ทำไมจึงว่าการศึกษาพระอภิธรรมเป็นความจริงอันประเสริฐสูงสุด

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย MOUNTAIN, 25 เมษายน 2006.

  1. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,087
    <CENTER>[​IMG]

    ทำไมจึงว่าการศึกษาพระอภิธรรมเป็นความจริงอันประเสริฐสูงสุด (๑)
    โดย อาจารย์บุญมี เมธางกูร</CENTER>

    <DD>ธรรมดา "ชีวิต" นั่นเป็นสิ่งมีค่าสูงที่สุดยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด เป็นที่รักใคร่หวงแหนอย่างยิ่งของสัตว์ทั้งหลาย
    <DD>ดังนั้น จึงต่างพากันดิ้นรนขวนขวายแก้ปัญหากันอย่างสุดกำลังที่จะให้ตนพ้นไปเสียจากความทุกข์ยากลำบากทั้งปวง พ้นไปเสียจากภัยของธรรมชาติ เช่น ฝนแล้ง น้ำท่วม แผ่นดินไหว และพ้นไปจากภัยอันเกิดจากอำนาจต่างๆ และจากกาต่อสู้ฟัดเหวี่ยงเพื่อช่วงชิงผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน ตลอดจนถึงภัยที่เกิดขึ้นในตัวเอง เช่น ป่วยเจ็บ ทุพพลภาพ ความแก่เฒ่าไปจนถึงความตาย

    <DD>จึงได้เป็นเหตุให้สัตว์ทั้งหลายสั่งสมสัญชาติญาณของความมักได้เห็นแก่ตัวเองไว้ในสันดานติดตัวมา จึงได้เอารัดเอาเปรียบ เบียดเบียนซึ่งกันและกันอยู่ทั่วไป เพื่อหวังให้ตนอยู่รอดและปลอดภัยเป็นอย่างดีที่สุดเท่าที่จะดีได้ อันเป็นเหตุทำให้ได้รับความทุกข์ยากลำบากแสนสาหัส แล้วก็จะเกิดขึ้นโดยทั่วหน้ากัน

    <DD>นอกจากภัยที่มาจากภายนอกภายในดังกล่าวแล้ว สัตว์ทั้งหลายยังจะต้องเพียรพยายามแก้ปัญหาให้แก่ตนอย่างไม่รู้จักจบสิ้นโดยตรงอีก เพื่อหวังให้ตนถึงซึ่งความสุขอย่างแท้จริง</DD>
     
  2. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,087

    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma]<DD>เหตุนี้จึงได้เปลี่ยนอารมณ์ของตนอยู่ไปมาเนืองนิตย์ เพราะจะอยู่ในอารมณ์อันเดียว เช่น เห็น ได้ยิน เป็นต้น ซ้ำๆซากๆ ก็ทนไม่ไหว จึงต้องเปลี่ยนอารมณ์ไม่ได้หยุดหย่อนเลย ประเดี๋ยวเห็น ประเดี๋ยวได้ยิน ประเดี๋ยวกิน ประเดี๋ยวถ่าย และตลอดไปจนการเคลื่อนไหวอิริยาบถต่างๆ มียืน เดิน นั่ง นอน เป็นต้น เพื่อการแก้ปัญหาความทุกข์ความเดือดร้อนของตน

    <DD>เพราะจะทนอยู่ในอารมณ์อย่างเดียว หรืออยู่ในอิริยาบถเช่นนั่งอย่างเดียว ก็ย่อมจะเป็นไปไม่ได้ เมื่อพิจารณาดูให้ประณีตแล้วก็จะเห็นว่า เพราะอำนาจความทุกข์ความเดือดร้อนนี้เองเป็นตัวการบีบบังคับให้ต้องนิ่งอยู่ไม่ได้ มันจะเป็นไปอยู่เช่นนี้วันแล้ววันเล่า ตั้งแต่เกิดขึ้นมาไปจนแก่เฒ่าและจนกระทั่งถึงแก่ความตายในที่สุด แล้วก็เกิดชีวิตขึ้นมาใหม่ แล้วก็แก้กันต่อไปไม่จบสิ้น

    <DD>สำหรับภัยที่สำคัญอันจะลืมเสียไม่ได้ที่ซ่อนเร้นอย่างมิดชิดอยู่ภายในจิตใจอีกประการหนึ่งก็คือ ความทะยานอยากของตนเอง บุคคลทั้งหลายหนีความทะยานอยากของตนเองไม่พ้น แม้การกล่อมเกลาโดยอบรมบ่มนิสัยที่ทำกันมาเป็นอย่างดีแล้วก็ตาม มันก็จะลดลงไปได้บ้างเท่านั้น เพราะ"ความไม่รู้จักพอ" นี่เอง ที่ได้นำสัตว์ทั้งหลายให้เดินทางไปสู่ห้วงแห่งหายนะ

    <DD>เมื่อผู้ใดได้ตกอยู่ภายใต้อำนาจของมันแล้ว มันก็จะบังคับเคี่ยวเข็ญเอาให้ได้ดังใจ คุณธรรมความดีในตัวก็จะค่อยๆ สลายไป ก็ย่อมจะกระทำการใดๆ แม้ที่ร้ายแรงที่สุดขึ้นก็ได้ เมื่อความโลภเข้าครอบงำจิตใจเสียแล้ว เช่นปลิ้นปล้อนตลบแตลง ปล้นจี้ค้ายาเสพติดให้โทษ คดโกงประชาชน ตลอดไปจนถึงกล้าขายประเทศชาติของตนเองทั้งประเทศ

