ทำอย่างไรให้ลูกๆ (กุมาร-รัยม) มีฤทธิ์เยอะๆ แนะนำกันครับ

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย anbang, 23 พฤษภาคม 2008.

แท็ก: แก้ไข
  1. anbang

    anbang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +396
    เท่าที่ได้ยินมา.............

    กุมาร รักยม ฯ คือวิญญาณที่อยู่ในภพที่สูงกว่าสัมพเวสีทั่วไป (วิญญญาณเร่ร่อน) แต่ไม่ถึงขั้นรุกขเทวดา เทวดาหรือ เทพ ในภพภูมิที่สูงกว่า

    เพราะเป็นดวงวิญญาณที่มีกรรมบางอย่างทำให้หลังจากตายแล้วได้มีการเปลี่ยนภพภูมิมาอยู่ในภพภูมิของกุมารทอง(วิญญาณเด็กที่ต้องบำเพ็ญบารมีก่อนที่จะเปลี่ยนภพภูมิใหม่ หรือรอเกิดใหม่)
    การที่เกิดอยุ่ในภพนี้ ต้องรอคอยมนุษย์มารับเลี้ยง หรือเรียกอีกแบบว่า
    คอยคนที่มีกรรมผูกพันธ์ เพื่ออาศัยมนุษย์เพิ่มแรงบุญ เพิ่มบารมี (มากน้อยไม่เท่ากันเพราะกรรมของแต่ละดวงวิญญาณไม่เท่ากัน)

    กุมาร บางตนมีฤทธิ์ บางตนไม่มีฤทธิ์
    การมีฤทธิ์มากหรือน้อยขึ้นอยู่กำลังบุญดั้งเดิมที่เค้าทำมา
    และการกำกับของอาจารย์ ท่านต่างๆ เพิ่ม
    การขัดเกลาจิต การอฐิฐานจิต การแผ่บุญกุศุลของอาจารย์แต่ละท่าน
    แต่ละสำนัก แต่ละวัด อาจทำให้กุมารมีฤทธิ์เพิ่มขึ้นได้อีก

    การที่เรารับกุมารมาเลี้ยงเป็นลูก หรือมีโอกาสรับกุมารมาเลี้ยง

    นั่นคือการการเปิดโอกาสทั้งเราเอง และกุมารในการสร้างบามี สร้างบุญ
    มีแต่ได้ไม่มีเสีย (หลายคนกลัวว่าเอากุมารมาเลี้ยงแล้ว ถ้าเลี้ยงไม่ดีจะเกิดเหตุร้าย นั่นไม่เป็นความจริง เหตุร้ายต่างๆ ไม่ใช่เพราะกุมารทำให้เกิดขึ้น กุมารไม่มีฤทธิ์ขนาดนั้น ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะกรรมของแต่ละคนต่างหาก คิดให้ดี เรารับเค้ามาเลี้ยง เราไม่ทำบุญ ไม่สร้างบารมี กรรมก็วิ่งตามเราทัน กุมารที่เรานำมาเลี้ยงไม่มีแรงบุญจากเรา เค้าจะเอาอิทธิฤทธิ์ที่ไหนมาช่วยเรา)

    ความเชื่อที่ว่ากุมารจะทำให้เราเกิดเรื่องร้ายๆ ได้ถ้าเราเลี้ยงไม่ดี นั้นไม่จริง เพราะการที่วิญญาณนั้นเกิดมาในภพภูมิของกุมาร ไมได้ไปเกิดในภพภมิที่ดีกว่า หรือไม่มีโอกาสได้เกิดเป็นมนุษย์นั้นแย่พอแล้ว กุมารเองคงไม่อยากสร้างกรรมเพิ่มขึ้นอีกหรอกครับ แค่นี้กุมารก็ลำบากพอแล้ว เพราะจะเป็นเทวดาก็เป็นไม่ได้ เป็นรุขเทวดาก็เป็นไม่ได้ ต้องคอยแรงบุญจากคนที่ดูแลอย่างเดียว ซึ่งมีน้อยคนที่นึกถึงและอุทิศให้

    ไม่ว่าจะเป็นเทพ เทวดา รุกขเทวดา สัมพเวสี แม้แต่กุมารเอง มีวิธีและขั้นตอนการได้บุญหรือการสร้างบารมีต่างกัน มีขอบเขตเป็นข้อกำหนดต่างกัน

    กุมารเองเช่นกัน การบำเพ็ญบารมี สร้างบุญกุศลเพื่อให้ได้เปลี่ยนภพภูมินั้น ต้องอาศัยมนุษย์ที่รับเค้าเป็นลูก ทำให้ทางอ้อมทางเดียวครับ ไม่มีทางอื่นๆ

    วิธีที่ทำให้กุมารได้รับบุญกุศล และได้บำเพ็ญบารมีนั้นคล้ายกับเทวดาคือ

    1. การร่ามอนุโมทนาบุญกุศลกับพ่อแม่ เวลาพ่อแม่ทำบุญ
    2. การร่วมสวดฟังสวดมนต์ที่พ่อแม่สวดให้ฟัง (ควรจะเรียกกุมารมาร่วมสวดทุกครั้ง)

