเจออาจารย์ ที่ทรมานกิเลสเราได้จริงๆ

    ทางลัด ทางเลิศผมไม่ไปละ ขอเดินช้าๆ อย่างมั่นคงดีกว่า รีบวิ่งเกินไป เดี๋ยวล้ม แล้วใครจะ

    มาพยุงผมให้ลุกขึ้นละครับ (เริ่มลงใต้ตมละบัวดอกนี้ บุ๋งๆๆ) ที่พิมพ์นี่ โทสะก็ยังกรุ่นอยู่ครับ

    ปล. หรือว่าผมยังติดใจเอาความ กับที่เขาสอนว่า นิพพานัง ปรมัง สูญญัง หนอ

    อยู่กับลม แต่ไม่รู้ลม คือคนที่ตายจากความดี
     
  9. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    คุณครับ รู้สึกไหมว่า กรรมฐานอะไร ที่มันหายไปจากโลกอย่างยาวนาน

    และ กรรมฐานอะไรที่มันสถิตในดวงใจเราได้ยาก

    ก็ วิปัสสนาญาณ อันเป็น กรรมฐาน หรือ การฝึกสมาธิ เพื่อ พิจารณา รู้เห็น
    กิเลสที่หมักดองในสันดาน ตามความเป็นจริง ไงหละ

    คนเรา เมือถูกหลอก โดยกรรมฐานอื่นๆ กรรมฐานชาวบ้าน ก็แน่นอนว่า มันสบาย
    มันง่าย และ ทำให้เรา ได้อยู่กับโลกต่อไป

    ส่วน อะไรก็ตามที่ทำให้เรามารู้เช่น เห็นชาติ ของขันธสันดาน หรือ ถูกธรรมฤทธิ์
    ชี้ให้เห็นทุกขสัจจเนี่ยะ เราได้สดับแล้ว เราก็ ปฏิเสธ แถมยัง ด่าทอ ว่าทำให้เรา
    ต้องลำบาก

    คุณจะทิ้ง กรรมฐานที่ถูกต้อง ทางสายเดียวที่นำไปสู่มรรคผลอันแท้ แล้วไปคว้า
    กรรมฐานชาวบ้าน ที่เขาตบตาเอาว่าเป็น พุทธานุสติ ภายใตการ คราบลัทธิบูชายัญ
    ก็ตามใจครับ ไม่มีใครห้าม

    และ ก็ไม่มีใครเชิญ

    คุณจะต้องใช้ โยนิโสมนสิการ กัลยณธรรม และ ความไม่ประมาท เท่านั้น ถึงจะ
    ทำให้เห็น แสงอรุณยามเช้าได้อย่างถูกต้อง

    ********************

    สมมติว่า หากต้องการแนวทางจริงๆแล้วละก้อ

    พึงทราบว่า แยกธาตุแยกขันธ์ คือ สิ่งที่คุณไม่เคยสดับมาก่อน เพราะอาจจะ
    โดนเพื่อนๆ หรือ กลุ่มของคุณ ชักชวนให้เห็นว่า ขันธ์ทิพย์ ขันธ์เทพ วิมานแห้ว
    คือสิ่งที่ถูกต้อง จึงทำให้ ไม่มีโอกาสสดับธรรมที่เขาเรียกว่า แยกธาตุ-แยกขันธ์

    หากคุณน้อม หรือ นมสิการ การแยกธาตุแยกขันธ์ แล้วจะรู้ว่า ไอ้สิ่งที่ปรากฏ ทน
    เห็นได้ยากอะไรทั้งหลายแหล่ ที่มันไป ที่มันมา ที่มันที ที่มันทรง ที่มันเสื่อม ที่มัน
    เข้าได้ ออกได้ อยู่เป็นสมาบัติได้ เหล่านั้น เขาเรียก ขันธ์ ซึ่งไม่ใช่เรา

    แล้วจะมีอะไรเป็นเราอีกบ้าง ก็หากแยกขันธ์ จำแนกขันธ์ได้แล้ว ก็จะมาติดที่ ธาตุ
    สำคัญว่า ธาตุรู้ เป็นตนอีกชั้นหนึ่ง

    หากปล่อย ธาตุ-และ-ขันธ์ ออกไปจากการยึดมั่นถือมั่นได้ เมื่อนั้น คุณจะพบคำว่า

    ขณิกสมาธิที่เป็นของจริง !!!

