ถ้า...เช้าพรุ่งนี้ไม่มีมนุษย์

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย paang, 10 พฤศจิกายน 2006.

  1. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,329
    อย่างที่รู้กันดีว่าในการจัดอันดับห่วงโซ่ชีวิต มนุษย์คือสัตว์นักล่า ทว่าเมื่อประชากรมนุษย์เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว การบริโภคทรัพยากรธรรมชาติดำเนินไปอย่างตะกรุมตะกราม ผืนดิน ผืนน้ำ และผืนฟ้า ถูกมนุษยชาติยึดครองสิ้น ฝ่ายข่าววิทยาศาสตร์ รายงานทางรอดเดียวของโลกคือให้มนุษย์ออกไป

    [​IMG]

    [COLOR=#00000]ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสิ่งมีชีวิตที่ครอบครองโลกอยู่ทุกวันนี้คือเผ่าพันธุ์มนุษย์ ในอีกราวสองสามพันปีข้างหน้า มนุษย์คงเขมือบที่ดินบนโลกมากกว่า 1 ใน 3 เพื่อใช้สร้างบ้านแปงเมือง ทำการเกษตร และปศุสัตว์ [/COLOR]

    [COLOR=#00000]จากการประเมินคร่าวๆมนุษย์ได้สวาปามทรัพยากรโลกไปแล้วราว 40% พร้อมกับทิ้งขยะมูลฝอยไว้เบื้องหลัง ทุ่งหญ้าถูกไถหว่าน ป่าถูกหักล้างถางพง แอ่งน้ำถูกระบายไปใช้ ยังไม่พอ ขยะนิวเคลียร์ สารเคมีตกค้าง การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์สิ่งมีชีวิตอื่น จนทำให้ธรรมชาติแปรปรวนและส่อเค้าลางว่า สภาพอากาศโลกจะเปลี่ยนแปลงไปในทางเลวร้าย[/COLOR]

    [COLOR=#00000]หากสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์อื่นที่อยู่ร่วมโลกกับมนุษย์เลือกได้รับรองว่าสมาชิกร่วมโลกคงอยากโหวตให้มนุษย์ออกไปไกลๆ จากโลกที่เคยเป็นถิ่นอาศัยอันอุดมสมบูรณ์[/COLOR]

    [COLOR=#00000]ทีนี้ลองหลับตานึกภาพโลกที่เคยมีผู้คนอยู่อาศัยราว6.5 พันล้านคนและกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เกิดกลายเป็นโลกที่ร้างผู้คนขึ้นมาในวันพรุ่งนี้ พวกเขาอาจถูกขนย้ายไปอยู่กาแล็กซีอื่นเข้าแคมป์เสริมการเรียนรู้ วันต่อมา ธรรมชาติจะอาศัยเครื่องไม้เครื่องมือเท่าที่มีอยู่เยียวยารักษาโลก ทุ่งนาและไร่ปศุสัตว์จะเปลี่ยนเป็นทุ่งหญ้าและผืนป่า อากาศและน้ำจะทำความสะอาดตัวเองจากมลพิษ ถนนและเมืองจะถล่มลงกลายเป็นผงฝุ่น[/COLOR]


    [COLOR=#00000][​IMG] [/COLOR]​

    [COLOR=#00000]"มันเป็นความจริงที่น่าเศร้าว่า ทันทีที่มนุษย์หายไป โลกจะดูดีขึ้นมาเยอะเลย" จอห์น ออร์ร็อค นักชีววิทยาเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติจากศูนย์วิเคราะห์และสังเคราะห์ระบบนิเวศน์แห่งชาติ ตั้งอยู่ที่เมืองซานตาบาบารา แคลิฟอร์เนีย ฉายภาพโลกใหม่ แต่ร่องรอยของมนุษย์หายไปอย่างไร้ร่องรอยจริงหรือ และอีกล้านปีต่อมาหากมีใครมาเยือนโลก พวกเขาจะรู้หรือไม่ว่าดาวเคราะห์ดวงนี้เคยมีสังคมอุตสาหกรรมครองแผ่นดินมาก่อน[/COLOR]

