ทำไมคนบางคนตายแล้วจึงไปเกิดเป็น "เปรต" (พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก)

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย หัว-หอม, 26 กันยายน 2012.

  1. หัว-หอม

    หัว-หอม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    179
    ค่าพลัง:
    +1,547
    [​IMG]





    นานมาแล้วในเมืองสาวัตถี มีประชาชนเป็นจำนวนมาก ที่เป็นคนไม่มีศรัทธาต่อพระรัตนตรัย ไม่มีความเลื่อมใส พวกเขาเหล่านี้มีจิตถูกครอบงำด้วยความตระหนี่ถี่เหนียว หวงแหนสิ่งที่ตนมีอยู่ ไม่รู้จักแบ่งปันเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่คนอื่น




    ในขณะที่พวกเขามีชีวิตอยู่นั้น ไม่พากันทำบุญให้ทาน ไม่รู้จักสละทรัพย์สินเงินทองหรือสิ่งของช่วยเหลือคนอื่น ทั้งที่ตนเองมีทรัพย์สมบัติพอที่จะช่วยเหลือจุนเจือได้ เพราะจิตใจเต็มไปด้วยความตระหนี่ พวกเขาพากันดำเนินชีวิตอยู่ด้วยความตระหนี่ จนกระทั่งแก่ชราและตายจากโลกนี้ไปในที่สุด




    หลังจากที่ตายแล้ว ก็ไปเกิดเป็นเปรตอยู่ใกล้ๆเมืองสาวัตถีที่พวกเขาเคยอาศัยตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะผลกรรมคือความตระหนี่ที่พวกเขาสั่งสมไว้นั่นเอง




    เช้าวันหนึ่ง พระโมคคัลลานะได้เข้าไปบิณฑบาตในเมืองสาวัตถี ขณะที่กำลังเดินอยู่ ก็มองไปเห็นพวกเปรตซึ่งมีรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัวกลุ่มหนึ่ง จึงได้ถามพวกเปรตเหล่านั้นว่า เป็นใคร ทำไมจึงเปลือยกายและมีรูปร่างผิวพรรณน่าเกลียดน่ากลัว ซูบผอม เนื้อตัวสะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น เหลือแต่ซี่โครง และทำไมจึงมาอยู่ที่นี่




    เปรตจึงเล่าให้พระโมคคัลลานะฟังว่า พวกตนเป็นเปรต ได้รับแต่ความทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส เพราะเคยกระทำกรรมชั่วไว้มาก มีจิตใจชั่ว ไม่เคยให้ทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา ไม่มีความเลื่อมใสศรัทธาในพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เลย พากันทำแต่กรรมชั่ว หลังจากตายจากมนุษยโลกแล้ว จึงมาบังเกิดเป็นเปรต




    พระโมคคัลลานะได้ฟังแล้วจึงถามเพิ่มเติมว่า พวกเขาพากันทำความชั่วอะไรไว้ หรือทำชั่วด้วยกาย วาจา และใจอย่างไร ผลแห่งกรรมจึงส่งให้ต้องมาเกิดเป็นเปรต ได้รับแต่ความทุกข์ทรมาน




    พวกเปรตจึงได้เล่าเหตุแห่งกรรมชั่วที่ตนเองเคยกระทำไว้เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ว่า ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่นั้น ถึงแม้จะมีสมณพราหมณ์จำนวนมาก ที่เป็นเนื้อนาบุญ เป็นที่พึ่งอันยิ่งใหญ่ แต่พวกตนก็ไม่ได้ทำบุญกุศลอะไรไว้เลย ไม่เคยทำบุญให้ทานเลย แม้แต่เงินสักสลึงเดียวก็ไม่เคยบริจาค ถึงแม้ว่าจะพอมีทรัพย์สินเงินทองอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ชวนกันสร้างที่พึ่งไว้ให้กับตนเอง ไม่ได้สะสมเสบียงที่จะเดินทางต่อไปในชาติหน้าเลย




    เพราะเหตุที่ไม่เคยทำบุญกุศลอะไรไว้เลยตลอดชีวิต ทำให้ต้องมีแต่ความหิวกระหายน้ำแทบใจจะขาด มองเห็นแม่น้ำอยู่ข้างหน้าสายใหญ่ มีน้ำเอ่อล้นเต็มตลิ่ง แต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้แม่น้ำ กลับพบแต่ความว่างเปล่า ไม่มีน้ำแม้สักหยดเดียวให้ได้ดื่มกิน