    **การสวดมนต์บางบท วิญญาญบางดวงฟังไม่ได้ หรือไม่ได้ยิน ทำให้ไม่ได้บุญจากการสวดมนต์นั้น เพราะไม่มีฤทธิ์พอ ฉะนั้นก่อนสวดควรจะอธิฐานจิตขออนุญาติสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ให้กุมารของเรามาร่วมฟังหรือร่วมสวดก่อนทุกครั้งด้วย

    3.การทำสมาธิ(ของพ่อแม่)แล้วแผ่บารมี แผ่กุศลมาให้เค้า
    4.การรับกุศล ผลบุญที่พ่อแม่อุทิศให้ หลังจากการทำบุญหากเรียกมารับผลบุญ

    **จำไว้ว่าถ้าบุญใดกุศลใดที่เราไม่เรียกกุมารมาร่วมอนุโมทนาบุญ ไม่เรียก ไม่อนุญาต ไม่ได้ขออนุญาต ไม่อุทิศเรียกกุมารมารับ กุมารก็ไม่ได้นะครับ เค้าไม่ใช่เทวดาชั้นสูงที่สามารถร่วมอนุโมทนาบุญกับเราได้ทุกอย่าง**

    การให้อาหารหยาบ การให้ของเล่น เสื้อผ้า เป็นแค่กุศลบาย ให้เราระลึกว่าเค้ายังมีกิเลส อยากได้ อยากกิน ไม่ต่างการเราครับ มีให้บ้างตามกำลัง ไม่มีอะไรตายตัว ลูกเราทั้งคนได้มีโอกาสสร้างบารมีด้วยกันแล้ว ซื้อให้กิน ให้เล่นบ้างไม่ลำบากหรอกครับ เค้าก็แค่เด็กครับ

    ฤทธิ์ของกุมาร จะมากน้อย ขึ้นอยู่กับบุญของเราที่ทำมานะครับ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับของรางวัลของของขวัญบนบาน วันๆ ไม่ทำไร บุญทานไม่เคยทำ คิดแต่จะบนบานศาลกล่าว ขอโน่นขอนี่ ไม่คิดให้ ไม่บำเพ็ญทานบารมี

    บุญเก่าใช้หมด ก็จำลำบาก กุมารเนรมิตรให้ไม่ได้ครับทุกอย่าง

    บุญเยอะ บารมีเยอะ สะสมไว้มาก ตั้งแต่อดีตชาติ จนปัจจบัน

    อยากได้อะไร อยากมีอะไร มันก็ได้ง่ายๆ

    เพราะกรรมน้อย บุญเยอะๆ สมหวังตลอด

    กรรมและเรื่องไม่ดีต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเราเกิดจากเจ้ากรรมนายเวร ที่เราเคยไปทำร้ายไว้กับเค้า ทำไม่ดีไว้กับเค้า เค้าเลยมาทวงเอากับเรา ไม่ช้าก็เร็ว

    เช่นเดียวกัน กุมารเรารับเค้ามาเราต้องเลี้ยงเค้าให้ดีตามกำลังของเรา เอาเค้ามาทิ้งมาขว้าง มาเป็นแค่ก้อนดินก้อนหิน เค้ามีดวงวิญญาณไม่ใช่พระพุทธที่มีเทวดามารักษา เอาเค้ามาทิ้งมาข้างเค้าอาจกลายเป็นเจ้ากรรมนายเวรเราแทนครับ (ไม่ทุกองค์ขึ้นอยู่กับที่มาของกุมารเอง ฉะนั้นต้องศึกษาให้ดีก่อนรับมาเลี้ยง ว่ากุมารที่เอามานั้นมาจากภพภูมิกุมารจริงๆ หรือแค่สัมพเวสี พรายแร่ร่อนที่คนเก่งคุณไสย อาคม บังคับกำกับมา ไม่ได้สมัครใจมาเป็น มไช่ออย่ารบหลู่ครับ) ที่มาของกุมารสำคัญมากนะครับอย่าคิด แค่ว่าแรง แค่ว่าขลัง ครับ


    **วิญญาณดี กินของดีๆ รับแต่บุญ ทำแต่ความดี มีขอบเขต มีศิลมีธรรม

    **วิญญาณร้าย กินแต่ของไม่ดี สร้างแต่กรรม ทำแต่ความเดือดร้อน


    มีอะไรเพิ่มเติมแนะนำได้ครับ ผิดพลาดอย่างไรอโหสิกรรมด้วยครับ ได้ยินมาก้มาเล่าต่อกันฟัง เพราะรู้ไม่มากเหมือนกัน คอยฟังคนที่รู้เยอะเมตตาแนะนำต่อครับ