    [COLOR=#00000]ถ้าพรุ่งนี้เช้าไม่มีมนุษย์อยู่บนโลกการ[/COLOR][COLOR=#00000]เปลี่ยนแปลงสามารถสังเกตเห็นได้ทันตา แสงไฟจากหลอดไฟที่เคยสว่างไสวยามค่ำคืนจะเริ่มหรี่ลง ที่จริงยังมีวิธีที่ช่วยให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นว่ามนุษย์ครอบครองพื้นที่โลกไปมากน้อยแค่ไหน แทนที่จะออกไปอยู่นอกโลก แล้วมองลงมาดูแสงสว่างจากแสงไฟยามค่ำคืนบนพื้นดิน [/COLOR]
    [COLOR=#00000]ประเมินกันว่าร้อยละ85 ของท้องฟ้ายามค่ำคืนเหนือกลุ่มประเทศสหภาพยุโรปเต็มไปด้วยแสงสว่างที่เป็นมลภาวะทางสายตา ส่วนท้องฟ้าในสหรัฐมีมลภาวะแสงร้อยละ 62 และญี่ปุ่นร้อยละ 98 บางประเทศ อย่างเช่น เยอรมนี ออสเตรีย เบลเยียม และเนเธอร์แลนด์ ไม่เคยมีคืนไหนที่ท้องไฟไม่ถูกรบกวนด้วยมลพิษแสงสว่าง[/COLOR]

    [COLOR=#00000]"เร็วมาก อาจจะภายใน 24 ชั่วโมง หรือ 48 ชั่วโมงเท่านั้น คุณคงเห็นเมืองมืดสนิทเพราะไม่มีเชื้อเพลิงป้อนเข้าโรงไฟฟ้าเพื่อผลิตกระแสไฟหากไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่บนโลก" กอร์ดอน มาสเตอร์ตัน ผู้อำนวยการสถาบันวิศวกรรมพลเรือนในลอนดอน กล่าว ส่วนแหล่งพลังงานหมุนเวียนอย่างเช่น กังหันลม โซลาร์เซลล์อาจผลิตไฟฟ้าป้อนหลอดไฟได้อยู่พักหนึ่ง แต่ถ้าขาดการบำรุงรักษาระบบโครงข่ายสายไฟแล้ว ระบบพลังงานหมุนเวียนเหล่านี้คงทำงานอย่างเก่งได้ไม่กี่สัปดาห์หรือไม่กี่เดือน เมื่อไม่มีไฟฟ้า ระบบน้ำประปา โรงงานบำบัดน้ำเสีย และเครื่องจักรของสังคมสมัยใหม่ต้องหยุดทำงานไปโดยปริยาย[/COLOR]

    [COLOR=#00000]เช่นเดียวกันเมื่อปราศจากการบำรุงรักษา อาคารบ้านเรือน ถนน สะพาน และสิ่งก่อสร้างต่างๆ ก็อยู่ไม่รอด แม้ว่าอาคารสมัยใหม่จะถูกออกแบบมาให้ใช้งานได้นานเป็น 60 ปี สะพานมีอายุใช้งาน 120 ปี และเขื่อนมีอายุใช้งาน 250 ปี แต่สิ่งก่อสร้างที่มีอายุยืนยาวเหล่านี้จำเป็นต้องอาศัยการซ่อมบำรุงเป็นครั้งคราว ไม่ว่าจะเป็นการทำความสะอาด อุดรูรั่ว แก้ปัญหาต่างๆ ถ้าไม่มีคนคอยดูแลสิ่งละอันพันละน้อยแล้ว สิ่งก่อสร้างเหล่านี้จะเสื่อมสภาพอย่างรวดเร็ว[/COLOR]

    [COLOR=#00000]ตัวอย่างที่เห็นชัดที่สุดคือกรณีที่เกิดกับเมืองพริพยัต ที่ตั้งอยู่ใกล้กับโรงไฟฟ้าเชอร์โนบิลในยูเครน ซึ่งถูกทิ้งร้างหลังจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ระเบิดเมื่อ 20 ปีก่อน และยังถูกทิ้งร้างตราบจนวันนี้ [/COLOR]

