ทำนาบุญ พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (พระอาจารย์ลี ธมฺมธโร)

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย jinny95, 7 มิถุนายน 2012.

  1. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ทำนาบุญ


    พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (พระอาจารย์ลี ธมฺมธโร)


    วัดอโศการาม ถนนสุขุมวิท (สายเก่า) ต.ท้ายบ้าน อ.เมือง จ.สมุทรปราการ



    เวลานี้ก็ใกล้จะออกพรรษาแล้ว วันเวลาของพวกเราก็นับวันจะเหลือน้อยลงทุกที อายุวัยของเรามันเป็นของที่สิ้นเปลืองหมด ถ้าโอกาสและเวลายังอยู่ ก็มีหน้าที่จะต้องปฏิบัติบำเพ็ญให้เต็มโอกาสและเวลา เหมือนเราทำนา ถ้านาของเรามันยังดำไม่หมด ปลูกสร้างไม่เต็ม ถ้ามัวแต่เพลิดเพลินอยู่ ถ้าฝนหยุดแล้วก็ไม่มีโอกาส เวลานี้เรียกว่าเป็นเวลาที่สมควร เป็นเวลาที่ยังมีโอกาส คล้ายๆ กับว่าพวกชาวนา ในเวลาฝนตกต้องรีบ ไม่ต้องหาโอกาสอื่น เวลาฝนกำลังตก น้ำกำลังมี ต้องรีบไถคราด รีบหว่านรีบดำ ถ้าฝนแห้งฝนแล้ง เราจึงจะค่อยทำ ถ้าฝนมันไม่ตกเสียเลยอย่างนี้ ก็จะเสียโอกาส


    ฉะนั้น พวกเราก็เรียกว่าเป็นผู้บำเพ็ญในทางคุณความดี เรียกว่าทำนาบุญ คือ พระพุทธเจ้า แสดงว่า “ปุญญกฺเขตตํ โลกสฺสาติ” ข้อปฏิบัติทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งเราจะต้องทาให้เกิดให้มีขึ้นนั้นเป็นนาบุญของเรา เป็นเขตนาบุญของเราผู้ไม่ประมาท นาบุญของเรานั้นคือ ประกอบด้วยโอกาสและเวลาอย่างหนึ่ง ประกอบไปด้วยเครื่องสัมภาระที่เราจะต้องทำขึ้นอย่างที่สอง ประกอบด้วยภูมิประเทศเป็นขั้นที่สาม ถ้าสามประการนี้สมบูรณ์บริบูรณ์ ก็นับว่าเป็นโชคเป็นลาภ เป็นบุญวาสนาบารมีของเรา คือฝนที่ตกนั้น อะไรมันจะเลิศยิ่งกว่าฝนห่าแก้วไม่มี ฝนห่าแก้วนั้นได้แก่ธรรมะ ซึ่งบรรยายถึงเรื่องพุทธรัตนะ พุทธคุณเสมอเหมือนกับแก้ว ธรรมรัตนะ ธรรมคุณก็เสมอเหมือนกับแก้ว สังฆรัตนะ พระสงฆ์ก็เสมอเหมือนกับแก้ว นี่เรียกว่าฝนห่าแก้ว ในบุคลาธิษฐาน ในส่วนธรรมาธิษฐานได้แก่ข้อปฏิบัติ คือข้อปฏิบัติของเราที่ทำอยู่นี้ บางสิ่งบางอย่างเนื่องด้วยพุทธคุณ บางสิ่งบางอย่างเนื่องด้วยธรรมคุณ บางสิ่งบางอย่างเนื่องด้วยสังฆคุณ พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ สามชนิดนี้ ให้ถือเสียว่าเป็นอันเดียวกัน นี่ท่านเรียกว่าฝนห่าแก้ว ประการที่สองคือ เครื่องมือ เครื่องมือนั้นได้แก่เครื่องสัมภาระเช่น เราจะทำสวนก็ดี ทำนาก็ดี เราก็ต้องมีเครื่องสัมภาระที่จะต้องสร้างขึ้น เช่นชาวนาก็มีไถบ้าง คราดบ้าง จอบบ้าง และพืชพันธุ์ธัญญชาติที่จะปลูกสร้างลงไปในนาบ้าง นี่เรียกว่าเครื่องสัมภาระ อันนี้คืออะไร พืชผลที่เราจะต้องฝังลงไปนั้นได้แก่ ศรัทธา


    ตัวศรัทธาอันนี้ มันมีถึง ๓ ชั้น ที่เป็นพืชสำคัญ พืชอย่างหนึ่ง คือศรัทธาของเราเป็นศรัทธาตื้นๆ ธรรมดา ศรัทธานี้เชื่อบ้าง ไม่เชื่อบ้าง อยากก็จะทำบ้าง ไม่อยากจะทำบ้าง แต่ไม่กล้าทิ้งความดี อันนี้เป็นศรัทธาธรรมดา ศรัทธาอย่างที่สอง อยากจะทำ ไม่อยากจะทิ้ง ถึงมันยังไม่ได้อย่างนึก แต่ก็เชื่อ นี่เรียกว่าศรัทธาอย่างที่สอง ศรัทธาอย่างที่สาม มีตั้งแต่ความอยากทำ อยากสนใจ ไม่เอาใจใส่กับบุคคลใดทั้งหมด เขาจะว่าดีก็ทำ ไม่ว่าดีก็ทำ จะเป็นวันพระก็ทำไม่ใช่วันพระก็ทำ อยู่บ้านก็ทำ อยู่วัดก็ทำ ปักดิ่ง ดวงจิตเชื่อมั่น อันนี้ท่านเรียกว่า “อจลศรัทธา”


