ทรชนคนบาป

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย J.Sayamol, 8 พฤศจิกายน 2008.

  1. J.Sayamol

    J.Sayamol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    6,190
    ค่าพลัง:
    +21,530
    ทรชนคนบาป

    ในสมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๑ พระเจ้าศศางกะ กษัตริย์อินเดียผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ เกิดริษยาความเจริญของพระพุทธศาสนา จึงคิดจะทำลายล้าง โดยจัดการกับวิหารมหาโพธิ์ สถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าก่อน ในวิหารนั้นมีพระพุทธรูปอันงดงาม พระเจ้าศศางกะสั่งให้แม่ทัพจัดการทำลายพระพุทธรูปทันที แล้วเสด็จออกไปตัดต้นมหาโพธิ์ ส่วนภายในวิหารปล่อยให้แม่ทัพจัดการ

    ฝ่ายแม่ทัพเป็นผู้รู้จักผิดชอบชั่วดี ไม่กล้าทำตามคำสั่งนาย ได้ดำริว่า ถ้าทำลายพระพุทธรูปตามโองการของพระราชา เราก็ต้องตกนรก ถ้าไม่ทำตามโองการ ศีรษะก็จะไม่อยู่กับบ่า ในที่สุดคิดอุบายร่วมกับคนสนิท ก่อกำแพงบังพระพุทธรูปนั้นให้มิด แล้วทูลพระราชาว่าทำลายเสร็จสิ้นแล้ว

    พระเจ้าศศางกะชอบพระทัย พอล่วงไป ๗ วัน ก็บังเกิดโรคพุพองเปื่อยเน่าไปทั่วสรีระ กษัตริย์ใจบาปนี้ได้เสวยทุกขเวทนาอย่างสาหัสจนสิ้นพระชนม์ ฝ่ายแม่ทัพก็รีบมารื้อกำแพงออกทันที

    เหตุการณ์นี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ แม้พระพุทธรูปยังไม่ได้ถูกทำลาย แต่เป็นผลอันเกิดจากการทำอันตรายต้นพระศรีมหาโพธิ์ ซึ่งพระพุทธองค์อาศัยร่มเงาในคืนตรัสรู้

    อ.เสถียร โพธินันทะ ได้ยินผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเล่าว่า ท่านได้เห็นชายชราเป็นโรคผิวหนังพุพองเปื่อยเน่าทั้งตัว ทั้งยังเป็นอัมพาตเดินไม่ได้ ต้องเที่ยวถัดไปตามถนนขอทานเขากิน ชายชราผู้นี้เล่าชีวประวัติให้ผู้ใหญ่ท่านนั้นฟังว่า เมื่อหนุ่มหากินทางขโมยลอกทองพระพุทธรูปบ้าง เที่ยวขุดทรัพย์ในองค์พระปฏิมาตามวัดร้างโบราณ ทำให้องค์พระเสียหายขาดอวัยวะไป บัดนี้กรรมตามทันมาสนองให้ต้องทรมานอย่างนี้หลายปีแล้ว และรู้ตัวว่าหากตายไปคงตกนรกแน่นอน

    ผู้ใหญ่ท่านนั้นเล่าว่า ได้เห็นสภาพของชายชราแล้ว ใจของท่านสลดสังเวชมาก เพราะมีสภาพเกือบไม่เป็นมนุษย์ ตามตัวเน่าไปหมดส่งกลิ่นเหม็นคลุ้งทีเดียว เป็นการตกนรกทันตาเห็นอยู่แล้ว

    (ตอบปัญหาร้อยแปด โดย เสถียร โพธินันทะ)


    :-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:



    บนกุฏิของท่านเจ้าคุณเจ้าอาวาสวัดโพธิ์นิมิตร ฝั่งธนบุรี มีพระพุทธรูปยืนสององค์ ยืนเด่นในหมู่พระพุทธรูปเป็นจำนวนมาก ท่านเจ้าคุณได้เล่าประวัติของพระพุทธรูปยืนสององค์ ความว่า