    </DD>
    [/FONT]
     
  3. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,087
    <DD>เมื่อความทะยานอยากนี้ตกอยู่กับผู้ใดแล้ว ก็ย่อมจะทำให้เกิดความเร่าร้อนทุกข์ทรมานกระสับกระส่ายทั้งกายและใจ อาจถึงแสนสาหัสก็ได้ แล้วก็จะกระจายความเร่าร้อนนี้ออกไปอย่างกว้างขวางให้กระเทือนทั่วกันไป

    <DD>"ความทุกข์" คือความอดทนอยู่ไม่ได้ หรือทนได้ยาก เรื่องของความทุกข์นี้ ในพระพุทธศาสนาได้แสดงไว้เป็นอันมาก ตั้งแต่ที่หยาบๆ ไปจนถึงที่ละเอียดอ่อน ซึ่งบางอย่างถ้าไม่ได้ศึกษา หรือพิจารณาให้ดีแล้วก็จะมองไม่เห็นเลย

    <DD>การที่เราต้องศึกษาเรื่องของความทุกข์มิใช่ว่าจะทำให้เราเกิดความเศร้าหมอง หรือหวั่นไหวตกใจกลัว หรือทำให้เรากลายเป็นคนเพ่งเล็งแต่ในเรื่องไม่ดี พระพุทธศาสนาไม่ได้สอนให้เพ่งเล็งแต่ในแง่ร้าย หรือเพ่งเล็งแต่ในแง่ดี หากแต่สอนให้เพ่งเล็งลงไปยังความจริง การศึกษาเรื่องความทุกข์ เป็นการศึกษาความจริงที่สำคัญที่สุด เป็นการป้องกันมิให้เกิดความประมาทแล้วหลงละเมอเพ้อฝันไปตามอารมณ์

    <DD>เมื่อเข้าใจดีจริงๆ แล้วก็จะเป็นทางให้ลดความมักได้เห็นแก่ตัวลง จะทำให้การเบียดเบียนกันน้อยเข้า แล้วความสุขความสบายก็จะค่อยๆ ตามมา ตลอดไปจนถึงการชี้หนทางให้เข้าไปสู่ความจริงขั้นสุดยอด นั่นก็คือให้หลุดรอดไปจากความทุกข์ความเดือดร้อนทั้งปวงได้โดยเด็ดขาดแท้จริง เหมือนนายแพทย์ที่รักษาโรคก็จำจะต้องรู้สมุฏฐานของโรคว่า ไวรัสชนิดไหนให้ทุกข์โทษภัยอะไร จะทำลายมันได้อย่างไร
    </DD>
     
  4. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,087
    ทำไมจึงว่าการศึกษาพระอภิธรรมเป็นความจริงอันประเสริฐสูงสุด (ตอนจบ)
    โดย อาจารย์บุญมี เมธางกูร

    <DD>ความทุกข์หยาบๆ ที่เห็นได้ง่ายๆ โดยทั่วไป ก็ได้แก่ความทุกข์เพราะไม่ได้สิ่งอันตนปรารถนา ทุกข์เจ็บป่วยทุพพลภาพ ทุกข์เพราะไม่มีจะกิน ไม่มีบ้านอยู่ ไม่มีเงินจะใช้เป็นต้น ความทุกข์เหล่านี้เกิดขึ้นครั้งหนึ่งคราวเดียว หรือเพียงชาติเดียวนี้เท่านั้น(ชาติต่อไปไม่แน่) จึงมิใช่เป็นความทุกข์ที่ใหญ่โตอะไรเลย

    <DD>ความทุกข์ที่ได้กล่าวมาแล้ว ยังจัดว่าเป็นทุกข์เล็กน้อยเท่านั้น ในสายตาของบัณฑิตผู้มีปัญญาเมื่อเปรียบเทียบกับทุกข์อันใหญ่ยิ่งคือ "การเกิด" แล้ว ก็จะผิดกันไกลลิบทีเดียว เพราะลงได้เกิดมีชีวิตขึ้นมาแล้ว จะหนีความทุกข์ไปให้พ้นก็ย่อมเป็นไปไม่ได้

    <DD>ไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไร และเกิดอยู่ ณ ส่วนใดของโลกก็ตาม เพราะความทุกข์จะติดตามชีวิตไปไม่ลดละทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าจะอยู่ในน้ำ บนดิน ในอากาศ หรือในดาวพระเคราะห์ดวงใดก็ตาม ความทุกข์ก็จะติดตามชีวิตไปเหมือนเงาตามตัว

    </DD>
     
  5. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,087

    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma]<DD>ยิ่งไปกว่านั้น ถ้ามีการเกิดขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่า ความทุกข์ก็จะเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าเหมือนกัน ฉะนั้น การแก้ปัญหาให้แก่ชีวิตจึงต้องกระทำอยู่ไม่รู้จบสิ้น อาจจะเป็นหมื่นชาติ แสนชาติ หรือนับชาติไม่ถ้วนก็ได้

