( ทาน ๓๒ )ทานปรมัตถบารมี..กระต่ายโพธิสัตว์สละชีวิตเป็นทาน..

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย rinnn, 19 มีนาคม 2006.

  1. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,027
    ( ทาน ๓๒ ) ทานปรมัตถบารมี..กระต่ายโพธิสัตว์สละชีวิตเป็นทาน..ความดีที่ทำได้ถูกจารึกไว้ในดวงจันทร์

    <table border="0" width="550"><tbody><tr><td> ( ทาน ๓๒ ).......ทานปรมัตถบารมี........กระต่ายโพธิสัตว์สละชีวิตเป็นทาน ความดีที่ทำได้ถูกจารึกไว้ในดวงจันทร์...........
    ทานปรมัตถบารมี





    ....... พระโพธิสัตว์ ทรงบำเพ็ญทานมามากทั้งวัตถุทาน วิทยาทาน ให้เลือดเนื้ออวัยวะ ตลอดแม้กระทั่ง
    ให้ชีวิตอันเป็นที่รักยิ่งของตนเป็นทาน ดังที่เรียกว่า " ทานปรมัตถบารมี " ถึงแม้บางชาติพระองค์จะ
    เกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน แต่อัธยาศัยของการเป็นผู้ให้ก็มิได้ลดน้อยถอยลงเลย ยังคงมีน้ำใจอันประเสริฐยิ่ง
    ยอมสละชีวิตให้เป็นทาน ดังเรื่องสสบัณฑิต ดังนี้


    สสบัณฑิต


    ........ในอดีตกาล เมื่อพระโพธิสัตว์ของเราได้เกิดเป็นกระต่ายเที่ยวอยู่ในป่า มีใบไม้ ใบหญ้า ผัก และผลไม้
    เป็นอาหาร เว้นจากการเบียดเบียนผู้อื่น มีสหายทั้ง ๓ คือ ลิง สุนัขจิ้งจอก และนาก สัตว์ทั้ง ๓ จะประชุม
    เพื่อฟังคำสอนในเรื่อง การให้ทาน รักษาศีล และอุโบสถศีลของกระต่ายอยู่เสมอ

    วันหนึ่ง กระต่ายแหงนหน้าดูท้องฟ้า ก็ทราบว่าวันพรุ่งนี้พระจันทร์เต็มดวง จะเป็นวันอุโบสถแล้ว
    จึงบอกแก่สหายทั้ง ๓ ว่า " วันพรุ่งนี้เป็นวันอุโบสถ พวกเรามาสมาทานอุโบสถศีลกันเถอะ เมื่อสมาทาน
    ศีลอันสมบูรณ์แล้วจึงบริจาคทาน ทานนั้นย่อมมีผลานิสงส์มาก เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงให้อาหาร
    แก่ผู้มาขอก่อนแล้วจึงบริโภคเองภายหลัง " สหายทั้ง ๓ จึงทำตามคำแนะนำ

    ในวันรุ่งขึ้น นากไปที่ฝั่งแม่น้ำแต่เช้าตรู่ด้วยคิดว่าจะหาอาหาร ครั้งนั้นพรานเบ็ดคนหนึ่ง ตกปลาตะเพียน
    ได้ ๗ ตัว เอาเถาวัลย์ร้อยไว้ แล้วหมกไว้ใต้ทรายที่ฝั่งแม่น้ำ แล้วเดินไปหาปลาในที่อื่นๆ ต่อไป นากมา
    หาอาหารในบริเวณนั้น ได้กลิ่นปลาจึงคุ้ยทรายเห็นปลาตะเพียน ๗ ตัวนั้น จึงนำออกมาประกาศ ๓ ครั้งว่า
    " ปลาเหล่านี้ มีเจ้าของหรือไม่ " เมื่อไม่เห็นเจ้าของก็คาบมาไว้ที่พุ่มไม้ซึ่งเป็นที่อยู่ของตน คิดว่าจะกินใน
    เวลาอันสมควรแล้วก็นอนนึกถึงศีลของตน