    ศรัทธานี้เปรียบเหมือนเมล็ดข้าว เมล็ดข้าวนี้ถ้าทำนาไม่ไถ หว่านไป มดก็เก็บกินหมด ศรัทธาของคนบางเหล่าตื้นๆ ไม่สนใจมากมาย เป็นแต่เขาเป่าหูก็เชื่อ บางทีเขาหลอกให้เราหลงไป นี่เรียกว่าเมล็ดข้าว มดมันคาบไปเกือบหมด นี่จำพวกหนึ่ง อีกจำพวกหนึ่ง เอาเสียมไปขุดเอาจอบไปขุด แล้วก็หว่านพืช พวกที่จะทำความดีนั้น อาศัยสืบสวนไตร่ตรอง พินิจพิจารณาดูเสียก่อนว่าเป็นข้อดีที่ควรแก่กาลหรือเปล่า เป็นของที่ควรแก่บุคคลผู้นั้นหรือเปล่า และเป็นเรื่องที่ควรแก่เราหรือไม่ จะได้ผลมากน้อยเพียงใด แล้วจะได้ผลตอบแทนอย่างใด แล้วก็ทำตาม อันนี้พวกใช้จอบใช้เสียม ปลอดภัยบ้าง แต่ยังไม่ดีเท่าไถหรือคราด มันยังตื้นอยู่ ส่วนเราไถคราดแล้วหว่านลงไปมันลึก มันได้แก่การ โยนิโสมนสิการ ใช้ปัญญาพิจารณาให้รอบคอบให้ทั่วถึงเสียก่อน รู้จักเหตุผลแจ้งชัดขึ้นโดยตนเอง ไม่ต้องไปเพื่อเขาว่า ไม่ต้องไปเชื่อเขาบอก มาทบทวนให้เกิดความรู้สึกในตน ก็ปักดิ่ง เชื่อตนของตน อันนี้เขาเรียกว่า ศรัทธาที่ไม่หวั่นไหว เหมือนคนไถนาแล้วก็หว่านพืช อันนี้ดี มด นกกระจิบกระจาบ ไม่มีหนทางที่จะคาบไปกินได้เลย อันนี้ปลอดภัย นี่ศรัทธาคือพืช เป็นเรื่องที่เราจะต้องหว่าน


    เครื่องมือของเราก็คือร่างกายของเรา ใจของเรา ร่างกายของเราก็หมั่นไปหมั่นมาบ่อยๆ เหมือนกับคราดไถ ๒ หน ไถไปทางโน้น ไถตัดกลับไปอีก หญ้ามันก็ขาด นี่เครื่องมือเราคือกายหมั่นไปหมั่นมา หมั่นคบค้าสมาคมในสถานที่ควรเกิดบุญกุศล นี่ชื่อว่าไถ ข้อที่สองนั้นเมื่อมาพบมาเจอะ เราต้องวิตกวิจาร ไตร่ตรองให้มันดีถี่ถ้วน ด้วยปัญญาและความคิดเห็น ด้วยสัมมาทิฏฐิ เช่นเราทำกรรมฐานอย่างนี้ อยากให้มันสงบ ถ้าไม่พิจารณาดูให้ถี่ถ้วน มันก็สงบยาก ฉะนั้นท่านจึงให้ วิตก นึกถึงเรื่องราวที่เราเห็นนั้น วิจาร พิจารณาทบทวน อนุโลมตามไป ปฏิโลมกลับมา รักษาอย่างนี้ท่านเรียกว่าคราด เมื่อเราไถเราคราดหญ้าตายอย่างหนึ่ง แผ่นดินราบลงไปอย่างหนึ่ง เมื่อราบเข้า เราก็หว่านข้าว เป็นกล้าที่เราจะต้องปลูกฝังในนาของเรา ข้าวมันก็งาม นี่เป็นเครื่องมือที่เราต้องสับสร้างขึ้น ซึ่งควรแก่โอกาสและเวลา พืชที่เราปลูกลงไป มันก็เกิดขึ้นงอกงามได้ผลดี ปราศจากมดแมงตัวสัตว์นกหนูปูปิก ที่จะมาคาบเมล็ดข้าวเราหนีไม่ได้ นี่สำเร็จในการหว่านพืช


    และอีกข้อหนึ่ง ภูมิประเทศที่ควรแก่การทำนา นี่ก็สำคัญเหมือนกัน ได้แก่สถานที่เช่น เราถือว่า แต่ละแห่งๆ เช่นวัด เป็นสถานที่ที่เราจะต้องไปสร้างคุณงามความดี วัดใดที่มีความดี สถานที่นั้นเพื่อว่ามีปุ๋ยมาก ถ้าสถานที่มีปุ๋ยมาก เราไม่ต้องกลัวหมดเปลืองพืช หว่านเข้าไปเถอะ ถ้าสถานที่ใดไม่ดี เราก็หว่านแต่พอสมควร ไม่ให้เสียมรรยาท เราไม่หว่านเสียเลยก็เสียมารยาทของมนุษยธรรม แต่เราไม่หว่านเต็มที่ของเรา สถานที่นั้นเรียกว่าเป็นสถานที่อยู่ของสงฆ์ สงฆ์เป็นนาบุญของโลก และสงฆ์นั้นก็เป็นผู้ทรงศีลด้วยความบริสุทธิ์ ก็เท่ากับว่านานั้นมีหัวคันนา ฝนตกมาน้ำก็ขัง เอาปุ๋ยใส่มันก็ขัง ถ้าใครไม่มีศีลบริสุทธิ์ก็เท่ากับนาไม่มีหัวคันนากั้น ฝนตกลงมาน้ำในนาไหลหนีหมด ใครจะไปหว่าน ปุ๋ยก็ไม่อยู่ เมล็ดข้าวก็ไม่อยู่ นี่ก็สำคัญเหมือนกัน ฉะนั้น ศีล ท่านผู้รักษาซึ่งข้อห้ามสิกขาบท ก็เหมือนกับว่ามีหัวคันนาด้วยดี