    [COLOR=#00000]"เมื่อมองดูอยู่ห่างๆ คุณอาจคิดว่าเมืองพริพยัตยังเป็นเมืองที่มีชีวิตอยู่ แต่จริงๆ แล้ว อาคารในเมืองแห่งนี้เริ่มเสื่อมสภาพลงอย่างช้าๆ" โรนัลด์ เชสเซอร์ นักชีววิทยาสิ่งแวดล้อมจากมหาวิทยาลัยเท็กซัส กล่าว เชสเซอร์เป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานอยู่นอกเขตกักกันรอบเชอร์โนบิล "ถ้าเข้าไปดูคุณจะเห็นต้นไม้แผ่กิ่งก้านสาขาและรากเลื้อยเลาะไปตามตัวอาคารคอนกรีต แทรกเข้าไปในผนังและกรอบประตู และทำให้อาคารแตกต้าวอย่างรวดเร็ว คุณไม่รู้หรอกว่า แค่คุณเดินรอบบ้านทุกวัน มันก็ช่วยไม่ให้พืชรุกเข้ามาในบ้านได้อย่างมหาศาลแล้ว"[/COLOR]

    [COLOR=#00000]ถ้าไม่มีคนคอยซ่อมแซมเมื่อเจอกับพายุ น้ำท่วม และอากาศหนาวเย็นยามค่ำคืน อาคารบ้านเรือนที่ถูกทอดทิ้งสักสิบยี่สิบปีก็จะเริ่มพังลงมา เหตุการณ์ดังกล่าวดูเมืองพริพยัตได้เป็นตัวอย่าง บ้านหรือสิ่งก่อสร้างอื่นที่ใช้ไม้เป็นโครงสร้างจะไปก่อน ตามมาด้วยอาคารตึกสูงติดกระจกที่ฮิตสร้างกันในปัจจุบัน สะพานแขวน หรือพวกโครงสร้างที่ทำจากวัสดุเบาเป็นสิ่งก่อสร้างที่พังได้ง่าย[/COLOR]

    [COLOR=#00000]ถึงแม้ว่าอาคารจะถล่มลงกองกับพื้นแต่ซากของมันไม่ว่าจะเป็นอิฐ หิน หรือคอนกรีตยังคงอยู่ได้ต่อไปอีกเป็นพันปี "เรายังคงมีหลักฐานแสดงความเป็นเมืองศิวิไลซ์ต่อไปอีกราว 3,000 ปี" มาสเตอร์ตัน กล่าวเสริม "และยังคงทิ้งร่อยรอยอารยธรรมความเจริญไว้อีกหลายพันปี มันต้องใช้เวลาอีกนานมากที่จะทำให้ถนนคอนกรีตหายไปเป็นผุยผง เมืองต่างๆ อาจถล่มยับเยินแต่ก็อีกนานกว่าจะหายไปจนไร้ร่องรอย"[/COLOR]

    [COLOR=#00000]หากขาดการดูแลซ่อมแซมแล้วโรงงานนิวเคลียร์ที่มีอยู่ราว 430 แห่ง หรือมากกว่านั้นทั่วโลกคงสร้างผลกระทบที่รุนแรงกับโลกอย่างกว้างขวาง ขยะนิวเคลียร์ที่เก็บไว้ในภาชนะพิเศษควบคุมด้วยความเย็น หรือห้องคอนกรีตอาจจะไม่สร้างพิษภัย เพราะภาชนะเหล่านี้ถูกออกแบบมาให้สามารถอยู่ได้เป็นพันปีโดยไม่ต้องดูแล รอดนีย์ อีวิง นักธรณีวิทยาจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน ซึ่งเชี่ยวชาญด้านการกำจัดขยะกัมมันตรังสีบอกว่า เมื่อถึงเวลานั้นกัมมันตรังสี ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในรูปของซีเซียม-137 และสตรอนเตียม-90 รังสีจะลดลงเป็นพันเท่าเช่นกัน[/COLOR]

