ทำอย่างไรจึงจะปฏิบัติ ให้เกิด พละ คือกำลัง

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย telwada, 22 กุมภาพันธ์ 2012.

  1. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    ทำอย่างไรจึงจะปฏิบัติให้เกิด พละ คือ กำลัง
    พละหมายถึง กำลัง
    1.พละ ๕ คือธรรมอันเป็นกำลัง ซึ่งเป็นเครื่องเกื้อหนุนแก่อริยมรรค จัดอยู่ในจำพวกโพธิปักขิยธรรม มี ๕ คือ สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา; ดู
    อินทรีย์ ๕ ได้แก่ ความเป็นใหญ่, สภาพที่เป็นใหญ่ในกิจของตน, ธรรมที่เป็นเจ้าการในการทำหน้าที่อย่างหนึ่งๆ เช่น ตาเป็นใหญ่หรือเป็นเจ้าการในการเห็น หูเป็นใหญ่ในการได้ยิน ศรัทธาเป็นเจ้าการในการครอบงำเสียซึ่งความไร้ศรัทธาเป็นต้น 1) อินทรีย์ ๖ ได้แก่ อายตนะภายใน ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ 2) อินทรีย์ ๕ ตรงกับ พละ ๕ คือ สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ธรรม ๕ อย่างชุดเดียวกันนี้ เรียกชื่อต่างกันไป ๒ อย่าง ตามหน้าที่ที่ทำ คือ เรียกชื่อว่า พละ โดยความหมายว่า เป็นกำลังทำให้เกิดความเข้มแข็งมั่นคง ซึ่งธรรมที่ตรงข้ามแต่ละอย่างจะเข้าครอบงำไม่ได้ เรียกชื่อว่า อินทรีย์ โดยความหมายว่าเป็นเจ้าการในการครอบงำเสียซึ่งธรรมที่ตรงข้ามแต่ละอย่างคือความไร้ศรัทธา ความเกียจคร้าน ความประมาท ความฟุ้งซ่าน และความหลงงมงาย ตามลำดับ
    2.พละ ๔ คือธรรมอันเป็นพลังทำให้ดำเนินชีวิตด้วยความมั่นใจ ไม่ต้องหวาดหวั่นกลัวภัยต่างๆ ได้แก่ ๑.ปัญญาพละ กำลังปัญญา ๒.วิริยพละ กำลังความเพียร ๓.อนวัชชพละ กำลังคือการกระทำที่ไม่มีโทษ (กำลังความสุจริตและการกระทำแต่กิจกรรมที่ดีงาม) ๔.สังคหพละ กำลังการสงเคราะห์ คือช่วยเหลือเกื้อกูลอยู่ร่วมกับผู้อื่นด้วยดี ทำตนให้เป็นประโยชน์แก่สังคม
    3.พละ ๕ หรือ ขัตติยพละ ๕ ได้แก่กำลังของพระมหากษัตริย์ หรือกำลังที่ทำให้มีความพร้อมสำหรับความเป็นกษัตริย์ ๕ ประการ ดังแสดงในคัมภีร์ชาดกคือ ๑.พาหาพละ หรือ กายพละ กำลังแขนหรือกำลังกาย คือแข็งแรงสุขภาพดี สามารถในการใช้แขนใช้มือใช้อาวุธ มีอุปกรณ์พรั่งพร้อม ๒.โภคพละ กำลังโภคสมบัติ ๓.อมัจจพละ กำลังข้าราชการที่ปรึกษาและผู้บริหารที่สามารถ ๔.อภิชัจจพละ กำลังความมีชาติสูง ต้องด้วยความนิยมเชิดชูของมหาชนและได้รับการศึกษาอบรมมาดี ๕.ปัญญาพละ กำลังปัญญา ซึ่งเป็นข้อสำคัญที่สุด
    (หมายเหตุ) กำลังแขน หรือกำลังกาย แม้มีความสำคัญ แต่ท่านจัดว่าต่ำสุด หากไม่มีกำลังอื่นควบคุมค้ำจุนก็อาจกลายเป็นกำลังอันธพาล