    ส่วนน้ำฝนนั้น เป็นผู้ใส่ใจปฏิบัติ มีความเคารพในคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ส่วนน้ำของฝนก็คือ น้ำใจ ใสสะอาด น้ำใจเย็นใสสะอาด ตอนนี้คำว่าใจเย็นนี้ มีความหมายหลายอย่าง ใจเย็นอย่างน้ำแข็งนี้อย่างหนึ่ง ใจเย็นอย่างถ่านไฟฉายอย่างหนึ่ง คำว่าที่ว่าเย็น เย็นอย่างน้ำแข็งนี่ไม่ค่อยดี จับมากเข้า มือมันเป็นเหน็บ คือคนเย็นเฉื่อยไม่กระตือรือร้นขวนขวายทำความดี น้ำเย็นอย่างน้ำแข็ง เย็นชนิดนี้ ไปจับมากๆ เข้ามันชามือ มันจะเกิดโทษเกิดภัย คนเย็นใจ ไม่ขวนขวายพยายามทำความดีก็เช่นเดียวกัน นี่ต้องรู้จักคำที่ว่าเย็น ส่วนเย็นที่อย่างดีนั้นมันเย็นเหมือนถ่านไฟฉาย ถ่านไฟฉายมันมีความร้อนนะ แต่มันเย็นอย่างหม้อแบตเตอรี่ มันมีแสงสว่างแต่มันเย็น นี่ความเย็นอย่างนี้มันดี คือความไม่นอนใจ บากบั่นพยายามสร้างคุณงามความดีให้เกิดขึ้นในตนของตน เอาความดีฝังเข้าในดวงจิต ร่างกายเหมือนกับหม้อแบตเตอรี่ความดีของเรานั้นเป็นแผ่นเหล็กหรือแผ่นตะกั่วโลหะ สำหรับที่จะดูดเอาไฟเข้าไปไว้ไนตัว นี่ให้มันเย็นอย่างนี้ เราจะไปนั่งบนหม้อแบตเตอรี่มันก็เย็น ไม่มีทำลายมนุษย์ แต่ว่าคนโง่มันอาจติดตายได้เหมือนกัน


    เหตุนั้น ความดีของผู้มีศีลและธรรม ก็มีความเย็น แต่คนใดประมาทมันก็ไหม้เผาเอา นี่มันเย็นอย่างนี้ ทีนี้ อำนาจแห่งความเย็นนี้ ก็โปรยปรายไปให้มนุษย์ เรียกว่าฝนห่าแก้ว ได้แก่การแผ่เมตตาจิต มีเมตตาเป็นที่อยู่ ไม่มีความอิจฉาพยาบาท มีแต่ความเมตตาจิต นี่เมตตาจิต นั่นแหละมันเป็นปุ๋ยอย่างสำคัญ เป็นเครื่องจะต้องส่งเสริมพืชผลต่างๆ ของเราให้งอกงามเจริญขึ้น หรือเปรียบเหมือนกับน้ำที่ขังหัวคันนา ปรารภในคุณงามความดีของตนไม่ประมาท อันนั้นก็เหมือนกับฝนตก เมื่อความดีของเราที่สับสร้างขึ้น เกิดความสงบจิต มีความเยือกเย็น อันนั้นเป็นเมล็ดฝน เมื่อหัวคันนาก็ดี ฝนก็ตก เมล็ดฝนนั้นก็ตกขังในไร่นาของเราในสมัยเช่นนั้นก็ได้ขื่อว่าสถานที่สมบูรณ์ ควรที่จะต้องพากันรับสับสร้างเสียโดยเร็ว นี่ท่านเปรียบอย่างนี้ เรียกว่าภูมิประเทศหรือสถานที่


    ทีนี้ นาบางแห่งมันแล้งมันเขิน ไม่ค่อยจะมีฟ้ามีฝน บางสถานที่ไม่สนใจในข้อปฏิบัติ ไม่บำเพ็ญสับสร้างคุณห้ามความดี แค่ศีลก็รักษาไม่คุ้ม สมาธินั้นก็ยิ่งห่างไกล ไม่สนใจสักนิด ดวงจิตก็หนาไปด้วยความโลภ หน้าไปด้วยความเกลียด พยาบาท อาฆาตซึ่งกันและกัน สถานที่นั้น ก็ชื่อว่า หัวคันนาก็ขาด ฝนก็ไม่ตก ความเย็นก็ไม่มี ความดีก็ไม่ได้สับสร้าง เมื่อใครขืนไปหว่านพืชพันธุ์ในสถานที่นั้นถังหนึ่ง บางที่อาจจะสูญไปเลย บางทีก็อาจจะได้คืนมาบ้าง ฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงได้สอนว่า ให้พวกเราพากันเตรียมคราดเตรียมไถ พากันเตรียมพืชพันธุ์ธัญญชาติ พากันหาสถานที่ที่เหมาะสมแก่ทรัพย์ของเราที่จะต้องลงทุน เมื่อเรามีปัญญาพิจารณาใคร่ครวญอย่างนี้หรือเราได้พบผ่านเจอเห็นอย่างนั้น ชื่อว่าบุญของเรา วาสนาบารมีของเรา เราก็ต้องพากันรีบเร่งบากบั่นพยายาม เพราะศรัทธาก็เป็นของไม่แน่ บางวันก็หดเข้า เรียกว่า ศรัทธาหัวเต่า บางวันก็ยืดออกมา บางวันก็หดเข้า นี่ไม่แน่ ถ้ามันยืดมาวันนี้ก็รีบทำเสีย ไปถึงพรุ่งนี้มันจะหด ต้องรีบ ศรัทธาของเราก็จะต้องรีบ คราดเราก็จะต้องสร้าง ไถเราก็จะต้องสร้าง เรามีเสียมมีจอบ ใช้จอบ ใช้เสียม เรามีคราดมีไถ ใช้คราดใช้ไถ เพื่อพากันสร้างสมบัติให้เกิดขึ้นในตัว


