ถาม : ขอแนะนำในการรบกับกิเลสภายในใจด้วยครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Ahimsa, 21 กุมภาพันธ์ 2015.

  1. Ahimsa

    Ahimsa Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +38
    ทั้งที่รู้ว่าสิ่งที่เราทำมันไม่ดี ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆเช่น พูดเพ้อเจ้อเล่นๆ(สนุกปาก) เล่นเกม(ติดเกม) เล่น social จนเสียเวลามากเกินไป แต่ก็ยังทำ แล้วเวลาเราพิจารณาต่างๆว่าอันนี้ไม่ดีไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรมันก็เหมือนไม่สามารถหลุดออกมาได้ เหมือนแรงของกิเลสมันเยอะเหลือเกิน ขอคำแนะนำทีคับว่าจะทำยังไงให้เราควบคุมตัวเองให้ไม่ไหลไปตามแรงของกิเลสบ้างครับ ขอบคุณครับ
     
  2. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    ต้องเห็นโทษของมันก่อนว่ามันก่อโทษก่อภัวก่อทุกขให้กับเราและคนรอบข้างอย่างใดบ้างเมื่อเห็นโทษของมันแล้วจิตก็จะเบื่อหน่ายไม่อยากเองแต่ถ้ายังเพลิดเพลินอยู่ยังไม่เห็นโทษของมันก็ออกไม่ได้เหตุเพราะยังเพลิดเพลินมัวเมากับมันอยู่ตรทบเท่าที่ยังไม่เห็นโทษภัยให้จิตเบื่อหน่ายก็ติดต่อไปครับ สาธุ
     
  3. momogo

    momogo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    570
    ค่าพลัง:
    +1,158
    แต่ก่อน ใช้วิธีอะไร ก็ไม่สามารถพิจารณาธรรมได้ กับกรรมที่เกิดจากความเคยชิน เป็นนิสัยที่ปลูกฝังบ่มเพาะมานาน จนรู้วิธีการหนึ่งจากท่านผู้รู้ว่า ให้สละออกบ่อยๆ โดยการทำทาน ไม่ต้องมาก แต่ให้บ่อย เช่น ให้เศษอาหารหมาแมวข้างถนน ฯลฯ ทุกครั้งอธิษฐาน "ขอให้ข้าพเจ้าเป็นผู้มีปัญญาอบรมตนเองได้" อธิษฐานหลังสวดมนต์ ทำกรรมฐาน และอธิษฐานตอนตื่นนอน และก่อนนอน ผลที่ข้าพเจ้าได้รับ คือ จิตเบาขึ้น ให้อภัยง่ายขึ้น มองทุกอย่างว่า มันเป็นเช่นนั้นเอง

    หวังว่า...จขกท. จะได้รับประสบการณ์แบบเดียวกันนะคะ
     
  4. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424

    มันไม่มีสมาธิพอก็ฝึกสมาธิเพิ่มเอา..
     
  5. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    ....มันไม่มีศิลพอ ก็ สมาทานเพิ่มเอา...(ไม่ใช่ผิดถูกหรือบาปไม่บาป..แต่เป็นความตั้งใจในการที่จะ รักษาความเป็นทางสายกลาง ไม่มากไปไม่น้อยไป):cool:
     
  6. Prasit5000

    Prasit5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +228
    - ร่วมคิดเห็นนะครับ
    ......ทีฆชาณุสูตร [๑๔๔] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ นิคมแห่งชาวโกฬิยะ
    ชื่อ กักกรปัตตะ ใกล้เมืองโกฬิยะ ครั้งนั้นแล โกฬิยบุตรชื่อทีฆชาณุ เข้าไป
    เฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้น
    แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เป็นคฤหัสถ์
    ยังบริโภคกาม อยู่ครองเรือน นอนเบียดบุตร ใช้จันทน์ในแคว้นกาสี ยังทรงดอก-
    *ไม้ของหอมและเครื่องลูบไล้ ยังยินดีเงินและทองอยู่ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
    ขอพระผู้มีพระภาคโปรดแสดงธรรมที่เหมาะแก่ข้าพระองค์ อันจะพึงเป็นไปเพื่อ
    ประโยชน์ เพื่อความสุขในปัจจุบัน เพื่อประโยชน์เพื่อความสุขในภายหน้าเถิด ฯ.......

    - ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เป็นคฤหัสถ์ยังบริโภคกาม ยังดูหนังฟังเพลง ยังยินดีในรถ ในทองและเงิน จักมีธรรมอันไดเหมาะสมกับข้าพระองค์

    - ผมชอบสำนวนในพระใตรปิฏก เพราะดี นะครับ ถ้าให้เป็นนักปฏิบัติแล้วกดข่มชีวิตก็คงไม่มันละครับ ผมแบ่งชีวิตผมเป็นภาคๆ แต่ก็ตั้งหมั้นในศิลห้า และมีใตรสรณะคมอันเหนียวแน่น ไม่ทำบาปโดยไม่จำเป็น ฝึกสติปัฏฐานสี่ เหมือนเราซ้อมมวย ยังไม่เอาจริง สักวันเราพร้อม ค่อยขึ้นเวที

    - การรู้หลักธรรมะ พระอรหันต์นาคเกษม อุปมาเหมือนการหยิบถ่านร้อน ถ้ารู้ว่าถ่านร้อนการจับหยิบอย่างไรจึงไม่ทำให้มือพอง
    - ถ้าคิดว่าเวลาช่วงสั้นๆปฏิบัติแล้วทำให้บรรลุธรรม ผมว่าคงเป็นไปไม่ได้ง่ายๆนะครับ เมื่อเราพร้อม ทำสติปัฏฐานให้เป็น แล้วลงมือจริงๆ จังๆ นั้นแหละครับน่าจะเป็นไปได้

    - อย่างที่พระพุทธองค์อุปมาดังการเอาไม้แห้งมาสีไฟ เราต้องแยกตัวเราออกไปก่อน ไม่เอาจิตตั้งแช่ในกาม นั้นแหละ ตราบไดจิตยังตั้งแช่ในกาม คงยากครับ
     
  7. อินทรี

    อินทรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    418
    ค่าพลัง:
    +562
    บอกได้คำเดียวว่า "ลด กับ เลิก" เราติดสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ไม่ค่อยดีอยู่ แล้วจะไปทำสิ่งที่เปนประโยชน์กว่า คงยาก ต้องหาสิ่งอื่นๆมาทำแทน หรือไม่ก้ต้องเลิกทำหรือลดทำในส่ิงที่ไม่ดี ให้น้อยลง ทำสิ่งอื่นๆที่ดีๆแทน เช่น ไปทำบุญที่วัดบ่อย ฟังพระเทศน์ หรือตักบาตรตอนเช้า สวดมนต์บทสั้นๆตอนเช้า ช่วยงานพ่อแม่ที่บ้าน เช่นทำความสะอาดบ้าน สิ่งที่พูดทั้งหมดนี้ เปนสิ่งที่ใครๆก้สามารถทำได้ครับ ไม่ยากเกินไป แต่ต้องมีความตั้งใจทำด้วยตัวเองก้เท่านั้นเอง "เรียกว่าทำบุญ ด้วยการใช้เวลาให้เกิดประโยชน์แบบง่าย ใช้เวลาไม่มากเท่ากับเล่นเกมส์ หรือเที่ยวกับเพื่อน แต่ประโยชน์นี่สิมีมากกว่าหลายเท่า"

    ขออ้างอิงถึงหลักของพุทธศาสน์นะครับ

    ." ศาสนาสอนพุทธให้เข้าถึงจิตถึงใจอันเดียว

    กิเลสทั้งหลายเกิดจากจิต

    จิตเปนผู้ ยึดเอากิเลสมาไว้ที่จิต

    จิตจึงเศร้าหมอง

    เมื่อจิตเห็นโทษของกิเลสแล้ว

    สละถอนกิเลสออกจากจิตได้แล้ว

    จิตก็ผ่องใสบริสุทธิ ์ "

    แรงมันเยอะ เพราะเราตามใจตัว ถ้าฝืนใจได้เมื่อไร แรงมันไม่เยอะแน่นอน ทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม หากิจกรรมทำเพื่อให้ไม่ขี้เกียจ คิดว่าต้องได้ผลดี