    แล้วท่านทั้งหลายจะฝึกแบบศาสนาไหนกันละ
    ถ้าจะฝึกแบบศาสนา ต้นกำเนิด ก็คือ "ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู" ท่านทั้งหลายก็ต้องรู้และศึกษารวมไปถึง พิจารณาในหลักธรรม ๒ หมวดก็คือ หมวด "พรหมวิหารสี่" และหมวด "อิทธิบาท ๔" ในที่นี้ข้าพเจ้าจะไม่อธิบายในรายละเอียด เอาเพียงรู้ว่า หลักะรรมทั้งสองหมวด ในทางศาสนาพราหมณ์- ฮินดู สามารถสร้าง พละหรือกำลัง ได้ทุกอย่าง

    ถ้าจะฝึกแบบศาสนาพุทธ ท่านทั้งหลายก็ต้องเรียนรู้หลายหมวดธรรม อีกทั้งยังต้องเรียนรู้ในพระไตรปิฎก และสามารถทำความเข้าใจในหลักการที่ซ่อนไว้ในพระไตรปิฎก ซึ่งจะเชื่อมโยงสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน ซึ่งล้วนเป็น โพธิปักขิยธรรม อันหมายถึง ธรรมอันเป็นฝักฝ่ายแห่งความตรัสรู้, ธรรมที่เกื้อหนุนแก่อริยมรรค มี ๓๗ ประการคือ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ มรรคมีองค์ ๘(จากพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับพระธรรมปิฎก) หมายความว่า ท่านทั้งหลายจะต้องเรียนรู้ทุกเรื่องในธรรมอันเป็นฝักฝ่ายแห่งความตรัสรู้ จึงจะสามารถเกิด พละ ๕ โดยอัตโนมัติ อันนี้ถ้าจะอธิบายไปคงยาวไปอีก เอาเป็นว่าในทุกหมวด เกี่ยวข้องสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน มีอย่างหนึ่ง รู้อย่างหนึ่ง เข้าใจอย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งก็จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ

    ถ้าจะฝึกแบบศาสนาคริสต์ ท่านทั้งหลายก็ต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจในหลักอันสำคัญ ๓(สาม)ประการ นั่นก็คือ พระบิดา,พระจิต,พระบุตร รวมไปถึงต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจ ในหลักบัญญัติ ๑๐ (สิบ)ประการให้เกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ ศาสนานี้แม้จะสั้นๆ แต่ความจริงแล้วต้องคิดกว้างพิจารณาอย่างกว้างจึงจะเกิดพละ คือ กำลังทั้งหลายเหล่านั้น

    ถ้าจะฝึกแบบศาสนาอิสลาม ท่านทั้งหลายก็ต้องยึดถือและพิจารณาทำความเข้าใจใน ศีลหรือข้อปฏิบัติทั้ง ๕ ข้อ อีกทั้งพิจารณาในข้อห้ามทั้งหลายแห่งศาสนาว่ามีไว้เพื่ออะไร มีไว้ทำไม รวมไปถึงต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจหลักศรัทธา 6 ข้อในคัมภีร์กุรอาน ให้เกิดความรู้ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ ท่านทั้งหลายก็จะเกิด พละคือ กำลังทั้งหลายเหล่านั้น