    [COLOR=#00000]ตรงกันข้ามกับเตาปฏิกรณ์ปรมาณูซึ่งเปราะบางกว่าหากน้ำหล่อเย็นเกิดระเหย หรือรั่ว แกนของเตาปฏิกรณ์อาจลุกไหม้ หรือละลายแล้วปล่อยกัมมันตรังสีจำนวนมหาศาลออกมา แต่ผลกระทบจากการรั่วไหลของกัมมันตรังสีเป็นภัยที่น่ากลัวน้อยกว่าที่คนเคยคิดกัน[/COLOR]

    [COLOR=#00000]พื้นที่บริเวณรอบสถานีไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์เชอร์โนบิลได้แสดงให้เห็นแล้วว่าธรรมชาติสามารถฟื้นฟูตัวเองได้เร็วแค่ไหน"ทีแรกเรานึกว่าจะได้เห็นทะเลทรายนิวเคลียร์แถวนี้แล้ว" เชสเซอร์ กล่าว "ผมกลับแปลกใจเมื่อเข้าไปในเขตกักกันแล้วพบการดิ้นรนเอาชีวิตรอดของระบบนิเวศน์"[/COLOR]

    [COLOR=#00000]ความจริงเดียวกันนี้คงเกิดกับระบบนิเวศน์โลกหากไม่มีมนุษย์อยู่บนโลกแม้ว่าการฟื้นฟูในแต่ละที่จะใช้เวลาต่างกัน ที่ไหนที่มีอากาศอบอุ่น และมีความชื้น กระบวนการของระบบนิเวศน์จะฟื้นตัวได้เร็วกว่าที่อื่นที่มีอากาศเย็นกว่า และมีสภาพเป็นกรด คงไม่น่าแปลกใจหากพบว่าพื้นที่ที่เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตท้องถิ่น จะฟื้นตัวเร็วกว่าพื้นที่ที่ระบบเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง ยกตัวอย่างป่าทางตอนเหนือของแคนาดาใกล้กับทวีปอาร์กติก มนุษย์ได้เข้าไปสร้างถนน วางท่อ และตัดผ่านเข้าไปในป่า เมื่อปล่อยให้ป่าดำรงอยู่โดยมนุษย์ไม่เข้าไปข้องแวะ ผืนป่าบริเวณดังกล่าวสามารถฟื้นตัวเองกลับคืนมาร้อยละ 80 ภายใน 50 ปี และเกือบบริบูรณ์ใน 200 ปี ทั้งนี้ แบรด สเตลฟ็อกซ์ นักนิเวศวิทยาอิสระชาวแคนาดาได้ใช้คอมพิวเตอร์จำลองภาพให้เห็น [/COLOR]

    [COLOR=#00000]แต่บางแห่งระบบนิเวศน์อาจไม่มีวันฟื้นคืนกลับมาอีกเลยก็เป็นได้เมื่อมนุษย์เข้าไปยุ่มย่าม เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวจะถูกกักบริเวณให้มี "สภาพถาวร" ที่ต้านทานการฟื้นคืนสู่สภาพดั้งเดิม ยกตัวอย่างในฮาวาย หญ้าที่มนุษย์เอาเข้าไปปลูกเป็นตัวการทำให้เกิดไฟป่าบ่อยครั้งและเป็นตัวการขวางไม่ให้ป่าดั้งเดิมฟื้นตัวกลับมาอีก[/COLOR]

    [COLOR=#00000]บรรดาลูกหลานของสัตว์เลี้ยงและพืชที่นำมาเพาะปลูกเป็นอาหารมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นส่วนเกินถาวรของหลายระบบนิเวศน์ เพราะมนุษย์นำเอาม้าป่าและหมูป่ามาเลี้ยงในหลายพื้นที่ สัตว์เลี้ยงและพืชบางชนิดที่มีการขยายพันธุ์รวดเร็วอย่าง พวกวัว ควาย สุนัข และข้าวสาลี ซึ่งเป็นผลิตผลของการคัดสรรโดยธรรมชาติและการเพาะพันธุ์มาเป็นศตวรรษ จะวิวัฒนาการกลับไปสู่รูปแบบที่มีลักษณะพิเศษน้อยและยากขึ้น เมื่อต้องผ่านกระบวนการผสมพันธุ์แบบสุ่ม [/COLOR]