    ในจังหวัดพระนคร มีบุคคลผู้หนึ่งนำพระพุทธรูปยืนมาเลื่อยเป็นสองท่อน ท่อนบนขายให้ฝรั่งคนหนึ่งซึ่งเข้ามาทำงานในเมืองไทย เพื่อนำออกนอกประเทศได้สะดวก ส่วนท่อนล่างก็ไม่สนใจทิ้งไว้ข้างบ้าน คนข้างบ้านเห็นแล้วก็สังเวชใจยิ่งนัก จึงนำมาถวายท่านเจ้าคุณซึ่งท่านผู้นี้เคารพ ท่านเจ้าคุณได้จัดการบูรณะให้สมบูรณ์เป็นองค์พระ แล้วตั้งไว้เคารพบูชาบนกุฏิท่าน

    ต่อมาวันหนึ่ง ผู้ที่เลื่อยพระพุทธรูปนั่งรถไปธุระที่ซอยแห่งหนึ่งในเขตพระนคร เมื่อรถที่นั่งออกจากซอยก็ชนกับรถอีกคันหนึ่งอย่างแรง รถพังยับเยิน ผู้ฆาตกรรมพระพุทธรูปได้รับบาดเจ็บสาหัส หนังหัวถลกมาข้างหน้า เจ็บปวดจนร้องครวญครางอย่างน่าเวทนา ตำรวจนำผู้บาดเจ็บสาหัสส่งโรงพยาบาลโดยด่วน คนป่วยบิดตัวหน้าเบี้ยวบูดด้วยความเจ็บปวด พิษบาดแผลทำให้เพ้อคลั่งออกมาว่า ผมเจ็บปวดจนทนไม่ไหวแล้ว กรุณาเอาเลื่อยมาเลื่อยหน้าอกที คนป่วยร้องย้ำว่า ผมทนไม่ไหวแล้ว เลื่อยหน้าอกที ๆ ๆ

    บุคคลผู้นี้ต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส เจ็บปวดจนน้ำตาไหลอาบหน้า ทั้งกิริยาท่าทาง และการดิ้นรนตลอดจนหน้าตาบิดเบี้ยว ตอนแรกก็ร้องแผ่วเบา แล้วค่อยดังขึ้นจนที่สุดก็ตะโกนออกมา ผู้ที่เห็นเหตุการณ์ไม่มีใครรู้ว่า คำพูดที่ตะโกนออกมานั้นหมายความว่าอะไร บางคนเข้าใจว่าเป็นเพราะความเจ็บปวด จึงอยากให้เลื่อยกายออกเป็นสองท่อน เพื่อให้ตาย และพ้นความทุกข์ทรมาน บางคนคิดว่าพิษบาดแผลทำให้เพ้อพูดออกมาโดยไม่รู้ตัว คำที่พูดออกมาจึงไม่มีความหมาย แต่ผู้ที่รู้เบื้องหลังของคนป่วยคงจะตื่นเต้น ทุกคำพูดเขย่าขวัญและเสียดแทงเข้าไปในความรู้สึก เพราะบุคคลผู้สร้างบาปกรรมนี้ ที่สุดก็หนีบาปกรรมของตนไม่พ้น

    ฝ่ายฝรั่งคนนั้น ตั้งแต่ได้นำพระพุทธรูปท่อนบนมาไว้ในบ้าน ครอบครัวที่เคยสงบสุข ก็เปลี่ยนเป็นตรงกันข้าม ประเดี๋ยวคนนั้นป่วย คนนี้ป่วย จิตใจมีแต่ความเคร่งเครียด มองดูอะไรก็ไม่ถูกใจ เรื่องที่ไม่น่าจะมีก็มี ยิ่งมารู้ข่าวคนที่เลื่อยพระพุทธรูปก่อนตายร้องตะโกนให้เลื่อยหน้าอก ก็ยิ่งหวาดหวั่น หน้าที่การงานก็ได้รับคำตำหนิว่าบกพร่อง ทางต่างประเทศก็มีคำสั่งเรียกตัวกลับไป แกเชื่อมั่นว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นอภินิหารของพระพุทธรูปที่ซื้อมาแน่ จึงไม่ยอมนำพระพุทธรูปนี้กลับไปด้วย รีบไปพบผู้ที่นำพระพุทธรูปท่อนล่างไปถวายท่านเจ้าคุณ เพื่อให้ช่วยนำพระพุทธรูปท่อนบนไปถวายท่านเจ้าคุณ แม้จะทราบว่าท่อนล่างได้รับการบูรณะแล้ว ก็อยากจะให้นำท่อนบนไปให้พ้นบ้านเพราะความกลัว และบอกว่าเข็ดแล้ว จะไม่ขอแตะต้องพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป

