ถ้าศาล ตัดสินผิด ลงโทษคนดี บาป หรือไม่ครับ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย รักคนอ่าน, 18 กุมภาพันธ์ 2009.

แท็ก: แก้ไข
  1. รักคนอ่าน

    รักคนอ่าน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +94
    วิทยาศาสตร์ไม่ได้บอกไว้ ^^ หุหุ

    เคยฟังพระบอกว่า อาชีพอย่างทนายความ หรือผู้พิพากษา มีสิทตก นรกสูง
    ตำรวจก็ด้วย ถ้าลงโทษคนผิดคน เห็นคนถูก เป็นคนผิด

    เห็นคนคุยธรรมแล้วมองว่า ไม่เป็นธรรมแต่มองเป็นอย่างอื่น แล้วขัดขวาง
    บาปไหมครับ
    แต่รู้สึกในพระวินัย พระที่ขัดขวาง หรือพูดไห้ผู้ปฏิบัติธรรมเลิกปฏิบัติถึงกับต้อง อาบัติ

    แล้วถ้าปุถุชน ขัดขวางการสนทนาธรรมหรือทำไห้หยุดสนทนาธรรมจะบาปไหมครับ ^ ^ หุหุ
     
  2. กุญแจไขปริศนา

    กุญแจไขปริศนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2009
    โพสต์:
    903
    ค่าพลัง:
    +979
    แล้วใครคือคนดีใครคือคนเลวล่ะ ส่วนใหญ่คนดีจริงๆที่ไม่ได้แค่ปากบอกว่าตัวเองดีน่ะหายากนะครับคนดีจริงๆสมัยนี้น่ะ โดยส่วนตัวผมคิดว่าถ้าเค้าตัดสินว่าผิดคนดีคนนั้นก็คงไม่ดีจริงหรอก เค้าคงไปทำอะไรไม่ดีกับคนอื่นถึงต้องชดใช้กรรมน่ะครับ ส่วนศาลก็ไม่ผิดเช่นกันเพราะว่าศาลก็ได้พยายามตัดสินอย่างทำดีที่สุดแล้ว ยกเว้นซะแต่ว่ารับศิลบนอันนั้นอ่ะผิด
     
  3. รักคนอ่าน

    รักคนอ่าน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +94
    แล้วถ้าขัดขวางการ สนทนาธรรมหละครับ คือเห็นว่าคนทีสนทนากันอยู่ทะเลาะกันแล้วจึงขัดขวางการสนทนานั้น ด้วย วิธีการต่างๆ เช่น บวม ลบกระทู้ทิ้งอะไรแบบเนี้ย
    คิดว่าบาปไหมถ้าคนตัดสินนั้น เห็นผิด โดยเจตนา หรือไม่เจตนาผิดไหม
     
  4. กุญแจไขปริศนา

    กุญแจไขปริศนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2009
    โพสต์:
    903
    ค่าพลัง:
    +979
    อันนี้ไม่ทราบครับ แต่ผมไม่ถืออ่ะใครจะทำอะไรก็เชิญ -*- ไม่แน่คุณอาจรอสักพักนึงก่อนก็ได้รอให้พวกผู้รู้ทั้งหลายเข้ามาตอบ มันจะได้กระจ่างขึ้นในใจคุณไง
     
  5. รักคนอ่าน

    รักคนอ่าน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +94
    เช่น ได้ฟังคนคุยธรรมมะกัน แต่ไช้คำพูดเหมือนทะเลาะกัน ก็เข้าใจว่าเขาทะเลาะกัน
    ทั้งที่คนที่คุยธรรมมะนั้น เขาไม่ได้ทะเลาะกัน เพราะเขาเข้าใจเรื่องสมมุติแล้ว
    แต่คนฟังไม่เข้าใจเลยเห็นสมมุติที่เขาคุยเป็นจริง แล้วระงับเหตุ
    ก็เท่ากับขวาง การสนทนาธรรมไช่ไหมครับ จะบาปไหม
     
  6. รักคนอ่าน

    รักคนอ่าน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +94
    เช่น ได้ฟังคนคุยธรรมมะกัน แต่ไช้คำพูดเหมือนทะเลาะกัน ก็เข้าใจว่าเขาทะเลาะกัน
    ทั้งที่คนที่คุยธรรมมะนั้น เขาไม่ได้ทะเลาะกัน เพราะเขาเข้าใจเรื่องสมมุติแล้ว
    แต่คนฟังไม่เข้าใจเลยเห็นสมมุติที่เขาคุยเป็นจริง แล้วระงับเหตุ
    ก็เท่ากับขวาง การสนทนาธรรมไช่ไหมครับ จะบาปไหม
     
  7. haha4959

    haha4959 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    388
    ค่าพลัง:
    +85
    คน เขียน ก็ ตาย เหมือน กัน ครับ

    แบบ ว่า จะ บอก ยัง ไง ดี ล่ะ ครับ

    บอร์ด นี้ มัน ไม่ ใช่ บอร์ด เฉาพะกลุ่ม ครับ

    การ ควบคุมดูแล มัน ยาก นะ แล้ว ยิ่ง เป็น เรื่อง ละเอียดอ่อนอย่างนี้ด้วย

    ต้อง เห็น ใจ เวป มาสเตอร์นะครับ ที่ ทำงานอย่างหนัก ให้ พวก เรา ได้ มี ที่ แสดง ความ คิด เห็น กัน ครับ