    [COLOR=#00000]ถ้ามนุษย์หายไปจากโลกในวันพรุ่งนี้อย่าคิดจะได้เห็นหมาพุดเดิลวิ่งเป็นฝูงในทุ่งนา แต่คงจะได้เห็นสุนัขพันธุ์ทางมากกว่า แม้แต่พวกวัวควายหรือสัตว์ปีกอย่างไก่และเป็ด โอกาสตกลูกจะน้อยลง และผลิตนมได้ยาก[/COLOR]

    [COLOR=#00000]แล้วพืชดัดแปรพันธุกรรมล่ะเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เจย์ ไรช์แมน และทีมงานจากสำนักงานพิทักษ์สิ่งแวดล้อมในสหรัฐรายงานว่า หญ้าชนิดหนึ่งที่ถูกดัดแปรพันธุกรรมชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ครีพปิ้ง เบนท์แกรส โผล่ขึ้นเองในป่าหลังจากหลุดออกจากแปลงทดลองในโอเรกอน เช่นเดียวกับพืชจีเอ็มโอส่วนใหญ่ เบนท์แกรส ซึ่งเป็นหญ้าที่มักใช้ทำเป็นพื้นพัตต์กอล์ฟถูกดัดแปรพันธุกรรมให้ทนยาปราบแมลง แต่ถ้าไม่พ่นยาฆ่าแมลงใส่มันก็จะอ่อนแอและอาจจะตายได้เหมือนกัน[/COLOR]


    [COLOR=#00000]ถ้าไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่บนโลกนับเป็นโอกาสอันดีที่สัตว์ซึ่งใกล้สูญพันธุ์เต็มทีอาจดำรงอยู่รอดต่อไปได้ นักชีววิทยาประเมินว่า สัตว์ในสหรัฐสูญเสียถิ่นที่อยู่อาศัยไปแล้วถึงร้อยละ 85 และเป็นเหตุให้สิ่งมีชีวิตร่วมโลกเหล่านี้อาจเหลือเพียงชื่อ ดังนั้น หากไม่มีมนุษย์อยู่บนโลกแล้วพื้นที่เพื่อดำรงชีวิตของสัตว์ใกล้สูญพันธุ์เหล่านี้จะเพิ่มขึ้น และมีโอกาสรอดสืบวงศ์ตระกูลมากขึ้น อย่างไรก็ดี สัตว์บางชนิดมีเหลืออยู่น้อยมากจนไม่เหลือความหลากหลายทางพันธุกรรมสำหรับสืบทอดเผ่าพันธุ์ได้อีกแล้ว ยกตัวอย่างที่เห็นชัดที่สุดคือ เสือชีตาร์ ที่ถูกเรียกขานว่า สัตว์สูญพันธุ์เดินได้[/COLOR]

    [COLOR=#00000]เมื่อไม่นานมานี้มีรายงานระบุว่าอีก 50 ปีปลาหลายชนิดในท้องทะเลจะสูญพันธุ์ เนื่องจากถูกมนุษย์จับมาบริโภคจนไม่สามารถออกลูกได้ทัน และถ้าไม่มีมนุษย์อยู่บนโลก แน่นอนว่าปลาจะออกลูกออกหลานมากมายเต็มทะเล สังเกตได้จากช่วงเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง ทำให้เรือประมงจำนวนมากไม่กล้าออกทะเล ส่งผลให้ปลาค็อดในทะเลเหนือเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว ทว่า ประชากรปลาค็อดในปัจจุบัน และปลาเศรษฐกิจอื่นๆ มีจำนวนลดลงมากกว่าสมัยเมื่อเจ็ดสิบปีที่แล้วมาก หากจะฟื้นกลับมาเหมือนเดิมคงใช้เวลานานกว่า 5 ปี หรือมากกว่านั้น[/COLOR]