    <DD>เมื่อแก้ปัญหาให้แก่อารมณ์นี้แล้วก็จะต้องไปแก้ปัญหาให้แก่อารมณ์อื่น และอื่นๆ ต่อไปอีก เมื่อแก้ปัญหาให้ชาตินี้แล้วก็จะต้องแก้ปัญหาให้ในชาติหน้าต่อไป และต่อๆ ไปไม่จบสิ้น

    <DD>แน่นอน การที่ต้องเกิดแล้วเกิดอีก ทุกข์แล้วทุกข์อีก ซ้ำๆ ซากๆ นี่เองเป็นความทุกข์อันใหญ่หลวง ไม่มีทุกข์ใดเทียบเท่า ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงหมายถึง ฉะนั้น ความทุกข์จึงเป็นปรมัตถสัจธรรม เพราะมีจริงๆ

    <DD>ผู้ที่ได้ศึกษาวิชาการทางโลกมามากๆ ผู้ที่เข้าถึงความจริงในปรากฏการณ์ของธรรมชาติมาหลายๆ อย่าง แต่ไม่ได้ศึกษาพระพุทธศาสนาในขั้นละเอียด หรือพิจารณาปัญหาของชีวิตไม่ลึกซึ้ง มักจะมีความเห็นว่า คนเรานี้ ตายแล้วเกิดอีกไม่ได้ ชีวิตภายหลังความตายย่อมจะไม่มี แล้วถ้าผู้ใดมีความเชื่อในสิ่งเหล่านี้ (เช่นการเวียนว่ายตายเกิด) ก็ย่อมจะตกอยู่ในลักษณะที่เรียกว่า ความเพ้อฝันทั้งๆ ที่ไม่เคยได้ศึกษาในเรื่องเหล่านั้นให้ถึงแก่นแท้เลยแม้แต่สักนิด

    </DD>
    [/FONT]
     
  6. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,087
    <DD>ความคิดเห็นดังกล่าวนี้ เป็นความคิดเห็นที่ปราศจากข้อเท็จจริง เป็นการอนุมานเอาทั้งนั้น ไม่มีบทพิสูจน์อันใดที่จะยืนยันรับรองได้ เฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของจิตใจ ก็ไม่เคยได้ศึกษากันถึงเรื่องของจิตใจจริงๆ เลย

    <DD>ด้วยเหตุนี้ จึงยังไม่มีใครอธิบายได้ว่า "จิตใจนั้นคืออะไร อยู่ที่ไหน ในขณะเห็น ได้ยิน เคลื่อนไหวอิริยาบถนั้นมันมีขบวนการทำงานกันอย่างไร และได้สัญชาตญาณต่างๆ ที่ติดตัวมาตั้งแต่แรกเกิด เช่น ความรัก ความกลัว ความโกรธ ตลอดไปจนสัญชาตญาณแห่งการหลีกภัยนั้น มันแฝงตัวอยู่ ณ ที่ใด ได้รับการอบรมสั่งสอนกันมาจากใคร และโดยวิธีใด

    <DD>การศึกษาพระอภิธรรมปิฎกที่ว่าเป็นปิฎกที่ประเสริฐที่สุดนั้น ก็เพราะว่าเป็นการศึกษาหาความจริงอันลึกซึ้งของชีวิต (ไม่ใช่ชีวิตตามความหมายในวิชาการทางโลก) ทั้งเป็นเรื่องของความจริงไม่มีวันกลับกลอกด้วยกาลเวลาและสถานที่ บัดนี้ก็ล่วงเลยเวลามากว่า ๒๕๐๐ ปีมาแล้ว ยังไม่ต้องแก้ไขอะไรเลย เพราะเป็นปรมัตถธรรมความจริงที่แท้จริง

    <DD>และเมื่อได้ศึกษาหาความจริงของชีวิตดีแล้ว ก็จะมีความสงบ มีความสุข ความเยือกเย็นใจ จะเบาสบายคลายจากความทุกข์ลงได้เป็นอันมาก ทั้งจะได้เห็นความเป็นมา และความเป็นไปของชีวิต ทั้งจะได้เห็นหนทางปฏิบัติที่ถูกต้องเพื่อให้หลุดรอดไปจากความทุกข์ได้ตลอดกาล อันเป็นหนทางที่จะทำให้ไม่ต้องมีชีวิตขึ้นมาให้ต้องแก้ไขปัญหาอีกต่อไป

    <DD>เมื่อไม่มีชีวิตเสียแล้ว ความทุกข์ทั้งหลายก็จะสะดุดหยุดลงได้โดยสิ้นเชิง เมื่อไม่มีชีวิตเสียแล้ว ความทุกข์ก็ไม่ทราบว่าจะตั้งลงไปบนที่ใด จึงได้เรียกว่าเป็นความสุขอันสถาพรตลอดกาลนิรันดร
    </DD>
     
  7. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,087
    [​IMG]
    พุทธังสรณังคัจฉามิ ธัมมังสรณังคัจฉามิ สังฆังสรณังคัจฉามิ
     
  8. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,087
    <CENTER>[​IMG]
    [​IMG]</CENTER>