    ซึ่งจะต้องมีรสเป็น สมาธิ3 ในพุทธศาสนาเท่านั้นคึอ เป็น สุญญตาสมาธิ อนิมิตสมาธิ
    และ อัปณิหิตสมาธิ

    เมื่อเจอ หรือ สัมผัส หรือ เพียรภาวนารับรู้ สมาธฺทั้ง3นี้ได้บ่อยๆ เนืองๆแล้ว

    ไอ้ตรงที่ ติดใจว่า นิพพานัง ปรมสุญญัง มันจะค่อยสว่าง รับรู้ และเข้าใจได้ด้วย
    ตัวคุณเอง โดยไม่ต้องให้ใครมาสะกดจิต ชักชวน หรือ จูงจมูกอีกต่อไป สามารถ
    ฟังธรรมที่เกิดจากภายในได้ จนถึงที่สุดแห่งการรู้แจ้ง "ปรม สุญญัง"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 เมษายน 2012
  10. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    อาจารย์ ที่คุณรอพบ ให้เขาชี้กิเลส คุณให้ คุณ เจอด้วยตัวเองแล้ว

    แต่ คุณกลับไม่เข้าใจ ไม่สมาทาน เพราะ ไปหวงแหนขันธ์ และอาจจะ
    ยังหวงแหนธาตุรู้ ก็เลยด่ามัน เกลียดมัน ไม่เข้าใจมัน

    ทั้งๆที่ มัน!! ก็ออกมาจาก การภาวนาสำเร็จในบางส่วน ที่คุณเพียรได้
    ด้วยตัวเอง รู้เอง เห็นเอง สอนตัวเอง ได้


    อาจารย์ที่เลิศที่สุด ก็ กายกับใจ คุณนั่นแหละ เพียงแต่ เพิ่มการสดับเรื่อง
    แยกธาตุ แยกขันธ์ ให้เข้าใจ และ ต้องเพิ่มความเข้าใจด้วยว่า เราไม่ได้
    แยกเพื่อจะเลือกเอาข้างใดข้างหนึ่ง

    เราเพียรภาวนาก็เพื่อให้เห็นว่า มันแยกได้ และ อะไรก็ตามที่แยกได้ ก็
    แปลว่า มันประกอบได้ ดังนั้น คนโง่เท่านั้น ที่จะเลือกเอาข้างใดข้างหนึ่ง
    ทั้งๆที่ มันก็สำแดงให้เห็นอยู่ว่า มันประกอบกันอยู่ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์
     
  11. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ผู้ที่มีสมาธิในช่วงเริ่มแรก จะรับรู้ความรู้สึกได้ชัดเจน และ รวดเร็ว

    แต่ยังไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ จึงแสดงอาการออกมาโดยที่บังคับตนเองไม่ได้

    จึงต้องมีกำลังของสมาธิให้มากขึ้นมาอีกนิดครับ จึงจะควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ครับ

    ส่วนการภาวนานั้นเป็นเพียงอุบายครับ ไม่สำคัญว่าคุณจะภาวนาว่าอะไรครับ

    เมื่อรู้ว่ามีโทสะในเรื่องใด ให้เดินออกมาจากที่ตรงนั้น และ หาอะไรทำเพื่อให้ใจเย็นลงก่อนครับ

    สาธุครับ
     
  12. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ส่วนเรื่องการพะยุง ผมจะ ลองบอกวิธีที่ คุณสามารถพยุงตัวเองได้

    ตรงจุดที่คุณเห็นว่าเกิด ปิติ แล้ว เห็นว่า มันดับหมด

    คียเวริ์ดจะอยู่ตรงที่ คุณไปเผลอปักใจ อาการปิติ ทั้งๆที่ อาการปิติ เป็นอาการ
    ของขันธ์5 ไม่ใช่เรา มีเหตุก็เกิด หมดเหตุก็ดับ แม้นว่า อาการปิติจะเกิดจน
    เห็น สภาพธรรมอื่นย้อมไม่ติด มีแต่ ปิติ เท่านั้นที่ปรากฏให้รู้ได้ ตรงนี้เลยยกได้
    ว่า หากมีปิติ กามราคะ และ พยาปาทะ มันก็ดับไปจากจิต เกิดความเย็น(สุข)