    ถ้า ท่าน อ่าน กฏกติกา ของ บอร์ด น่า จะ ทำ ใจ ยอม รับ ได้ นะ ครับ

    ของ ฟรี แล้ว ยัง มา เรียก ร้อง นู่น เรียก ร้อง นี่ อีก

    ธรรม น่ะ มัน ก็ เป็น ของ มัน อย่าง นั้น เอง(แค่ นี้ ก็ มอง ไม่ เป็น ธรรม กัน เนอะ)

    ฝืน โลก เหนื่อย จะ ตาย

    เก็บ แรง ไว้ ฝืน กระแส ดี กว่า ครับ
     
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [​IMG]
    (๑) พระเตมีย์ชาดก.
    พระราชาพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระเจ้ากาสิกราช ครองเมืองชื่อว่า พาราณสี มีพระมเหสี พระนามว่า จันทเทวี พระราชาไม่มีพระราชโอรสที่จะครองเมืองต่อจากพระองค์ จึงโปรดให้ พระนางจันทเทวีทำพิธีขอพระโอรสจากเทพเจ้า พระนางจันทเทวีจึงทรงอธิษฐานว่า "ข้าพเจ้าได้รักษาศีล บริสุทธิ์ตลอดมา ขอให้บุญกุศลนี้บันดาลให้ข้าพเจ้ามีโอรสเถิด"ด้วยอานุภาพแห่งศีลบริสุทธิ์ พระนางจันทเทวีทรงครรภ์ และประสูติพระโอรสสมดังความปราถนา พระโอรส มีรูปโฉม งดงามยิ่งนัก ทั้งพระราชาพระมเหสี และประชาชนทั้งหลาย มีความยินดีเป็นที่สุด พระราชาจึงตั้งพระนามโอรสว่า เตมีย์ แปลว่า เป็นที่ยินดีของคนทั้งหลาย บรรดาพราหมณ์ผู้รู้วิชาทำนายลักษณะบุคคล ได้กราบทูล พระราชาว่า พระโอรสองค์นี้มีลักษณะประเสริฐ เมื่อเติบโตขึ้น จะได้เป็นพระราชาธิราชของมหาทวีปทั้งสี่ พระราชาทรงยินดี เป็นอย่างยิ่ง และทรงเลือกแม่นมที่มีลักษณะดีเลิศตามตำรา จำนวน ๖๔ คน เป็นผู้ปรนนิบัติเลี้ยงดูพระเตมีย์กุมาร.
    วันหนึ่ง พระราชาทรงอุ้มพระเตมีย์ไว้บนตัก ขณะที่กำลัง พิพากษาโทษผู้ร้าย ๔ คน พระราชาตรัสสั่งให้เอาหวาย ที่มีหนามแหลมคมมาเฆี่ยนผู้ร้ายคนหนึ่ง แล้วส่งไปขังคุก ให้เอาฉมวกแทงศีรษะผู้ร้ายคนที่สาม และให้ใช้หลาว เสียบผู้ร้ายคนสุดท้าย พระเตมีย์ซึ่งอยู่บนตักพระบิดาได้ยินคำพิพากษาดังนั้น ก็มีความตกใจหวาดกลัว ทรงคิดว่า"ถ้าเราโต ขึ้นได้เป็นพระราชา เราก็คงต้องตัดสินโทษผู้ร้ายบ้างและคงต้องทำบาป เช่นเดียวกันนี้ เมื่อเราตายไป ก็จะต้องตกนรกอย่างแน่นอน"เนื่องจากพระเตมีย์เป็นผู้มีบุญ จึงรำลึกชาติได้และทรงทราบว่า ในชาติก่อนได้เคยเป็นพระราชาครองเมือง และได้ตัดสินโทษ ผู้ร้ายอย่างเดียวกันนี้ เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์จึงต้องตกนรก อยู่ถึง ๗,๐๐๐ ปี ได้รับความทุกข์ทรมานเป็นอันมาก พระเตมีย์ทรงมีความหวาดกลัวอย่างยิ่ง ทรงรำพึงว่า "ทำอย่างไร หนอ เราจึงจะไม่ต้องทำบาป และไม่ต้องตกนรกอีก"
    ขณะนั้น เทพธิดาที่รักษาศวตฉัตร ได้ยินคำรำพึงของ พระเตมีย์ จึงปรากฏกายให้พระองค์เห็น และแนะนำพระเตมีย์ว่า"หากพระองค์ทรงหวั่นที่จะกระทำบาป ทรงหวั่นเกรงว่าจะตกนรก ก็จงทำเป็น หูหนวก เป็นใบ้ และเป็นง่อยเปลี้ย อย่าให้ชนทั้งหลาย รู้ว่าพระองค์เป็นคนฉลาด เป็นคนมีบุญ พระองค์ จะต้องมีความอดทน ไม่ว่าจะได้รับความเดือดร้อนอย่างใดก็ต้องแข็งพระทัย ต้องทรงต่อสู้ กับพระทัย ตนเองให้จงได้ อย่ายอมให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดมาชักจูงใจ พระองค์ไปจากหนทางที่พระองค์ตั้งพระทัยไว้."