    โพธิปักขิยธรรม

    <CENTER>สติปัฎฐาน ๔</CENTER>

    <DD>ย่อมเป็นที่รู้ดีทั่วกันว่า ถ้าคนลงเสียสติ ก็เท่ากับเป็นคนบ้าเท่าที่สติธรรมที่มีกันอยู่ทั่ว ๆ ไป เป็นสติที่พอป้องกันไม่ให้เป็นบ้ากันเท่านั้น เพราะฉะนั้น สติจึงเป็นตัวเอก สำหรับแก้ความบ้าที่ไม่รู้ตัว โดยการพยายามปลูกฝังสติ ให้มีขึ้นในตัวให้มากที่สุด

    <DD>การเจริญสติให้มั่นคง เป็นทางเดียวเท่านั้นที่ยังบุคคลผู้เจริญให้ถึงพระนิพพานได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเรียกทางนั้นว่า “สติปัฎฐาน” คือการดำรงสติให้มั่นคง ซึ่งมีประโยชน์มากมายมหาศาลแก่ผู้ปฏิบัติ คือ

    <DD>เพื่อความบริสุทธิ์ของสัตว์ทั้งหลาย เพื่อความก้าวล่วงเสียซึ่งความโศกและความร่ำไร เพื่อความอัสดง (ดับ) ของทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุธรรมอันเป็นเครื่องรู้ เพื่อทำพระนิพพานให้แจ้งใจ

    <DD>การดำรงสติที่ถูกต้อง มีฐาน ๔ ประการ คือ

    ๑. กาย คือ รูปร่างรวมทั้งอวัยวะภายนอก ภายในของตน และผู้อื่น
    ๒. เวทนา คือ ความเสวยอารมณ์ที่เป็นสุขเป็นทุกข์มิใช่สุขมิใช่ทุกข์ ที่มีอยู่ในตนเองและผู้อื่น
    ๓. จิต คือ ความนึกคิดที่วิ่งไปในความดี และความชั่วของตนและผู้อื่น
    ๔. ธรรม คือ สิ่งที่กั้นจิตมิให้บรรลุความดี ที่มีทั้งในตนเองและผู้อื่น
    </DD>
     
  9. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,087
    <DD>การกำหนดในฐานะทั้ง ๔ ประการนั้น ไม่ใช่ต้องรวมกำหนดทั้ง ๔ แต่หมายความว่าต้องกำหนดไปทีละอาการ เช่น กายมีอาการถึง ๓๒ ประการ มี ผม เป็นต้น เราก็ต้องกำหนดตามไปในอาการเหล่านั้น ตามลำดับไป

    <DD>แต่อย่างไรก็ตาม ต้องเข้าใจว่าในการเจริญสติปัฎฐาน ต้องมุ่งเพื่อความสงบใจที่ฟุ้งซ่าน เป็นเบื้องต้นให้ได้ จึงต้องพึ่ง “สมถะ” ก่อน ลักษณะของสมถะก็คือ ควรกำหนดใจในฐานใดฐานหนึ่ง ให้ใจผูกอยู่ในฐานนั้น เรียกว่า “เอกคฺคตา” คือถึงความเป็นจิตเลิศดวงเดียวได้

    <DD>สติปัฎฐาน ในสมถะที่มั่นคงเป็นเอก ต้องประกอบด้วยลักษณะ ๓ ประการ คือ
    ๑. อาตาปี คือ มีความมั่นคงพยายามเพื่อมุ่งทำลายกิเลส
    ๒. สมฺปชาโน คือ มีสัมปชัญญะรู้ว่าตัวประกอบด้วยสติ และมุ่งทำลายกิเลส
    ๓. สติมา คือ เป็นผู้มีสติบริสุทธิ์ ประกอบด้วยอุเบกขา

    <DD>ลักษณะ ๓ ประการนี้ เป็นลักษณะของสมาธิชั้นเอก เป็นยอดของสมถะ ในส่วนที่เป็นไปเพื่อ ความรู้แจ้ง เห็นจริง ซึ่งเรียกว่า ญาณทัสสนะ เพราะเป็นการรวมคุณที่ประเสริฐของกำลังจิต ที่ประกอบด้วย ธรรม ๒ ประการ คือ
    ๑. อภิชฺฌา ทำลายความเพ่งเล็งในผู้อื่น และสมบัติของผู้อื่น
    ๒. โทมนสฺสํ ทำลายความมัวหมองของใจได้
    </DD>
     
  10. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,087
    <DD>สติปัฎฐาน เป็นการแสดงทางดำเนิน ถึงความพ้นทุกข์ ด้วยความเป็นผู้มีสติเป็นใหญ่ เป็นผู้บริบูรณ์ด้วยสติ ด้วยการดำเนินการปฏิบัติ การปฏิบัติแบ่งตามประเภทเป็น ๒ ประการ คือ

    <DD>๑. สติที่ดำรงอยู่ในองค์ของสติปัฎฐานแล้ว ทำใจสงบ เป็นสมถะ
    <DD>๒. สติที่ประกอบกับใจสงบดีแล้ว กำหนดรู้ตามฐานเหล่านั้นตามความเป็นจริงเป็นวิปัสสนา

    <DD>ตามขั้นตอนต่าง ๆ ที่ได้พูดมาแล้วในขั้นต้น เรียก “สมถะ” เพราะเป็นแต่เพียงจิตสงบเท่านั้น เตรียมตัวเพื่อการกำหนดรู้หรือเพื่อการค้นคว้าเท่านั้น