    [COLOR=#00000]สภาพอากาศเมื่อไม่มีคนก็ไม่มีใครใช้รถยนต์ และไม่มีคาร์บอนไดออกไซด์พ่นออกมาปนเปื้อนบรรยากาศ รวมถึงควันเสียและมลพิษที่โรงงานปล่อยออกมาด้วย สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปนั้นคงต้องขึ้นอยู่กับสารเคมีของอนุภาคมลพิษแต่ละชนิด ถ้ามีสารจำพวกออกไซด์ของไนโตรเจน และซัลเฟอร์ และโอโซน (ที่อยู่ระดับภาคพื้นดิน ไม่ใช่ที่อยู่ในบรรยากาศชั้นสูงสตราโตสเฟียร์) จำนวนไม่มากนัก โอกาสชะล้างบรรยากาศภายในไม่กี่สัปดาห์ก็เป็นไปได้ แต่สารจำพวกคลอโรฟลูโอโรคาร์บอน (ซีเอฟซี) ไดออกซิน และดีดีที ที่ใช้กำจัดแมลงอาจใช้เวลานานกว่าจะย่อยสลายหมด บางชนิดอาจต้องใช้เวลาเป็นศตวรรษ[/COLOR]

    [COLOR=#00000]ส่วนคาร์บอนไดออกไซด์เป็นปัญหาสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนอาจมีชะตากรรมที่ซับซ้อนสักหน่อย ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิลส่วนใหญ่จะถูกดูดลงสู่มหาสมุทรในที่สุด กระบวนการดังกล่าวจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วบนผิวน้ำ กล่าวคือใช้เวลาเพียงสองสามทศวรรษก็หมดไป แต่ถ้าเป็นในระดับน้ำลึกอาจต้องใช้เวลาเป็นปี ถึงกระนั้นยังมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อีกราวร้อยละ 15 ที่ยังคงอยู่ในชั้นบรรยากาศ และมีปริมาณมากถึง 300 พีพีเอ็มเทียบกับช่วงก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรมที่อยู่ที่ระดับ 280 พีพีเอ็ม [/COLOR]

    [COLOR=#00000]"ยังคงมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เหลืออยู่ในบรรยากาศ และยังมีอิทธิพลต่ออากาศโลกต่อไป อาจจะสักพันปีหลังจากมนุษย์หยุดแพร่ก๊าซแล้ว" ซูซาน โซโลมอน นักเคมีบรรยากาศจากหน่วยงานที่ดูแลด้านมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศของสหรัฐ กล่าว ถึงแม้ว่า ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะไม่เพิ่มปริมาณขึ้นแล้วก็ตาม แต่ภาวะโลกร้อนจะยังคงอยู่กับโลกไปอีกหนึ่งศตวรรษ และทำให้อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นอีกราว 1 ส่วน 10 องศา ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เรียกสิ่งนี้ว่า "พันธะโลกร้อน"[/COLOR]

    [COLOR=#00000]ยังไม่มีใครรู้ว่าภาวะโลกร้อนที่มนุษยชาติและธรรมชาติกำลังเผชิญอยู่ทุกวันนี้จะนำไปสู่กาลอวสานเมื่อไร บางทีหากธรรมชาติเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ มนุษย์ชาติคงไม่ใช่ผู้ชนะอยู่ดี[/COLOR]



    บทความจาก กรุงเทพธุรกิจ
     
  2. skyboy

    skyboy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    555
    ค่าพลัง:
    +592
    ดีเหมือนกันนะครับ จะได้เลิกวุ่นวายซะที ผมก็จะได้กลายเป็นวิญญาณ เหาะได้อีกต่างหาก 55.
     
  3. banpong

    banpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,434
    ค่าพลัง:
    +1,770
  4. aonwit01

    aonwit01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    681
    ค่าพลัง:
    +1,025
    งั้นผมไปเกิดเป็นต้นไม้ละกัน อิอิ
     
  5. Immaculacy

    Immaculacy Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    48
    ค่าพลัง:
    +54
    ก็ดีเหมืนกันจะได้ไม่เป็นทุกข์
     

แชร์หน้านี้

Loading...