ถ้ากรุงศรีอโยธยาไม่แตกครั้งที่ 2 ปัจจุบันจะเป็นอย่างไร

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย Fabreguz, 26 ตุลาคม 2011.

  1. Fabreguz

    Fabreguz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    645
    ค่าพลัง:
    +1,911
    อย่าหาว่าผมจะย้อนอดีตทำไมในเมื่อเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ เลยนะครับ ผมแค่

    อยากจะลองคิดดูนะครับว่า ถ้ากรุงศรีอโยธยาไม่แตกครั้งที่ 2 ปัจจุบันจะเป็นอย่างไร
    ผมพึ่งไปเที่ยวอยุธยาเมื่อประมาณ 3 - 4 เดือนก่อนน้ำท่วมหนักนี้

    และผมก็ได้เห็นหลายสิ่งหลายอย่าง อย่างแรกเลยคืออดีตแห่งความรุ่งเรือง

    ทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมขั้นสูงสุดในยุคนั้น ซึ่งผมเคยอ่านมาว่านักเดินทาง
    ชาวยุโรปได้บันทึกไว้ว่าเป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองที่สุดในเอเชีย ซึ่งผมคิดว่าคงเจริญเท่าๆกับจีน ญี่ปุ่น ในยุคนั้นเลยทีเดียว เพราะมีเรือสำเภาจากจีนมาค้าขายมากมากและเรือจากยุโรป โปรตุเกส เยอะ ซึ่งเมื่อวิเคราะห์ดูแล้ว เท่าที่สังเกตุดู ถ้ากรุง ไม่แตกครั้งที่สอง โบรานสถานเหล่านั้นก็จะเป็นอาคารที่ยังไม่ถูกเผา
    แต่จะเหมือนมีวัดเก่าเต็มพระนคร ถ้าอยู่มาได้จนถึงยุคนี้ แน่นอนว่า พวกแหล่งเศรษฐกิจทั้งหลาย ตึกใหญ่ๆต่างๆ ไม่สามารถตั้งอยู่ได้แน่นอน เพราะในเกาะพระนครมีแต่โบราณสถาน วัด พระราชวัง ดังนั้นถ้าอยู่ได้มาจนปัจจุบัน ผมคิดว่าจะเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรม การศึกษา มากกว่าที่จะเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ ซึ่งผมคิดว่า ก็มีเหตุมีผลเหมือนกัน ถ้าไม่ย้ายเมืองหลวงจาก อยุทธยา มา กทม. ยังไงเมื่อเศรษฐกิจเติบโต การลงทุน ก็ต้องขยายออกไปรอบนอก ซึ่ง กทม. ก็สามารถเป็นเมืองหลวงทางเศรษฐกิจได้อย่างดีเยี่ยม แต่ถ้าอยุทธยาไม่แตก ผมคิดว่า เราจะยิ่งใหญ่กว่านี้ในเรื่อง วัฒนธรรม ศาสนา เราอาจจะเป็นศูนย์กลางของโลกเลยก็ได้ เพราะคัมภีร์การศึกษาบทประพันธ์สมัยอยุธยา ถูกเผาไปมากมาย แต่แง่ร้ายก็คือ น้ำท่วมนั่นเอง ซึ่งคิดถูกแล้วที่ย้าย แน่นอนว่า ในอนาคต กทม. ก็มีแนวโน้มเช่นกัน ผมคิดว่า การย้ายเมืองหลวงไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร หากเราจะมองเป็นปัญหาในปัจจุบัน เรื่องการคมนาคมและเรื่องน้ำท่วม.. ภาคเหนือ หรือ อิสาน ตอนล่าง
    น่าจะเป็นทำเลที่ดี...... สรุปถ้าให้ผมคิดก็คือ กรุงแตกเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ เหมือนเป็นคนละคน จากคนที่ไม่สามัคคีกัน หวังแต่อำนาจ ตายไปแล้วเกิดใหม่เป็นคนที่เข้มแข็ง ทำเพื่อส่วนรวม.... ทุกอย่างมีเหตุมีผล
     
  2. Namushakamunibutsu

    Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,347
    ค่าพลัง:
    +2,618
    กรุงศรีฯก็จะกลายเป็นเมืองวัฒนธรรม แล้วก็ย้ายเมืองหลวงมาใกล้ๆปากอ่าวเพื่อง่ายต่อการค้าขาย เพราะยุคที่ทุนนิยมเกิดขึ้นแรกๆยังไม่มีเครื่องบินขนส่งสินค้าครับ... เราต้องยอมรับว่าทุนนิยมครอบงำโลกใบนี้ครับ