    สุนัขจิ้งจอกเที่ยวหาอาหาร เห็นเนื้ออย่าง ๒ ชิ้น นมส้มหมอหนึ่งที่กระท่อมของคนเฝ้านา ประกาศ
    ๓ ครั้งว่า " อาหารเหล่านี้ มีเจ้าของหรือไม่ " ครั้นไม่เห็นเจ้าของก็เอาเชือกผูกที่หม้อนมส้มคล้องคอนำ
    มาและคาบเนื้ออย่าง ๒ ชิ้น มาวางไว้ที่พุ่มไม้ที่เป็นที่อยู่ของตน คิดว่าจะกินในเวลาอันสมควร แล้วก็นอน
    นึกถึงศีลของตน

    แม้ลิงก็เข้าไปในป่า นำผลมะม่วงมาวางไว้ที่พุ่มไม้ที่เป็นที่อยู่ของตน คิดว่าจะกินในเวลาอันสมควร
    แล้วก็นอนนึกถึงศีลของตน


    .......ส่วนกระต่ายได้ออกไปหากินหญ้าแพรก แล้วกลับเข้ามานอนนึกอยู่ว่า เมื่อยาจกทั้งหลายมาหาเรา เขา
    ไม่อาจจะกินหญ้าได้ อาหารอย่างอื่นของเราก็ไม่มี เราจะให้เนื้อในร่างกายของเรานี้เป็นทาน

    ด้วยอานุภาพแห่งความตั้งใจสละเลือดเนื้อให้เป็นทาน ทำให้ร้อนถึงอาสนะของท้าวสักกะ พระองค์
    พิจารณาดูก็ทราบเหตุ จึงแปลงเพศเป็นพราหมณ์เข้าไปหานาก เมื่อเห็นพราหมณ์ยืนอยู่ นาก ก็ถามว่า
    " ท่านพราหมณ์ ท่านต้องการอะไรหรือ ? "

    พราหมณ์ตอบว่า " หากเราได้อาหารสักอย่าง เราจะรักษาอุโบสถ บำเพ็ญสมณธรรม " นากตอบว่า
    " ดีแล้ว ถ้าเช่นนั้นท่านจงบริโภคปลาตะเพียนนี้ แล้วเจริญสมณธรรมในป่านี้เถิด "

    พราหมณ์กล่าวว่า " รอไว้ก่อนเถิด แล้วเราจะมารับในภายหลัง " แล้วจึงไปหาสุนัขจิ้งจอกและลิง
    ทำอาการเช่นเดียวกัน แม้สัตว์ทั้งสองก็ต้อนรับด้วยอาหารที่ตนมีอยู่ พราหมณ์ก็กล่าวว่า " แล้วจะมารับ
    ในภายหลังเช่นเดียวกัน "

    พราหมณ์ไปยังสำนักของกระต่าย กระต่ายเห็นพราหมณ์จึงถามด้วยความยินดี " ท่านมาสู่สำนักของเรา
    เพื่อต้องการสิ่งใด ? "

    พราหมณ์กล่าวว่า " เราต้องการอาหาร หากท่านมีอยู่ขอจงโปรดให้อาหารเพื่อแก้หิวด้วยเถิด " กระต่าย
    จึงตอบว่า " เราจะให้อาหารเป็นทานแก่ท่าน แต่ท่านเป็นผู้มีศีลไม่ทำปาณาติบาต ท่านจงไปหาฟืนมาก่อไฟ
    เมื่อไฟลุกดีแล้ว เราจักกระโดดเข้าไปในกองไฟ เป็นเนื้ออย่างให้ทานแก่ท่าน ท่านจงบริโภคเนื้อของเรา
    แล้วเจริญสมณธรรมอยู่ในป่านี้เถิด "

