ถูกกลั่นแกล้งจนต้องออกจากงาน คู่เวรเก่า ตาต่อตาฟันต่อฟันหรือให้อภัย

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย PalmPlamnaraks, 11 พฤศจิกายน 2005.

  1. PalmPlamnaraks

    PalmPlamnaraks เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2005
    โพสต์:
    764
    ค่าพลัง:
    +5,790
    <TT style="FONT-FAMILY: Courier New">โดย พระครูเกษมวรกิจ ( วิชัย เขมิโย)</TT></PRE>
    <TT style="FONT-FAMILY: Courier New">วัดถ้ำผาจม อ.แม่สาย จ.เชียงราย</TT></PRE>
    <TT style="FONT-FAMILY: Courier New">************************************</TT></PRE>

    </PRE>​

    <TT style="FONT-FAMILY: Courier New">การหลบหลีกจากศัตรู คู่อาฆาต</TT></PRE><TT style="FONT-FAMILY: Courier New"> ปัญหาในวงงานนั้น ยังมีอีกมากนัก บางคนถูกบีบ ถูกกลั่นแกล้งปัดแข้งปัดขากันสารพัด ทำนองพวกใครพวกมัน บางคนอดกลั้นไม่ได้ ฆ่ากันตายก็มีมากราย ยิ่งเป็นพวกพ่อค้า ร้านค้าที่ขายของแข่งกัน พวกเจ้าพ่อ มีอิทธิพลต่าง ๆ ไล่ฆ่ากันอยู่เสมอ ถ้ารู้ตัวเองว่า อยู่ในสภาพถูกบีบคั้นแล้วอย่าโต้ตอบเลย รีบสวดมนต์ไหว้พระ ทำบุญอุทิศ ให้ทุกวัน ๆ แต่ถ้ารู้ว่าจะมีภัยถึงตัวแล้ว ให้เราเอาตัวรอดไว้ก่อน เข้าทำนอง รู้รักษาตัวรอด เป็นยอดดี ปลอดภัยไว้ก่อน ไม่ใช่ว่า ก่อนมันจะเล่นเรา เราต้องทำมันก่อน แบบนี้เป็นการสร้างกรรมใหม่ จะถูกพันกัน ไม่รู้จบ แต่ถ้าถามว่า ก็เราอยู่ดีๆ มันมาทำเราก่อนทำไม เรื่องนี้ตอบได้เลยว่า ชาติก่อนเราได้ทำไม่ดีกับเขาก่อน ชาตินี้จึงต้องรับกรรม และไม่ต้องสงสัยว่า ชาติก่อน ชาติหน้า มันมีจริงหรือ เรื่องนี้เป็น เรื่องจริง แน่นอน</TT>