    ในช่วงเวลาที่ร้อนจัดแดดจ้าก็ถูกแดดแผดเผา ร้อนจวนเจียนจะไหม้ ใจก็แทบขาด มองเห็นต้นไม้ชายคาที่มีร่มเงาอยู่ใกล้ๆ อยากจะเข้าไปพักอาศัย แต่เมื่อวิ่งเข้าไปหาร่มไม้เหล่านั้น ต้นไม้กลับหายไปหมด มีแต่ความร้อนระอุที่แผดเผาเพิ่มมากขึ้น




    เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีลมที่มีสีเหมือนกับไฟพัดผ่านมาแผดผาให้เร่าร้อนทุกข์ทรมานอยู่ตลอดเวลา ทั้งลมร้อน ทั้งแดดที่ร้อนระอุแผดเผาร่างกายอยู่อย่างนั้น ชีวิตจึงเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น




    นอกจากลมและแดดที่แผดเผาแล้ว พวกตนยังถูกความหิวแผดเผาให้ทุกข์ทรมาน หิวจนกระทั่งท้องกิ่ว พากันเดินทางไปแสวงหาอาหารตามที่ต่างๆมากมาย แต่ถึงจะเดินทางไปไกลหลายร้อยหลายพันโยชน์ ก็ไม่สามารถหาอาหารได้แม่แต่นิดเดียว จึงพากันเดินโซซัดโซเซกลับมาด้วยความหิวอย่างแสนสาหัส และสลบล้มลงที่พื้นดิน กลิ้งเกลือกดิ้นรนไปมาอย่างทุรนทุราย ต่างคนต่างเอาศีรษะชนหน้าอกกันและกัน ด้วยความทุกข์ทรมานจากความหิว




    "ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ถึงอย่างนั้นก็ตาม ก็เป็นการสมควรแล้วที่พวกข้าพเจ้าได้เสวยทุกข์ มีความกระหาย ความเร่าร้อน เป็นต้นเหล่านี้ รวมถึงทุกข์อย่างอื่นอันชั่วช้าหนักหน่วงทั้งหลาย เพราะเมื่อทรัพย์สินเงินทองมีอยู่ พวกข้าพเจ้าก็ไม่ได้ทำที่พึ่งแก่ตน ไม่ได้ทำบุญให้ทาน ไม่ได้สะสมบุญกุศลอะไรไว้ หากว่าพวกข้าพเจ้าหลุดพ้นจากผลกรรมนี้ไปแล้ว มีโอกาสได้ไปเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง พวกข้าพเจ้าจะทำแต่บุญกุศล ให้ทาน รักษาศีล และเจริญภาวนาอย่างเต็มที่แน่นอน"




    พระโมคคัลลานะได้ฟังเรื่องที่เปรตเล่าให้ฟังแล้ว ก็ได้นำมากราบทูลให้พระพุทธเจ้าทรงทราบ พระพุทธองค์จึงนำเรื่องนี้มาเป็นอุทาหรณ์แสดงธรรมแก่ชนทั้งหลาย ซึ่งเมื่อได้ฟังธรรมเรื่องนี้แล้ว ต่างก็สามารถละมลทินคือ ความตระหนี่ออกไปจากจิตใจได้ และเป็นผู้มีจิตใจอิ่มเอิบ เลื่อมใสศรัทธา ตั้งตนอยู่ในความดี รู้จักให้ทาน รักษาศีล เป็นต้น​




    ทำดี ได้ดี เป็นกฏเกณฑ์ตายตัว




    ในกรุงพาราณสี มีพ่อค้าน้ำผึ้งคนหนึ่งขายน้ำผึ้งเลี้ยงชีพ ณ เขาคันธมาทน์ มีพระปัจเจกพุทธเจ้าอาพาธเป็นวัณโรค พระปัจเจกพุทธเจ้ารูปอื่นจึงออกแสวงหาน้ำผึ้งเพื่อไปทำยา ระหว่างทางท่านพบกับหญิงกำลังตักน้ำจึงถามหาตลาดน้ำผึ้ง เมื่อท่านได้พบกับพ่อค้าที่ตลาด พ่อค้าก็ขอถวายน้ำผึ้งแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าจนเต็มบาตร​




    [​IMG]



