ถามแบบคนไม่ฉลาดหน่อยครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย จิตอริยะ, 4 มกราคม 2009.

  1. จิตอริยะ

    จิตอริยะ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +3
    1.คือ ถ้าผมปรารถนาโสดาปัตติผลในชาติปัจจุบัน

    แล้วผมสามารถฝึกอภิญญาต่อได้ไหมครับ (คือ ทำวิปัสสนาไปก่อนแล้วค่อยฝึก สมถะ เต็มที่ทีหลัง)

    2. หากเราได้โสดาบันแล้ว จำเป็นไหมที่ต้องบรรลุภายใน 7 ชาติ เผื่อว่าถ้าหากเรา

    อยากปรารถนาพุทธภูมิ ปัจเจกภูมิ หรือ สาวกภูมิ ก็บำเพ็ญตามเส้นทางต่อได้เลยหลังจากได้โสดาบันแล้ว






    ขอบคุณครับ อนุโมทนาบุญทุกๆท่านนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มกราคม 2009
  2. มรณาติ

    มรณาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +190
    ขอตอบข้อสองแล้วกันค่ะ ข้อหนึ่งขอเชิญผู้รู้จะดีกว่านะคะ

    ส่วนใหญ่เท่าที่อ่านๆ มาแล้ว ผู้ปรารถนาพุทธภูมิ ปัจเจกภูมิจะมีเฉพาะฌาณโลกีย์ไว้คุ้มครองตัวเองในชาติที่ยังไม่บรรลุเป็นพระพุทธเจ้า หรือพระปัจเจกพุทธเจ้า ถ้ายังปรารถนาเส้นทางนี้อยู่ ยังไงก็ไม่บรรลุโสดาบันจนกว่าบารมีจะสมบูรณ์พร้อมในชาติสุดท้าย

    แต่ถ้าปรารถนาสาวกภูมิแล้ว จะบรรลุอรหันต์ในชาตินี้เลยก็ได้ค่ะ ถ้าตัดร่างกายได้ ตัดกิเลสได้

    ขออนุโมทนาด้วยค่ะ _/|\_
     
  3. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    1.คือ ถ้าผมปรารถนาโสดาปัตติผลในชาติปัจจุบัน

    แล้วผมสามารถฝึกอภิญญาต่อได้ไหมครับ (คือ ทำวิปัสสนาไปก่อนแล้วค่อยฝึก สมถะ เต็มที่ทีหลัง)

    บางครั้ง เราเป็นผู้มีบุญแต่กาลก่อน
    เมื่อจิตเป็นพระโสดาบัน อภิญญาก็จะรวมตัวเองโดยอัตโนมัติ
    หรือถ้าเป็นพระโสดาบันแล้วยังไม่ได้อภิญญาก็จะไม่สนใจแล้วครับ เพราะตัดกิเลสเลยดีกว่า
    ดังนั้นถ้าอยากจะให้ชัวว่าได้อภิญญา ก็เก็บซะก่อนจะบรรลุครับ
    ไม่ยากครับ ถ้าสนใจกรรมฐานกองไหนสอบถามได้ครับ


    2. หากเราได้โสดาบันแล้ว จำเป็นไหมที่ต้องบรรลุภายใน 7 ชาติ เผื่อว่าถ้าหากเรา

    อยากปรารถนาพุทธภูมิ ปัจเจกภูมิ หรือ สาวกภูมิ ก็บำเพ็ญตามเส้นทางต่อได้เลยหลังจากได้โสดาบันแล้ว

    ไม่ได้ครับ เมื่อเป็นพระโสดาบันแล้ว ไม่มีสิทธิ์ย้อนมาเป็นพุทธภูมิได้
    แต่ถ้าจิตเราลึกๆปรารถนาพุทธภูมิละก็
    จะสามารถอย่างดีที่สุดก็คือทรงอารมณ์ให้คล้ายพระอริยเจ้าได้
    แต่ไม่สามารถที่จะเป็นพระอริยเจ้าได้
    อาการที่คุณเป็นตอนนี้คือยังลาพุทธภูมิไม่ขาด
    ตราบใดที่ลึกๆเรายังอยากช่วยคนเยอะให้พ้นจากทุกข์ ถือว่าเรายังเป็นพุทธภูมิอยู่
    ยังไม่สามารถทำอารมณ์เป็นพระอริยะเจ้าได้ครับ