    <TT style="FONT-FAMILY: Courier New">ถูกกลั่นแกล้ง จนออกจากงาน</TT></PRE> <TT>ให้คิดปลงตกเสียว่า ได้หมดกรรม จากสถานที่นี้แล้ว อย่าจองเวรอาฆาตต่อไป หรือท่านที่มีกิจการค้าขายใหญ่โต ทำแล้วธุรกิจเสียหาย ถูกโกง จนเจ๊งล้มละลาย ก็ให้คิดเสียว่า ได้ชดใช้กรรมเวรต่อเขาแล้ว อโหสิกรรมกันเสียเถอะ แล้วจะสบายใจ มิฉะนั้น จะคิดกลุ้มใจทุกข์ใจ ทรมานตัวเองเปล่าๆ เพราะทุกข์ไปแล้ว ก็ไม่ได้คืนย้อนกลับมาหรอก ยิ่งคิด ก็เหมือนกินยาพิษ ทำร้ายตัวเอง เมื่อกลับมา ถึงบ้านแล้ว อาบน้ำทานข้าว พักผ่อน พอสมควรแล้ว ให้เตรียมตัวสวดมนต์ไหว้พระ เปิดเทป </TT><TT style="FONT-FAMILY: Courier New">หลวงพ่อฟังการแสดงธรรม นั่งฝึกสมาธิกรรมฐาน การฝึกสมาธิกรรมฐาน จะนั่งแบบไหนก็ได้ และจะใช้คำภาวนาแบบไหนก็ได้ทั้งนั้น ข้อสำคัญ คือการทำจิตให้นิ่ง ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่าง ความสำคัญมีแค่นี้ ทำให้มาก ๆ นาน ๆ แรกเริ่มเลย จะนั่งสมาธิสัก 30 นาที พอมันคุ้นชิน ต่อไปจะนั่งได้เป็นชั่วโมง และต่อไปจะได้ตลอดคืนยันรุ่ง บางคนสงสัยว่า ทำจนไม่ได้นอนเลย จะไม่ง่วงไม่เหนื่อยหรือ มิต้องหลับที่ทำงานหรือ ขอตอบว่ายิ่งสบาย ยิ่งสดชื่นแจ่มใสเสียอีก สติปัญญากลับมีมากขึ้น อย่าห่วงข้อนี้ ทดลองทำดูก่อน แต่ไม่ใช่นั่งฟุ้งซ่าน คิดเรื่องนี้ เรื่องนั้นอยู่ทั้งคืน ถ้านั่งฟุ้งซ่าน พรุ่งนี้หลับแน่ ทำดูแล้วจะรู้เอง </TT> <TT style="FONT-FAMILY: Courier New">สถานที่ เราจะเลือกใช้ห้องพระ หรือห้องนอนก็ได้ แล้วแต่ความสะดวกของคนนั้น จะเข้าห้องน้ำก็ยังทำได้เลย นี่คือกิจวัตรประจำวันของท่านที่หวังความเจริญ</TT>
    <TT style="FONT-FAMILY: Courier New">การทำบุญนั้นต้องเลือกวันด้วยหรือ ?</TT>
    <TT style="FONT-FAMILY: Courier New">หลายท่านสงสัยว่า จะตักบาตรทำบุญต่าง ๆ ต้องเลือกวัน ต้องทำให้ตรงกับวันเกิดของตัวเอง ต้องทำวันพระ หรือเกิดวันอังคารต้องทำแต่วันอังคาร เรื่องการเลือกวัน เพื่อจะทำบุญทำกุศลนั้น ไม่ต้องเลือก สะดวกวันไหนเอาเลย จะเป็นเวลาเช้าหรือเย็นได้ทั้งนั้น เดือนมืดหรือแรม 15 ค่ำก็ได้ ทำได้ทุกวันยิ่งดี เพราะการทำความดีนั้น ไม่ต้องมีฤกษ์ยาม </TT>
    <TT style="FONT-FAMILY: Courier New">โลกนี้ทำไม ? จึงมีทั้ง เศรษฐี และ ยาจก </TT>