    ภูมิประเทศนั้น เราก็หาสถานที่จับจอง เราจะไปจับที่ไหน เราจะไปจองที่ไหน สุดแท้แต่ปัญญาของเรา ถ้าเห็นว่าที่นั้นแหละ ฝนตกมาก ตกบ่อย ที่ลุ่ม มีหัวคันนาดี มีปุ๋ยดี เราก็จะต้องมุ่งตรงไปที่ตรงนั้น ไปถึงก็จะต้องจ้ำมันทันที ได้จอบก็คว้าจอบ ได้เสียมก็คว้าเสียม ได้มีดก็รีบถางไปทันที รีบคราดรีบไถ รีบไปรีบมา รีบหว่านรีบรักษา พืชผลธัญญชาติก็จะเกิดขึ้นเป็นเครื่องเลี้ยงชีวิตของเรา เปรียบคุณงามความดีที่เรียกว่าบุญก็เช่นเดียวกัน เมื่อชีวิต โอกาสและร่างกายของเรามีความสุข มีความสะดวกสบายตามสมควรก็อย่าประมาท ร่างกายก็เปรียบเหมือนกับคราดกับไถ นั่นแหละ ไถกันไป ไถกันมา คราดกันไปคราดกันมา ช่วยดูช่วยแล นี่ร่างกายเหมือนกับคราด ดวงจิตที่ประกอบไปด้วยศรัทธาเหมือนกับพืชพันธุ์ธัญญชาติ ธรรมะทั้งหลายก็เหมือนฝน เมตตานั้นก็เหมือนกับปุ๋ย ทำให้พื้นแผ่นดินนั้นชื้นอยู่เสมอไม่แห้ง ถึงจะแห้งก็ไม่ถึงกับทำให้ต้นข้าวเราตายไป


    เมื่อเรามาเห็นโอกาสและเวลา เหมาะสมแก่เรื่องราวของเราเช่นนั้น ก็ควรจะพากันรีบถ่อ รีบแจว รีบพาย รีบขวนขวายพยายาม อย่างภาษิตเขาว่า “รีบถ่อรีบพาย ตลาดมันจะวาย สายบัวมันจะเน่า” คือ ยายแก่พายเรือไปเก็บสายบัว จะไปขายที่ตลาด มัวแต่ช้าเมินเฉยอยู่ ตลาดเขาเลิกหมด บัวมันก็จะต้องเน่า นี่ท่านจึงสอนว่า “รีบถ่อรีบพาย ตะวันมันจะสาย ตลาดจะวาย สายบัวมันจะบูด” เราก็เหมือนกัน เมื่อมีศรัทธาก็รีบเร่ง บากบั่นพยายาม ตลาดคือได้แก่การที่พวกเราทั้งหลายได้มาฟังเทศน์ สวดมนต์ อบรมจิตใจ ถ้าโอกาสและเวลาเช่นนั้นหมดไป เราก็จะไม่ได้ทำ ที่เขาเรียกว่าสายบัวคืออะไร คือชีวิตไม่รีบเร่งขวนขวายเข้าไปมันจะตาย ไม่มีนิมิตเครื่องหมายว่าลมหายใจมันจะขาดเมื่อไร แจวเข้าไป คือ ความพากความเพียรบากบั่นพยายาม รีบไปเก็บเครื่องที่จะให้เกิดบุญเกิดกุศลแก่ตน รวบรวมไปขายในตลาด ใส่บาตรใส่พก บำเพ็ญคุณงามความดี นอกจากนั้นทีนี้ สายบัวมันก็จะต้องเน่า เมื่อหมดลมก็ตาย ตลาดจะต้องวาย พระสงฆ์ก็เป็นของไม่แน่ บางทีก็ตาย บางทีก็สึก บางทีก็หนี บางทีวัดมันร้าง ไม่ร้างบางทีคนชั่วมาอยู่ นี่ตลาดมันวาย ก็พอดีและตลาดก็วาย สายบัวคือลมหายใจมันก็ขาด เราก็ไม่สามารถไปขวนขวายพยายาม หาพัสดุข้าวของมาถวายทานการกุศลได้ เมื่อโอกาสเหมาะสมแก่เรื่องราว ภาวะและชีวิตของเรา ก็ควรจะต้องทำ ไม่ประมาท พยายามรีบเร่งขวนขวาย พยายามเสียโดยเร็ว นี่เป็นอย่างนี้


    ฉะนั้น ในกาลต่อไปนี้ ก็จงบากบั่นปฏิบัติบำเพ็ญในส่วนจิตใจ นี่พูดในส่วนหยาบๆ ในส่วนภายในก็ยังมีอีก ก็ให้พากันตั้งจิตทำความสงบใจ พากันคราดภายใน พากันไถภายใน กั้นดวงจิตกันไว้เสีย เช่น ปิดตา อย่าให้ใจมันรั่วออก น้ำมันจะไหลหนี ความดีมันจะเสื่อม ปิดหู อย่าไปใส่ใจในเสียง เรื่องราวต่างๆ อันเป็นที่ไม่พึงพอใจ ความดีอยู่ภายใน มันจะไหลออก ปิดจมูก อย่าไปสนใจในกลิ่น ให้สนใจแต่ลม ปิดลิ้น อย่าไปยินดียินร้ายในรส ปิดกาย ไม่ต้องแสดงมรรยาทวุ่นวาย ทำใจให้สงบ ปิดใจ ไม่ต้องไปนึกถึงเรื่องบาปและอกุศล ที่เขาเรียกว่าปิดหัวคันนาคือ อินทรียสังวรศีล เมื่อปิดหัวคันนาดีละก็ความดีก็เต็มอยู่ในตัว นี่เรา ไถชิทีนี้ ไถแต่บนหัวลงไป อโธ เกสมตฺถกา ไถแต่บนศีรษะไปจนถึงเท้า อุทฺธํ ปาทตลา ไถตั้งแต่เท้าไปจนถึงศีรษะ ตจปริยนฺโต คราดหนังให้ทั่ว เกษา-ผม โลมา-ขน นขา-เล็บ ทนฺตา-ฟัน ไตร่ตรองพินิจพิจารณาอนุโลมไปตาม นึกปฏิโลมหวนมาถึงจิต คราดให้ดี หญ้ามันจะตาย แผ่นดินมันจะราบ พิจารณากายของเรา กว้างศอก ยาววา หนาคืบ ไถมันให้แหลก คราดให้มันทั่ว เชื่อมั่นลงไป เรียกว่า กมฺมสฺสกตา สทฺธา เชื่อว่าเราทำดีต้องได้ดี เราทำชั่วต้องได้ชั่ว