    จะมีคำพูดที่ว่า คนเรา กินอิ่ม นอนหลับ ชีวิตนี้ก้เปนสุข โชคดีแล้ว ซึ่งก้ช่าย แต่ถ้าจะให้โชคดีกว่านี้ หรือชีวิตมีคุณค่าจริงๆ ต้องปฏิบัติตามหลักของพระพุทธองค์ คือ ทำจิตใจให้ผ่องใส ไม่เศร้าหมอง ชีวิตถึงจะพบกับความสุขที่แท้จริง จริงๆ
     
  8. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    ฝึกทำสมาธิ
     
  9. Ahimsa

    Ahimsa Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +38
    ขอบคุณสำหรับทุกคำแนะนำมากนะคับ :)) แล้วถ้าผมเป็นโรคสมาธิสั้น แล้วมีอาการซึมเศร้า สามารถดีขึ้นจากการปฏิบัติธรรมอย่างเดียวได้มั้ยคับ เพราะแพทย์บอกว่าต้องกินยาตลอดชีวิต โอกาสดีขึ้นเองยาก ขอบคุณครับ
     
  10. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    สมาธิสั้นนั้นต้องฝึกฝนครับมีเวลาว่างก็ท่องพุทโธในใจเช่าเข้าห้องน้ำ ทานข้าวก่อนนอนการทำสมาธิไม่ต้องนั่งนิ่งๆหรอกครับนึกได้เมื่อไรท่องในใจเมื่อนั้นไปเรื่อยๆทำบ่อยๆทุกวันๆชนเคยชินอาการซึมเศร้าจะหายไปเองสมาธิสั้นก็จะดีขึ้น จำให้แม่นนะครับท่องพุทโธในใจตลอดเวลาที่นึกได้พอจิตฟุ้งก็เริ่มใหม่ตั้งสติให้ดีท่องไปเรื่อยๆในใจ สุดท้ทยเมื่อเคยชินแล้วค่อยมาทำต่อแล้วจะบอกครับ สาธุ
     
  11. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,115
    ค่าพลัง:
    +3,085
    นิทานก่อนนอน

    บางคนมีอาชีพฆ่าสัตว์ในอดีตชาติ ผ่านมานานมากเพิ่งถึงวาระที่ต้องใช้

    พอคิดเรื่องนี้ ก็มีความคิดถูกวางเข้ามาในจิตว่า

    น่าจะทำสังฆทานด้วยพระพุทธรูป และปล่อย โค กะบือ ปลาที่ขายในตลาดสดบ่อยๆ

    แล้วให้บุญนั้นจงสำเร็จแก่เจ้ากรรมนายเวร โค กะบือ ที่เคยถูกข้าพเจ้าฆ่า
     
  12. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846

    จากลิ้งค์
    แนะนำโหลดฟังไฟล์ ที่ 051

    หากสงสัยให้ฟังซ้ำ ครับ

     
  13. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    อันนี้เป็นตัวช่วยอย่างนึงครับ เวลาฟัง หาหูฟังเล็กๆใส่

    ฟังก่อน นอน


    https://www.youtube.com/watch?v=EshmcHB3yMg
     
  14. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,287
    ุพิจารณาความพอใจของเราไม่เที่ยง ไม่ใช้ทางที่ออกจากทุกข์ พระพุทธเจ้าค้นพบข้อนี้เมื่อนานมาแล้ว ค้นพบว่าการเสพแต่สิ่งที่ชอบใจ พอใจ และหนีห่างจากสิ่งที่ไม่ชอบใจ พอใจ ไม่ใช่ทางออกจากทุกข์ อย่างสมัยที่เจ้าชายสิทธัตถะอยูมีทุกอย่างที่ชอบใจ พอใจ แต่ก็รู้ว่าไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ได้เลยออกบวช และแม้แต่การปฏิเสธสิ่งที่ชอบใจ พอใจ วิ่งเข้าหาสิ่งที่ไม่ชอบใจ พอใจ ก็ไม่ใช่ทางออกจากทุกข์ อย่างสมัยที่ท่านบำเพ็ญทุกกรกิริยา ก็ไม่ทำให้พ้นทุกข์ได้ ทางที่จะพ้นทุกข์ได้คือการเดินทางสายกลาง ปฏิบัติตาม มรรค มีองค์แปด สังคมสมัยนี้จะกลายเป็นแบบแรกเข้าไปทุกที มุ่งแต่จะแสวงหาสิ่งที่ชอบใจ พอใจ หนี้จากสิ่งไม่ชอบใจ
     