    คุณก็เพียงแต่ เห็นว่า ปิติไม่เที่ยง และ สุขอันเกิดจากความเย็น ความพ้นชั่วคราว
    นั้นมันไม่เที่ยง เมื่อยังยึดปิติ หรือ สุขอยู่ กามวิตก และ พยาบาทวิตก ก็แทรก
    ได้เสมอ ตรึกแบบนี้ จิตจะได้รับการชี้ให้เห็นทุกข์ โทษ ในการเผลอเอา ปิติ สุข
    มาเป็นที่พึ่งที่อาศัย โทษของมันคือ ชั่วคราว และ เป็นเหตุให้ กามวิตก พยาบาทวิตก
    แทรกได้ ดังนั้น ต้องไปให้ไกลกว่านั้น ซึ่งจิตจะได้รับการอบรมให้เห็นสภาพที่ "ยิ่งกว่า"
    มีอยู่ หรือไม่มีอยู่ เราจะเข้าไปแทรกแซงไม่ได้

    หากเราไปแทรกแซง ก็เท่ากับ วิตก วิจาร กำเริบ ตกจาก ฌาณ 2 3 ลงไปเป็น ฌาณ 1
    ซึ่งก็จะหลุด แล้วกลับไปสู่ จิตปุถุชนในที่สุด วนเวียนอยู่แค่ 3โลก คือ มะนุด เทวดา และ
    พรหม

    แต่ถ้าเรายังอบรมเรื่อยๆ รู้เห็นตามความเป็นจริงไปเรื่อยๆ ว่า จิตมันเป็น "โยคะ-วจร"
    ไปในสามภพแบบนี้เนืองๆ หมุนเร็วเข้า ไวเข้า เห็นกิเลส(กิเลสมูล3) สมาธิ(ปิติ ปัสสัทธิ
    เป็นอาธิ) เจริญและเสื่อม ชัดและรวดเร็ว หมุนติ้วๆ อยู่ท่ามกลางหัวอก จิตมันจะเฝ้นหา
    ธรรม วิจัยธรรม หาสิ่งที่เหนือภพ เหนือชาติ เป็นของโลกุตระมาให้แก่ผู้ภาวนาเมื่อปฏิบัติ
    อย่างสมควรแก่ธรรม ไม่วิ่งอ้าว โกยแน่ว ไปพึ่งของโลกๆ ที่เขานิยมเข้าว่ากันตะพึดตะพือ

    [ ฟังดีๆนะ โลกเขานิยมกัน ตรงนี้ไม่ได้ห้าม แต่ พูดเพื่อ กระตุ้นให้ พ้นออก เอา ธรรมเป็นใหญ่

    ไม่ใช่ โลกนิยม เทวนิยม เป็นใหญ่ ]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 เมษายน 2012
  13. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    สู้ !!


    สู้ ไม่ใช่การหนี !!

    สู้ ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่ เพื่อธรรม เอาธรรมเป็นพยานให้ธรรมของพระพุทธองค์ ไม่ใช่ สุขส่วนตัว!

    สู้ ไม่ใช่ จับพลัดจับพลู นั่งประดิษฐประดอย ให้เทห์ หรือ สวยงาม หรือวิจิตร หรือเป็นแก้ว

    สู้ คือ ถวายทุกสิ่งไปหมดแล้ว ให้เป็นไปตาม พุทธศรัทธา ไม่ใช่ ถวายไปแล้ว ขอคืน
    ก่อนๆ ไม่ไหวแล้ว ขอคืนก่อน กลับกรอกไปมา

    สู้ ไม่ใช่หาอะไรมาทำพลางๆ เพื่อให้บรรเทา แล้ว รอความตายมาถึง สำคัญไปว่า
    ตายเมื่อไหร่ การสู้ก็จบ อย่าไปโง่ตามเขาแบบนั้น เด็ดขาด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 เมษายน 2012
  14. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,647
    มั่นใจไว้เถอะนะครับ...อันเดิมที่ทำแล้วดี ทำไปเลยครับ....ไม่จำเป็นต้องไปเปลี่ยนนะ....เพราะเราเจอในสิ่งที่ดีที่สุดแล้วสำหรับเรา....