    <TT style="FONT-FAMILY: Courier New">ชะตาชีวิตของคนเราทุกวันนี้แตกต่างกันออกไปหลายรูปแบบ มีทั้งลำบากยากแค้นไปจนถึงสุขสบายเป็นเศรษฐี ทำไมจึงแตกต่างกันเช่นนี้ มันเป็นเพราะอะไรหรือ เรื่องนี้เป็นเรื่องของบุญญาวาสนา ของแต่ละคนที่ได้สร้างสมกันมาตั้งแต่อดีตชาติแล้ว คนที่ชอบทำบุญให้ทาน เคยทำนุบำรุงศาสนา วัดวาอาราม ไปจนถึงถวายสังฆทาน เลี้ยงพระเณรนั้น เป็นสาเหตุที่มาของพวกเศรษฐีมีเงิน ส่วนคนที่ยากจนหาเช้ากินค่ำ เป็นเพราะว่าทำบุญน้อย แต่ยังโชคดีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ปัญหาอยู่ที่ว่า คนยากจนนี้ จะทำอย่างไร? จึงจะมีเงินทองใช้ในภพชาตินี้ จะแก้ไขได้ทันหรือไม่ ?</TT>
    <TT style="FONT-FAMILY: Courier New">คนที่อยากร่ำรวยในชาตินี้ ต้องเริ่มลงมือสร้างบุญกุศลทันที จะรอช้าไม่ได้แล้ว และต้องรีบมาทางลัดจึงจะแก้ไขได้ทัน โดยปฏิบัติดังนี้ให้ไหว้พระสวดมนต์ทำวัตร จะเป็นเวลาไหน แล้วแต่ความสะดวก จะเป็นเช้ารุ่ง หรือตอนกลางคืนไม่มีปัญหา ขอให้จิตตั้งมั่นมีสติ และศรัทธาสวดมนต์แล้ว ต่อด้วยการทำสมาธิเพราะขณะนั้นจิตใจเริ่มจะสงบนิ่ง การทำสมาธิกรรมฐาน ให้หาเทปธรรมของหลวงพ่อต่าง ๆ หรือพระอาจารย์กรรมฐานมาเปิดฟังเพื่อทำตาม ให้กำหนดจิตอารมณ์ไปตามเสียงที่ท่านสอน จะทำให้รู้เรื่อง จิตจะสงบมากขึ้น ให้ทำทุกวัน และทำบุญตักบาตรทุกวัน เมื่อจะทำบุญ ต้องตั้งใจให้ดี ดังคนยากจนในพุทธกาลที่ถวายเพียงเข็มถักผ้าเล่มเดียว ก็สะเทือนทั้งแผ่นดิน ถึงแม้จะเป็นแค่เข็มเล่มเดียว แต่เขาทำด้วยความตั้งใจ จึงได้อานิสงส์อย่างมากมายมหาศาล</TT>
    <TT style="FONT-FAMILY: Courier New">และทุกครั้งที่ทำบุญแล้ว หรือสวดมนต์ไหว้พระเสร็จแล้ว ให้อธิษฐานทุกครั้ง อธิษฐานในเรื่องที่กำลังต้องการอยู่แล้วจะสำเร็จ ได้ผลเร็วกว่าผู้ที่ไม่ได้อธิษฐานในสิ่งที่ต้องการ เรื่องนี้สำคัญ ต้องอย่าลืม เพราะถ้าไม่เจาะจงเรื่องที่ต้องการแล้ว บุญกุศลนั้นก็จะไม่มีจุดหมายที่จะไป บุญนั้นก็จะไปสมทบรวบยอดในตอนแก่เฒ่า ถึงตอนโน้นแล้ว ก็ไม่รู้จะต้องการอะไรอีก เพราะมันแก่ชราแล้ว</TT>
    <TT style="FONT-FAMILY: Courier New">ส่วนคนยากจน ที่จะต้องลำบากยากแค้นไปถึงชาติหน้านั้น คือ คนที่ขาดการทำบุญให้ทาน ในชาตินี้จึงต้องยากจนข้ามภพข้ามชาติ!! ระวัง</TT>
    หมายเหตุ พิมพ์เรื่องและส่งมาโดย คุณ Lilly ขออนุโมทนาในกุศลผลบุญครั้งนี้ด้วยครับ
    ที่มา http://www.lekpluto.com/tham/tham_01.htm
     