    พระเตมีย์กุมารได้ยินเทพธิดาว่าดังนั้น ก็ดีพระทัยเป็นอย่างยิ่ง จึงทรงตั้งจิตอธิษฐานว่า"ต่อไปนี้ เรา จะทำตนเป็นคนใบ้ หูหนวก และง่อยเปลี้ย ไม่ว่าจะมีเรื่องอันใดเกิดขึ้น เราก็จะ ไม่ละความตั้งใจ เป็นอันขาด" นับแต่นั้นมา พระเตมีย์ก็ทำพระองค์เป็นคนหูหนวก เป็นใบ้ และเป็นง่อย ไม่ร้อง ไม่พูด ไม่หัวเราะ และไม่เคลื่อนไหว ร่างกายเลย พระราชาและพระมเหสีทรงมีความวิตกกังวล ในอาการของพระโอรส ตรัสสั่งให้พี่เลี้ยงและแม่นมทดลอง ด้วยอุบายต่างๆ เช่น ให้อดนม พระเตมีย์ก็ทรงอดทน ไม่ร้องไห้ ไม่แสดงความหิวโหย ครั้นพระราชาให้พี่เลี้ยง เอาขนมล่อ พระเตมีย์ก็ไม่สนพระทัย นิ่งเฉยตลอดเวลา พระราชาทรงมีความหวังว่าพระโอรสคงไม่ได้หูหนวก เป็นใบ้ และง่อยเปลี้ยจริง จึงโปรดให้ทดลอง ด้วยวิธีต่างๆ เป็นลำดับ เมื่ออายุ 2 ขวบ เอาผลไม้มาล่อ พระกุมารก็ไม่สนพระทัย อายุ ๔ ขวบ เอาของเสวยรสอร่อยมาล่อ พระกุมารก็ไม่สนพระทัย อายุ ๕ ขวบ พระราชาให้เอาไฟมาขู่ พระเตมีย์ก็ไม่แสดงความ ตกใจกลัว อายุ ๖ ขวบ เอาช้างมาขู่ อายุ ๗ ขวบ เอางูมาขู่ พระเตมีย์ก็ไม่หวาดกลัว ไม่ถอยหนีเหมือนเด็กอื่นๆ พระราชาทรงทดลองด้วยวิธีการต่างๆเรื่อยมา จนพระเตมีย์ อายุได้ ๑๖ พรรษา ก็ไม่ได้ผล พระเตมีย์ยังทรงทำเป็นหูหนวก ทำเป็นใบ้ และไม่เคลื่อนไหวเลย ตลอดเวลา ๑๖ ปี ในที่สุด พระราชาก็ให้หาบรรดาพราหมณ์และที่ปรึกษา ทั้งหลายมา และตรัสถามว่า"พวกเจ้าเคยทำนายว่า ลูกเราจะเป็น ผู้มีบุญ เป็นพระราชาผู้ยิ่งใหญ่ เมื่อลูกเรามีอาการเหมือนคน หูหนวก เป็นใบ้ และเป็น ง่อยเช่นนี้ เราจะทำอย่างไรดี" พราหมณ์และที่ปรึกษาพากันกราบทูลว่า "เมื่อตอนที่ประสูตินั้นพระโอรส มีลักษณะเป็นผู้มีบุญ แต่บัดนี้ เมื่อได้กลับกลายเป็นคนหูหนวก เป็นใบ้ เป็นง่อย ก็กลายเป็นกาลกิณีจะ ทำให้บ้านเมืองและประชาชนเดือดร้อน ขอให้พระองค์สั่งให้นำพระโอรสไปฝังที่ป่าช้าเถิดพะย่ะค่ะ จะได้สิ้นอันตราย" พระราชาได้ยินดังนั้นก็ทรงเศร้าพระทัยด้วยความรักพระโอรส แต่ก็ไม่อาจแก้ไขอย่างไรได้ เพราะเป็น ห่วงบ้านเมืองและ ประชาชน จึงต้องทรงทำตามคำกราบของพราหมณ์และ ที่ปรึกษาทั้งหลาย พระนางจันทเทวีทรงทราบว่า พระราชาให้นำ พระโอรสไปฝังที่ป่าช้า ก็ทรงร้องไห้คร่ำครวญว่า "พ่อเตมีย์ลูกรัก ของแม่ แม่รู้ว่าลูกไม่ใช่คนง่อยเปลี้ย ไม่ใช่คนหูหนวก ไม่ใช่คนใบ้ ลูกอย่าทำอย่างนี้เลย แม่เศร้าโศกมา ตลอดเวลา ๑๖ ปีแล้ว ถ้าลูกถูกนำไปฝัง แม่คงเศร้าโศกจนถึงตายได้นะลูกรัก"
    พระเตมีย์ได้ยินดังนั้น ก็ทรงสงสารพระมารดาเป็นอันมาก ทรงสำนึกในพระคุณของพระมารดา แต่ใน ขณะเดียวกัน ก็ทรงรำลึกว่า พระองค์ตั้งพระทัยไว้ว่า จะไม่ทำการใดที่จะทำให้ ต้องไปสู่นรกอีก จะไม่ทรงยอมละความตั้งใจที่จะทำเป็นใบ้ หูหนวก และเป็นง่อย จะไม่ยอมให้สิ่งใดมาชักจูงใจพระองค์ ไปจากหนทางที่ทรงวางไว้แล้วนั้นเป็นอันขาด พระราชาจึงตรัสสั่งให้นายสารถีชื่อ สุนันทะ นำพระเตมีย์ขึ้น รถเทียมม้า พาไปที่ป่าช้าผีดิบ ให้ขุดหลุม แล้วเอาพระเตมีย์ โยนลงไปในหลุม เอาดินกลบเสียให้ตาย นายสุนันทะ จึงทรงอุ้มพระเตมีย์ขึ้นรถเทียมม้า พาไปที่ป่าช้า ผีดิบเมื่อไปถึงป่าช้านายสุนันทะก็เตรียม ขุดหลุมจะฝังพระเตมีย์ พระเตมีย์กุมารประทับอยู่บนราชรถ ทรงรำพึงว่า "บัดนี้เราพ้นจากความทุกข์ ว่าจะต้องเป็นพระราชา พ้นความทุกข์ว่า จะต้องทำบาป เราได้อดทนมาตลอดเวลา ๑๖ ปี ไม่เคยเคลื่อน ไหวร่างกายเลย เราจะลองดูว่า เรายังคงเคลื่อนไหวได้หรือไม่ มีกำลังร่างกายสมบูรณ์หรือไม่" รำพึงแล้ว