    ถ้าเรามาพิจารณาให้ดีนะครับ อานาปานุสสติกรรมฐาน ที่คุณทำอยู่นั้น ถือว่าเป็นกรรมฐานที่สำคัญมากแล้ว ถ้าคุณเคยศึกษาในพระสูตรที่มีชื่อว่า สติปัฏฐานสูตร(ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นพระสูตรหลักที่สายสติปัฏฐาน ยุบหนอพองหนอ ยึดถือ) กรรมฐานกองนี้จะตั้งอยู่เป็นอันดับแรกนะ...

    พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าการเจริญกรรมฐานในสติปัฏฐานสูตรเป็นทางสายเอก....คนที่ไม่เข้าใจหรือฝึกอยู่ในสายของสติปัฏฐาน ๔ อาจเข้าใจผิดเพราะเข้าใจตามอาจารย์ที่บอกมาว่า ของเขาเท่านั้นที่เป็นทางสายเอก เป็นทางลัด แต่จริงๆแล้วเป็นการเข้าใจผิดนะครับ....กรรมฐานในสติปัฏฐานสูตรที่พระพุทธเจ้ากล่าวถึงนั้น ครอบคลุมกรรมฐานหลายกองมากในกรรมฐาน ๔๐ ...จริงๆแล้วคือส่วนเดียวกันเสียด้วยซ้ำ เช่น อสุภกรรมฐานในกรรมฐาน ๔๐ ก็ตรงกันกับนวสีวถิกาบรรพ ในสติปัฏฐานสูตร อานาปานุสสติกรรมฐานในกรรมฐาน ๔๐ ตรงกันกับอานาปานบรรพ ในสติปัฏฐานสูตร อย่างนี้เป็นต้น....นะครับ....

    ฉะนั้นให้คุณมั่นใจได้ว่าสิ่งที่คุณทำอยู่ คือ อานาปานุสติกรรมฐาน นั้น จัดรวมอยู่ในทางสายเอกแน่นอนครับ....

    อย่าไปหลงคำโฆสณาชวนเชื่อคนอื่นว่าดี สิ่งที่ดีของเขาอาจไม่ใช่สิ่งที่ดีของเราก็ได้นะ....ทางที่ดีที่สุดในการเดินทางนั้น คือทางที่เราเดินทางแล้วไปถึงจุดมุ่งหมายได้อย่างปลอดภัย และ สบายใจ ครับ....

    กรรมฐานทุกกองสมเด็จฯท่านสอนไว้หมด ล้วนแต่เป็นทางที่ไปสู่จุดมุ่งหมาย ซึ่งแต่ละคนนั้นก็ถนัดไม่เหมือนกัน...ฉะนั้นคุณไม่มีความจำเป็นต้องไปเชื่อใครหรือตามใคร ขอให้คุณมั่นใจว่าสิ่งที่คุณทำอยู่ไม่ผิดจากที่สมเด็จฯ ท่านทรงสอนไว้ แค่นั้นพอครับ...อย่างไรต้องถึงจุดหมายแน่นอน....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 เมษายน 2012
  15. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    หากการกระทำดั่งกล่าเป็นการหนี ย่อมบ่งบอกว่าไม่รู้ความสามารถของตนนะครับ

    เมื่อเรายกของที่หนักมากในคราวเดียวไม่ไหว ก็ค่อยๆยกไปไม่ดีกว่าเหรอครับ

    ตราบเมื่อแข็งแรงดีแล้ว ค่อยยกไปทั้งหมด มีไหมครับที่ไหนที่เอาน้ำมันไปใกล้ไฟ

    แล้วจะไม่เป็นเชื้อเพลิง น้ำมันอยู้ใกล้ไฟก็เป็นได้แค่เชื้อเพลิงเท่านั้น

    หากไม่เอาน้ำมาดับไฟ ก็มีแต่จะเพิ่มความร้อนเท่านั้น ควรที่จะรู้ความสามารถของตนเองก่อน