    ถ้าจะฝึกแบบศาสนาซิกส์ ท่านทั้งหลายก็ต้องยึดถือ(ไม่ใช่ยึดถือเพียงอย่างเดียว)ต้อง เรียนรู้และทำความเข้าใจในศีล ๒๑ ข้อ ได้แก่
    1. นับถือ ศาสดาทุก องค์ เป็น บิดา และตนเป็นบุตร
    2.เมือง ปาฏลีบุตร และกานันทปุระ เป็น ที่ศักดิ์สิทธิ
    3.เลิกถือ ชั้น วรรณะ
    4.ห้ามทะเลาะ วิวาท ระหว่าง ศิษย์
    5.พลีชีพ ในการรบ
    6.บูชา สิ่ง ศักดิ์ สิทธิ 3 ประการ คือ
    6.1 พระเจ้า เป็น สัจจะ เป็น ศรี เป็น อกาละ
    6.2 ศาสโนวาท แห่ง คุรุ ทั่งหลาย
    6.3 ความบริสุทธิ
    7. มี ก. ทั้ง 5
    8.เว้นการพูดเท็จ
    9. เว้นโลภโกรธ นับถือ ภรรยาผู้อื่นเสมือนมารดา
    10. ไม่เกี่ยวข้องกับ ศัตรู ของ ศาสนา
    11. ไม่คบผู้ไม่ส่งเสริมการรบ
    12. ห้ามใช้ สีแดง
    13. ห้ามใช้ คำว่า สิงห์ ต่อท้าย ตั้งแต่ บัดนี้
    14. ห้ามเปลือย ศรีษะ นอกจากตอนอาบน้ำ
    15. ไม่เล่นการพนัน
    16. ห้ามตัด หรือ โกน หนวด ผม และ เครา
    17.ห้ามเกี่ยวข้องกับผู้เบียดเบียน ชาติ และ ศาสนา
    18.ให้ ถือ ว่า การ ขี่ม้า มวยปล้ำ ฟันดาบ เป็น กิจกรรม ที่ต้องทำเป็นนิจ
    19. ให้ถือ ว่า เกิด มาเพื่อ ทำให้ผู้มี ความทุกข์ได้มาสุข และทำความเจริญ ให้แก่ ชาติ และ ศาสนา
    20.เว้นจาก ความหรู หราฟุ่มเฟือย ไร้ สาระ
    21. ถือ ว่า การ คบพระเจ้า นับถือแขก เป็น กิจกรรม ที่ควรทำเป็นประจำ
    ในศาสนา ซิกส์นี้ หากยึดถือ เรียนรู้ทำความเข้าใจ ก็ย่อมเกิด พละ คือ กำลังทั้งหลายเหล่านั้น ได้ อย่างแน่นอน
    ไปพิจารณาเอาเองเถอะขอรับท่านทั้งหลาย
    จ่าสิบตรี เทวฤทธิ์ ทูลพันธ์
    ผู้เขียน (21 ก.พ.2555)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กุมภาพันธ์ 2012
  2. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    มั่วแล้ว

    พละหมายถึง กำลัง คือธรรมอันเป็นกำลัง ซึ่งเป็นเครื่องเกื้อหนุนแก่อริยมรรค

    ศาสนา พุทธ คือ ศาสนา เดียวในโลก ที่ สอน ให้ถึงที่สุดแห่ง ทุกข์ ได้คือ นิพพาน

    ดังนั้น ศาสนาอื่นใดๆ ในโลก ที่ไม่ไช่ ศาสนา พุทธ

    ไม่มี พละ ไม่มี กำลัง ที่เป็น สิ่งทำ บรรลุ อริยมรรค เป็น พระอริยเจ้า ได้นั้นเอง


    มีแต่ ศาสนา พุทธ ที่ พระพุทธเจ้า สั่งสอน
    อริยมรรค ให้ เป็น พระอริยเจ้า ได้เท่านั้น


    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กุมภาพันธ์ 2012
  3. อศูนย์น้อย

    อศูนย์น้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    458
    ค่าพลัง:
    +495
    เทียบเคียดได้ สมเหตุสมผลดีครับแต่ออกจะแหวกแนวไปสักจิ๊ส แต่เข้าท่าหมือนกันนะครับ ^^
     
  4. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    เฮ้อ....น่าอนาถในความคิดยิ่งนัก ข้าพเจ้าใคร่ขอถามท่านทั้งหลายว่า ผู้ศรัทธาในศาสนาอื่นๆ ไม่สามารถมีพละ คือ กำลัง ได้หรือขอรับ แล้ว ใครเป็นผู้กำหนด กฎเกณฑ์กติกา ว่า ผู้ศรัทธาในศาสนาอื่นๆ จะปฏิบัติเพื่อให้เกิด พละหรือกำลัง ไม่ได้
    ท่านทั้งหลายคิดว่า ผู้ศรัทธาในศาสนาอื่นๆ ไม่สามารถปฏิบัติให้บรรลุอริยมรรค เป็นอริยเจ้า แบบศาสนาพุทธได้อย่างนั้นหรือ
    ท่านทั้งหลายเข้าใจผิดแล้ว
    อีกประการหนึ่ง ขอให้ท่านทั้งหลายได้จดจำเอาไว้ว่า ผู้ศรัทธาในศาสนาต่างๆ ก็ล้วนเป็นมนุษย์เหมือนอย่างกับผู้ศรัทธาในพุทธศาสนา