    <DD>ต่อไปจะพูดถึงการเจริญวิปัสสนาของผู้ที่เจริญสติปัฎฐานชั้นสมถะ สำเร็จดีแล้ว ให้มีความก้าวหน้าขั้นต่อไป</DD>
     
  11. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,087
    <DD>การกำหนดตาม

    <DD>เมื่อจิตประกอบด้วยสติ และสัมปชัญญะบริสุทธิ์ดีแล้ว ก็น้อมจิตไปเพื่อการกำหนดฐานทั้ง ๔ คือ กาย เวทนา จิต ธรรม ให้เกิดความรู้จริงตามฐานเหล่านั้น และต้องเข้าใจว่า การกำหนดตามนั้น ต้องถือหลักว่า กำหนดตามอาการอันหนึ่งในอาการทั้งหมดที่ปรากฏอยู่เสมอไปทีละอาการ
    <DD>๑. กำหนดตามฐานที่เป็นภายใน
    <DD>๒. กำหนดตามฐานที่เป็นภายนอก
    <DD>๓. กำหนดเทียบกันทั้งภายในและภายนอก

    <DD>สกลกายของเราเองได้ชื่อว่าภายใน สกลกายของผู้อื่นได้ชื่อว่าภายนอก เมื่อกำหนดตามฐานทั้ง๔ คือ กาย เวทนา จิต ธรรม แต่ละอย่าง ๆ ที่มีอยู่ภายในตนดีแล้ว ก็กำหนดตามฐานทั้ง ๔ เหล่านั้นแต่ละอย่าง ๆ ที่มีอยู่ในสกลกายของผู้อื่นต่อไป

    <DD>ครั้นกำหนดตาม ๒ เงื่อนไขนี้บริสุทธิ์ดีแล้ว ให้น้อมเอาฐานเหล่านั้นทั้งที่ปรากฏในตนและผู้อื่นมาเทียบเคียงกันดู จนรู้ประจักษ์แน่ชัดว่ามีความเป็นไปอย่างเดียวกัน คือจะดูของเขา เขาก็เหมือนของเรา ดูของเราก็เหมือนของเขา โดยเงื่อนไขเหล่านี้ประชุมในลักษณะ ๓ ประการ คือ อนิจฺจํ ไม่เที่ยง, ทุกฺขํ เป็นทุกข์, อนตฺตา มิใช่ตัวตน จึงได้ชื่อว่ากำหนดเห็นทั้งภายในภายนอก</DD>
     
  12. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,087

    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma]<DD>การกำหนดที่ถูกต้อง

    <DD>๑. ต้องมีสติกำหนดรู้ว่า สิ่งเหล่านั้นมีอยู่หรือไม่
    <DD>๒. ความรู้นั้นก็สักแต่ว่าเป็นความรู้ อย่าให้ไหวตามสิ่งใด ๆ ทั้งสิ้น
    <DD>๓. สติก็เป็นแต่ว่าสติ เป็นขณะ ทุกขณะ อย่าให้หลงฟั่นเฟือนตามอาการของทุกสิ่ง
    <DD>๔. ระวังใจ มิให้อาศัยอยู่ ติดอยู่ ในสิ่งเหล่านั้น
    <DD>๕. ไม่ยึดมั่นในสิ่งทั้งหมดว่าเป็นเรา หรือเป็นของเรา

    <DD>หลักทั้ง ๕ ข้อนี้นับได้ว่า เป็นหลักใหญ่ของผู้เจริญวิปัสสนาตามหลักของสติปัฏฐาน

    </DD>
    [/FONT]
     
  13. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,087

    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma]<DD>ความเข้าใจในสติปัฎฐาน

    <DD>สติปัฎฐาน คือ การดำรงสติในฐาน ๔ คือ กาย เวทนา จิต ธรรม ถ้าดูกันเผิน ๆ จะเข้าใจว่า ยากมาก มีตั้ง ๔ อย่าง ทำอย่างไรจึงจะกำหนดได้ทั้งหมด ตามความเป็นจริงธรรมของพระพุทธเจ้าที่พระองค์ทรงแสดงไว้แล้วนั้น แสดงไว้ให้พวกเราพากันดำเนินตาม

    <DD>และถ้าธรรมเหล่านั้น มนุษย์เช่นเราดำเนินตามไม่ได้แล้ว ธรรมของพระพุทธเจ้าก็เป็นสักแต่ว่าธรรมเท่านั้น จะไม่มีผลเป็น นิยยานิกะ คือ นำสัตว์ให้พ้นไปจากทุกข์ได้ แต่ผู้ที่ดำเนินตามทางที่พระองค์ทรงแสดงนี้ ได้ถึงความพ้นทุกข์ไปได้แล้วมากมาย ย่อมเป็นพยานให้เห็นได้ว่า เป็นของไม่เหลือวิสัยแน่นอน

    <DD>และผู้ที่อยากจะพ้นทุกข์นั้นก็ต้องดำเนินตามทางอันนี้เช่นเดียวกัน เพราะเป็นทางสายเดียวและสายเอกเท่านั้นจึงอย่าไปท้อถอยเลยเพราะมีทางเดียว ฐานทั้ง ๔ คือ กาย เวทนา จิต ธรรม เป็นของต่อเนื่องถึงกันเป็นลำดับ ไม่ใช่เป็นของที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยว

    <DD>ซึ่งตามความจริงปรากฏแน่ชัด เมื่อรู้กายแล้วก็จักรู้เวทนา รู้เวทนาแล้ว ก็จักรู้จิต รู้จิตแล้วก็รู้จักธรรมฐานทั้ง ๔ นี้ละเอียดขึ้น ๆ เป็นลำดับ ส่วนกายเป็นส่วนที่หยาบกว่าเพื่อน และเห็นได้ง่าย จึงจัดเอาไว้เป็นต้นทางของการเจริญสติปัฎฐาน

    <DD>ถ้าเรารู้จักฐานทั้ง ๔ ได้โดยพร้อมมูลในขณะเดียวกันนับว่าประเสริฐมาก และเป็นตามความจริงที่ว่า ฐานทั้งสี่รวมกันเป็น เอกายนมรรค คือ เป็นทางอันเดียว มิใช่ ๔ ทาง

    </DD>
    [/FONT]
     
  14. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,087

    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma]<DD>หัวใจ ก็นับว่าเป็นหลักสำคัญของการเจริญสติปัฎฐาน คือ หัวใจ (สติ) เป็นตัวกลางของการรู้ตามฐานทั้ง ๔

    <DD>๑. ว่าโดยกาย หัวใจก็จัดเป็นกายส่วนหนึ่ง
    <DD>๒. ว่าโดยเวทนา ใจก็เป็นผู้กำหนดรู้ ความเสวยอารมณ์ทั้งหมด
    <DD>๓. ว่าโดยจิต ใจก็เห็นเหตุของความนึกคิด
    <DD>๔. ว่าโดยธรรม ใจก็เป็นตัวตั้ง เป็นประธานของธรรม

    <DD>เพราะฉะนั้นหลักโดยย่อของการเจริญสติปัฎฐาน จึงมีแต่เพียงว่า “พึงกำหนดใจให้อยู่ที่ใจ” เท่านั้นเอง คือรู้แล้วก็ดับไปไม่ปรุงแต่ง เมื่อกำหนดอยู่ที่ใจได้ดีแล้ว ก็จักกำหนดรู้ กาย เวทนา จิต ธรรม ได้โดยถูกต้องและง่าย

    <DD>เพราะถ้าสติไม่ประกอบกับใจให้ดีเสียก่อนแล้ว การกำหนดในฐานต่าง ๆ คอ กาย เวทนา จิต ธรรม แต่ละอย่าง ๆ ทีละอาการ ก็พลอยเสียไปตามกันเพราะความตั้งมั่นของสติไม่มี เพราะถ้าไม่ทำใจให้อยู่ที่ใจก่อนจะไปหยิบเอาอย่างอื่นมาทำก่อน ประโยชน์ที่จะได้มานั้นไม่คุ้มกับเวลาที่ล่วงไป

    <DD>เพียงแต่การอบรมใจให้สงบ เป็นสมถะ ตามหลักของสติปัฎฐาน ก็ไม่ยากเย็นนัก ขณะใดเรากำหนด กาย เวทนา จิต ธรรม ได้ในขณะเดียวกัน ขณะนั้นใจก็ตั้งสงบมั่นเป็นสมมาสมาธิ คือ เป็นสมาธิที่ถูกต้อง กำจัดอภิชฌาและโทมนัส ได้โดยไม่ยาก

    </DD>
    [/FONT]
     
  15. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,087

    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma]<DD>การกำหนดฐาน ทั้ง ๔ ด้วยใจในขณะเดียวของสมถะ ก็คือ

    <DD>๑.รู้ว่าตนกำลังบำเพ็ญอยู่ด้วย อิริยาบถใด
    <DD>๒.เวลาเสวยเวทนาอะไรอยู่ ก็รู้
    <DD>๓.เวลานั้นจิตบริสุทธิ์ สงบ ก็รู้ว่าจิตบริสุทธิ์ สงบ
    <DD>๔.รู้ว่าตนมีจิตปราศจาก กามฉันทะ ก็รู้

    <DD>สมถะ ที่เป็นตามเช่นนี้ จัดว่าเป็นสมถะชั้นเอก เพราะมีความเข้มแข็งเตรียมพร้อม เพื่อจะเข้าสู่สนามรบ คือ ทำสงครามกับกิเลส และค้นคว้าหาข้าศึกที่แอบแฝงอยู่ในบริเวณของตน จึงต้องมีการเตรียมพลังอันสำคัญไว้ก่อน (คือสติที่มั่นคง)

    <DD>เนื่องจากสมถะที่ถูกอบรมเพื่อวิปัสสนา เมื่อการอบรมเพื่อสมถะเป็นไปโดยเรียบร้อยแล้ว ต่อจากนั้นก็ควรจะต้องค้นคว้าหาฐานทั้งสี่ให้เข้าใจชัดขึ้น ตามเหตุและผลที่เป็นจริง การรวบรวมกำลังใจ ที่เป็นองค์สมถะ คือ สงบรวมกันเป็นองค์เดียว ที่ฝึกฝนมา ให้มีอยู่เสมอตลอดเวลาของการค้นคว้าเหตุผลนั้นตามความเป็นจริง