    ด้วยกุศลที่ถวายน้ำผึ้งแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า เพื่อเอาไปทำยาแก้วัณโรค พ่อค้าน้ำผึ้งได้ไปเกิดเป็นพระราชาในเมืองปาตลีบุตร พระนามว่า "อโศก" (พระนามเต็มคือ พระเจ้าอโศกมหาราช) มีเทวดานำน้ำ ไม้สีฟัน มะขามป้อม และสมออันเป็นยา มาถวายพระราชาอยู่เป็นนิจศีล พวกนาคนำน้ำหอมทาสรงสนาน นำผ้าดอกมะลิ(ผ้าเนื้อละเอียดอ่อน) และยาหยอดตามาถวายทุกวัน นกแขกเต้านำเอาข้าวสาลีมาถวาย หนูมาช่วยเกล็ดข้าวเปลือกให้เป็นข้าวสาร(ไม่ปนแกลบและรำ) ไม่มีข้าวสารหักแม้แต่สักเมล็ด ผึ้งนำน้ำผึ้งมาถวาย หมีช่วยผ่าฟืน นกการเวกเปล่งเสียงร้องอันไพเราะจับใจ ทำพลีกรรมต่อพระราชา​


    อานิสงส์ของการถวายทานแด่ผู้มีศีลบริสุทธิ์ ย่อมมีผลมากดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตาม ธรรมทาน (การให้ธรรม) ย่อมมีผลมากกว่าอามิสทาน ดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแก่ท้าวสักกเทวราชว่า​



    " ธรรมทาน ย่อมชนะทานทั้งปวง
    รสแห่งธรรม ย่อมชนะรสทั้งปวง
    ความยินดีในธรรม ย่อมชนะความยินดีทั้งปวง
    ความสิ้นแห่งตัณหา ย่อมชนะทุกข์ทั้งปวง"




    [​IMG]


    สุขจากการให้และสุขจากการได้รับ

    บางคนอาจสงสัยว่า แล้วระหว่างผู้ให้กับผู้ได้รับ ใครจะมีความสุขมากกว่ากัน อันนี้คงต้องแล้วแต่ความรู้สึกของแต่ละฝ่าย ผู้ให้ย่อมต้องสบายใจและรู้สึกว่าได้บุญ คือรู้สึกมีความสุข บุญคือความสุขใจ บุญสำเร็จได้ด้วยใจ เมื่อทำบุญแล้วสบายใจก็ถือว่าได้บุญแล้วในกรณีนั้นๆ ยิ่งถ้าได้รู้ว่าสิ่งของที่ให้ไปนั้น ผู้รับชอบหรือได้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ก็จะยินดี​


    การให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน


    ในการให้นั้นอย่าไปหวังถึงผลตอบแทนที่จะได้กลับมา เพราะความสุขที่เกิดขึ้นจากการให้ที่แท้จริงนั้น เกิดขึ้นตั้งแต่เรามีเจตนาที่จะเริ่มให้แล้ว แต่ถ้าได้กลับมาก็ถือว่าเป็นผลพลอยได้เท่านั้น ดังนั้นขอเพียงเราตั้งเจตนาที่จะให้อย่างถูกต้องก็เพียงพอแล้ว​


    ความจริงการให้หรือการทำบุญนั้น เป็นอุบายอย่างหนึ่งขององค์พระศาสดาในการทำลายความยึดมั่นถือมั่น ถือตัวถือตน ผู้ให้ที่ไม่หวังผลตอบแทนจะเป็นฝ่ายได้รับบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ จึงไม่ควรลดทอนคุณค่าในการให้ด้วยอัตตา การให้ได้บุญกุศลตั้งแต่มีเจตนาที่จะให้แล้ว แต่ถูกลดทอนเพราะอกุศล จิตยึดติดในตัวตนนั่นเอง​