    ขอบคุณครับ
     
  2. โยนกนาคบุรี

    โยนกนาคบุรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    263
    ค่าพลัง:
    +2,694
    1.เลี้ยงสำนักเดียวกันทีเดียว หรือไม่ควรหลายสำนัก เช่น มีของวัดสามง่ามก็ของวัดนี้ไปเลย 3-4 องค์และวัดอื่นอีกสัก 2 องค์
    (ไม่ใช่เลี้ยงวัดละองค์ เพราะบารมีอาจลดลงกันเพราะแต่ละที่มีการกำกับมาไม่เหมือนกัน)


    2.หมั่นใหอาจารย์ที่ท่านปลุกเสกขึ้นมาเจิม ไม่ใช่อาจารย์ที่ไหนก็เจิมได้ และร่วมทำบุญกับท่านหรือถเาเป็นฆราวาสควรไม่ลืมบุญคุณ
    (สรุปคืออยากลืมบุญคุณ)

    3.ลองสอบถามคนที่เชี่ยวชาญ(เพราะบางองค์มีกฎตายตัว) เช่น ถวายข้าวทุกวันถ้าเราไม่ถวายฤทธิ์ก็ลดลงกุมารบางประเภทที่ทานอาหารหยาบก็ควรมี ถ้าเลี่ยงความเสื่อมของเครื่องรางก็มี อย่าสักฟังแต่คนอื่นว่าไม่เป็นไร

    4.หมั่นทำบุญตักบาตร ถวายอาหารให้กับกุมารให้มีจำนวนเท่ากับกุมาร
    5.รักษาศีล นั่งสมาธิแผ่บุญกุศลให้เขา หมั่นท่องคาถาที่ติดเขามาวันละ 3 จบเป็นอย่างน้อย

    6.เมื่อเจอเด็กขอทาน เมื่อเจอเด็กยากไร้ ควรทำบุญบริจาคตามกำลังทรัพย์

    7.ไม่ควรพูดจาหยอกล้อ หรือล้อเลียนเครื่องรางสายจิตวิญญาณ เพราะสิ่งเหล่านี้ เราไม่สามารถมองเห็นได้

    8.สังเกตุ เพื่อนเล่นของกุมาร รักยม ต้องเป็นพวกเครื่องรางสายจิตวิญญาณ เช่นกสาริกา ควายธนู ปลาตะเพียน จิ้งจก(ไม่รู้ว่าเล่นไหม)ไก่ฟ้า
    (ส่วนมากอาจารย์เจ้าของกุมาร รักยม เครื่องรางสายนี้จะทำออกมาพร้อม ๆ กัน หรือถ้าไม่มีก็สามารถให้อาจารย์เหล่านี้ปลุกเสกได้)
    (ถ้าจิตเราคิดอกุศล อาฆาต หรือกุมาร หรือเครื่องรางสายนี้ฤทธิ์จะลดลง เศร้ามอง)


    แม้เขามาสร้างบารมีและกุศลกับเรา สิ่งเหล่าเป็นเทพ เป็นเหมือนเทวดา ถ้าเรามีอกุศลหรือถ้าเราประพฤติผิดในศีลธรรม บารมีหรือฤทธิ์ของเขาจะลดลงมากกว่าเรา อาจจะครึ่งหนึ่ง แต่เรามีเพียงแค่คำว่าบาป ติดในใจไม่รู้จะเจอวันไหน
     
  3. มหา

    มหา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    827
    ค่าพลัง:
    +974
    "3.ลองสอบถามคนที่เชี่ยวชาญ(เพราะบางองค์มีกฎตายตัว) เช่น ถวายข้าวทุกวันถ้าเราไม่ถวายฤทธิ์ก็ลดลงกุมารบางประเภทที่ทานอาหารหยาบก็ควรมี ถ้าเลี่ยงความเสื่อมของเครื่องรางก็มี อย่าสักฟังแต่คนอื่นว่าไม่เป็นไร........" ยังทานอาหารหยาบอยู่ แสดงว่ายังเป็นสัมภเวสี ควรให้สังฆทานเจาะจงกับเค้าห้ามให้คนอื่น แบบหลวงพ่อฤาษี ท่านสอน ให้สังฆทานแก่สัมภเวสี