    สิ่งที่ข้าพเจ้าเขียนหรือสั่งสอนไปนั้น ถือเป็นข้อยุติ มนุษย์ทุกเพศทุกวัยทุกเชื้อชาติ ทุกศาสนา ล้วนสามารถปฏิบัติ เพื่อให้เกิด พละ คือ กำลัง ได้
    พุทธศาสนา ไม่กีดกัน ไม่ขัดขวาง และไม่จำกัดการปฏิบัติธรรม แค่เฉพาะมนุษย์บางกลุ่ม
    แต่พุทธศาสนา มีธรรมะ คือคำสอน ที่ครอบคลุมในมนุษย์ทุกคนฉะนี้
     
  5. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819


    พระพุทธเจ้า ศาสนาพุทธ มี 1 เดียว ที่ สามารถ สอน มนุษย์ ให้บรรลุอริยมรรค เป็น อริยเจ้า


    พระพุทธเจ้า เป็นผู้กำหนด



    ศาสนาอื่นใดใน โลก นอกจาก ศาสนาพุทธ

    มีพระอริยเจ้า พระอรหันต์ มั่งไหมครับ





    หาหลักฐานมาให้ดูหน่อยสิ

    เรื่องแค่นี้ยังไม่รู้อีก ศึกษาให้มากๆ นะ

    คงมีแต่พวก นอกรีต เดียรเถีย์ เท่านั้น ที่ิคิดจะบิดเบือน คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า

    น่าอนาจในความคิดยิ่งนัก

    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กุมภาพันธ์ 2012
  6. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    [๘๐๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สติปัฏฐาน ๔ อันบุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่งไม่ปรารภแล้ว
    บุคคลเหล่านั้นชื่อว่า ไม่ปรารภอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ ที่ยังสัตว์ให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ
    สติปัฏฐาน ๔ อันบุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่งปรารภแล้ว บุคคลเหล่านั้นชื่อว่า ปรารภอริยมรรคประ
    กอบด้วยองค์ ๘ ที่ยังสัตว์ให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ สติปัฏฐาน ๔ เป็นไฉน? ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัด
    อภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ... ย่อมพิจารณาเห็นจิตใน
    จิตอยู่ ... ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌา
    และโทมนัสในโลกเสีย สติปัฏฐาน ๔ เหล่านี้ อันบุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่งไม่ปรารภแล้ว บุคคล
    เหล่านั้นชื่อว่า ไม่ปรารภอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ ที่ยังสัตว์ให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ สติ
    ปัฏฐาน ๔ เหล่านี้ อันบุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่งปรารภแล้ว บุคคลเหล่านั้นชื่อว่า ปรารภอริยมรรค
    ประกอบด้วยองค์ ๘ ที่ยังสัตว์ให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ.
    ----------------------------------------------------------------------
    พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๑ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค วิรัทธสูตร




    คำสั่งสอน ของพระพุทธเจ้า มี 1 เดียวเท่านั้น ที่สอน อริยมรรค
     
  7. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    <CENTER>พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๔
    มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์
    </CENTER><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="90%" background="" align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TR><TD bgColor=darkblue width="100%" hspace="0" vspace="0">[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    <CENTER></CENTER><CENTER>๑๐. สติปัฏฐานสูตร</CENTER><CENTER>ว่าด้วยการเจริญสติปัฏฐาน</CENTER> [๑๓๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้- สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในแคว้นกุรุ มีนิคมหนึ่งของแคว้นกุรุ ชื่อว่ากัมมาสธรรม ณ ที่นั่น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย. ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว. [๑๓๒] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธภาษิตนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย หนทางนี้เป็นที่ไปอันเอก เพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์ เพื่อล่วงความโศกและปริเทวะ เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุธรรมที่ถูกต้อง เพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง. หนทางนี้คือ สติปัฏฐาน๔ ประการ. ๔ ประการเป็นไฉน? ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑ พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑ พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑ พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑.</PRE>
     