    เมื่อเราตั้งใจประพฤติปฏิบัติบำเพ็ญอย่างนี้ น่าเป็นนาบุญอย่างเลิศ ประเสริฐยิ่งกว่านาบุญภายนอก คือวิธีการบำเพ็ญสมาธิ ต้องปฏิบัติเหมือนกันกับส่วนภายนอก นี้จึงให้พากันบากบั่นพยายามบำเพ็ญในส่วนภาวนา ทำจิตใจของตนให้หมดอกุศลจิต ทำแต่ส่วนที่เป็นความดีให้เกิดขึ้น มีวิตก วิจารณ์ปีติ วิตกเหมือนกับไถ วิจารเหมือนกับคราด ปีติ น้ำมันอิ่มเอิบ สุขสบายใจ เอกัคคตา เมล็ดข้าวมันก็จัด นาเราก็สำเร็จเต็มบริบูรณ์ นามีอยู่ ๔ ไร่เต็มหมด คราดทั้งสี่ ๔ ไร่ คือ ธาตุสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลม ข้าวก็เกิดขึ้นทั้ง ๔ ไร่ เหลือกินลาภรวย ไม่อดไม่อยากเหลือกิน จะขายก็ขาย ไม่ขายก็แจก แจกอย่างไร แจกก็ได้แก่การที่พวกเรารู้จักแนวทาง มีการแนะนำสั่งสอนตักเตือนซึ่งกันและกัน ให้กว้างขวางเข้าไปอีก อันนี้เรียกว่าแจก ขาย ทีนี้ คงได้ผลตอบแทนมาจากการทำความดีชนิดนั้น เช่นเรามีความดีในตัวของเรา เราไม่มีความต้องการปรารถนา แต่เขาก็ให้เครื่องตอบแทน เช่นพระ อย่างนี้เป็นต้น เขาให้เครื่องตอบแทนไม่ขาด ให้กิน ไม่ให้อด ไม่ให้อยาก นอนกินเขาก็ไม่ให้นอน สร้างให้นอน แต่ละอย่างแต่ละชนิดนี้ ได้เครื่องตอบแทนมาตั้งเหนือนอกเจตนา นั่นแหละเปรียบเหมือนกับขายของ นั่นมันก็สบายละทีนี้ เราขายทุกวัน ผลตอบแทนก็ได้ทุกวัน


    ส่วนฆราวาสก็น่าจะเป็นไปได้เช่นเดียวกันเหมือนกัน ถ้ามีความดีจริงๆ ก็อาจจะ เป็นไปได้ ที่เป็นไปได้ยากคืออะไร คือ ความเห็นบางอย่างมันยังไม่ยอม ยังไม่ยอมจนใจ ยังอยากมั่งอยากมี อยากลาภอยากรวย ถ้ามีความอยากมั่งอยากมี อยากลาภอยากรวย ก็ต่อสู้หา เมื่อหามาได้มีแล้ว ใครเขาจะช่วยเหลือเรา ที่นั่นก็มี อันนี้ก็มี ของมีนะเป็นเครื่องบังตาของคนที่ให้ ของไม่มีเป็นเครื่องเปิดตาแก่คนที่ให้ อย่างที่ไปอยู่จันทบูรณ์ มีพวกจีนพวกเด็กในตลาดเขาเล่า วัดอื่นไปบิณฑบาตเขาใส่แต่ข้าว แต่กับข้าวไม่ได้ใส่เลย ส่วนวัดป่าน่ะ แหม ข้าวก็เต็มบาตรปรี่ลูกศิษย์ก็ถือตะกร้าห่อกับแกงเท่านั้นแหละเต็มหมด มีพระบางองค์ไปต่อว่าญาติโยม ทีนี้ส่วนโยมก็ตอบ เขาบอกว่าวัดป่าน่ะ เงินจะบำรุงก็ไม่เคยหา โรงครัวก็ไม่ได้ตั้ง ถ้าใส่แต่ข้าวจะไปกินยังไง จำเป็นจะต้องช่วยท่าน ใส่กับใส่แกงให้สมบูรณ์จึงจะอยู่ได้ ส่วนที่อื่นนั้น โรงครัวก็มี รายได้ก็แยะ ก็ไม่จำเป็นจะต้องใส่กับใส่แกง อันนี้ก็แสดงให้เห็นว่า ความมีมันปิดตาของเขา ความไม่มีมันเป็นช่องโหว่ให้เขาแลเห็น นี่มันเป็นอย่างนี้


    อีกเรื่องหนึ่ง ไปอยู่ที่ไหนก็ขี้มักมีอย่างนี้ ไปอยู่โคราชก็เหมือนกัน อยู่ที่วัดหนึ่ง เขาอิจฉาถึงเอามีดอีโต้ไปฟันคอลูกศิษย์ เรามันก็ไม่รวยนักหนาหรอก แต่เขาเข้าใจผิดไป ว่ารวยอุดมสมบูรณ์ จึงมีคนเอามีดไปฟันคอพระ แต่มันไม่เข้า มีโยมเล่าให้ฟังว่า เคยถูกต่อว่าเรื่องเอาข้าวไปยืนรอใส่บาตรเฉพาะพระวัดนั้น เมื่อพระวัดอื่นมาไม่ศรัทธาเป็นต้น แกบอกว่า “ผมไปดูวัดนั้นน่ะ ไม่มีอะไรเลย หัวหอมหัวเดียวก็ไม่มีในโรงครัว ไปดูที่กุฏิก็ไม่มี มีแต่ผ้ากับบาตร จะไปหาผักหาหญ้ามาต้มแกงกินก็ไม่ได้ อย่างวัดอื่นละก็ตอนค่ำๆ ไปเก็บผัก ไปไล่กระต่าย ได้หนูได้ตุ่นอะไรมาก็ตามเรื่อง เมื่อท่านทำอย่างนั้น ผมจะไปทำบุญได้อย่างไร ท่านไปหากินเองเสียจนเป็นที่พอใจ ผมจะพอใจกับท่านหรือไม่ ผมก็ไม่ทราบ ผมไม่สนใจ”