    "8.สังเกตุ เพื่อนเล่นของกุมาร รักยม ต้องเป็นพวกเครื่องรางสายจิตวิญญาณ เช่นกสาริกา ควายธนู ปลาตะเพียน จิ้งจก(ไม่รู้ว่าเล่นไหม)ไก่ฟ้า " อันนี้ไม่น่าจะจริง เพราะ พวกที่เป็นนกสาริกานี้ มักเป็นเทวดาหรือวิญญานมาแสดงฤทธิ์ตามที่เกจิครูบาท่านอธิษฐานเสกไว้ หากเป็นเทวดาท่านก็อยู่กะเทวดา เป็นวิญญานเค้าก็อยู่กะวิญญาน เอามารวม ไว้ ควรแยกไว้เป็นสัดส่วนดีกว่า
    "
    (ส่วนมากอาจารย์เจ้าของกุมาร รักยม เครื่องรางสายนี้จะทำออกมาพร้อม ๆ กัน หรือถ้าไม่มีก็สามารถให้อาจารย์เหล่านี้ปลุกเสกได้) " แล้วแต่ครูบาท่านเรียนมาขอรับ บางองค์บางท่านเก่ง ทุกอยาง ครอบจักรวาล อันนี้ได้ บางท่านเก่งกุมารทอง เอาจิ้งจกมาให้ท่านเสก บางท่านเรียนเวทมนต์มา ไม่ได้เรียนด้านเสกจิ้งจก ส่ายหน้าไม่รู้ก็มี บางท่านไม่เรียนแต่มีคาถาเดียว เสกคาถาเดียวเด่นด้านนั้นด้านเดีญวแต่อธิษฐานหลายด้าน ก็ใช้ได้ แต่จิ้งจกจะไม่เป็นจิ้งจกเฉพาะตัว อาจจะเป็นแสดงตัวอีกแบบ
    "(ถ้าจิตเราคิดอกุศล อาฆาต หรือกุมาร หรือเครื่องรางสายนี้ฤทธิ์จะลดลง เศร้ามอง) "เครื่องรางไม่เสื่อมครับ แต่จิตที่อยู่กะเครื่องราง รู้ว่าหมอนั่ไม่ดี ไม่อยากคบจะพยายามหลีกหนี บางทีก็ไม่ช่วย และที่เสื่อมก็คือใจเราเองน่ะที่เสื่อม
     
  4. anbang

    anbang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +396
    ภพภูมิและการเปลี่ยนภพภูมิและเรื่องราวต่างๆ
    เกี่ยวกับโลกของวิญญาณ

    "การตายในทางธรรม" หมายถึงการตายทางด้านจิตใจหรือจิตวิญญาณ
    คือละความยึดมั่นถือมั่นในอัตตาตัวตนได้อย่างเด็ดขาด....

    บางส่วน...ยกเอามาให้อ่านกันครับ
    ขออนุญาต ขอโอกาสอีกที กันสับสน

    http://www.kalyanamitra.org/daily/d...=com_content&task=view&id=366&Itemid=99999999

    ว่าด้วยการบำเพ็ญบารมี อุทิศให้ได้ในสรรพสัตว์ไม่มีประมาณ
    ไม่มีที่สิ้นสุด และไม่มีขอบเขต

    ยกเอามาให้อ่านอีกนิด...

    การอุทิศบุญกุศลนั้นเพื่อแบ่งปันผลความดีที่เราได้ทำไปให้กับผู้อื่น

    หากเป็นคนมีชีวิตก็ควรบอกเขาด้วยวาจา
    หากเขาตายไปในภพต่ำ เป็นเปรต ปิศาจ พวกนี้ต้องดับความทรมาน ดับห่วงกังวลเขาก่อน เช่นบางพวกทรมานด้วยความหิวก็ทำอาหารอุทิศให้ เขาก็จะรับผลบุญอันเป็นทิพย์มาในรูปอาหารได้รุสึกว่าได้กิน ได้อิ่ม ทั้ง ๆ ที่ไม่มีกายสังขารแล้ว มีแต่มโนสังขาร ปลดทุกข์อันเกิดจากผลแห่งบาปของเขาได้ เขาก็จะรับบุญอันเป็นทิพย์ในระดับที่สูงขึ้นได้

    การน้อมบุญให้เทวดา
    เทวดามีอาหารทิพย์อันประณีต เสื้อผ้าทิพย์อันประณีตไม่ได้อยากได้ของในโลกมนุษย์หรอกครับ ที่ท่านต้องการความดีที่จะสามารถทำให้เกิดสิ่งดี ๆ กับเรา ที่ท่านเห็นแล้วชื่นใจอานิสงส์ดี ๆ เกิดกับเราท่านได้เห็นท่านชื่นใจสาธุกับเราท่านได้บุญ ต่ออายุท่านได้

    เรื่องการอุทิศนี่เป็นเรื่องน่าแปลกใจ บุญที่เราทำขนาด น้ำหนักเท่า ๆ กัน แต่เวลาอุทิศกลับได้ไม่เท่ากัน แล้วแต่ความฉลาดของจิตวิญญาณ เราให้เท่ากันนะ แต่หากออกชื่อใคร ก็ดูเหมือนว่าเขาได้บุญมากกว่า

    ลองนึกว่าเราตายแล้วเป็นผีสิครับ เวลาเราไปรอรับเขาแจกบุญ เขากรวดน้ำ แผ่บุญไปทั่ว ๆ เราก็ได้รับแบบแบ่งส่วน แต่พอออกชื่อว่า ขอบุญนี้ให้นายนั่น นางสาวนี่ ใจเราอิ่มเอิบเหมือนคนได้หน้า หน้าบานเวลามีคนชม ทั้ง ๆ ที่บุญตัวเดียวกัน

    พอจะสังเกตเห็นไหมว่ากุญแจการน้อมบุญอุทิศ ถวาย คุณงามความดี บุญกุศลอยู่ที่ใด
    มานึกถึงความอิ่มของผู้รับบุญ เช่นเรื่องการใช้น้ำกรวดน้ำ