  8. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    คำสอน ของพระพุทธเจ้า คือ อริยสัจ 4


    ศาสนาอื่นใด ที่ไม่ใช่ ศาสนาพุทธ ไม่มี อริยสัจ4

    แล้วในเมื่อ ศาสนาอื่นใดๆ ไม่มี อริยสัจ 4


    แล้วจะสอนให้ บรรลุ อริยมรรค ได้อย่างไร
     
  9. นราสภา

    นราสภา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,961
    ค่าพลัง:
    +356
    เอ่ออออออออ


    เอ่อ อยากทราบว่า ข้อความหลักคําสอน ที่ถูกบิดเป็นเกลียวนี้ เป็นของ ลัทธิ อะไรหรือครับ

    น่าสนใจดีครับ เเต่คงไม่ใช่พุธศาสนา เป็นเเน่เลย
     
  10. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    อ๋อ...ปัญญาอ่อนว่าง้้นเถอะ อ่านแล้วไม่รู้ความหมายของภาษา กลับไปอ่านใหม่ไป๊ อ่านแล้วหัดใช้สมองสติปํญญาคิด และทำความเข้าใจในบริบทของภาษาด้วย รู้จักบริบทของภาษาไหมละ
     
  11. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ....แสดงว่าเจ้า อ่านภาษาไทยแล้วไม่รู้เรื่อง เจ้าบอกว่า ศาสนาพุทธมี 1 เดืยวที่สามารถสอน มนุษย์ให้บรรลุอริยมรรคเป็นอริยเจ้าได้ นั่นมันศัพท์ภาษาทางศาสนาพุทธ
    ถ้าศัพท์ภาษาในศาสนาอื่นๆ เขาเรียกอะไรกันบ้าง เอ็งรู้ไหม ขออภัยนะขอรับ อย่าทำตัวเป็น คน โง่แล้วอวดฉลาด หัดไปเล่าเรียนศึกษาในศาสนาอื่นๆซะบ้างจะได้รู้

    เจ้าว่าพระพุทธเจ้าเป็นผู้กำหนด กำหนดอะไรกันละ กำหนดในเรื่อง พละหรือกำลังนี้มีแต่คนในศาสนาพุทธ คนในศาสนาอื่น ไม่สามารถมีกำลังได้หรือ โธ่ ..น่าสมเพช ในความคิดอันน้อยนิดของเอ็งนัก
    ฮ่า ฮ่า ฮ่า เขาเรียกว่า เขลา...แล้วยังหลงผิด โง่แล้วยังคิดว่าตัวเองฉลาด รู้มากละซินะ ในศาสนาอื่น เขาไม่เรียก อย่างศาสนาพุทธเรียกดอกนะ เขาก็เรียก ตามหลักศาสนาของเขา เช่นได้อยู่กับพระเจ้า ได้รับใช่พระเจ้า อย่างนี้เป็นต้น นี่โปรดสัตว์อย่างเอ็งให้ได้รู้นะไม่อย่างนั้นไม่เขียนแน่แน่
    หลักฐานเอ็งก็ไปหาอ่านเอาตามศาสนาต่างๆ ใช้คอมพิวเตอร์เป็นอยู่แล้ว ก็หัดใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อสมองสติปัญญาของตัวเองซะบ้าง
    ก๊าก..ก๊าก..ก๊าก...ไม่รู้ใครเดียร์ถีกันแน่ ไม่รู้ใครบิดเบือนกันแน่ ข้าพเจ้าบิดเบือนตรงไหน ฮ่า ฮ่า ฮ่า ไป อ่านดูให้ดี และหัดใช้สมองสติปัญญา ที่ต่ำกว่าอายุของเจ้าคิดพิจารณาให้ดี
    ที่สำคัญ คนอย่างเอ็ง ไม่ใช่คนในศาสนาพุทธดอกนะ เอ็งมันคนนอกศาสนา ถึงไม่รู้จักคิดพิจารณาให้รู้แจ้งเห็นจริง ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า
     