พระเตมีย์ก็เสด็จลงจากราชรถ ทรงเคลื่อนไหว ร่างกาย ทดลองเดินไปมา ก็ทราบว่า ยังคงมีกำลังร่างกาย สมบูรณ์เหมือนคนปกติ จึงทดลองยกราชรถ ก็ปรากฏว่าทรงมี กำลังยกราชรถขึ้นกวัดแกว่ง ได้อย่างง่ายดาย จึงทรงเดินไปหา นายสุนันทะที่กำลังก้มหน้าก้มตาขุดหลุมอยู่ พระเตมีย์ตรัสถาม นายสุนันทะว่า "ท่านเร่งรีบขุดหลุมไปทำไม"นายสุนันทะตอบ คำถามโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นดูว่า "เราขุดหลุมจะฝังพระโอรส ของพระราชา เพราะพระโอรสเป็นง่อย เป็นใบ้ และหูหนวก พระราชาตรัสสั่งให้ฝัง เสีย จะได้ไม่เป็นอันตรายแก่บ้านเมือง" พระเตมีย์จึงตรัสว่า "เราไม่ได้เป็นใบ้ ไม่ได้หูหนวก และไม่ง่อยเปลี้ย จงเงยขึ้นดูเราเถิด ถ้าท่านฝังเราเสีย ท่านก็จะประพฤติสิ่งที่ไม่เป็นธรรม"นายสารถีเงยขึ้นดู เห็นพระเตมีย์ก็จำไม่ได้ จึงถามว่า "ท่านเป็นใคร ท่านมีรูปร่าง งามราวกับเทวดา ท่านเป็นเทวดาหรือ หรือว่าเป็นมนุษย์ ท่านเป็นลูกใคร ทำอย่างไร เราจึงจะรู้จักท่าน" พระเตมีย์ตอบว่า "เราคือเตมีย์กุมาร โอรสพระราชา ผู้เป็นนายของท่าน ถ้าท่านฝังเราเสียท่านก็จะได้ชื่อว่า ทำสิ่งที่ไม่เป็นธรรม พระราชาเปรียบเหมือนต้นไม้ ตัวเราเปรียบเหมือนกิ่งไม้ ท่านได้อาศัยร่มเงาไม้ ถ้าท่านฝังเราเสีย ท่านก็ได้ชื่อว่า ทำสิ่งที่ไม่เป็นธรรม
    นายสารถียังไม่เชื่อว่าเป็นพระกุมารที่ตนพามา พระเตมีย์ทรง ประสงค์จะให้นายสารถีเชื่อ จึงตรัสอธิบาย ให้เห็นว่าหาก นายสารถีจะฝังพระองค์ก็ได้ชื่อว่าทำร้ายมิตร ทรงอธิบายว่า "ผู้ไม่ทำร้ายมิตร จะไปที่ได ก็มีคนคบหามาก จะไม่อดอยาก ไปที่ใดก็มีผู้สรรเสริญบูชา โจรจะไม่ข่มเหง พระราชาไม่ดูหมิ่น จะเอาชนะศัตรูทั้งปวงได้ ผู้ไม่ทำร้ายมิตร เมื่อมาถึงบ้านเรือนของตน หมู่ญาติและประชาชน จะพากันชื่นชมยกย่อง ผู้ไม่ทำร้ายมิตร ย่อมได้รับการสักการะ เพราะเมื่อสักการะท่านแล้ว ย่อมได้รับการสักการะตอบ เมื่อเคารพบูชาท่านแล้ว ย่อมได้รับการเคารพตอบ ผู้ไม่ทำร้ายมิตร ย่อมรุ่งเรืองเหมือนกองไฟรุ่งโรจน์ ดังเทวดา เป็นผู้มีมิ่งขวัญสิริมงคลประจำตนอยู่เสมอ ผู้ไม่ทำร้ายมิตร จะทำการใดก็สำเร็จผล โคจะมีลูกมาก หว่านพืชลงในนา ก็จะงอกงาม แม้จะพลัดตกเหว ตกจากภูเขา ตกจากต้นไม้ ก็จะไม่เป็นอันตราย ผู้ไม่ทำร้ายมิตร ศัตรูไม่อาจข่มเหงได้ เพราะเป็นผู้มีมิตรมาก เปรียบเหมือนต้นไทรใหญ่ที่มีราก ติดต่อพัวพัน ลมแรงก็ไม่อาจทำร้ายได้. "
    นายสารถีได้ยินพระเตมีย์ตรัส ยิ่งเกิดความสงสัย จึงเดินมาดูที่ราชรถ ก็ไม่เห็นพระกุมารที่ตนพามา ครั้นเดิน กลับมาพินิจพิจารณาพระเตมีย์อีกครั้งก็จำได้ จึงทูลว่า"ข้าพเจ้าจะพาพระองค์กลับวัง ขอเชิญเสด็จกลับไป ครองพระนครเถิด" พระเตมีย์ตรัสตอบว่า" เราไม่กลับไปวัง อีกแล้ว เราได้ตัดขาดจากความ ยินดีในสมบัติทั้งหลาย เราได้ตั้งความอดทนมาเป็นเวลาถึง ๑๖ ปี อันราชสมบัติ ทั้ง พระนครและความสุข ความรื่นเริงต่างๆ เป็นของน่าเพลิดเพลิน แต่าเราไม่ปรารถนาจะหลงอยู่ในความเพลิดเพลินนั้น ไม่ปรารถนาจะกระทำบาปอีก เราจะไม่ก่อเวรให้เกิดขึ้นอีกแล้ว บัดนี้เราพ้นจากภาระนั้นแล้ว เพราะพระบิดาพระมารดา ปล่อยเราให้พ้นจากราชสมบัติมาแล้ว เราพ้นจากความหลงใหล ในกิเลสทั้งหลาย เราจะขอบวชอยู่ในป่านี้แต่ลำพัง เราต่อสู้ได้ชัยชนะในจิตใจของเราแล้ว"เมื่อตรัสดังนั้น