    นอกจากนี้ก็ยังมีอีกตัวอย่างที่เคยเห็นมาที่จันทบูรณ์ จันทบูรณ์เคยไปอยู่นานจนเกือบจะเป็นบ้านตัวเอง รู้เรื่องอะไรต่างๆ ในเรื่องฝ่ายโลกก็ทราบ ในเรื่องของศาสนาก็ทราบ ที่เป็นคติดีมากคือวันหนึ่ง ท่านมีทุนทรัพย์ลงทุนชื้อที่ดินให้ลูกศิษย์ปลูกเงาะ ปลูกยางเต็มไปหมด ยางตัดวันหนึ่งก็ได้หลายสิบแผ่น เงาะปีหนึ่งก็ได้แยะ ส่งขายถึงพระนคร แต่ไม่มีใครไปให้กินเลย พวกตลาดเขาว่าไม่มีใครไปให้กิน เงาะของท่านมันสวยมาก งามมาก ราคาสูง ส่งขายที่กรุงเทพฯ ส่วนพวกท่านเองน่ะ กินเงาะขี้คอก เงาะขี้คอกเป็นลูกเล็กๆ ดำๆ เขาเรียกเงาะขี้คอก ส่วนสวยๆ ขายหมด ชาวบ้านเขาก็ไม่ได้นึกว่า ท่านกินอย่างนั้น ลูกเงาะท่าน มองในสวน สวยงาม ลูกใหญ่ลูกโต ลูกของเราดำๆ น่ะหรือจะไปถวายก็จะกินอย่างไร ของท่านก็พอแรง เลยไปไปถวายให้กิน ในที่สุดตัวก็เลยอด ไม่ได้กินของดีกับเขาหรอก กินแต่เงาะขี้คอก อันนี้มันเรื่องอะไร ความมีมันเป็นสิ่งบังตาเขา เขาไม่ช่วย นี่เป็นตัวอย่าง


    นอกจากนี้ ยังมีอยู่แยะ หลายอย่าง หลายเรื่อง หลายราว ที่มันเป็นไปอย่างนี้ เพราะถ้าใครเป็นผู้ยอมเสียสละตัว ให้ไม่มีเสียอย่างหนึ่ง คนนั้นไม่อดตาย ถ้าไม่ยอมเสียสละ ยังต่อสู้การเป็นคนมีอยู่ บางทีก็จะมีกิน บางทีก็จะอด นี่มันเป็นอย่างนี้ ฉะนั้น การประพฤติปฏิบัติของพวกเราถ้าเข้มงวด เข้มแข็ง กล้าหาญ สามารถที่จะยอมเสียสละ นึกว่าไม่เป็นไรสำหรับชีวิตหนึ่ง แต่ว่าเป็นไปยากหน่อย ไม่ว่าแต่โยมแหละ แต่พระก็ยังไม่ยอมจน ยังอยากมั่งอยากมี อยากลาภอยากรวย เห็นพระในพระนครมาทำวัตร เมื่อก่อนพรรษานี้ เขาบอกว่าแย่ๆ บางวันไปบิณฑบาต กลับมาได้ทัพพีเดียว ต้องกลับมาให้ลูกศิษย์หุงข้าวให้กิน รู้สึกว่าคนไม่ค่อยจะใส่บาตร ลำบาก อัตคัดขาดแคลน ในการเป็นเช่นนั้นมองได้ ๒ แง่ แง่หนึ่ง ท่านเป็นผู้เที่ยวแสวงหารายได้ เขาเข้าใจว่าท่านมั่งมี คนชนิดนี้จะช่วยก็ได้ ไม่ช่วยก็ได้ เขาเห็นอย่างนี้ในแง่หนึ่งแง่ที่สอง เขามองถึงคุณภาพว่าคนนั้นเป็นคนที่หายนะไม่ขวนขวายพยายามก่อสร้างคุณงามความดี มีแค่สับสร้างความเศร้าหมอง สองแง่นี่แหละเป็นเหตุให้เขาเสียศรัทธา นี่เป็นอย่างนี้


    ฉะนั้น เมื่อกล่าวถึงพวกเราก็เช่นเดียวกัน ถ้าใครอยากมี อยากรวย อยากมั่งมีศรีสุขแข่งขันกับโลก ผู้นั้นจะต้องจน คนใดไม่เอาเปรียบของโลก เขาจะมีก็สาธุ ให้เขามีไปเถิด แต่เราก็แค่นี้แหละ ไม่มี ทำตนเป็นคนไม่มี ถ้าไปทำตนเป็นคนมีขึ้นละก็เดือดร้อนละ ถ้าทำตนเป็นคนไม่มี นั่นมันถึงจะเกิดมรรคเกิดผล มีก็เหมือนกับไม่มี คือมาอยู่กับความมีทรัพย์ภายใน มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา อยู่ในศีล ศีลมันเป็นพื้นแผ่นดิน เรียกว่าศีลวัตร สมาธิมันเป็นกุฏิ ดีกว่าตึก ปัญญาเป็นเครื่องปกคลุม กันแดดฝนไม่ให้ร้อน มันดีกว่าภายนอก ไม่ได้ไปอยู่ในวัตถุเหล่านั้น ทำไมถึงไม่อยู่ในวัตถุเหล่านั้น วัตถุเหล่านั้นมันไม่มีเจ้าของ มองไปได้หลายแง่ แง่หนึ่งเห็นว่ามันไม่มีเจ้าของสักคน คนที่ให้มันก็ไม่มีสิทธิ์ คนที่รับเขาก็ไม่มีสิทธิ์ เจ้าของมันอยู่กับใคร มันเป็นของกลางโลก ไม่มีเจ้าของก็ปล่อย เสียสละไว้ตามธรรมชาติ ใจไม่เกี่ยวข้องกังวล แต่ทำไปตามหน้าที่ ใจจิตฝักใฝ่ กวาดล้างอยู่ในศีลและธรรม