    ผู้รับปีติยินดีในความเสียสละของผู้ให้


    เรื่อง"การรับ"ของอาจารย์เกิดขึ้นเมื่อสมัยที่ออกธุดงค์ที่ญี่ปุ่นกับพระลูกศิษย์อีกรูปหนึ่ง วันหนึ่ง ขณะกำลังเดินอยู่นั้น ก็เจอกับกลุ่มเด็กเล็กๆไม่น่าจะเกินป.1 เพิ่งเลิกเรียนและกำลังเดินทางกลับ เด็กๆเห็นอาจารย์เข้าก็ถามว่าจะไปไหน อาจารย์ก็ตอบว่า "จะไปฮิโระชิมะ" เด็กๆก็ตกใจ เพราะระยะทางไกลมาก แล้วยังเดินทางด้วยเท้าอีก เด็กๆเหล่านั้นคงรู้สึกชอบและศรัทธาอาจารย์ จึงเดินทางตามไปกับอาจารย์ด้วย เดินจนมาถึงโบสถ์แห่งหนึ่ง จึงนั่งพักแล้วคุยกัน เด็กๆเทน้ำชาจากกระติกน้ำที่สะพายไปโรงเรียนมาถวายให้กับอาจารย์และลูกศิษย์ ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้อาจารย์ซาบซึ้งมาก เพราะเด็กเหล่านั้นยังเด็กมาก แต่ก็รู้จักการเสียสละ นี่เป็นตัวอย่างและประสบการณ์ของความสุขจากการได้รับของอาจารย์เอง​


    การได้รับ อีกเรื่องหนึ่งของอาจารย์เกิดขึ้นเมื่อตอนที่อาจารย์อยู่ที่ประเทศอินเดีย เป็นประเทศที่ได้ชื่อว่ายากจนมาก ไม่ค่อยจะมีการทำทานสักเท่าไร มีแต่โขมยเยอะมาก เช้านั้นอาจารย์กำลังนั่งรถไฟอยู่จึงไม่ได้บิณฑบาต ซึ่งก็คิดไว้แล้วว่าคงต้องอดข้าวอย่างแน่นอน แต่แล้วก็มีชายชาวอินเดียคนหนึ่งนั่งอยู่ที่ชั้นล่างของรถไฟ เขาเดินขึ้นมาหาอาจารย์และถวายผลฝรั่งให้ อาจารย์ก็มีความสุข ทำให้เกิดเป็นแรงบันดาลใจส่วนหนึ่งให้อาจารย์กลับไปตั้งโรงทานที่อินเดีย เพื่อช่วยเหลือให้คนยากไร้ได้อิ่มท้องเช่นกัน​


    จาคานุสสติ : การระลึกถึงทานที่ตนบริจาคแล้ว


    จาคานุสสติ คือ การระลึกถึงจาคะ ทานที่ตนได้บริจาคแล้ว และพิจารณาเห็นคุณธรรม คือความเผื่อแผ่เสียสละที่มีในตน ซึ่งเมื่อระลึกถึงเมื่อใดก็มีปีติสุขเกิดขึ้นเมื่อนั้น ยกตัวอย่างจากประวัติของอาจารย์เอง เมื่อครั้งที่อาจารย์ออกจากญี่ปุ่นเพื่อเริ่มค้นหาว่าชีวิตนี้คืออะไร อาจารย์ได้เดินทางไปยังประเทศต่างๆ จนเมื่อไปถึงประเทศเยอรมนีแล้ว เงินที่ติดตัวมาก็หมดลง จึงต้องทำงานเพื่อเก็บเงิน โดยเป็นลูกจ้างช่วยล้างถ้วยล้างจาน เมื่อเก็บเงินได้ประมาณ 3,000เหรียญ(ดอลลาร์สหรัฐฯ) จากนั้นอาจารย์จึงออกเดินทางท่องเที่ยวต่อ ในสมัยนั้น วัยรุ่นส่วนใหญ่ชอบไปท่องเที่ยวที่อินเดียเพราะประหยัด และใช้ชีวิตเป็นนักท่องเที่ยวได้นาน กินอาหารถูกๆ ถ้าเดินทางระยะสั้นๆ ก็อาจจะโบกรถหรือต่อรถหลายๆทอด ถ้าเดินทางไกล ก็อาจจะใช้เงิน 2-3 เหรียญ ซึ่งค่าเงิน 1 เหรียญ(ดอลลาร์) ในตอนนั้นก็ถือว่ามากเหมือนกัน และจากการไปท่องเที่ยวในอินเดียนี้เองที่ทำให้อาจารย์เกิดศรัทธาในพุทธศาสนา จึงตัดสินใจเดินทางมาบวชที่ประเทศไทย ตอนนั้นมีเงินเหลืออยู่ 1,000เหรียญ และก่อนบวชอาจารย์ก็สละเงินทั้งหมดนี้เพื่อสร้างโบสถ์ เมื่ออาจารย์นึกถึงการสละเงินในครั้งนั้นทีไร ก็เกิดปีติสุขขึ้นมาทุกครั้ง ​