พระเตมีย์กุมารมีความชื่นชมยินดีอย่างยิ่ง รำพึงกับพระองค์เองว่า "ผู้ที่ไม่ใจเร็วด่วนได้ ผู้ที่มีความอดทน ย่อมได้รับผลสำเร็จด้วยดี" นายสุนันทะสารถีได้ฟังก็เกิดความยินดี ทูลพระเตมีย์ว่า จะขอบวชอยู่กับพระเตมีย์ในป่า แต่พระองค์ เห็นว่า หากนายสารถีไม่กลับไปเมือง จะเกิดความสงสัยว่าพระองค์ หายไปไหน ทั้งนายสารถี ราชรถ เครื่องประดับทั้งปวงก็สูญหายไป ควรที่นายสารถีจะนำสิ่งของทั้งหลายกับไปพระราชวัง ทูลเรื่องราวให้พระราชาทรงทราบเสียก่อน แล้วจึงค่อยกลับมาบวชเมื่อหมดภาระ.
    นายสุนันทะจึงกลับไปกราบทูลพระราชาว่า พระเตมีย์กุมาร มิได้วิกลวิการ แต่ทรงมีรูปโฉมงดงามและ ตรัสได้ไพเราะ เหตุที่แสร้งทำเป็นคนพิการก็เพราะไม่ปรารถนาจะครองราชสมบัติ ไม่ปรารถนาจะก่อ เวรทำบาปอีกต่อไป เมื่อพระราชาและพระมเหสีได้ทรงทราบ ก็ทรงปลื้มปิติยินดี โปรดให้จัดกระบวนไปรับพระเตมีย์กลับ จากป่า
    ขณะนั้น พระเตมีย์ทรงผนวชแล้ว ประทับอยู่ในบรรณศาลาซึ่งเทวดา เนรมิตไว้ให้ เมื่อพระบิดา พระมารดาเสด็จไปถึง พระเตมีย์จึงเสด็จมาต้อนรับ ทักทายปราศรัยกันด้วยความยินดี พระราชาเห็นพระโอรสผนวชเป็นฤาษี เสวยใบไม้ลวก เป็นอาหาร และประทับอยู่ลำพังในป่า จึงตรัสถามว่าเหตุใด จึงยังมีผิวพรรณผ่องใส ร่างกายแข็งแรง พระเตมีย์ตรัส ตอบพระบิดาว่า "อาตมามีร่างกายแข็งแรง ผิวพรรณผ่องใส เพราะไม่ต้องเศร้าโศกถึงอดีต ไม่ต้องรอคอยอนาคต อาตมาใช้ชีวิตให้เป็นไปตามที่สมควรในปัจจุบัน คนพาลนั้นย่อมซูบซีดเพราะมัวโศกเศร้าถึงอดีต เพราะมัวรอคอยอนาคต" พระราชาตรัสตอบว่า"ลูกยังหนุ่มยังแน่นแข็งแรง จะมามัวอยู่ทำอะไรในป่า กลับไปบ้านเมืองเถิดกลับ ไปครองราชสมบัติ มีโอรสธิดา เมื่อชราแล้วจึงค่อยมาบวช.
    "พระเตมีย์ตรัสตอบว่า "การบวชของคนหนุ่มย่อม เป็นที่สรรเสริญ ใครเล่าจะนอนใจได้ว่ายังเป็นหนุ่ม ยังอยู่ไกลจากความตาย อายุคนนั้นสั้นนัก เหมือนอายุของปลาในเวลาที่น้ำน้อย" พระราชาตรัสขอให้พระเตมีย์กลับไปครองราชสมบัติ ทรงกล่าวชักชวนให้นึกถึงความสุขสบายต่างๆ พระเตมีย์จึงตรัสตอบว่า"วันคืนมีแต่จะล่วงเลยไป ผู้คนมีแต่ จะแก่ เจ็บและตาย จะเอาสมบัติไปทำอะไร ทรัพย์สมบัติและ ความสุขทั้งหลายเอาชนะความตายไม่ได้ อาตมาพ้นจาก ความผูกพันทั้งหลายแล้ว ไม่ต้องการทรัพย์สมบัติอีกแล้ว"เมื่อพระราชาได้ยินดังนั้น จึงเห็นประโยชน์อันใหญ่ยิ่ง ในการออกบวช ทรงประสงค์ที่จะละทิ้งราชสมบัติออกบวช พระมเหสี และเสนาข้าราชบริพารทั้งปวง รวมทั้งบรรดา ประชาชนทั้งหลายในเมืองพาราณสี ก็พร้อมใจกันออกบวช บำเพ็ญเพียรโดยทั่วหน้ากัน เมื่อตายไปก็ได้ไปเกิดในสวรรค์ พ้นจากความผูกพัน ในโลกมนุษย์ ทั้งนี้เป็นด้วยพระเตมีย์กุมาร ทรงมีความอดทนมีความตั้งใจ อันมั่นคงแน่วแน่ในการที่ไม่ก่อเวร ทำบาป ทรงมุ่งมั่นอดทน จนประสบผลสำเร็จดังที่หวัง เหมือนดังที่ทรงรำพึงว่า " ผู้ที่ไม่ใจเร็วด่วนได้ ผู้ที่มีความอดทน ย่อมได้รับผลสำเร็จด้วยดี "
    คติธรรม : บำเพ็ญเนกขัมมบารมี
    เมื่อมีประสงค์ในสิ่งใดก็สมควรมุ่งมั่นตั้งใจกระทำตามความมุ่งหมายนั้นอย่างหนักแน่น อดทนอย่างเพียรพยายามเป็นที่สุด และความพากเพียรอันเด็ดเดี่ยวแน่วแน่นั้นย่อมนำบุคคลนั้นนไปสู่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง

    ที่มา http://www.watsomanas.com/thai/totsachat/tsc1_taemee.php
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กุมภาพันธ์ 2009
  9. NARKA

    NARKA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    1,568
    ค่าพลัง:
    +4,560
    กิจทางโลก กับกิจทางธรรม
    อย่าเอามาปนกันเดี๋ยง งง
    กายวาจาใจ ที่ผิดศีล5ข้อก็บาปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นศาล หรือ เป็นทหารทำสงครามฆ่าศัตรู
    เห็นกระทู้คล้ายๆอย่างนี้มาเยอะ หลงทางเพราะไม่แยกกิจของฆารวาสออกจากกิจของสงฆ์
     
  10. นักเดินธรรม

    นักเดินธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +2,393
    ด้วยความที่อยู่ในวงการนี้นะครับ บางทีพวกเราเองก็รู้นะว่าคนทำผิดจริงๆคือใคร แต่พยานหลักฐานชี้ชัดไปที่คนนี้ พวกเราไม่มีอำนาจฝืนตามที่

    กฎหมายชี้ได้หรอกครับ แล้วบางทีการที่เอาตัวคนกระทำผิดมาไม่ได้ไม่ใช่ว่าเราปล่อยปละละเลยหรือไม่รู้ตัวแต่ก็อย่างที่บอกครับพยานหลักฐาน

    และช่องว่างทางกฎหมายทำให้เค้าพ้นผิดได้ ถามว่าบาปมั้ย...มันต้องบาปแน่ล่ะในกรณีที่รู้ว่าเค้าไม่ผิดก็ต้องให้เค้ารับว่าผิดแต่นั่นมันขึ้นอยู่กับ

    กฎหมายทางโลกครับ ซึ่งในโลกความเป็นจริงมันมีสิ่งที่คนทั่วไปคาดไม่ถึงครับโดยเฉพาะในกระบวนการยุติธรรมทั้งหลายเนี่ย...ผมจะยกตัวอย่าง

    นะครับ เช่นคุณไม่เคยค้ายาบ้า ไม่เคยเสพย์แต่มีคนข้างบ้านไม่ชอบคุณ เค้าไปแจ้งความกับผมว่าคุณค้ายาบ้า ทั้งๆที่ผมรู้จักคุณดีว่าคุณเป็นคนดี

    แต่ในเบื้องต้นผมก็ต้องขออนุญาตเข้าตรวจค้น ปรากฎว่าไปเจอยาบ้าที่เค้าแอบซ่อนไว้ในบ้านคุณ ผมก็ต้องจับคุณข้อหาครอบครองมีไว้เพื่อ

    จำหน่าย แล้วเมื่อใช้วิทยาการที่เป็นไปอย่างที่สุดในโลกความเป็นจริงอ้างอิงได้ มันชี้ชัดว่าเป็นของคุณ แม้ว่าทั้งศาลทั้งตำรวจจะรู้ว่าคุณไม่ได้ทำ

