ทำบุญแล้วอธิษฐานขอสิ่งใดสิ่งหนึ่งจะถือว่าโลภหรือไม่ ?

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย tamsak, 15 กันยายน 2008.

แท็ก:
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,172
    ถาม : ทำไมคนเราต้องอยู่ใต้กฎของกรรม ?

    ตอบ : คุณทำคุณถึงได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณทำไม่ว่าจะดีหรือชั่วก็ตามคุณทำเอง ถ้าหากคุณเลิกทำสามารถหลุดพ้นไปได้ก็ไม่ต้องอยู่ใต้กฎของกรรม อย่างพระอรหันต์ พระปัจเจกพุทธเจ้าหรือพระพุทธเจ้า สิ่งที่เราทำผลมันเกิดอยู่แล้ว ลองเขกหัวตัวเองดูซิ ต้องการเขกหรือไม่เขกมันก็เจ็บ นั่นแหละทำอะไรมันได้อย่างนั้น

    เพราะฉะนั้นมีอยู่ตัวหนึ่งที่น่าเวทนาคนบางคนก็คือ ตัวอธิษฐานบารมี คนเขาทำบุญเสร็จเขานั่งอธิษฐานแล้วอีกคนบอกนี่โลภ ทำบุญแล้วยังขอโีน่นขอนี่ ความจริงการอธิษฐานบารมีนี่เป็นเรื่องของคนฉลาดเป็นการกำหนดเจาะจงในสิ่งที่ตัวเองทำๆ แล้วต้องการหรือไม่ต้องการผลนั้นเกิดแน่นอน แต่คนใช้อธิษฐานบารมีเขาฉลาด เขารู้จักเจาะจงว่าจะให้เกิดอย่างไร ? เกิดเมื่อไหร่ ? ขณะเดียวกันว่าอีกคนหนึ่งไม่ยอมอธิษฐาน สมมุติว่าหิวข้าวตอนนี้แต่อีก ๓ วันข้าวค่อยมา ก็ทรมานตัวเองไปก่อน แล้วเรื่องของการอธิษฐานบารมี เหมือนยิงปืน แล้วเล็งเป้าย่อมแม่นยำกว่า ในขณะที่อีกคนหนึ่งยิงขึ้นฟ้าลงดินไปเรื่อย แล้วหวังจะให้ถูกเป้า รอไปก่อนเถอะ

    ถาม : อธิษฐานนี่จำเป็นต้องออกเสียงมั้ยครับ ?

    ตอบ : อธิษฐานแปลว่า ตั้งใจมั่น จะออกเสียงหรือไม่ออกเสียงมันอยู่ที่เรา ขอให้ตั้งใจอย่างนั้นจริงๆ

    ถาม : อย่างที่หลวงพ่อเคยสอนว่า ถ้าบารมีใกล้เต็มแล้วจริงๆ นี่ อย่างหลวงปู่ปานนี่ทำบุญทีไรก็จะเปล่งวาจาออกมา ?

    ตอบ : อันนั้นเกี่ยวกับพระโพธิญาณคือ ตั้งใจจะเป็นพระพุทธเจ้า ถ้าทำถึงระดับนั้นเขาไม่อายใครแล้ว ประกาศให้รู้ชัดเจนเลยว่าเราทำอันนี้เพื่อปรารถนาพระโพธิญาณ เหมือนกับคุณก้องเล่นเอาเขาอึ้งกันทั้งโบสถ์ พอญัตติเสร็จเขาประกาศเลยว่า กุศลของการที่บวชครั้งนี้ขอให้ข้าพเจ้าเข้าถึงซึ่งพระโพธิญาณ พระทุกองค์สาธุพร้อมกัน แต่ความรู้สึกในใจบอกว่า มึงไปเถอะกูไม่ไปหรอก แบบนั้นแหละ แต่จริงๆ มันก็น่าสงสัยนะทำไมต้องอยู่ใต้กฎของกรรมด้วย มันเหมือนอยู่ๆ เอากฎหมายมาขี่คอบังคับเราใช่มั้ย ? แต่จริงๆ มันไม่ใช่ เราทำเอง ถ้าเราไม่ทำก็ไม่จำเป็นต้องมี

    อย่างเช่นว่า นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน มนุษย์ เทวดา มาร พรหมตลอดถึงนิพพาน ถ้าหากว่าคนหลุดพ้นหมดหรือว่าเลิกทำดี ทำชั่วทั้งหมดสิ่งเหล่านี้่ก็จะไม่มี สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพื่อรองรับการกระทำของเราเท่านั้น ถ้าหากว่าไม่มีการกระทำสิ่งเหล่านี้ก้ไม่เกิดขึ้น ไม่รู้จะเกิดขึ้นทำไม

    ถาม : ....................................

    ตอบ : ทำดีต้องได้ดี หรือทำดี...ดี ทำชั่วต้องได้ชั่วหรือว่าทำชั่ว...ชั่ว ถ้ายังติดทั้งดีทั้งชั่วไม่หลุดแน่นอน อันนี้เป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง ถ้าคุณทำดีแล้วยังติดดีชาตินี้คุณไปนิพพานไม่ได้ อันนี้กล้ายืนยันเพราะว่า ถ้าถึงระยะสุดท้ายแล้วนักปฏิบัติเขาจะรู้ว่า ถ้าดีก็ทำ ถ้าั่ชั่วก็ละ ไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่ว

    ถาม : ถ้าแข่งขันกันทำความดีเป็นกิเลสมั้ยครับ ?

    ตอบ : เป็น แต่ว่ามันก็ดีกว่ากิเลสอย่างอื่น พอ ๆ กับติดวัตถุมงคล ยังไงดีกว่าติดวัตถุึอัปมงคล เยอะแรกๆ เราจำเป็นจะต้องเกาะเพราะว่าเป็นเด็กน้อยเดินไม่แข็งแรงไม่เกาะมันจะตะกายไปได้ยังไง แต่พอแข็งแรงดีแล้วถึงสถานที่ๆ ตัวเองต้องการแล้วมันก็ไม่ต้องเกาะต้องแบกอะไร เดินขึ้นบันไดเกาะราวบันไดเพื่อความมั่นคง มาถึงในห้องแล้วเราจะแบกราวบันไดมาทำไมเล่า ? มันก็ปล่อยตั้งแต่ก่อนจะเดินเข้าห้องแล้ว แต่ช่วงนิดเดียวระหว่างราวบันได้กับประตูห้อง

    คนส่วนใหญ่มันจะนึกไม่ถึงเพราะว่ายังเข้าไม่ถึงจริง ในเมื่อเข้าไม่ถึงจริง ก็เลยคิดว่าทำดีแล้วไม่ติดดีมันจะไปนิพพานได้ยังไง ? ความจริงอันนี้เข้าใจถูกแต่ตัวที่เข้าใจผิดก็ตอนสุดท้ายเขาไม่คิดอะไรแล้ว



    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนเมษายน ๒๕๔๕
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ




    .
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...