  12. GhostHead

    GhostHead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    1,010
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ไหนบอกว่าเป็นพระศรี แต่ทำไมไปสอนไปบอกให้คนนับถือศาสนาอื่นซะยังงั้น
    แทนที่จะสอนอริยสัจ4 ดันไปเอาอะไรมาเนี้ย

    เป็นพระพุทธเจ้าต้องสอนให้คนไปนิพพานสิคร้าบ จริงมั้ยๆๆ
     
  13. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    อ้าว...อพิโถ... คุณอ่านอย่างไรกันจึงเข้าใจว่า ข้าพเจ้าให้คนนับถือศาสนาอื่น
    ข้าพเจ้าไม่ใช่พระพุทธเจ้านะขอรับ อย่าเข้าใจผิด
    ข้าพเจ้าคือ ศาสดาแห่งศาสนา หมายความว่า ข้าพเจ้านับถือศาสนาทุกศาสนา เพราะหลักวิชชาการทางศาสนาที่มีอยู่ในตัวข้าพเจ้า มาจากหลักศาสนาทุกศาสนา
    ส่วนการจะสอนคนให้ไปนิพพาน เรื่องง่ายกระจิ๊ดเดืยวขอรับ ถ้าพวกเขาทั้งหลายไม่แข็งขืน ไม่ไหลตามความโลภ ความโกรธ ความหลง
    เขียนบทความสัก ไม่เกิน ๓ บทความ พวกเขาทั้งหลายเหล่านั้น ก็หลุดพ้นบรรลุนิพพาน,ถ้าผู้ศรัทธาในศาสนาต่างๆนำไปใช้ก็สามารถ เป็นทูตแห่งพระเจ้า ไปรับใช้พระเจ้า ไปอยู่ใกล้ชิดกับพระเจ้า หรือเป็นผู้ถือสาสน์แห่งพระเจ้าได้เหมือนกันขอรับ
    ที่กล่าวไปไม่ใช่โอ้อวดนะขอรับ เพียงแต่ยังไม่อยากจะเขียน ต้องพิจารณาก่อนว่าถ้าเขียนไปแล้วจะมีผลอย่างไรต่อโลกมนุษย์หรือไม่
     
  14. นราสภา

    นราสภา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,961
    ค่าพลัง:
    +356
    กลับไปอ่านมาเเล้วครับ

    ผมได้กลับไปอ่านมาเเล้วครับ อ่านเเล้วก็อ่านอีก อ่านอีกเเล้ว ก็ อ่าน เเล้ว

    เเต่ก็ยิ่งเพิ่มความไม่เข้าใจ ใน ตัวของพี่ เทวดา ที่เคยกล่าวไว้ว่า ตนเองดํารงตําเเหน่ง พระศรี อาน

    ขอใช้ อาน ตัวนี้นะครับ เพราะ ความไม่เห็นถึงเหตุ เเห่งความเป็น อาน อันอื่นได้เลย เเม้เเต่น้อย

    ยิ่งอ่าน คําตอบที่ตอบให้ คุณพี่ท่านนึง ต่อจากผมเเล้ว ยิ่ง ไปกันใหญ่


    เอาเป็นว่า ผม ไม่ขอเข้าไปขัด กับ ความเป็น มหาอวิชาวิปลาศทางทิฐิ ชั้นสูง เเบบนั้น ท่าจะดีกว่า

    เล็งดูด้วย ปัญญาญาณ เเบบเด็กๆ เเบบผมเเล้ว สังเกตุได้ว่า พี่ท่าจะเพี้ยน จริงๆดังคําบอกเล่า ของ ชาวตลาด ร้าน ช่อง



    ลาล่ะครับ
     
  15. GhostHead

    GhostHead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    1,010
    ค่าพลัง:
    +1,878
    [​IMG]ลาล่ะครับพี่น้องครับ...คุณนราสภา....รอผมด้วย.......คร้าาาาบ
     