    และถึงจะย้ายเมืองหลวงใหม่และยังไงก็ต้องย้าย ก็ไม่ได้ทำให้คนสามัคคีและมีจิตสำนึกขึ้นเท่าไรนัก ประเทศที่ประชากรเคารพกฎระเบียบ มักเป็นประเทศที่ผ่านเหตุการณ์หนักๆมา และมีการปฏิรูปประเทศอย่างจริงจัง ไม่ใช่รัฐประหารโดยไร้ปฏิวัติอย่างเมืองไทย ถึงจะเปลี่ยนเท่าไหร่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น... (ต้องทำความเข้าใจด้วยนะครับ คำว่าปฏิวัติต้องมีสิ่งเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น หรือการรื้อระบบเก่าครับ)
     
  3. วสันตฤดู

    วสันตฤดู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,321
    ค่าพลัง:
    +8,714
    เป็นประเด็นที่น่าสนใจเเละตั้งสมมติฐานมากเลยค่ะ สาเหตุของกรุงศรีอยุธยาเเตกครั้งที่ 2 คือมีกบฏ เเละผู้นำที่ไม่กล้าหาญ ถ้ากรุงศรีอยุธยาไม่เเตกครั้งที่ 2 ก็คงไม่เกิดวีรชนคนกล้าเเละไม่บังเกิดกรุงธนบุรี กรุงรัตนโกสินทร์ เเต่เหมือนกับทุกอย่างถูกลิขิตไว้เเล้ว
     
  4. Fabreguz

    Fabreguz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    645
    ค่าพลัง:
    +1,911
    ถ้ามองตามหลัก ดวง โหราศาสตร์ หรือกรรมของคนในแผ่นดินสมัยนั้น อันนี้ผมก็ไม่รู้นะครับ

    ไม่อยากจะโทษอะไร อาจจะเป็นความเหมาะเจาะพอดี.. เพราะถ้ามองให้เห็นว่า เกาะเมือง

    ไม่สามารถจุคนเป็นสิบล้านได้แน่ สนามบิน สนามฟุตบอล ห้างใหญ่ อะไรต่อมิอะไร

    ก็สร้างข้างในไม่ได้แน่นอน ซึ่งจะกลายเป็นเมืองหลวงทางวัฒนธรรมซะมากกว่า

    เศรษฐกิจถ้ากรุงศรีไม่แตกนะผมคิดไว้อย่างนั้น ส่วนเมืองหลวงทางเศรษฐกิจอาจจะ

    เป็น ปทุมธานี นนทบุรี หรืออ่างทอง ถ้าเกิดไม่แตกเพราะคงไม่ย้ายไปไกลลงไป

    ห่างมาก แต่ข้อดีในปัจจุบันคือ ทำให้เรามีเมืองมรดกโลก ซึ่งทำให้มีนักท่องเที่ยว

    ต่างชาติมาเที่ยวนับล้านต่อปี เป็นเมืองเก่าเมืองโบราณ ถ้ากรุงไม่แตกโบรานสถานต่างๆ

    อาจถูกดัดแปลงไปในเชิงธุรกิจบ้าง หรือตกแต่งให้ใหม่บ่อยๆ และไม่ได้ขึ้นทะเบียน

    มรดกโลก...... แต่ที่ผมเสียดายมากที่สุดคือ มรดกทางวัฒนธรรม ผมเชื่อว่าในยุคทอง

    ของอยุทธยา น่าจะมีบทประพันธ์หรือคัมภีร์โบราณหลายอย่างที่ตกทอดมาตั้งแต่สมัย

    สุโขทัย....... เพราะอย่างที่ผมรู้ที่ดังๆ ในยุคปัจจุบันผมก็รู้จักแต่ผลงานของ สุนทรภู่

    หรือ ผลงานของ รัชกาลที่ 2 3 6 เป็นต้น แต่ผลงานของ สมเด็จพระนารายณ์ สมัย

    อยุทธยา หรือน่าจะมีพระมหากษัตริย์สมัยนั้นอีกหลายประองค์ที่ทรงพระปรีชาสามารถ

    เป็นประจักษ์ ปัจจุบันความเป็นเอกลักษณ์ของประเทศต่างๆ เริ่มถูกทุนนิยมเข้าครอบงำ

    ให้เห็นแต่ผลประโยชน์ทางธุรกิจแล้วจริงๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...