    เอาเรื่องอาหารมาอธิบาย ผีเนี่ยติดอุปทานกันเยอะเพราะมีความเป็นทิพย์มาก จิตติดว่าอย่างไรกายทิพย์ก็มักเป็นอย่างนี้น ติดว่าตายแบบแขนขาขาดก็ เป็นผีแขนขาขาด ติดว่าจมน้ำตายก็หนาวสั่น ตายในกองเพลิงก็มีไฟไหม้พุพอง น่าแปลกพวกนี้กลับเชื่อพิธีกรรม ในเหตุการณ์จริง หลายครั้งที่ผีตายไม่เคยถวายเสื้อผ้า ผ้าไตร เวลาตายก็ยังไม่มีเสื้อผ้าใส่ มาเข้าฝันบ้าง เข้าสิงคนบ้างขอเสื้อผ้า พออุทิศให้หลังจากถวายพระ เสื้อผ้าชุดสวยไปถึงเขาเลย ผลบุญความเป็นทิพย์นั้นส่งถึง จิตผีเกิดปิติ เปลี่ยนภพได้ทันที

    เรื่องอาหารที่ว่าเช่นผีชอบทานอะไร เราทำบุญอุทิศให้เขาอย่างนั้นชื่นใจกว่า เรื่องการกรวดน้ำปู่ย่าตายายชอบใช้น้ำกรวด เราก็ใช้น้ำกรวดให้ท่านไม่ติดใจได้บุญไปเต็ม ๆ ผีปู่ย่า ตายายบางท่าน ลูกหลานไม่ใช้น้ำก็ขัดใจมันไม่ยอมกรวดน้ำให้เรา ไม่มีสมาธิรับบุญอีก ขาดทุนเลยผีไม่มีการศึกษา

    การทำบุญเพื่อให้ผู้ตายพ้นจากความทุกข์จึงต้องอาศัยสิ่งที่เชื่อมใจเขากับบุญให้ได้มากที่สุดจึงจะยกระดับจิตให้เขาได้

    สำคัญที่สมาธิจิตของเราแน่วแน่แค่ไหน
    เรื่องสิ่งของที่ให้ หากให้สิ่งที่ให้ได้ยาก ประณีต บรรจงทำ ก็เป็นบุญใหญ่ชื่นใจมากก็ได้บุญเยอะ หากผู้รับมีคุณวิเศษมาก อำนาจจิต หรือความบริสุทธิ์ของท่านก็ส่งผลเช่นเดียวกันนะครับ วาจาอัศักดิ์สิทธิ์ของท่าน ย่อมทำให้ผู้ตายเชื่อว่าตนได้บุญมากกว่าปกติ


    เทวดานะรู้ว่าใครดี ไม่ดี ถ้าได้ทำบุญกับผู้ทรงคุณวิเศษมากกว่าจึงจะทำให้เทวดานางฟ้าอิ่มใจมากกว่า แม้ในอานิสงส์เดียวกัน

    เรื่องสังฆทานนั้นเป็นผลบุญมากมายมหาศาล พระพุทธองค์ยังตรัสไว้ว่าพรรณาไม่จบ บุญส่งผลเป็นลูกโซ่ เหมือนนิวเครีย บาปใช้แล้วก็จบ ๆ กันไป สังฆทานคือถวายแด่พระสงฆ์ที่มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน เราใจกว้างไม่เจาะจงผู้ใด อานิสงส์คือผลรวมความดีของพระรัตนตรัสทั้งสังฆมณฑล อย่าคิดว่าน้อยนะครับ

    ดังนั้นถ้าใจเราถึงจริง เวลาถวายสังฆทานให้ตั้งจิตต่อพระพุทธเจ้าท่ามกลางสงฆ์ทั้งหมดโดยมีหลวงปู่ หลวงพ่อ หลวงพี่เป็นตัวแทนรับ แล้วน้อมแผ่บุญ กุศล คุณความดีนั้นออกไปทั้งเจาะจงและไม่เจาะจง ไม่มีประมาณ ให้ทุกคนทุกท่านแม้เขาไม่ได้กำหนดจิตรับ

    แต่ถ้าประเภทมาเข้าฝัน เข้าสิงก็ให้เขาคนเดียวไปเต็ม ๆ ไม่ต้องตั้งโรงทานแจกบุญเผื่อใคร พิเศษเฉพาะคุณเท่านั้น อย่างนี้ผีที่มาขออิ่มครับ

    บุญกุศลเป็นยิ่งกว่าระเบิดนิวเคลียร์ นึกเมื่อไหร่ได้บุญเพิ่มเมื่อนั้น เวลาคิดถึงแฟนคิดเมื่อไหร่ รักเขามากขึ้นเมื่อนั้น ทีบุญไม่ยักกะนึกกัน