    บำเพ็ญสมาธิเป็นเครื่องอยู่ เรียก วิหารธรรม บำเพ็ญปัญญาเป็นเครื่องป้องกันปกคลุม ถ้าเราอยู่โดยอาการอย่างนี้ ไม่ตาย ไม่จน พระพุทธเจ้ากล่าวว่า อริยทรัพย์เป็นสมบัติของนักพรต เป็นสมบัติของนักบวช สมบัติของนักปฏิบัติ การที่มีเจ้าของมียังไง ถ้าไปยึดว่าเป็นของตัว มันก็เป็นคนโกง ต่างคนต่างโกง โยมก็ยึดว่าเป็นของโยม พระก็ยึดว่าเป็นของพระ ต่อไปก็จะไปตีกันอยู่ข้างหม้อนรก จะไปแย่งสมบัติกันอยู่ข้างหม้อนรก ให้ยมบาลตัดสิน สิ่งใดที่เราเสียสละไปนั้น ถ้าเราไปยึดเป็นของเราๆ นั่นก็ชื่อว่าเราผูกสิทธิ์ จิตยังผูกพันอยู่ พระก็ว่าของเราๆ เขาก็ให้แล้ว จิตยังผูกพันอยู่ ไม่เสียสละ ไม่ปล่อยไม่วาง ตายปั๊บ นี่เป็นเวรผูกพัน ไปอยู่โน่นแหละ ไปเล่นงานกับพญายมบาล โยมก็ว่าของโยม พระก็ว่าของพระ ดึงกันไปดึงกันมาเมื่อดึงกินไปดึงกันมา ทำยังไงทีนี้ ใครจะตัดสิน ก็พญายมบาลนั่นแหละตัดสิน อย่างเรื่องตานาตาอินได้ปลานั่นแหละ ตานาตาอินแย่งปลากัน ตาอยู่เป็นผู้ตัดสิน ให้ตานาเอาหัวไป ให้คาอินเอาหางไป มันอยากแย่งกัน กูเอากลางตัวไปกินโว้ย มันก็อร่อยตาอยู่นั่นแหละ


    นี่ฉันใดก็ดี เมื่อเราไม่มายึดสิทธิ์ว่าสิ่งนั้นเป็นของตัว มันก็ไม่มีโทษ โทษชาตินี้มีความกังวล มีความเกี่ยวข้อง มีจิตผูกพัน ชาติหน้ามันก็เป็นห่วงเป็นใย ฉะนั้นจึงควรพิจารณาว่าไม่มีสิทธิไม่มีเจ้าของ มียังไง ลองคิดดูชิ เรามีเงินบาทหนึ่ง เป็นบาทของเราน่ะ ถ้าเก็บไว้ตั้งแต่เด็กจนโตน่ะมันเต็มบ้านแหละเงิน แต่มันมีเต็มบ้านไหมล่ะ เปล่า เก็บไว้เดือนละร้อยละชั่ง มาปัจจุบันเหลือไม่ถึงสิบบาท ถ้ามันเป็นของเราจริง มันไม่ควรเป็นเช่นนั้น มันไปโน้น มันไปนี้ไม่มีเจ้าของ ถ้าเราขืนยึดตัวเป็นเจ้าของละก็โศกา เงินสิบบาท เราไม่ยอมเสียสละ เราอดตาย เป็นสิบบาทมันกินไม่ได้ เราต้องยอมเสียสละให้แก่แม่ค้า จึงจะได้กะปิน้ำปลามากิน นี่ฉันใดก็ดี สิ่งทั้งหมดท่านไม่ให้ยึดสิทธิ์ ปล่อยวางลงไปตามสภาพ ยกเอาแต่รส เราปล้อนเอาแต่เนื้อมัน วัตถุข้าวของต่างๆ มันเป็นกาก เนื้อมันคือเรายอมเสียสละ เกิดความปลื้มใจ นั่นเนื้อมัน อย่าไปกินกาก ส่วนวัตถุมันเป็นกาก กากเราคายออกไปให้เป็นประโยชน์ เป็นประโยชน์แก่เราด้วย เป็นประโยชน์แก่คนอื่นด้วย เนื้อมันก็คือบุญกุศลที่เราได้มา


    เมื่อพิจารณาอย่างนี้ มันก็สบายใจ ไม่ยากไม่จน มันก็ลาภรวย มั่งมีศรีสุข จะกินอดอยาก เขาก็ไม่ยอมให้กินอดอยาก จะนอนดิน เขาก็ไม่ยอมให้นอน จะนุ่งผ้าขาดๆ เขาก็ไม่ยอมให้นุ่ง มันก็เพราะอะไร ก็เพราะว่าท่านไม่แข่งขันลาภรวยกับชาวโลก มีช่องโหว่ให้เขาแลเห็น นี่ทำความไม่มีในใจก็ยังดี แต่ความมีของโลกเป็นธรรมดา ข้อสำคัญอย่าให้มันมีในจิต ให้จิตมันว่างเปล่า เป็นของดีเลิศ อย่างพวกเราก็ให้เ นเช่นนั้น เพื่อเป็นเช่นนี้ก็สบาย คนที่บริจาคก็หมดเวร หมดความผูกพัน คนที่รับก็หมดเวร หมดความผูกพัน ของนั้นมันก็เลิศเหมือนต้นไม้ต้นหนึ่ง เมื่อไปปลูกลงไป ทีนี้เราไปปลูกในสวนคนอึ่น พื้นที่ของเราไม่มี ไปปลูกในสวนเขา เมื่อมันโตเป็นลูก เจ้าของสวนมันก็เหนี่ยว เราผู้ปลูกมันก็เหนี่ยว เกิดเรื่องละทีนี้ ขึ้นศาลลงศาล ให้ตุลาการเป็นผู้พิพากษาตัดสิน จึงจะสำเร็จ