    แต่ก็ต้องตัดสินเช่นนั้น เพราะหากไม่ทำเช่นนั้นเราก็จะโดนข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามป.วิอาญา มาตรา 157 ซึ่งในที่นี้หลายคนอาจจะคิด

    ว่า อย่างนี้เราก็ไม่กล้าต่อสู้เพื่อคนที่ทำถูกต้องน่ะซิ...เชื่อผมเถอะครับ ตราบใดยังเป็นคนธรรมดามีหน้าที่รับผิดชอบยังไม่มีใครกล้าเอาตัวเองเข้า

    แลกเพื่อคนอื่นตรงๆโดยเหตุผลไม่ยิ่งใหญ่ไปกว่าชีวิตตนหรอกครับ เช่นนี้แล้วผมก็คงบอกไม่ได้ว่าจริงๆแล้วมันผิดที่ใครกันแน่...ในโลกความเป็น

    จริงโดยเฉพาะกฎหมายก็ต้องอ้างกันด้วยพยาน หลักฐานและกฎหมายครับ แต่เรื่องของกฎแห่งกรรมมันก็ต้องว่ากันด้วยศีลด้วยธรรมล่ะนะครับ...

    ผมคิดว่าเช่นนั้นนะครับ
     
  11. นักเดินธรรม

    นักเดินธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +2,393
    อ่อ......ลืมบอกไปนะครับ ที่โรงเรียนผมก็สอนกันมาครับว่า ตำรวจกับอัยการผู้พิพากษาอยู่นรกขุมใกล้กัน...แต่นั่นอีกแหละครับ มีอีกหนึ่งข้อคือ หากพวกเราไม่ลงนรกแล้วใครจะลง นี่ก็เป็นสิ่งที่พวกผมถูกสอนมาให้เตรียมใจเช่นกันครับ
     
  12. รักคนอ่าน

    รักคนอ่าน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +94
    แกว่งนิ้วหาเสี้ยนเองครับ หุ หุ
     
  13. รักคนอ่าน

    รักคนอ่าน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +94
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กุมภาพันธ์ 2009
  14. haha4959

    haha4959 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    388
    ค่าพลัง:
    +85
    จะรั้นอยู่ทำไม เนอะ

    คนเห็นแล้ว ไม่ดี ชาวบ้านติเตียน

    มันก็ส่งถึง พระศาสนา

    ฟังไม่ขึ้นหรอก ว่า เพื่อ ศาสนา

    ถ้า เพื่อศาสนาจริง ไม่ต้องเป็นพระจะงามกว่า ทำอะไรได้มากกว่า ช่วยงานได้เยอะกว่ามากเลย เพราะข้อจำกัดมันน้อย
     
  15. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    [​IMG]
     
  16. นักเดินธรรม

    นักเดินธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +2,393
    อุ้ย เอารูปผมมาลง เรียกค่าลิขสิทธิ์ดีก่า อิอิอิ
     
  17. มหัศฤทธิ์

    มหัศฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    222
    ค่าพลัง:
    +855
    กรรมมิได้ตัดสินจากพวกทนาย หรือตำรวจ ฯลฯ หากเขาตัดสินตามที่เขาเรียนมา..
    แต่มันอาจไม่ถูกต้อง...คือคนผิดไม่ได้ผิดจริง...ก็บาปเหมือนกัน..
    กรรมเกิดจากกาย วาจา และใจ มิได้เกิดจากการตัดสินของผู้ใดผู้หนึ่ง..
    รู้ว่าเขาถูกแต่จงใจให้ผิด..ก็บาปมาก
    รู้ว่าเขาถูกถึงแม้จะพยายามช่วยเต็มที่แล้ว..แต่หลักฐานอ่อน..ตัดสินให้ผิด..
    ก็บาปบ้างไม่เต็มที่....
    รู้หรือไม่รู้ว่าเขาถูกแต่ตัดสินได้ถูกต้อง..ออกมาดี..ก็ไม่บาปเลย..
    แต่ทั้งหมดก็เกิดเป็นกรรมทั้งดีและไม่ดี...เพราะต้องมีบางฝ่ายผูกใจเจ็บกับผู้ตัดสินแน่นอน.
    ทางที่ดี เลือกเป็นอาชีพอื่นเถอะ...555
     
  18. ZOMZARN

    ZOMZARN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +950
    ไม่ค่อยอยากแสดงความเห็นให้คุณนักเดินธรรมไม่สบายใจครับ

    การทำหน้าที่ตลก.ก็คงไม่ต่าง ๆ จากหน้าที่เพชรฆาตเท่าใดนัก
    แม้ว่านักโทษประหารจะผิดจริงทั้งทางธรรมและทางโลก(กฎหมาย) แต่ผู้ทำหน้าที่ประหารและผู้ตัดสินก็คือผู้เป็นเหตุให้นักโทษคนนั้นต้องถึงแก่ความตายครับ
    กฎหมายของธรรมชาติหรือกฎแห่งกรรมคือ ผู้ใดสร้างเหตุ ผู้นั้นต้องรับผล แต่ผลจะหนักหรือเบาอย่างไรขึ้นอยู่กับเจตนาด้วย เช่นทำตามหน้าที่โดยไม่มีอคติ โทษจะเบากว่าการทำด้วยจิตอคติหรือโกรธเคืองหรือพยาบาท แต่ถึงจะทำด้วยใจที่ไม่มีอคติ แต่ก็ทำโดยเจตนา