    .......เมื่อพราหมณ์ได้ฟังดังนั้น จึงเก็บฟืนในบริเวณนั้นมาสุมเป็นกองก่อไฟลุกโพลงขึ้น กระต่ายลุกขึ้นจาก
    ที่นอนอันเป็นหญ้าแพรก เข้าไปใกล้กองเพลิง สะบัดตัวถึง ๓ ครั้ง ด้วยคิดว่า " สัตว์ที่มีชีวิตทั้งหลายที่
    อยู่ในระหว่างขนของตน สัตว์เหล่านั้นจงกระเด็นออกไปเสียให้หมด " ทำดังนี้แล้ว ก็กระโดดเข้าไปใน
    กองเพลิงด้วยจิตใจอันเบิกบาน ดุจพญาหงส์ร่อนลงในกอบัวฉะนั้น แต่ไฟนั้นไม่อาจทำให้ร้อนแม้เพียง
    ขุมขนหนึ่ง

    กระต่ายร้องบอกว่า " ท่านพราหมณ์ ไฟของท่านนี้เย็นนัก จักไม่เผาร่างกายของเราให้สุกได้ เพราะ
    ว่าขุมขนในร่างกายของเราไม่ร้อนเลย "

    พราหมณ์แปลงจึงตอบว่า " ดูก่อนบัณฑิต เรามิใช่พราหมณ์ธรรมดา เราคือ ท้าวสักกะ ปรารถนาจะ
    ทดลองใจของท่านต่างหาก "

    กระต่ายจึงประกาศด้วยคำอันไพเราะว่า " ข้าแต่สมเด็จอมรินทราธิราช ขอพระองค์จงประทับยืนอยู่ก่อน
    ถ้าโลกอันเป็นที่อยู่ด้วยกันนี้ทั้งสิ้น จะทดลองข้าพเจ้าในเรื่องทาน ก็จะเห็นว่าข้าพเจ้าเป็นผู้ให้ทานโดย
    แท้ เพราะว่าข้าพเจ้าพอใจในการให้ทานเป็นอย่างยิ่ง "

    ท้าวสักกะตรัสตอบว่า " ดูก่อนบัณฑิต คุณของท่านจงปรากฎอยู่ตลอดกัปเถิด " ตรัสดังนี้แล้ว จึงนำ
    เอาแท่งภูเขาไปจารึกรูปกระต่ายไว้ในดวงจันทร์ แล้วนำกระต่ายกลับไปนอนในหญ้าแพรกที่พุ่มไม้นั้น
    ตามเดิม แล้วเสด็จกลับสู่สวรรค์

    พระโพธิสัตว์ทรงมีพระทัยมั่นในการให้ทาน ไม่ว่าจะเสวยพระชาติเป็นอะไรก็ตาม ไม่หวาดหวั่นเลย
    แม้ไม่มีสิ่งใดให้ทานแล้วก็ยอมสละชีวิตทำความดีได้ ควรที่เราท่านทั้งหลายผู้มุ่งหวังความสุข ความสำเร็จ
    ในชีวิต จะได้ประพฤติปฎิบัติตามพระโพธิสัตว์




    .......ท่านผู้รู้กล่าวว่า ทานกับการรบ มีสภาพเสมอกัน
    นักรบแม้จะมีน้อย ย่อมชนะคนมากได้
    เจตนาเครื่องบริจาคแม้จะน้อย ก็ชนะหมู่กิเลสแม้
    มากได้เหมือนกัน
    ถ้าบุคคลเชื่อกรรมและผลแห่งกรรม ให้ทานแม้น้อย
    เขาย่อมเป็นสุขในโลกหน้า เพราะการบริจาคแม้มี
    ประมาณน้อยนั้น


    ( อาทิตตชาดก ๒๗/๑๑๘๓ )

    ที่มา พันทิพดอดคอม

    [​IMG]

    </td></tr></tbody></table>
     

แชร์หน้านี้

Loading...