    อันนี้พวกเรา สิ่งต่างๆ ที่จะมาสับสร้างบำเพ็ญในวัดก็เช่นเดียวกัน คนอยู่วัดก็เหนี่ยวว่าของกู คนให้ก็เหนี่ยวว่าของกู จะไปพิพากษากันที่ไหนเล่า โน่นไปหาพญายมบาล นั่นคนโง่แต่คนฉลาดไม่ต้อง ขึ้นนั่งแท่นว่าความมันเลย นั่งแท่นคือ สมาธิ ผู้พิพากษาตัดสินคือ ปัญญา ว่าไม่ใช่ของใคร เป็นของกลางโลก ตัดสินไปเด็ดขาด ไม่ยึดไม่ถือ เท่านี้ก็สำเร็จ นี่เป็นยอดบุญยอดกุศล เรียกว่าวิมุติ ความหลุดพ้น พวกเราควรจะต้องพากันประพฤติปฏิบัติตัวอย่างนี้เรื่อยไปตัวเราก็เกลี้ยง สิ่งของก็เกลา เราก็สบาย หายใจก็ทั่วท้อง นี่เป็นของดีเป็นของเลิศ ไม่เป็นของเลอะเทอะ และเป็นของไม่โสมม


    ถ้าหากว่าเราถือว่าเป็นของเรา นั่นแหละ เราเอาไปกำไว้ ของที่กำนานๆ เหงื่อมันออกเหงื่อมันไหล ของนั้นมันก็สกปรก ความเข้าไปยึดถือสิ่งต่างๆ ว่าเป็นของตัว ยึดมั่น นั่นแหละสนิมมันจะเกิด สนิมคือความยึดความถือ มันนำมาซึ่งความเศร้าหมองจิต เรียกว่ากิเลสหรือมลทิน ญาติโยมเหมือนกัน เมื่อเรายึดถือมากๆ เหงื่อมันไหลนานๆ เข้า มันสกปรก ถ้าเป็นเหล็กมันจะเกิดสีแดงขึ้น ถ้าเป็นก้อนข้าว มันก็บูด กินไม่ได้ นี่ความโลภมันเป็นน้ำกรด ความโกรธมันก็เป็นน้ำกรด ความหลงมันก็เป็นน้ำกรด ธรรมดาน้ำกรด เข้าไปอยู่ที่ไหน ก็กัดทำลายหมด ดวงจิตที่หนาไปด้วยความโลภ หนาไปด้วยความอยาก หนาแน่นไปด้วยความหลง ฆราวาสญาติโยมส่งเสริมเพิ่มพูลเท่าไร ยิ่งฉิบหายเท่านั้น น้ำกรดมันกลืนกินหมด นี่มันเป็นอย่างนี้ บางทีโยมที่ให้ของเขาอัดน้ำกรดเสียก่อน เมื่อให้ไป น้ำกรดก็เข้าไปกัดเกลี้ยงไม่มีเหลือหลอ เหตุนั้นโทษของกิเลสจึงเป็นเหตุเกิดความยากจน เกิดความคับแคบ เกิดความไม่สบายจิต


    ฉะนั้น พวกเราก็ควรจะต้องพากันคิดนึกตรึกตรองมองอย่างนี้ นี่เป็นนาบุญเขตขยายไปส่วนวิธีนอก เกี่ยวถึงเรื่องเจริญกรรมฐาน พิจารณาสังขารก็เช่นเดียวกัน นี้เรียกว่าไถ เรียกว่ากลบ เรียกว่าคราด เรียกว่าหว่าน เรียกว่าดำ เรียกว่าเกี่ยว เรียกว่าเก็บ เรียกว่าตำ เรียกว่าต้ม เรียกว่าหุง ให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ก็อ้วนพี อิ่มหนาสำราญเบิกบานจิต นี่พวกบริโภคบุญบริโภคกุศล อ้วนพี ร่างกายไม่เหี่ยวแห้ง จะเดินได้แต่โลกนี้ ถึงนิพพาน ไม่เสียกำลัง กิเลสมากกัดกร่อนร่างกายสึกหรอ เดินไปสวรรค์ก็ไปไม่รอด มันอ่อนเพลีย ไปนิพพานก็ยิ่งเสร็จ เหตุนั้นผู้จะหล่อเลี้ยง ผู้บำเพ็ญความดี เดินทางไกลให้รอดนั้น ต้องเลี้ยงด้วยบุญ ต้องเลี้ยงด้วยกุศล ทำผลให้เกิดขึ้นในตัว จึงจะไปได้


    เหตุนี้ เมื่อพวกเราพุทธบริษัท ได้พากันทบทวนไตร่ตรองพิจารณา ก็จงพากันสร้างศรัทธาให้มันเกิด สร้างความพยายามพากเพียรให้มันกล้า พากันมีความอด มีความทน กลั่นน้ำเค็มให้เป็นน้ำฝน ให้เย็นจนได้ อย่าให้มันเย็นเป็นน้ำแข็ง ให้มันเย็นเหมือนหม้อแบตเตอรี่ เมื่อต้องการเปิดหาแสงสว่าง มันก็จะได้สำเร็จตามความปรารถนา


    นี่บรรยายมาโดยเบ็ดเตล็ด เป็นเครื่องปรับปรุงเตือนใจแก่ชาวเรา ไหนๆ พวกเราจะต้องตายประการหนึ่ง ประการที่สอง โอกาสเวลาที่เหมาะสมนั้น ก็จะสึกหรอไปทุกที มีอยู่ ชั่วเวลาอีก ๗ วันเศษ ก็จะหมดเวลาเข้าพรรษาแล้ว ฉะนั้น เมื่อเวลามีฝนห่าแก้ว ก็จงพากันรีบคราดรีบไถ จงพากันรีบหว่าน รีบดำ บำเพ็ญคุณห้ามความดีให้มันเกิดขึ้น เมื่อมีความคิดเห็นโดยอาการเช่นนี้ บุคคลผู้นั้นก็จะก้าวไปสู่แต่ความเจริญงอกงามถ่ายเดียว ไม่มีความหายนะ มีแต่วัฒนธรรม นำบุคคลผู้นั้นให้ใกล้ต่อมรรคผลนิพพาน


    มีดังได้บรรยายมา ในปกิณกธรรม ก็จะยุติลงแต่เสมอเพียงเท่านี้.


    คัดลอกจาก ประตูธรรม
    http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/lp-lee/lp-lee_09.htm
     

แชร์หน้านี้

Loading...