  15. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    ถ้าผู้ปัญญาจะเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มีประโยชน์ทั้งนั้น แม้มันจะเป็นสิ่งปฏิกูล ขี้หมู ขี้วัว ขี้ควาย
    ผู้มีปัญญาก็ยังเอาไปทำปุ๋ยหรือนำเอาเลี้ยงสัตว์อีกชนิดหนึ่งก็ได้ ของที่เหลือใช้มีเศษเหล็ก ขวด ถุงพลาสติก เป็นต้น
    ผู้มีปัญญาก็หาเก็บหาขายเลี้ยงชีวิตเลี้ยงครอบครัวได้

    การพูดเพ้อเจ้อสนุกปาก ผู้มีปัญญาก็ยังเอาประกอบเป็นอาชีพได้ ดูตัวอย่างนักแสดงตลก เพ้อเจ้อจนกระทั่งร่ำรวย
    การเล่นเกมก็เป็นการฝึกทักษะเพื่อที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้มันก็เหมือนการเล่นกิฬาทุกชนิด
    เล่น social จะทำให้เราสามารถหาความรู้ได้กว้างไกลขึ้นไม่ว่าจะอยู่ในมุมไหนของโลก
    จงมองในแง่บวกแล้วท่านจะมีความสุข

    แม้แต่ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ที่เรียกว่ากิเลสตัณหานั้นทุกคนอาจจะมองมันว่าเป็นสิ่งไม่ดีไม่มีประโยชน์
    แต่หารู้ไม่ว่ากิเลสตัณนี้แหละเป็นบททดสอบจิต เป็นด่านที่เราจะต้องฟันฝ่าอุปสรรคเหล่านี้ไปให้ได้นั่นคือที่หมายอันสูงสุด
    ถ้าไม่มีกิเลสให้เราทดสอบจิตไฉนเลยเราจะผ่านอุปสรรคเหล่านี้ได้ ทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีอะไรจะเสียเลย
     
  16. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,115
    ค่าพลัง:
    +3,085
    ชอบความคิด ลุงหมาน

    มองทุกสิ่งทุกอย่างตามจริง
     
  17. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,100
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,974
    กำลังใจไม่ดี
    ทำให้การเจริญพระกรรมฐานไม่ดีด้วย

    สมเด็จองค์ปฐม ทรงตรัสสอนธรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ มีความสำคัญดังนี้

    ๑. “เมื่อกำลังใจไม่ดี ก็ทำให้การเจริญพระกรรมฐานไม่ดีไปด้วย ให้ถือว่าเป็นของธรรมดา ภาระหน้าที่อันมีต่อร่างกายก็เป็นภาระหนักอยู่แล้ว (ภาราหะเว ปัญจักขันธา) หากขาดปัญญาในจุดนี้ ก็จักเพิ่มปัญหา หรือเพิ่มทุกข์ให้กับกายและจิตยิ่งขึ้น งานทางโลกอันเป็นภาระหน้าที่ที่จักต้องทำ เราสามารถวางได้ชั่วคราว หากจิตมีกังวลกับมันเกินพอดี จิตก็เป็นทุกข์ มีผลเสียทั้งทางโลกและทางธรรม ให้เอาเหตุการณ์ที่ประสบอยู่นี้ศึกษาให้ดี เหตุการณ์เหล่านี้ จักเป็นครูสอนอารมณ์ของจิตได้อย่างดีที่สุด” (สาเหตุเพราะเพื่อนของผม ท่านเอาจิตไปยึดติดกับการเจ็บป่วยของพระที่ท่านเคารพ และนับถือจนเกินพอดี ไปเกาะกายท่าน มิได้เกาะความดีหรือพระธรรมที่ท่านมีอยู่ เหมือนกับตอนขันธ์ ๕ ของหลวงพ่อฤๅษีท่านป่วย และที่สุดก็ทิ้งขันธ์ ๕ ไปสู่พระนิพพาน แต่จิตที่ยังมากอยู่ด้วยกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรม มันก็ย่อมวุ่นวายอยู่เป็นธรรมดา ขออธิบายสั้น ๆ ว่า ล้วนเป็นอารมณ์ตัณหา ๓ หรือสมุทัยทั้งสิ้น)