    เวลาเราทำบุญทุกกรณี หากได้กรวดน้ำเลย ผี เทวดา นางฟ้าเขาก็เห็นทันทียิ่งกว่าดูถ่ายทอดสด เวลาดูถ่ายทอดสดคอนเสริต กับมาร่วมงานเองมันเหมือนหรือต่างกันอย่างไร รยะเวลาการกรวดน้ำก็เป็นเหมือนกันครับ สด ๆ ร่วมบุญกันเดี๋ยวนั้นมันชื่นใจมากกว่า บอกผ่านคนอื่น แต่ถ้าลืมก็เอาเทปไปถ่ายทอดให้เขาดูใหม่ มันก็จะชื่นใจแต่ไม่เท่ากันได้เหมือนกันครับ เวลาดูเทปถ่ายทอดดูไฮไลท์ กับดูจบทั้งเรื่องก็ได้สาระไม่เท่ากัน คนอุทิศชื่นใจไม่เท่ากันการส่งผลก็ไม่เท่ากัน

    บุญอานิสงส์เดียวกัน ให้แต่ละเวลา โอกาสผู้รับได้ไม่เท่ากัน เหมือนการให้ดอกไม้โยนให้ ให้ด้วยมือ 1 มือ ให้ 2 มือแบบขอความรักสาว มอบแบบถวายสองมือถวายพระ ดอกไม้ดอกเดียวกันให้ความรู้สึกและคุณค่าที่ต่างกัน ให้ตอนบาน กับตอนโรยแล้วอะไรดีกว่าละครับ เวลาใดดอกไม้บุญเราบานมาก็ให้เวลานั้นได้ แต่ก็อย่าลืมพวกติดอุปาทาน ผีที่ทนทุกข์ถ้าเห็นของที่อยากได้ เห็นเรากรวดน้ำให้ ได้ใจเขาครับ เขารับบุญได้มากกว่าให้ตอนไม่เห็นของ แต่ก็ไม่จำเป็นเสมอไปนะครับ กรวดน้ำไปพูดบอกไปบางท่านก็ได้ ไม่เหมือนกัน

    หนังบางเรื่องมีเบื้องหลังที่ทำให้หนังดูมีคุณค่า น่าดูไปอีกแบบ ถ้าเรามีคำอธิบาย มีเรื่องอ้างอิงประกอบผลบุญ ผู้รับก็จะเนคุณค่าของบุญเรามากขึนได้ครับ อธิบายสมัยใหม่แบบนี้ไม่ทราบจะเข้าใจกันหรือเปล่า


    เอามาจากที่อื่นๆ มาให้อ่านกัน ผิดถูกอย่างไรก็อโหสิกรรมกัน
    เพราะมารู้น้อย อยากนำมาเล่าต่อให้คนรู้มากอธิบายต่อ

    ขอบคูณครับ

     
  5. anbang

    anbang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +396
    การอุทิศบุญกุศล ไม่ควรยึดติดในอัตตานะครับ

    http://www.thaimisc.com/freewebboard/php/vreply.php?user=dokgaew&topic=4989

    http://www.thaimisc.com/freewebboard/php/vreply.php?user=dokgaew&topic=4996

    http://www.thaimisc.com/freewebboard/php/vreply.php?user=dokgaew&topic=5026


    http://www.thaimisc.com/freewebboard/php/vreply.php?user=dokgaew&topic=5030

    ทำบุญแล้วอย่าหวังว่าจะได้อะไรตอบแทน

    การเลี้ยงใครควรเลี้ยงแบบแม่เลี้ยงลูก นั่นคือการให้ที่ไม่มีประมาณ

    ไม่มีขอบเขตครับ
     
  6. anbang

    anbang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +396
    ขอเสริมนิดนึงครับ .. เรื่องการอุทิศบุญกุศลครับ .. พระอาจารย์เกษม อาจิณณสีโล วัดป่าสามแยก จังหวัดเพชรบูรณ์ สอนว่า ..

    บุญอันเกิดจากการให้ทาน เมื่อถวายของแด่พระภิกษุสงฆ์ หรือให้ของแก่ใคร ไม่ว่าจะให้ของแก่พ่อแม่ พี่น้อง ญาติมิตร แม้เอาข้าวให้สุนัขกิน เอาอาหารโยนให้ปลากิน เอาเศษอาหารโปรยให้มดกิน ขณะนั้นจะเกิดกระแสบุญเป็นแสงเรืองรองแผ่ออกจากตัวผู้ให้ทันที และเพียงไม่กี่วินาที แสงนี้จะพุ่งหายขึ้นไปเบื้องบนแล้วสะสมเป็นกองบุญของผู้ให้อยู่บนเทวโลก

    ดังนั้นจึง ขอเน้นย้ำว่า หลักสำคัญที่สุดคือ ขณะของหลุดจากมือเมื่อใส่บาตร ถวายของพระสงฆ์ หรือให้ของแก่ใครก็ตาม <!--coloro:#FF0000--><!--/coloro-->เราต้องอธิษฐานจิตแผ่บุญทันที <!--colorc--><!--/colorc-->อย่ามัวไปรอแผ่บุญตอนพระสวด ยถาสัพพี เนื่องจากการแผ่ให้ตอนพระสวดยถาฯ อย่างที่เคยปฏิบัติกันมานั้นผิด เพราะกระแสบุญได้เลือนจากหายไปอยู่ในสวรรค์หมดแล้ว ต้องคิดแผ่บุญในทันทีทันใดว่า