    หากทนไม่ไหวจริงๆ ก็แค่ถอยออกมา เพราะยังไงก็ได้พบเจอโทสะอยู่แล้วทุกวัน

    แต่หากมีความสามารถในการักษาจิตใจให้นิ่งสงบได้ดีพอสมควรแล้ว

    จึงจะสู้กับโทสะได้อย่างเต็มกำลัง ไม่เช่นนั้นแล้วก็จะพ่ายแพ้อยู่ร่ำไปครับ

    สาธุครับ
     
  16. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    โอ..เขาสอนถูกแล้วครับ ผมอ่านไม่เข้าใจเองครับขออภัย..! ขออภัยครับจะลบความเห็นข้างต้นนะครับ:cool:
     
  17. barking dog

    barking dog เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2012
    โพสต์:
    765
    ค่าพลัง:
    +152
    ท่าน overmage ที่เคารพ

    sun dog ขออนุโมทนาในความตั้งใจปฏิบัติธรรมและธรรมทานในครั้งนี้ด้วย ท่าน overmage ได้กระทำตาม โพชฌังโค7 อันเป็นธรรมที่กระทำบ่อยๆแล้วเข้าสู่กระแสพระนิพพานได้ง่าย ครับ

    ท่านเริ่มจาก "1. สติสัมโพชฌงค์" คือ ใช้สติ จับเวทนา จนอยู่
    ต่อด้วย "2. ธรรมวิจยะสัมโพชฌงค์" คือ พิจารณาเวทนาที่เกิด
    สิ่งเหล่านี้ท่านกระทำด้วยความเพียร ถือเป็น "3. วิริยสัมโพชฌงค์"
    จนกระทั่งพบคำตอบด้วยตนเอง ว่าความทรมานนั้น มาจากจิตไปเกาะกับเวทนา
    จึงเกิดปิติ นั่งยิ้ม หรือ "4. ปีติสัมโพชฌงค์" ครับ
    ความรู้สึกที่ท่านคิดว่าตนถึงวิมุติแล้ว เป็นอาการที่พัฒนามาจาก
    "5. ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์" หรือ ความสงบที่แสดงตัวหลังปิติหายไป ครับ

    ทีนี้ สาเหตุที่ท่านโกรธง่าย ไม่ได้เป็นเพราะท่านทิ้งพุทโธ
    พุทโธมีอยู่แล้ว ทิ้งก็ไม่หาย เพียงแต่ยังไม่ได้จังหวะปรากฎเท่านั้น
    แต่เป็นเพราะสติท่านดีขึ้น จึงจับอาการต่างๆได้ไวขึ้น แน่นขึ้น
    เมื่อจับแน่นขึ้น จึงรู้สึกได้ชัดเจนขึ้นครับ
    เพื่อน sun dog คนหนึ่ง ที่เราคุยกันเรื่องปฏิบัติธรรมอยู่บ่อยๆ เขาก็มีอาการแบบนี้เหมือนกัน
    ไม่ต้องตกใจครับ

    เมื่อมาถึงขั้นนี้ ท่านจำเป็นต้องอดทน (ขันติบารมี) ต่อความขัดเคืองใจให้ได้
    ในระดับที่สามารถใช้ธรรมวิจยะสัมโพชฌงค์ที่ท่านมีอยู่แล้วเจริญปัญญา
    พิจารณาเหตุแห่งความขัดเคืองนั่นจนได้คำตอบ
    วิธีการปฏิบัติก็คล้ายๆกับเมื่อตอนท่านพิจารณาเวทนานั่นเอง
    ทนอยู่ พากเพียรสู้กับมัน แต่คราวนี้พลังอาจมาแรงกว่าคราวพิจารณาเวทนาปวดขา
    หากรู้สึกไม่ไหวก็หาวิธีพักผ่อนความคิดตนเองเสีย จะด้วยการภาวนาพุทโธก็ได้ หรืออย่างไรก็ได้
    ทำบ่อยๆ ไปเรื่อยๆ เมื่อพิจารณาจนเข้าถึงและเข้าใจเหตุแห่งความขัดเคืองได้ด้วยตนเองแล้ว
    ท่านจะเข้าถึง ปีติสัมโพชฌงค์ และ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ อีกครั้งหนึ่งครับ