    ๒. “เรื่องเวทนาของปุถุชนกับเวทนาของพระอริยเจ้าต่างกันมาก ปุถุชนยังคิดว่ากายเป็นเรา เป็นของเรา ดังนั้น เมื่อเวทนาเกิดก็ยึดเวทนานั้นเป็นของตน แต่พระอริยะ ท่านเห็นกายท่านเกิดดับ ๆ เป็นสันตติ เวทนาที่เกิดก็เกิดดับ ๆ ตามกายเป็นสันตติตามกาย หากจิตไปยึดเวทนาเข้า อัตตาตัวตนก็เกิด ทุกข์เกิดที่จุดนั้น เพราะสัญญาหรือความจำเป็นพิษเป็นภัย คือจำไม่ยอมลืม จิตฝืนความจริงของกาย ซึ่งประกอบด้วยรูป ๑ นาม ๔ คือ เวทนา-สัญญา-สังขารและวิญญาณ

    ทั้ง ๕ อาการหรือขันธ์ ๕ นี้ โดยปกติธรรมจะเกิดดับ ๆ อยู่ตลอดเวลา นาม ๔ อาศัยรูปอยู่... เมื่อรูปเกิดดับ ๆ เป็นสันตติ นาม ๔ ที่อาศัยรูปอยู่ย่อมเกิดดับ ๆ ตามรูปกายอยู่เป็นธรรมดา แต่จิตไปฝืนความจริง ไม่ยอมให้มันเกิดดับ ๆ ไปตามรูป เวทนาและสัญญาจึงเป็นพิษเป็นภัยกลับมาทำร้ายจิตตนเอง อุปาทานหรือสังขารคืออารมณ์ปรุงแต่งธรรม ก็เป็นพิษตาม ผลทำให้เวทนาไม่ดับ เพราะสัญญาหรือความจำเป็นพิษ ยึดว่าเป็นเราเป็นของเรา ทุก ๆ ครั้งที่เวทนาเกิดก็ยึดไว้หมดไม่ยอมให้ดับ เวทนาเก่าก็ยังอยู่ เวทนาใหม่ก็เพิ่มเข้ามา ทุกข์ก็ยิ่งเพิ่มขึ้นทุก ๆ ครั้งที่เวทนาเกิด เป็นเวทนาซ้อนเวทนา เป็นเวทนากำลัง ๒-๓-๔ ตามลำดับ เหตุจากความหลงของจิตที่ไม่ยอมวางสัญญาเดิม บุคคลใดที่เข้าใจพระกรรมฐานในจุดนี้แล้ว เมื่อยกเอากายคตา ฯ บวกอสุภกรรมฐานขึ้นมาพิจารณาใหม่ ก็จะเห็นความจริงว่า ร่างกายนี้มันไม่เที่ยง เกิดดับ ๆ อยู่ตลอดเวลา เพราะความไม่เที่ยงนี่แหละ จึงทำให้ทุกข์ และเห็นความจริงว่ามันแสนสกปรก จิตที่หลงยึดกายว่าเป็นตัวเป็นตน จึงเท่ากับหลงอยู่ในดงของกิเลส มีผลทำให้จิตที่ยังหลงยึดเกาะกายไว้ ต้องเกิดมามีร่างกาย วนเวียนอยู่ในวัฏสงสารอย่างไม่รู้จบ”

    ๓. “เมื่อเข้าใจเรื่องเวทนาของพระอริยเจ้าแล้ว ก็จงอย่าไปกังวลกับร่างกายของพระอริยเจ้าท่าน ควรจักต้องหันมาสำรวจจิตและกำลังใจของตนเองเข้าไว้ ให้มีอินทรีย์สังวรณ์ คือ สำรวมอายตนะทั้ง ๖ ทั้งภายนอก ๖ และภายใน ๖ กระทบกันอยู่เป็นปกติธรรม ห้ามไม่ได้ กระทบแล้วให้อยู่ในอารมณ์สักเพียงแต่ว่า โดยเฉพาะโลกธรรม ๘ ซึ่งไม่มีใครหนีพ้น แล้วให้เห็นเป็นธรรมดาของโลก อะไรมันจักเกิดมันก็ต้องเกิดขึ้นด้วยกฎของกรรม อย่าไปกังวลใจให้มากนัก ดูแต่ความถูกต้องและความพอดี หรือทางสายกลางของจิตเข้าไว้ โดยอย่าทิ้งพรหมวิหาร ๔ เป็นหลักตัดสินปัญหาทุกชนิด ใครจักคิดอย่างไร พูดอย่างไร เราห้ามเขาไม่ได้หรอก มีแต่เราพึงสำรวมความคิด สำรวมวาจา พูดเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ไม่พึงปล่อยตัว อย่าตามใจกิเลสอีกต่อไป ให้มีสติ-สัมปชัญญะกำหนดรู้เข้าไว้ โดยให้ยึดหลักรักษาผลประโยชน์ของจิตให้มาก อย่าให้เห็นสิ่งอื่นสิ่งใดสำคัญกว่าจิต