    เข้าใจการให้ เข้าใจบุญ


    "บุญ" ภาษาธรรมดา คือ ความสบายใจ ความสุขใจ สำหรับคำว่าบุญ หรือ "ปุญญ" ตามตำราแปลว่า "ชำระ" คือทำให้หมดจดจากมลทินเครื่องเศร้าหมอง อันได้แก่ โลภะ โทสะ และโมหะ ความเข้าใจคำว่า บุญ และ ทาน ของชาวพุทธส่วนใหญ่ในปัจจุบันคับแคบลง รู้จักแต่การให้ทานอย่างเดียว และเข้าใจว่าการทำบุญนั้น เกี่ยวของกับวัดและพระเท่านั้น เช่นการทำบุญตักบาตร ถวายสังฆทาน ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า สละทรัพย์สร้างโบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ แต่อันที่จริงการทำบุญนั้นรวมไปถึงการให้ความช่วยเหลือแก่คน สัตว์ สิ่งแวดล้อม ที่ตกทุกข์ได้ยากด้วย ​


    อีกทั้งเรายังควรชักจูงเพื่อนสนิทมิตรสหายหรือบุคคล ให้ร่วมทำบุญและทำทานกันมากๆ กุศลผลบุญจะหนุนส่งให้เรามีเพื่อน มีมิตรที่ดี ไม่อ้างว้างโดดเดี่ยว ​



    [​IMG]



    การให้เป็นการสร้างบุญบารมี


    วิธีสร้างบุญบารมีในพระพุทธศาสนามีอยู่ 3 ขั้นตอน คือ การให้ทาน การถือศีล และการเจริญภาวนา การให้ทานหรือการทำทานนั้น เป็นการเริ่มต้นของการทำความดี เป็นการทำที่งายที่สุด ซึ่งชาวพุทธไม่ว่าจะรวยหรือจน คนดีหรือคนไม่ไดีก็สามารถทำได้ อีกทั้ง "ทาน" หรือการให้ ยังปรากฏอยู่ในทศพิธราชธรรม 10(ข้อบริจาค) อันเป็นคุณธรรมหลักสำคัญอีกข้อหนึ่งที่พระมหากษัตริย์ควรมี และมีอยู่ในบารมี 10 การสร้างบารมีของพระพุทธเจ้าอีกด้วย​


    มงคลสูงสุด 38 ประการ


    "ทาน" เป็นหนึ่งในมงคลสูงสุด 38 ประการ ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงเพื่อตอบข้อสงสัยของมนุษย์และเทวดา เป็นมงคลภายในที่เกิดจากการกระทำความดี ที่ทั้งมนุษย์และเทวดาสามารถปฏิบัติได้เอง โดยไม่ต้องไปอ้อนวอนกราบไหว้ขอมงคลจากสิ่งต่างๆนอกตัว​


    มงคลที่ 15 บำเพ็ญทาน


    "ทานัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง"

    การให้ เป็นอุดมมงคล


    ในหลวง : กับการให้


    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นตัวอย่างและเป็นแบบอย่างที่ชัดเจนของการปฏิบัติชอบ พระจริยวัตรและพระราชกรณียกิจในโครงการต่างๆล้วนมุ่งสร้างประโยชน์สุขแก่คนไทยทั้งผอง ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ตั้งมั่นอยู่ในทศพิธราชธรรม เป็นมหาราชผู้ปกครองแผ่นดินโดยธรรม เป็นในหลวงที่ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเพื่อประโยชน์สุขของส่วนรวมตลอดมานับตั้งแต่ทรงขึ้นครองราชย์ เป็นโชคดีของคนไทย ที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นเช่นนี้ ด้วยพระจริยวัตรและการทรงงานหนักเพื่อพสกนิกรของพระองค์นั้น เป็นที่ยอมรับและได้รับการสรรเสริญจากคนทั่วโลก จนได้รับยกย่องว่าเป็น King of Kings จากพระมหากษัตริย์นานาประเทศ แม้แต่ท่านดาไลลามะซึ่งเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณแห่งประเทศทิเบต ก็ยกย่องการอุทิศพระองค์เพื่อประโยชน์สุขผู้อื่นของในหลวงเช่นกัน​