    <DD>เพราะเมื่อจิตมีกำลังมาก การค้นคว้าก็ย่อมไม่รู้สึกลำบาก และย่อมเป็นเหตุให้ค้นคว้าหาเหตุผลที่เป็นจริงได้โดยไม่เคลื่อนคลาดจากความจริง

    </DD>
    [/FONT]
     
  16. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,087

    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma]<DD>หลักของความจริงที่จะต้องค้นคว้า ให้ประจักษ์ชัดแก่ใจมีอยู่เพียง ๓ ประการ คือ
    <DD>๑. สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา สังขารทั้งหมดไม่เที่ยง
    <DD>๒. สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา สังขารทั้งหมดเป็นทุกข์
    <DD>๓. สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งหมดเป็นอนัตตา

    <DD>การค้นคว้าเป็นกิจสำคัญอย่างยิ่ง ผู้ค้นคว้าจะต้องมีความเพียรด้วยขันติอันมั่นคง จึงจะสามารถเข้าใจในลักษณะทั้งสามประการได้อย่างชัดเจน กายเป็นส่วนที่จะต้องถูกค้นก่อนฐานใด ๆ ทั้งหมด เพราะเป็นส่วนหยาบที่ปกปิดส่วนละเอียดเอาไว้ เพ่งให้รู้ชัดว่า กายนี้มีความเกิดขึ้นแล้ว ก็จักมีความดับไปเป็นที่สุด แล้วพึงกำหนดใจให้เป็นเครื่องบังคับกายนั้นว่า ไม่มีเรา ไม่มีของ ๆ เรา เพราะที่สุดก็ถูกทำลายไป

    <DD>เมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็จักพิจารณาเห็นฐานอื่นๆ ที่เหลืออยู่ คือ เวทนา จิต ธรรม ตามลำดับ โดยมีความเข้าใจถูกว่า แม้สิ่งต่าง ๆ ที่เหลืออยู่เหล่านี้ ก็มีความดับไปเป็นธรรมดา จนประจักษ์ชัดว่าดับไปจริง ไม่มีอะไรเหลืออยู่และเกิดความรู้ขึ้นในธรรมเหล่านั้นว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับไปเป็นธรรมดา

    <DD>เมื่อปัญญาเข้าใจถูกเช่นนั้น ปัญญาจึงรู้ชัดลงไปว่า สิ่งทั้งหมดไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ไม่ว่าจะเป็นส่วนที่ล่วงมาแล้ว หรือปัจจุบันหรือยังมาไม่ถึง หรือว่าจะโดยสามัญลักษณะก็คือ สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน

    </DD>
    [/FONT]
     
  17. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,087

    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma]<DD>ฐานทั้ง ๔ เหล่านั้น กายเป็นส่วนรูปขันธ์ เวทนา จิตเป็นส่วนนามขันธ์ รวม กาย เวทนา จิต เข้าด้วยกัน เป็นส่วนธรรมขันธ์ จึงเกิดนิวรณ์ ๔ ขึ้นในธรรมนี้ เมื่อพิจารณาดูให้แน่ชัดด้วยใจแล้ว ก็จะเห็นได้คือ นิวรณ์ ๔ นั้น เกิดขึ้นมาครอบงำจิตก็เพราะ ความไม่รู้เท่าทันฐานทั้งสาม คือ กาย เวทนา จิต

    <DD>แต่ถ้าเราพิจารณาสิ่งเหล่านี้ออกให้ประจักษ์ แล้วรู้เท่าทันตามความเป็นจริง นิวรณ์ก็ไม่มี เพราะความจริงนั้นก็คือ กาย เวทนา จิต ตามธรรมดา เป็นที่ประชุมเกิดนิวรณ์ นิวรณ์ แปลว่า เครื่องห้าม ถ้าเราไม่รู้ กาย เวทนา จิต อย่างแน่ชัด ก็เป็นเครื่องห้ามอยู่ดี เพราะเมื่อไม่รู้ก็หลง หลงตามกาย ตามเวทนา ตามจิต เป็นบ่อเกิดของความฉิบหายจากความดี ความเป็นจริงกั้นจิตมิให้บรรลุความดีได้

    <DD>เมื่อเราแยกกายออกพิจารณาให้เห็นชัด ก็จักเห็นเวทนา เมื่อเห็นเวทนาแล้ว ก็จักเห็นจิตเมื่อความเห็นในฐานทั้งสาม คือ กาย เวทนา จิต บริสุทธิ์ดีแล้วก็เห็นธรรมได้โดยง่าย

    <DD>คำว่าเห็นธรรมนั้นพูดได้ ๒ นัย นัยหนึ่งเห็นว่าฐานทั้งสามเป็นธรรม เครื่องห้ามในเมื่อไม่รู้เท่าทัน อีกนัยหนึ่ง คำว่า ธรรม แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ

    <DD>๑.สังขตธรรม คือธรรมที่เป็นไปด้วยความปรุงแต่ง
    <DD>๒.อสังขตธรรม คือธรรมที่ไม่ต้องการความปรุงแต่ง

    <DD>กาย เวทนา จิต เป็นสังขตธรรม เพราะเป็นสิ่งที่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง เมื่อเห็นสังขตธรรม แล้วก็จะเห็น อสังขตธรรม โดยธรรมทั้งสองนี้บังคับอยู่ในตัว