    คนที่ถามคำถามสองข้อนี้
    มีเฉพาะพุทธภูมิ ที่ยังลังเลว่าจะลาหรือไม่ลาดีเท่านั้น
    ใจหนึ่งเห็นว่าการเกิดเป็นทุกข์ อีกใจหนึ่งก็ยังอยากจะช่วยคน

    แบบนี้ขอแนะนำให้ฝึกสมถะให้ครบ และเจริญวิปัสสนาญาณควบคู่ไปด้วยครับ
    เพราะถ้าพุทธภูมิ จะต้องได้อภิญญาด้วย และได้วิปัสสนาด้วย ต้องได้กรรมฐาน40กองด้วย
    ถ้าอย่างไรก็แอดมาคุยกันได้ครับ อันนี้เมลผมครับ
    saturndg@hotmail.com
    ยินดีเสมอครับ
     
  4. ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก"

    ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก" สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +21
    ขอแสดงความเห็นที่แตกต่างหน่อยนะคับ...
    ...
    พุทธภูมิ สำหรับท่านๆ คือสายโพธิสัตย์ ใช่ปะ..
    ..ข้อนี้ ผมว่านะ จะช่วยใคร น่าจะช่วยตัวเองให้ผ่านก่อน..
    ตัวเองจะหมั่นใจได้อย่างไรว่า ไม่ลงอบายภูมิ..
    ถ้าเรายังติดอยู่ในโลภ โกรธ หลง ทำไปแต่ตาม "ความอยาก"
    ยังไม่แจ้งในข้อธรรม แนะนำผิดๆ ทำให้เขาเสียวิถีจิต... มีแต่พากันลงอบายภูมินะคับ
    สาวกภูมิ คือเดิน ตามคำสอนพระพุทธองค์ ปลอดภัยสุด..
    ..อย่างน้อยปิดประตูอบาย..ของเราเองซะก่อน .. แถมยังมันใจได้อีกว่า ที่เราแนะนำเขาไปไม่ผิด ได้บุญ 100% ไม่ใช่ แนะนำเขาด้วยตัญหาของเรา..แทนจะได้บุญ กลับหาบาปใส่ตัว
    ส่วนสายปัจเจกนี่...ไม่ออกความเห็นครับ...จินตนาการไม่ถึงจริงๆๆ 5555
     
  5. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ข้อนี้ ผมว่านะ จะช่วยใคร น่าจะช่วยตัวเองให้ผ่านก่อน..
    ตัวเองจะหมั่นใจได้อย่างไรว่า ไม่ลงอบายภูมิ..
    ถ้าเรายังติดอยู่ในโลภ โกรธ หลง ทำไปแต่ตาม "ความอยาก"
    ยังไม่แจ้งในข้อธรรม แนะนำผิดๆ ทำให้เขาเสียวิถีจิต... มีแต่พากันลงอบายภูมินะคับ

    ก็ต้องทำให้มั่นใจก่อนไงครับ
    ว่าเราดีจริงๆ ไม่ได้มั่ว
    ถ้าเรามั่นใจว่าเราเป็นทองเนื้อแท้ ที่ไม่มีตำหนิเมื่อไหร่
    ถึงจะกล้ามาสอนผู้อื่น
    ถ้าเข้าถึงซึ่งความเป็นพระโพธิสัตว์ พระอริยโพธิสัตว์ มีจิตคล้ายพระอริยเจ้าได้เมื่อไหร่ ก็ปิดอบายภูมิได้เหมือนกัน
    อย่างหลวงปู่ทวด ทุกๆคนคงจะยอมรับว่าท่านมีความดีขนาดไหน


    แต่ถ้ายังเอาดีไม่ได้ ก็ไม่ควรจะมาสอนคนอื่น อย่างที่กล่าวไว้ก็ถูกแล้วอย่างยิ่งครับ

    สาวกภูมิ คือเดิน ตามคำสอนพระพุทธองค์ ปลอดภัยสุด..
    ..อย่างน้อยปิดประตูอบาย..ของเราเองซะก่อน .. แถมยังมันใจได้อีกว่า ที่เราแนะนำเขาไปไม่ผิด ได้บุญ 100% ไม่ใช่ แนะนำเขาด้วยตัญหาของเรา..แทนจะได้บุญ กลับหาบาปใส่ตัว