    ครั้งหนึ่ง เคยมีนักข่าวถามท่านดาไลลามะว่า​


    "ท่านคิดว่าผู้ใดหรือใครที่เป็นตัวแทนของการอุทิศตนเพื่อผู้อื่น..."​


    ท่านดาไลลามะตอบว่า​


    "ถ้าเอาข้าพเจ้าเทียบกับคนผู้นี้ ข้าพเจ้าจะกลายเป็นแค่เด็กเพิ่งหัดเดินไปเลย กับสิ่งที่คนผู้นี้ทำให้กับคนของเขาด้วยความรักและศรัทธาอย่างเต็มเปี่ยม"


    นักข่าวถามต่อว่า​

    " คนผู้นี้คือใคร "​


    ท่านดาไลลามะตอบเพียงสั้นๆ ว่า " มหาราชาภูมิพล "



    [​IMG]


    ภาพในหลวงทรงฉลองพระบาทเป็นรองเท้าผ้าใบ และทรงพระดำเนินลุยน้ำมาตามทางรถไฟ เป็นระยะทางหลายกิโลเมตร และมีผู้ติดตามเพียงไม่กี่คน ในการทรงเยี่ยมราษฎรและหาทางแก้ปัญหาเนื่องจากปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพเมื่อปี พ.ศ.2538​



    [​IMG]


    มีคนเคยนำจำนวนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ มาหารด้วยจำนวนปีที่ทรงครองราช พบว่า "พระเจ้าอยู่หัวทรงคิดโครงการพระราชดำริ สัปดาห์ละ 5 โครงการ"​



    [​IMG]


    ผู้สื่อข่าวต่างประเทศคนหนึ่งได้ขอพระราชทานสัมภาษณ์ และได้กราบบังคมทูลถามว่า การที่เสด็จฯ เยี่ยมราษฎรและมีโครงการตามพระราชดำริเกิดขึ้นมากมายนั้นทรงหวังว่าจะให้คอมมิวนิสต์น้อยลงใช่หรือไม่ พระบาทสมเด็จพระอยู่หัว ทรงมีรับสั่งตอบว่ามิได้ทรงสนพระทัยว่าคอมมิวนิสต์จะน้อยลงหรือไม่แต่ทรงสนพระทัยว่าประชาชนของพระองค์จะหิวน้อยลง​


    ให้อะไรได้บ้าง


    ทานจักร 10 ประการ หรือการบำเพ็ญทาน 10 ประการ ได้แก่​


    1.ให้ทานด้วยทรัพย์สินเงินทอง​

    2.ให้ทานด้วยสายตาที่เมตตาปราณี​

    3.ให้ทานด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส​

    4.ให้ทานด้วยวาจาที่ไพเราะน่าฟัง​

    5.ให้ทานด้วยแรงงานช่วยเหลือผู้อื่น​

    6.ให้ทานด้วยการอนุโมทนายินดีเมื่อผู้อื่นทำดี​

    7.ให้ทานด้วยการให้อาสนะ (ที่นั่ง)​

    8.ให้ทานด้วยการให้ที่พักอันสะดวกสบาย​

    9.ให้ทานด้วยการให้อภัย​

    10.ให้ทานด้วยการให้ธรรมะ​



    บทความจากหนังสือ "ธรรมให้สุขใจ"ของ พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก

    [​IMG]
    <!--end--end--end-->
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 108839893.jpg
      108839893.jpg
      ขนาดไฟล์:
      31.1 KB
      เปิดดู:
      763
    • 108841219.jpg
      108841219.jpg
      ขนาดไฟล์:
      51.1 KB
      เปิดดู:
      893
    • 108841524.jpg
      108841524.jpg
      ขนาดไฟล์:
      218.8 KB
      เปิดดู:
      1,018
    • 108844486.jpg
      108844486.jpg
      ขนาดไฟล์:
      112.7 KB
      เปิดดู:
      891
    • 108843753.jpg
      108843753.jpg
      ขนาดไฟล์:
      58 KB
      เปิดดู:
      738
    • 108843882.jpg
      108843882.jpg
      ขนาดไฟล์:
      62.3 KB
      เปิดดู:
      741
    • 108844007.jpg
      108844007.jpg
      ขนาดไฟล์:
      55.4 KB
      เปิดดู:
      737
    • 108842475.jpg
      108842475.jpg
      ขนาดไฟล์:
      63.3 KB
      เปิดดู:
      835
  2. datchanee

    datchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,947
    ค่าพลัง:
    +1,276
    สาธุในความดีทังหมดทั้งสิ้นที่หลวงพ่อทำมาในพระพุทธศาสนาค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...