    <DD>เมื่อทำลายสังขตธรรมปรากฏแก่ปัญญาจักษุแล้ว ก็เท่ากับเปิดประตูของอสังขตธรรมด้วย ฉะนั้นคำว่า เห็นธรรม ก็คือเห็นทั้ง สังขตธรรม และอสังขตธรรม

    <CENTER>[​IMG]

    </DD>
    </CENTER>[/FONT]
     
  18. tassanai_k

    tassanai_k เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,518
    โมทนา สาธุ
     
  19. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,087
    <TABLE cellSpacing=2 cellPadding=0 width="80%" align=center bgColor=#ff99cc border=2><TBODY><TR><TD bgColor=white>

    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma]<CENTER>หนัก

    เมื่อกำเนิดเกิดกาลคืบคลานร่าง
    มีความทุกข์ไม่จางต้องโหยหา
    ทั้งความหิวกิ่วท้องร้องออกมา
    อีกอึดอัดนำพาให้ดิ้นรน

    ครั้นตั้งไข่ใช่ว่าจะกล้าแกร่ง
    ขาอ่อนแรงล้มกายลงหลายหน
    แบกน้ำหนักตั้งหลักอย่างทุกข์ทน
    แม้นเดินคล่องยังบ่นเมื่อยล้ากัน

    รูปขันธ์นั้นต้องบริหาร
    และต้องคอยบริการอย่างแข็งขัน
    อิริยาบถอาหารสารสำคัญ
    อากาศนั้นยอดยิ่งสิ่งจำเป็น

    นามขันธ์นั้นหนักกระอักกว่า
    เวทนาบ่อเกิดของความเข็ญ
    ทั้งสุขทุกข์มากมายหลายประเด็น
    ประดังเป็นเชื้อให้ใจอ่อนแอ

    เมื่อความสุขและทุกข์รุกรานจิต
    ความทรงจำพลาดผิดเพิ่มกระแส
    เป็นเรื่องราวตัวตนจนปรวนแปร
    หาทางแก้ยิ่งหลงไม่ตรงทาง

    เพราะประชุมกลุ่มนามสร้างความคิด
    ทั้งถูกผิดคิดรู้กู้สะสาง
    เป็นความเหนื่อยและหนักไม่พักวาง
    ใจไม่จางจากงานด่านอารมณ์

    เท้าทั้งสองใช่ประคองเพียงหนักร่าง
    ทุกเส้นทางแบกใจที่ไหม้ขม
    มีสุขน้อยทุกข์มากหลากระทม
    กว่าจะล้มเป็นซากลงฝากดิน

    แล้วกงกรรมก็นำไปเกิดใหม่
    หัดตั้งไข่ว่ายน้ำตามโผผิน
    เป็นส่ำสัตว์ใหญ่น้อยด้วยมลทิน
    แบกขันธ์ไม่จบสิ้นภาระกรรม

    คือชีวิตของผู้อยู่อย่างอยาก
    ความต้องการมีมากเกินจะขำ
    และยึดไว้ให้หนักไร้หลักธรรม
    แบกทุกข์เช้าจรดค่ำไม่เคยวาง

    <CENTER>[​IMG] </CENTER>


    </CENTER>[/FONT]</TD></TR><TR><TD>[FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma]โดย พี่ดอกแก้ว [/FONT]</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  20. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,087
    <TABLE cellSpacing=2 cellPadding=0 width="80%" align=center bgColor=#ff99cc border=2><TBODY><TR><TD bgColor=white>[FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma]

    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma]พระพุทธพจน์ท่านได้กล่าวไว้ว่า.. ภาราหเวปัญจขันธา ภาระหาโร จ บุคคโล ซึ่งทรงแสดงให้รู้ว่าชีวิตเรานี้เป็นของหนักยิ่ง

    ดูไปแล้วยากที่จะปลดวางของหนักเหล่านั้นได้ เพราะแต่ละคนต่างแบกภาระเหล่านี้มานานเป็นเส้นทางที่ยาวไกลมาแล้ว และยังไม่มีทางรู้ว่า จุดจบของเส้นทางที่แสนหนักนั้นจะมีจุดหมายกับเราเมื่อไหร่

    <CENTER>กรรมแท้ๆที่ทำให้ชีวิตเวียนวนเช่นนั้น </CENTER>

    แต่เราก็ยังสามารถมีทางที่ยุติกรรม ได้ ด้วยความรู้ความเข้าใจอย่างละเอียดถี่ถ้วน ในกระบวนการแห่งการเกิด และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับชีวิตว่ามีเหตุมาจากอะไร

    คงไม่ยากเกินไปหรอกนะคะ ถ้าเราเร่งเรียนให้รู้... เร่งดูให้เป็น และสร้างใจให้ศรัทธาในเส้นทางแห่งความพ้นทุกข์นั้น ความหนักแห่งชีวิตเราก็พิชิตได้แน่ค่ะ.

    <CENTER>[​IMG] [​IMG] [​IMG] </CENTER>

    [/FONT]
    [/FONT]</TD></TR><TR><TD>[FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma]โดย พี่ดอกแก้ว[/FONT]</TD></TR></TBODY></TABLE>
     

แชร์หน้านี้

Loading...