    ๔. “ให้รักษาจิตอย่าให้ตกเป็นทาสของกระแสเงินตรา เรื่องโลกธรรม ๘ นั้นไม่มีใครหนีพ้นอยู่แล้ว พึงระวังจิตให้ดี ๆ เพราะการหลงติดอยู่ในเงินตรา หรือลาภสักการะฆ่าคนให้ต้องลงนรกมามากแล้ว จงอย่าประมาทในทุกกรณี โดยเฉพาะในความตาย ในความไม่เที่ยงของร่างกาย แต่ความตายเป็นของเที่ยง จุดนี้จักต้องเตือนจิตของตนเองเข้าไว้อยู่เสมอ อย่าไปเห็นกายผู้อื่นไม่เที่ยงเป็นสำคัญ ให้เห็นกายเราไม่เที่ยงเป็นสำคัญ เพราะความตายอาจเกิดขึ้นได้ทุก ๆ ขณะจิต และจงอย่าไปยินดี-ยินร้ายกับความชั่วของผู้อื่น นั่นเป็นการวางอารมณ์ไม่ถูก เรื่องของเขาก็เป็นเรื่องของเขา จงอย่าไปเสียเวลาปฏิบัติธรรมของเรา เวลาทุก ๆ ขณะจิตมีค่ามากสำหรับนักปฏิบัติธรรม การที่จิตเราไปนึกตำหนิกรรมชั่วของผู้อื่น ทำให้เกิดอารมณ์ไม่พอใจ-รังเกียจเขา ทำให้เกิดปฏิฆะขึ้นกับจิตเรา เป็นการเบียดเบียนจิตตนเองก่อนทั้งสิ้น เพราะขาดพรหมวิหาร ๔ สู้มีจิตเมตตา-อ่อนโยน-สงสารเขาแทน จักมิดีกว่าหรือ เพราะบุคคลที่ไม่มีศีลเหล่านี้ ยังแสวงหาภพชาติในการเกิด ต้องเวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสารอีกชั่วกาลนาน จักไปขุ่นข้องขัดเคืองกับเขา ยังจักไปเกิดตายกับเขาอีกทำไมกัน สู้อยู่รักษาจิต สำรวมอารมณ์ให้สงบมิดีกว่าหรือ ให้กลับใจเสียใหม่นะ”

    เครดิต https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3058
     
  18. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,100
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,974
     
  19. หมูไม้ละ5

    หมูไม้ละ5 # shawty, set me free

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มีนาคม 2016
    โพสต์:
    1,659
    ค่าพลัง:
    +1,626
    เวลาเราผัสสะกับอะไรก็ตาม....ในครั้งแรก
    จิตจะดึงสัญญา....มาประมวลผล
    ....ว่านี่คืออะไร?...
    ....หรือใกล้เคียงกับอะไร?

    ถ้าสิ่งที่ผัสสะนั้น...
    ....ใกล้เคียงกับสิ่งสัญญาเคยให้ค่าไว้
    เป็นชอบ....เป็นพอใจอยู่เดิม
    ....ก็จะเกิดความพอใจ....ในสิ่งนั้น

    เมื่อผัสสะที่กระทบใหม่นี้
    ....ถูกให้ค่าไว้ว่า...."พอใจ ยินดี"
    จิตจะเริ่มเติมเชื้อ....ราคานุสัย
    ....กับสิ่งนั้นทันที
    เป็นอนุสัย....ความเคยคุ้ย