    "บุญนี้จงเป็นของ ... (ระบุชื่อ)"

    <!--coloro:#FF0000--><!--/coloro-->บุญอันเกิดจากการภาวนา ให้อธิษฐานก่อนว่า "ขอบุญที่จะเกิดจากการภาวนาต่อไปนี้ถึงแก่เจ้ากรรมนายเวรที่ทำให้ข้าพเจ้าเจ็บป่วย (เป็นอะไร)" หรือ "ขอบุญที่จะเกิดจากการภาวนาต่อไปนี้ บังเกิดแก่ (จะให้ใครก็ให้อธิษฐานเอาเอง)" แล้วก็เริ่มภาวนาได้เลย หลังจากเลิกภาวนาก็ให้อุทิศบุญนี้ไปอีกครั้งหนึ่ง <!--colorc--><!--/colorc-->

    บุญที่เกิดจากการภาวนานี้ จะมีพลานุภาพแรงยิ่งกว่าบุญจากการให้ทานมาก ฉะนั้นพวกภูตผีชั้นต่ำมักรับไม่ค่อยได้ เราต้องเปิดช่องไว้ก่อนภาวนา เขาจะได้เตรียมรับตามกำลังความสามารถของตนเอง เพราะหากจะให้ตอนที่ภาวนาเสร็จแล้ว ก็เปรียบเหมือนเราปล่อยน้ำที่พุ่งจากท่อดับเพลิง แต่เขาเอาภาชนะที่ไม่เหมาะสมมารับ เขาจะรับไม่ได้ เนื่องจากกำลังจิตของเขาไม่แข็งแรงพอ หากเราอธิษฐานเปิดให้เขาเตรียมตัวไว้ก่อน ก็เหมือนเปิดก๊อกน้ำออกค่อย ๆ ใครภาชนะน้อยก็เอามาตวงรับตามกำลังที่มี แต่สำหรับเทวดาบุญหนักศักดิ์ใหญ่ ท่านสามารรับบุญใหญ่หลังภาวนาได้อยุ่แล้ว เปรียบเหมือนท่านมีโอ่งมีถังขนาดใหญ่สำหรับรองรับน้ำที่พุ่งออกจากท่อดับเพลิงนั่นเอง [​IMG]


    ขอบอกนิดหนึ่ง การเอ่ยชื่อกุมารของเราจะทำให้เค้าได้รับแบบได้หน้า
    หน้าบาน ยิ้มแป้น เพราะเราเรียกชื่อเค้ามารับแบบเจาะจงนั่นเอง

    ก่อนทำบุญคือการให้มาร่วมอนุโมทนาบุญกับเรา
    หลังทำบุญคือการเรียกให้มารับผลบุญที่ให้ทำให้

    การทำบุญที่ไม่ต้องลงทุนและได้บุญมาก คือ
    การนั่งสมาธิสงบจิตใจ แล้วแผ่ไปครับ ไม่ขอบเขตไม่มีกำหนด ไม่มีประมาณ

    การทำบุญอุทิศได้ไม่รู้จบ ไม่มีสิ้นสุด ครับ

    เช่นเดียวกับการถวายเครื่องสังเวยให้เทวดา

    เทวดามีเป็นล้านองค์ ไม่ได้มีแค่ 108 องค์ จัดสำรับตามกำลังเรา

    ใช้ใจเป็นเครื่องกำหนด ไม่ใช่สิ่งของมากน้อย

    ใจที่บริสุทธิ์ ต่างหากที่ทำให้ได้ (คิดอย่างไรก็วิเคาะห์กันเอง)

    ------------------
    เอามาจากที่อื่นๆ มาให้อ่านกัน ผิดถูกอย่างไรก็อโหสิกรรมกัน
    เพราะมารู้น้อย อยากนำมาเล่าต่อให้คนรู้มากอธิบายต่อ

    ขอบคุณครับ



    บุญ
     
  7. tigert11

    tigert11 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +2
    กระผมขออนุโมทนาบุญกับคุณanbang<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1226885", true); </SCRIPT> ด้วยนะครับ ที่นำความรู้มาเล่าสู่กันฟัง กระผมจะแนะนำเกี่ยวกับการเลี้ยงองค์กุมารคุณanbang<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1226885", true); </SCRIPT> ก็ได้โพสลงในกระทู้หมดแล้ว จึงไม่รู้ว่าจะพูดยังไงดี มีเพียงแต่คำว่าคุณanbang<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1226885", true); </SCRIPT> ไม่ธรรมดาครับ เท่าที่อ่านมาแสดงว่าคุณanbang<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1226885", true); </SCRIPT> ก็คงจะมีอะไรที่พอตัวแน่นอนนะครับ ขออนุโมทนาบุญนะครับ เอาไว้คราวหน้ากระผมจะมาแลกเปลี่ยนความรู้ด้วยคนครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤษภาคม 2008
  8. anbang

    anbang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +396
    อุทิศบุญกุศลให้เทวดาพระจำตัว