    แต่มิใช่ตลก.ทุกคนจะพิจารณาตัดสินคดีด้วยใจที่เป็นกลางและเที่ยงธรรมเสมอไป เพราะตลก.ก็มาจากปุถุชนคนธรรมดา การสอบคัดเลือกก็ไม่มีมาตรฐานที่จะพิสูจน์ชี้วัดถึงคุณธรรมภายในใจของใครได้ ใครเรียนเก่งสอบได้ ก็ได้รับตำแหน่ง
    ดังนั้นสังคมจึงอาจรู้สึกเคลือบแคลงสงสัยในคดีบางคดีที่มันขัดกับความรู้สึกและสามัญสำนึก
    ผมไม่อยากวิเคราะห์วิจารณ์บางคดีโดยละเอียด เพราะกฎหมายหมิ่นศาลยังบังคับใช้อยู่
    กฎหมายนี้ไม่แฟร์สำหรับสังคม ทำให้เกิดระบอบเผด็จการทางกระบวนการยุติธรรม เพราะใครก็ไม่สามารถวิเคราะห์วิจารณ์ผลการตัดสินคดีได้ แม้จะวิจารณ์ด้วยเหตุผลและหลักวิชาโดยบริสุทธิ์ใจก็ตาม
    ใครก็ตามที่มีอำนาจตัดสินชะตาชีวิตของคนอื่นทั้งชีวิตได้ ก็สมควรอดทนรับฟังคำวิพากวิจารณ์ของสังคมให้ได้ เพราะการรับฟังคำวิจารณ์ของสังคมด้วยเหตุผลนั้น ไม่ใช่เรื่องทุกข์ยากหนักหนาสาหัสเหมือนจำเลยที่ถูกตัดสินลงโทษ
    ผมเห็นว่าในอนาคตควรยกเลิกกฎหมายนี้
    อำนาจตลก.สมควรได้รับการตรวจสอบโดยสังคมได้เช่นเดียวกับอำนาจบริหารและอำนาจนิติบัญญัติ จึงจะเกิดความโปร่งใส เสมอภาคและเท่าเทียมกันในอำนาจทั้งสาม
    สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ผมอยากเห็นก็คือ อยากเห็นสถาบันตลก.มีความเป็นตัวของตัวเองสูงสุด ยึดหลักกฎหมายและหลักการของตลก.อย่างสูงสุด ไม่เอนไปตามคำชี้แนะของใคร
     
  19. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    มีเรื่องของพระอานน ตอนสังฆยานา(สงสัยเขียนผิดช่างมันเตอะนะ - -)ครั้งแรก อยากเล่าไห้ฟัง
    เป็นเรื่องที่คณะสงฆ์ ชี้โทษต่างๆของพระอานนในตอนที่พระอานน ปฏิบัติรับใช้พระพุทธเจ้าอยู่
    เมื่อคณะสงฆ์ชี้โทษแล้ว พระอานนท่านก็กล่าวถึงสาเหตุที่ท่านทำอย่างนั้นๆ ว่าเพราะอะไรและ ลงท้าย ท่านก็บอกว่า ในข้อที่ท่านกล่าวนั้น ข้าพเจ้า ไม่เห็นโทษใดๆในการกระทำนั้นของข้าพเจ้า แต่ ถ้าหากคณะสงฆ์ เห็นว่าผิด ข้าพเจ้า ก็ขอแสดงอาบัตินั้น เป็นอย่างนี้ทุกข้อไป

    จนดูเหมือน คณะสงฆ์นั้น กลั่นแกล้งพระอานน
    แต่ที่จริงไม่ไช่ คณะสงฆ์นั้นเพียงแต่ ต้องการแสดงไห้เห็นเกี่ยวกับกฏที่สงฆ์ตั้งขึ้น ว่าพระทุกรูป ควรเคารพอย่างไร เพราะขนาดพระอานน ซึ่งเป็นเหมือน พุทธอนุชาของพระพุทธเจ้า แม้นไม่เห็นโทษผิดของตน ท่านก็ยังยอมรับการตัดสินของคณะสงฆ์ เพื่อไห้พระรูปอื่นๆทั่วไปเห็นความศักสิทธิ์ของกฏ วินัยต่างๆที่คณะสงฆ์ตั้งขึ้น...

    แต่คงต่างกับกฏของโลกแยะ เพราะท่านเหล่านั้น ล้วนเป็น พระอรหันทั้งสิ้น - -

    แต่คิดว่าผู้ยอมรับโทษ แม้เห็นว่าตนเองไม่ผิดการตัดสินไม่เป็นธรรม ก็ยอมรับการตัดสินนั้นก็เป็นผู้เสียสละเหมือนพระอานนนั่นละ . . .



    น่าเสียดายที่เราจำได้ไม่ละเอียด - -
    จบ กำ . . .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กุมภาพันธ์ 2009
  20. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    เห็นด้วยกับตรงที่เป็นสีแดง และ ปาบนั้นก็หนักเบา ต่างกันขึ้นอีกกับว่า กรรมที่ทำนั้น ทำกับไคร ปุถุชน หรือ อริยะบุคล ผลกรรมก็ต่างกันลิบ
     

แชร์หน้านี้

Loading...