    เมื่อได้พระพุทธรูปท่อนบนมาอีก ท่านเจ้าคุณก็บูรณะให้เป็นองค์พระที่สมบูรณ์ จึงเกิดเป็นพระพุทธรูปสององค์ยืนเด่นบนกุฏิท่าน

    ( กฎแห่งกรรม โดย ท. เลียงพิบูลย์ เล่ม ๓)


    :-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:-:

    เมื่อคืนวันที่ ๑๓ มิ.ย. ๒๕๓๖ ชายสองคนขี่รถจักรยานยนต์ไปที่วัดซุ้มกอ อ.เมือง จ.กำแพงเพชร (ชาวบ้านเรียกกรุทุ่งเศรษฐี) ทั้งสองนำรถไปซุ่มจอดอยู่ใต้ต้นมะม่วงซึ่งห่างจากเจดีย์ซุ้มกอประมาณ ๒๐ เมตร แล้วเดินมาขุดที่บริเวณฐานของเจดีย์ซุ้มกอ เพื่อหาพระซุ้มกอที่ยังมีหลงเหลือ ด้านบนของฐานเจดีย์ที่ทั้งสองลักลอบขุด มีจอมปลวกขนาดใหญ่ก่อตัวอยู่ทั้งสองขุดชอนลึกลงไปจนท่วมหัว สันนิษฐานว่าขุดกันมาหลายวันแล้ว โดยใช้ต้นหญ้าปิดปากหลุมไว้ ขณะที่กำลังใช้ชะแลงขุดลึกลงไปเรื่อย ๆ นั้น ดินจอมปลวก และฐานเจดีย์ได้ถล่มพังทับร่างของทั้งสองชนิดตายทั้งเป็น

    รุ่งขึ้นเจ้าหน้าที่ตำรวจ และชาวบ้านได้ช่วยกันขุดดินออก พบร่างชายสองคน คือ นาย ก. อายุ ๒๑ ปี อีกศพเป็นชายอายุประมาณ๒๐ ปี ชื่อนาย น. พร้อมชะแลงเหล็ก ๑ อัน ขณะที่กำลังขุดเอาศพออกมา หลายคนเห็นฝูงปลวกจำนวนนับล้านตัว บางตัวมีขนาดเกือบเท่านิ้วก้อยเกาะติดศพขึ้นมา ต่างตกตะลึงไปตาม ๆ กัน และบอกว่าฟ้าดิน และเจ้าที่เจ้าทางลงโทษทันตาเห็น

    สำหรับกรุทุ่งเศรษฐีนั้น บรรดาเซียนพระใน จ.กำแพงเพชร ได้เล่าว่า เคยมีผู้ไปลักลอบขุดพระ ขณะที่ขุดลึกลงไปนั้น ได้เห็นว่ามีน้ำไหลทะลักออกมามากมาย ผู้ที่ลักลอบขุดต้องว่ายน้ำหนีจนหมดแรง กระทั่งรุ่งเช้ามีคนมาพบว่านอนเกลือกกลิ้งอยู่ใกล้หลุมดินนั้นเอง โดยบริเวณดังกล่าวไม่มีน้ำเลย ลักษณะที่เรียกว่าว่ายบกนี้ ทำให้เข็ดไปตาม ๆ กัน (น.ส.พ.เดลินิวส์ ๑๕ มิ.ย. ๒๕๓๖)