    และอนุสัย....นี้เอง
    ....เป็นเชื้อรอปะทุ
    เมื่อไหร่เกิดการกระทบของผัสสะ
    ....กับสิ่งนั้น
    จิตจึงเกิดราคะ....ขึ้นทันที
    เพราะเชื้อเดิม....มีอยู่

    เวลาที่คนกำจัดกิเลส.....
    ก็พากันเข้าไปจัดการ....ตอนเกิดกิเลสแล้ว
    ความพอใจ....เกิดแล้ว
    แบบนี้....ไล่จัดการกันมันไม่มีหมด
    ....เพราะเชื้อของอนุสัย...ไม่ได้ถูกถอนออก

    ต้องใช้มรรคแปด...ถอดถอนอนุสัย
    ....ธรรมดาของจิต....หลงเพลินไปกับผัสสะ
    เกิด....อนุสัยใหม่...เติมไม่หยุด
    ทั้งอนุสัยใหม่...อนุสัยเก่า.....เต็มไปหมด
    ได้ยินอะไร.... เห็นอะไร.... ได้กลิ่นอะไร
    เด้งไปพอใจ...หรือไม่พอใจ อัตโนมัติ...
    .....ไม่หยุด
    พอใครเริ่มมาสังเกตุ ใจนี้
    ก็จะเริ่มเห็น....กิเลส....ทำไมมันมากมายแบบนี้
    ....ซึ่งมันเป็นปกติ
    เพราะมีเชื้ออนุสัย....อยู่

    มรรคแปดจะเข้าจัดการกับ....อนุสัย
    เปลี่ยนความเคยคุยเดิม
    ....เมื่อไหร่
    จิตเปลี่ยนทางมาเคยคุ้น...กับวิเวก
    กับอุเบกขา....นั้น
    ....จิตจะกลับมาสู่ความปกติ
    เมื่อผัสสะเดิมกระทบ....อีก
    จิตจะไปอยู่ข้างความสงบ...ระงับ
    เมื่อจิตสงบระงับ....จิตจะเป็นกลาง
    และจิตที่เป็นกลางนี้....
    เกิดความเสถียร
    ...เห็นอะไรได้ตรงตามจริง

    จิตที่อนุสัยถูกเปลี่ยนทางนี้
    กิเลสจะเบาบางอัตโนมัติ....
    เพราะ.....
    อนุสัย....ที่เป็นต้นตอกิเลส
    ถูกจัดการ

    คนภาวนาต้องมาถึงตรงนี้
    จิตจึงควรแก่การงาน"กัมมนีโย"
    ตรงที่จิตมีความเป็นกลาง ตั้งมั่น
    เพราะได้เพียร....ละอกุศลจิต
    และหมั่นอยู่กับวิหารธรรม
    ให้จิตเปลี่ยนทาง...อยุ่กับวิเวก
    ....อยุ่กับอุเบกขา
    แล้วอาศัยจิตที่ควรแก่การงาน....นี้
    ....สังเกตเห็นความจริง....ของกายใจ
    เห็นธรรมชาติที่เกิดขึ้น....ดับไป
    เห็นธรรมเหนือการควบคุม บังคับ

    ...จะไปสู่เห็นแจ้งความจริง...
    อวิชานุสัยถูกทำลาย
    .....เกิดปัญญาขึ้น
    ....ปัญญานี้จะสรุปรวบ....ถึงทุกสรรพสิ่ง
    ทั้งอาคาร หมาแมว ต้นไม้ ....
    ทั้งโลก... ทั้งจักวาลมีสภาพเดียวกัน
    จน...จิตไม่สาระ....กับสิ่งใดๆ
    เพราะอะไรๆก็ไม่น่ายึดถือ
    .....จิตจะปล่อยความยึดถือนั้นเอง
    จะเห็น....
    ..สิ่งต่างๆตามที่มันเป็นจริง
    ไม่ผลักไส...ไม่ดึงเข้าหาตัว
    แต่...เข้าใจธรรมชาติ....ว่ามันเป็นอย่างนั้นเอง
    .....นี่แหละที่สุดแห่งทุกข์
     
  20. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    รู้ว่าไม่ดีแต่หักห้ามใจไม่ได้ เป็นเพราะจิตขาดกำลัง ต้องฝึกฝนด้านสมาธิและสติ สั่งสมไปค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...