    อุทิศบุญกุศลกุมารประจำตัวเรา คงไม่ต่างกันครับ
    (วิเคาะห์กันไปตามแต่ใจจะคิดเอา ไม่ควรยึดติดในอัตตา)
    http://matiepoppy.multiply.com/journal/item/373

    การทำบุญ การอุทิศบุญ อุทิศกุศล นั้นพระท่านบอกว่าให้ได้ไม่จำกัด เพราะไม่ไม่รู้ว่าเราเกิดมาแล้วกี่ชาติกี่ภพ มีพ่อแม่มากี่คน มีญาติพี่น้อง มีลูก-หลานมากี่คน มีเจ้ากรรมนายเวรมากี่คน การเอ่ยชื่ออุทิศบุญกุศลให้กับคนที่เรารู้จัก และกับคนที่เราไม่รู้จักทำได้ตลอด ไม่มีกำหนด แต่บางครั้งกำลังของจิตเราเองต่างหากที่ส่งไปให้คนที่เราอุทิศให้ไม่ได้ บางครั้งมีข้อกำหนดมากมายเพราะบางที่การที่อยู่ในภพภูมิที่ต่างกัน (รายละเอียดมีมากมายหาอ่านกันนะครับ)

    การเอ่ยชื่อเรียกเค้ามารับบุญ คือการประกาศให้มารับได้ทันที เหมือนส่งของแบบมีที่อยู่จ่าหน้าชัดเจน

    แต่การอุทิศบุญกุศลนั้นมีข้อพิเศษอยากจะบอกว่า

    กำลังจิตของแต่ละคนไม่เท่ากัน อย่างผมเองคงไม่มีบารมีส่งบุญไปถึงได้ครบหมด จึงจำเป็นต่องเอ่ยของเมตตาจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คุณพระศรีรัตนตรัย เทพ เทวดา ดดยเฉพาะพระโพธิสัตว์กวนอิม(พระเมตตา) พระแม่ธรณี พระแม่คงคา ของบารมีท่าน ของเมตตาท่าน ส่งบุญต่อไปยังท่านทั้งหลายในโลกธาตุ อีกทีเพราะรู้ตัวว่าบารมีตัวเองคงทำไม่ได้

    ในทางกลับกัน การทำบุญ และการทำอะไรให้กุมาร ของเรา

    จำนวนกุมารไม่ใช่ตัวกำหนดจำนวนสำรับ หรือจำนวนครั้ง ใจของเราเองต่าง

    หากครับที่กำหนด แค่เราควรแยกว่าลำดับให้ดี

    เหมือนกับเวลาเราจัดสำรับถวายพระ ถวายเทวดา ถวายพระภูมิ (เสาเดียว)

    ถวายเจ้าที่-ผีบ้านผีเรือน (4 เสา) หรือตี้จู้เอี้ย

    กุมารเทพ กุมารพราย รักยม ผีพราย หุ่นพยนต์ ฯลฯ

    จัดแยกให้ชัดเจน ถวายของควรแยกสำรับตามสมควร

    แต่ละที่มากน้อยตามกำลังของเรา

    ไม่ใช่ตามจำนวนสิ่งศักดิ์สิทธิ์(อย่างเดียวกัน)ที่มีอยู่ในบ้าน

    เช่นมีพระพุทธ 5 องค์ ไม่ต้องจัด 5 ที่หรอครับ

    ยึดอัตตามาไป ไม่ดีหรอก ผมว่า (คิดเหมือนกันหรือเป่าไม่รู้)





    ---------------------------------------------------
    ผิดถูกอย่างไรก็อโหสิกรรมกัน
    เพราะมารู้น้อย อยากนำมาเล่าต่อให้คนรู้มากอธิบายต่อ

    ขอบคุณครับ
     
  9. โยนกนาคบุรี

    โยนกนาคบุรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    263
    ค่าพลัง:
    +2,694

    กระทู้แบบนี้ต้องไปห้องวิทยาศาสตร์อะ ศูนย์รวมคนมีพลังจิต, วิทยาศาสตร์ทางจิต, วิทยาศาสตร์มหัศจรรย์, เรื่องลึกลับ, สัมผัสที่หก, วิญญาณศาสตร์, UFO, ศาสตร์และประสบการณ์อันลี้ลับ, ศาสตร์แห่งปัญญาที่ล้ำเลิศ, ศาสนาและปรัชญา เพราะว่า เวปสโน่ว์เขาก็เลี้ยงกุมาร แถมมะพอมีคนตอบเยอะกว่าห้องนี้อีก http://palungjit.org/forumdisplay.php?f=2

    http://palungjit.org/forumdisplay.php?f=2

    เป็นอะไรที่ตื่นเต้นมาก ใครอยากจาแนะนำการเพิ่มบารมี เพิ่มฤทธิ์กุมารราย
    งานวิธีได้เลย อ๋อเอาแบบที่ตัวเองทำได้นะ ไม่ใช่ว่าอ้าง ๆ แล้วจริงทำมะได้
    เทคนิคใครเทคนิคมัน ลองเอามาแบ่งปันเพื่อเป็นทาน
     

แชร์หน้านี้

Loading...