    พระพุทธรูปเป็นสัญลักษณ์แห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จัดเป็นปูชนียวัตถุสูงสุด ผู้สร้างพระพุทธรูปจะได้ประโยชน์ดังนี้

    ๑. ได้บุญตั้งแต่วินาทีแรกที่คิดสร้าง เพราะเป็นความคิดอันประกอบด้วยศรัทธาในพระพุทธองค์ จัดเป็นตถาคตโพธิสัทธา
    ๒. เมื่อบริจาคทรัพย์ในการสร้างจัดเป็นทานบารมี
    ๓. เมื่อขวนขวายติดตามตลอดงานจัดสร้างพระปฏิมาจัดเป็นกุศลส่วนเวยยาวัจจมัย (บุญเกิดจากการขวนขวายในกิจที่ชอบ)
    ๔. เมื่อองค์พระปฏิมาสำเร็จบริบูรณ์ ได้เป็นที่ตั้งแห่งความระลึกถึงพระพุทธคุณ ทั้งตนเองด้วย ทั้งผู้อื่นด้วย กุศลจะเกิดเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่ได้อาศัยพระปฏิมาเป็นสื่อน้อมนำให้ระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าเป็นบ่อเกิดแห่งกุศลจริยาอื่นๆ อีกเป็นอันมาก
    ๕. อำนาจแห่งกุศลที่สร้างพระปฏิมาส่งผลให้เกิดเป็นคนรูปงาม มีบุคลิกสง่า เป็นที่เคารพรักใคร่ของประชุมชน มีอิสริยยศ บริวาร ทรัพย์สมบัติ ตลอดจนความสุขสถาพร ไม่เป็นโรควิกลจริต
    ๖. ในสมัยมรณกาล หากมีอารมณ์ในกุศลกิจนั้นมาปรากฏให้จิตยึดก่อนจะจุติ ย่อมปิดอบายภูมิและส่งให้ปฏิสนธิในสุคติภูมิทันที

    ส่วนการทำลายพระปฏิมานั้น ในคัมภีร์ชั้นฎีกา ท่านแสดงไว้ว่า มีบาปเท่ากับทำลายต่อองค์พระบรมศาสดาเหมือนกัน ถึงห้ามสวรรค์ ห้ามนิพพาน เที่ยงต่อการตกนรกหมกไหม้ แม้ในกฎหมายโบราณ ท่านก็ตราเป็นพระราชกำหนดว่า ผู้ใดทำอันตรายต่อพระพุทธรูป มีตัดแขนพระเป็นต้น ก็ให้จับมันมาลงโทษด้วยการตัดแขนบ้าง ที่ต้องกำหนดโทษรุนแรงทั้งฝ่ายโลกฝ่ายธรรมอย่างนั้น ก็เพราะการทำลายพระพุทธรูปด้วยบาป เจตนาเท่ากับเป็นการทำลายจิตใจของชาวพุทธทั่วไป การทำอันตรายต่อปูชนียวัตถุอันเป็นมิ่งขวัญสูงสุดทางใจของคนจำนวนมากอย่างนั้น ก็ต้องมีผลตอบรุนแรงมากตามธรรมดา

    การที่ท่านว่าห้ามสวรรค์ห้ามนิพพาน ก็เพราะคนที่มีใจบาป กล้าทำอันตรายพระปฏิมาได้ คนนั้นไหนเลยจะมีแก่ใจปฏิบัติธรรม เมื่อไม่ได้ปฏิบัติธรรมแล้วที่ไหนจะได้สวรรค์นิพพานเล่า เมื่อห้ามสวรรค์นิพพานแล้ว คติที่ผู้นั้นจักไปก็มีแต่อบายภูมิ ๔ เท่านั้น

    (ตอบปัญหาร้อยแปด โดย เสถียร โพธินันทะ)

     
  2. เสวกะ

    เสวกะ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2009
    โพสต์:
    70
    ค่าพลัง:
    +53
    อย่าได้เกิดเรื่องไม่ดีกับสังคมพุทธอีกเลย
     

แชร์หน้านี้

Loading...