  16. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    ฮ่า ฮ่า ฮา ฮ่า ฮ่า
    อย่าหาว่าข้าพเจ้าด่าใครเลยนะ กล่าวได้คำเดียวกว่า "ปัญญานิ่ม"เท่านั้น ที่อ่านแล้วไม่เข้าใจ มันก็ภาษาไทยชัดๆตรงๆ ไม่อ้อมค้อมอยู่แล้ว
    เออ..ไปที่ชอบที่ชอบเถอะขอรับ ที่ไม่ชอบก็อย่าขัดคออย่างคุณว่า แต่จะขัดคออย่างไรก็คงขัดไม่ได้ เพราะมันของจริงวะขอรับ
     
  17. Ricky

    Ricky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    350
    ค่าพลัง:
    +682
    พละเป็นตัวเกื้อหนุนให้เกิดมรรคผล อย่าเข้าใจผิดว่าเป็นทางหลุดพ้น ทางหลุดพ้นต้องมีมรรคมีองค์8นะโยม เพราะนั่นล่ะทางสายกลาง
     
  18. somchai_eee

    somchai_eee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    332
    ค่าพลัง:
    +413
  19. นราสภา

    นราสภา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,961
    ค่าพลัง:
    +356
    ของจริง

    ของจริง ของใครครับ

    ถ้าเป็นของจริงของ คุณพี่ ศรีอาน คนเดียวก็ พอฟังได้อยู่

    เเต่ถ้าจะออกมาบอกว่า มันเป็นของจริง ของ พระสัมมาสัมพุธเจ้า นั้น ก็ คงจะต้องเกิดความเห็นเเย้ง ขึ้น อีกเป็นสิบหน้ากระดาน เป็นเเน่

    เพราะ การปฎิบัติ เพื่อให้หลุดพ้น นั้น มันไม่ใช้ว่า ใคร จะไปยกเอา ใจ ตัวเองที่มันเต็มไปด้วย นํ้าคลํา นํ้าเน่า เเละนํ้า ลาย ที่งัดออกมา โดยความเข้าใจส่วนตัว นํามาผสมปนเปไปกลับ นํ้า ดีๆ
    ธรรมของ พระพุธเจ้า ไม่ใช่ นํ้าดื่ม โพลาริส ขวดละ ห้าบาท ที่ใคร ใคร ก็คิดว่าตนเอง ทําได้ ทําดี ทําถึง กันด้วยความเข้าใจ ซั่ว ซั่ว

    มันจําต้องมีความเข้าใจ ที่ถูกต้อง ตาม จริง จึงจะเรียกว่า ของจริง

    ที่เหลือ ที่เป็นการ นั่งนึก นั่งฝัน เผ้อเจ้อ ปรุงเเต่งเอง คิดเอง เออเอง นั้น เราถือว่าเป้นเเค่นํ้าลาย ที่ ถ่มขึ้นฟ้า เเล้วก็ กระเด็น กลับลงมาบนหน้าตัวเอง เลี้ย เที้ย เปรอะ เปลื้อน ตัวเองโดยไร้ประโยช

    ยิ่ง บุคคลใดที่ ไร้ซึ่ง มโนสํานึก คิดปรุงเเต่งไปตามเรื่อง ตามอารมณ์ตนเองว่า เรานี่ เป็นพระศรีอานนนนนนนนนน เป็น อริยะบุคคล เป็นคนที่ ใครๆ ก็ต้องมาฟัง การพร่ามไปเรื่อยของเรา นั้น

    ยิ่งถือว่า เข้าข่ายเป็น พวกนอก รีดดดดดดดดดดดด

    เป็น มารทางศาสนา

    เป็น กบฎ ต่อ พระพุธเจ้า

    อวิชา นะ มีได้ครับ เเต่ต้องไม่ใช่ ประเภท พร่ามไปเรื่อย เเบบท่าน เทวดา ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มีนาคม 2012
  20. นราสภา

    นราสภา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,961
    ค่าพลัง:
    +356
    มา มา มา

    มา มา มา รีบตามมา ไปตามดู ปราศเข้า วิวาทะ กัน ยังได้ประโยช กว่ามานั่ง ตาม เเมลงวัน หา ขี้ กินตั้งเยอะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...