  2. สุวรรณา รัตนกิจเกษม

    สุวรรณา รัตนกิจเกษม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    311
    ค่าพลัง:
    +772
    [SIZE=+1]พระพุทธทำนาย เรื่อง
    "โคลนนิ่งก์ (Cloning)"

    พลตำรวจตรี สุชาติ เผือกสกนธ์
    [/SIZE]
    ในระยะสองสามเดือนนี้ ได้ปรากฏข่าวเกี่ยวกับวิชาวิทยาศาสตร์ผ่านสื่อมวลชนที่ได้รับความสนใจจากประชาชนทั่วไปอยู่สองเรื่อง เรื่องแรกเป็นเรื่องเกี่ยวกับวิชาวิทยาศาสตร์สาขาดาราศาสตร์คือ เรื่องดาวหางชื่อ เฮล-บอพพ์ (Hale-Bopp) ได้โคจรเข้ามาใกล้โลกที่สุดเมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๔๐ จนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และเรื่องที่สองเป็นเรื่องเกี่ยวกับวิชาวิทยาศาสตร์สาขาชีววิทยาแพทยศาสตร์คือ เรื่องความสำเร็จของนักวิทยาศาสตร์ Ian Wilmut ในการขยายพันธ์แกะด้วยวิธีคัดลอกหรือถ่ายสำเนาแบบ หรือ "โคลนนิ่งก์ (Cloning)" โดยการนำเซลล์จากเต้านมของแกะแม่พันธ์มาทำการเพาะตามกรรมวิธีของเขาโดยไม่ต้องใช้แกะพ่อพันธ์ ปรากฏว่าสามารถทำให้เกิดลูกแกะขึ้นมาได้มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับแม่พันธ์ทุกกระเบียดนิ้วและได้รับการตั้งชื่อว่า แกะดอลลี่ เรื่องนี้ได้รับความสนใจจากสามีภรรยาที่ไม่สามารถให้กำเนิดบุตรด้วยตนเองได้เป็นอย่างยิ่ง เพราะกรรมวิธีในการแพร่พันธ์น่าประทับใจกว่าวิธีการทางแพทย์ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามก็ได้เกิดความคิดคำนึงกันต่อไปว่า วิธีการแพร่พันธ์สัตว์แบบนี้จะนำมาใช้กับมนุษย์ได้หรือไม่ ถ้าได้ จะมีอะไรเกิดตามขึ้นมา โลกเราคงจะปั่นป่วนอลเวงทีเดียวเพราะทุกคนหน้าตาเหมือนกันไปหมด ไม่ว่าจะอยู่ในบ้าน ที่ทำงานหรือ ในสาธารณสถาน จะมีโอกาสทราบกันได้อย่างไรว่า ใครเป็นพี่ ใครเป็นน้อง ใครเป็นสามี ใครเป็นภรรยา คงจะผิดลูกผิดเมียสร้างปัญหาให้แก่สังคมทุกเมื่อเชื่อวัน
    ตามความเป็นจริงแล้ว เรื่องการขยายพันธ์ด้วยวิธีการโคลนนิ่งก์นี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ชาวสวนรู้จักวิธีการขยายพันธ์พืชด้วยวิธีนี้มานานกว่าศตวรรษแล้ว เมื่อเทคโนโลยี่ในวิชาการวิทยาศาสตร์แขนงนี้ได้วิวัฒนาการออกไป ก็ได้มีการนำมาประยุกต์ใช้ในการขยายพันธ์สัตว์ได้อีกด้วยแต่จะมีขบวนการขั้นตอนยุ่งยากซับซ้อนกว่าการขยายพันธ์พืชมาก ผลงานการวิจัยนี้ได้รับการยืนยันจากมหาวิทยาลัยเจนีวาว่า สามารถนำมาใช้กับหนูได้ สถาบันสรีรวิทยาสัตว์ที่แคมบริดจ์ได้ทดลองใช้เทคนิคนี้กับแกะ มหาวิทยาลัยคาลแกรี่ทดลองใช้กับลูกวัว และคงจะมีสถาบันวิจัยอื่นในประเทศต่างๆ อีกจำนวนไม่น้อยที่ทำการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องนี้แต่ยังมิได้นำเอาผลงานออกมาเผยแพร่เท่านั้น
    เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ ทำให้ผมนึกถึงพระพุทธทำนายที่ปู่ย่าตายายได้เล่าสู่สืบทอดฟังกันมาตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็ก เท่าที่จำได้พอสรุปเป็นสาระได้ว่า พระพุทธศาสนาในยุคพระโคดม (พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระบรมศาสดาของเราปัจจุบัน) จะมีอายุยาวยืนนาน ๕,๐๐๐ ปี ต่อจากนั้นจะมีพระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่อุบัติขึ้นมีพระนามว่า 'พระศรีอารยเมตไตรย" เมื่อใกล้จะสิ้นพุทธกาล ศาสนาจะเรียวลง ผู้คนจะไร้ศีลธรรมจรรยา มีมิจฉาทิฎฐิเห็นผิดเป็นชอบ ประกอบแต่อกุศลกรรม แม้แต่พระสงฆ์ก็จะไม่ครองจีวร มีแต่เศษผ้าเหลืองทัดอยู่เหนือหูพอเป็นเครื่องหมาย เกิดมิคสัญญีกันทั่วไป ด้วยผลของอกุศลธรรมจึงทำให้มีอายุสั้นลงเหลือ ๑๐ ปี สตรีมีอายุ ๕ ปีก็มีสามีได้ รูปร่างหน้าตาก็เหมือนกันไปหมดจนไม่ทราบว่าใครเป็นใคร....ฯลฯ
    ในโบราณกาลได้มีความเชื่อถือในคำพระพุทธทำนายเรื่องอายุของพระพุทธศาสนาว่าจะไม่เกินกว่า ๕,๐๐๐ ปีอยู่มาก จึงได้มีความพยายามที่จะยืดอายุของพระพุทธศาสนาออกไปอีก ต่อมาเมื่อพระพุทธกาลได้จำเริญมาจนถึง๑,๑๘๑ ปี จึงได้มีพระสังฆราชพม่าองค์หนึ่งได้หาวิธีการต่ออายุพระพุทธศาสนาให้ยืนยาวออกไป ด้วยการลบพุทธศักราชเดิมแล้วตั้งศักราชขึ้นใหม่เป็น "จุลศักราช" โดยเปลี่ยนแปลงจากวิธีการนับวันเดือนปีทางจันทรคติที่ใช้กันอยู่แต่เดิมกันในประเทศอินเดีย มาเป็นวันข้างขึ้นข้างแรม เดือนอ้ายเดือนยี่... ประเทศไทยได้ยอมรับการเปลี่ยนแปลงของพม่าในครั้งนี้และได้นำมาใช้ตั้งแต่กรุงสุโขทัยยังเป็นราชธานี หลังจากนั้นได้มีการชำระลบศักราชกันอีกหลายครั้ง ครั้งที่สำคัญคือในสมัยพระเพทราชา และสมเด็จพระพุทธเจ้าเสือ จึงทำให้การนับวันเดือนปีทางจันทรคติของไทยได้คลาดเคลื่อนจากตำราเดิมของประเทศพม่ามาจนถึงทุกวันนี้
    ดังนั้น หากเทคโนโลยี่การขยายพันธุ์พืชสัตว์ด้วยวิธีโคลนนิ่งก์ ที่สามารถนำมาประยุกต์ในการขยายพันธ์มนุษย์ได้จริงก่อนปีพุทธศักราช ๕๐๐๐ ย่อมเป็นเครื่องพิสูจน์ยืนยันความแม่นยำของพระพุทธทำนายที่ผมได้กล่าวไว้ข้างต้น และเป็นการยืนยันในพระปัญญาคุณขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้ที่ได้ทรงตรัสรู้ รู้แจ้งเห็นจริงในสภาวธรรมที่เป็นจุดเริ่มต้นของศิลปศาสตร์ต่างๆทุกแขนงสาขาวิชา สามารถนำมาประยุกต์ใช้งานได้ทุกยุคสมัยทุกกาลเวลา หรือ "อกาลิโก" นั่นเอง

    <CENTER>********************* </CENTER>
    เรียบเรียง ณ วันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๔๐

     

แชร์หน้านี้

Loading...