    6. สมาธิสัมโพชฌงค์จะปรากฎขึ้นทีละนิดจนท่านรู้สึกตัวได้หลังจากท่านเจริญ 1-5 มาพอสมควรแล้ว
    7. อุเบกขาสัมโพชฌงค์จะปรากฎขึ้นชัดเจนหลังสมาธิสัมโพชฌงค์แก่กล้าขึ้นแล้วครับ

    ไม่รีบ ไม่ตกใจ ค่อยๆไปตามจังหวะของเราครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 เมษายน 2012
  18. barking dog

    barking dog เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2012
    โพสต์:
    765
    ค่าพลัง:
    +152
    ท่าน overmage ที่เคารพ

    อาณาปาณสติและบริกรรมพุทโธนั้นก็ดีเยี่ยมครับ
    ทุกทางดีเยี่ยมทั้งหมดหากเราใช้เป็น

    จากประสบการณ์ของ sun dog ลักษณะการใช้งาน "พุทโธ" จะต่างจากการเจริญสติข้างต้นเล็กน้อยในช่วงทางเข้า "ธรรมวิจยะสัมโพชฌงค์" ครับ

    กล่าวคือเมื่อเราภาวนาพุทโธจนเกิดองค์ภาวนา "พุทโธ" ขึ้นในใจแล้ว เวลาตกใจหรือโกรธ "พุทโธ" มันจะสวดตัวมันเองออกมาเลยโดยอัตโนมัติครับ แล้วความคิด(อุปทาน)เราจะหยุดจับความโกรธเพื่อเอื้อมไปจับที่ "พุทโธ" ตามความเคยชินครับ หากเราเอื้อมไปจับ "พุทโธ" ได้จริงๆขณะนั้นเลย ความโกรธจะหายไป แล้วมันก็จะกลับมาใหม่เมื่อเราปล่อยมือจาก "พุทโธ" ขณะที่ปล่อยมือคือช่วงเหมาะสมที่เราจะพิจารณาเหตุแห่งความโกรธหรือเจริญ "ธรรมวิจยะสัมโพชฌงค์" ครับ กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า "พุทโธ" ที่ผุดขึ้นมาเองขณะโกรธ จะช่วยให้เราได้ตั้งตัวให้ตรง ก่อนพิจารณาธรรมครับ

    อานาปาณสติ ก็เป็นเฉกเช่นเดียวกัน หากเรากระทำจนเกิดเป็นองค์ภาวนาในตนเองแล้ว เราจะดูลมหายใจตนเองโดยอัตโนมัติเมื่อตกใจหรือโกรธ สิ่งนี้ช่วยให้เราได้ตั้งตัวให้ตรง ก่อนพิจารณาธรรมเช่นกันครับ
     
  19. barking dog

    barking dog เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2012
    โพสต์:
    765
    ค่าพลัง:
    +152
    ความจริง "เมตตาภาวนา" ก็มีนะครับ
    การใช้งานคล้ายกัน เพียงแต่เราไม่จำเป็นต้องบริกรรม
    เราเปิดใจยอมรับทุกอย่างอย่างที่มันเป็น
    เมื่อกระทำบ่อยๆจนเกิดเป็นองค์ภาวนาในตนแล้ว
    เวลาโกรธ เวลาตกใจ เวลาทุกข์
    ใจเราจะเปิดออกและยอมรับมันเองโดยอัตโนมัติ
    เจริญ "ธรรมวิจยะสัมโพชฌงค์" ได้ง่ายเหมือนกัน
    แบบนี้ พบได้ง่ายใน มหายาน และ วัชรยาน ครับ
     
  20. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    :cool::cool::cool::cool::cool:
     

แชร์หน้านี้

Loading...