    ปลอดภัยสุดไหม ก็ไม่เสมอไปครับ
    ตราบใดที่เรายังไม่เป็นพระโสดาบันจริงๆ ก็ยังมั่วได้ครับ
    แถมยังมั่วได้ง่ายมากด้วย
    เราอาจจะคิดว่าเราเป็นพระโสดาบัน โดยที่เรายังไม่ใช่
    อาการแบบนี้ก็เป็นกันเยอะเสียด้วยครับ

    สรุปว่าไม่ว่าจะทางใด ก็ล้วนมีข้อดีข้อเสีย
    มีจุดอ่อน จุดแข็งที่ต่างกัน
    เราเลือกแนวทางที่ตรงกับจริตของเราที่สุดจะดีกว่าครับ
    เพราะทุกวิสัยก็ถึงพระนิพพานเหมือนกันหมดครับในที่สุด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มกราคม 2009
  6. ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก"

    ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก" สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +21
    สาธุ อนุโมทนาด้วยคับ
     
  7. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    ครบถ้วนครับ...ครบถ้วนแล้ว..โมทนาสาธุ...
     
  8. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ความคิดเห็น....งั้นผมถามท่านมั่งครับ
    1.มือไหนท่านถนัด
    2.นิ้ว มือ ของแขนที่ท่านถนัด ..ชอบนิ้วไหนครับ

    .....ถ้าตอบข้อ 1.แล้ว ....ก็ไม่ต้องตอบข้อ 2.
    .....ถ้าตอบข้อ 2.แล้ว ....ก็ไม่ต้องตอบข้อ 1.
     
  9. ปัจเจกพุทธะ

    ปัจเจกพุทธะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +121
    อายันตุ โภนโต อิธะ ทานะ สีละ เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจาธิฏฐานะเมตตุเปกขา ยุทธายะ โว คัณหะถะอาวุธานีติ.
    ดูก่อนพระบารมีทั้งหลาย ขอเชิญพระบารมีคือ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิฐานะ เมตตา และอุเบกขา จงมาที่นี่โดยเร็วพลัน แล้วพากันถือเอาอาวุธ เพื่อยุทธ์กับพญามาร (กิเลส) เถิด.
    อนุโมทนาครับ.
    บริจาคเงินช่วยวัดพระบาทน้ำพุ
    โทร.1900-222-200 6บาท/นาที
     
  10. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ขอตอบด้วยตัวอย่างพระในสมัยพุทธกาล

    1. พระอนุรุธะ สำเร็จ โสดาบัน ได้ เจโตปริญญาณอันเป็นเลิศ ดูหมื่นแสนโลกธาตได้
    พันจักรวาลภายในเวลาไม่กี่ขณะจิต ตรงนี้คือ ตัวอย่างที่สำเร็จโสดาบันแล้วได้อภิญญา
    และมองไม่ออกว่า อภิญญา เป็นเครื่องขวางกั้นมรรคผลนิพพาน แต่เดชะบุญยังไป
    ถามพระสารีบุตร(ที่เป็นเลิศทางปัญญา) พระสารีบุตรจึงชี้ว่าอภิญญาที่ใช้อยู่นั้นเป็น
    เรื่องส่งจิตออกนอก เป็นการแส่ออกไปหาทุกข์ ให้กลับมาพิจารณาเฉพาะที่กายที่ใจ
    ตน แล้วระงับนิวรณ์อุธัจจะ ซึ่งมีกุกกุจจะอันเกิดจากมุ่งใช้อภิญญาแสวงหานิพพาน
    ลงเสียก็จะสำเร็จ

    2. พระอานนท์ สำเร็จ โสดาบัน แต่ ไม่มีอภิญญาเลย จนกระทั้งคืนสุดท้ายก่อนปฐม
    สังคยานาภาวนาเจริญสติ แต่ก็พิจารณาเห็นกายคตาเป็นจำนวนมาก ก็สำเร็จอรหันต์
    พร้อมด้วยอภิญญาเหาะเหิน เดินอากาศ ดำดิน ตรงนี้คือ ตัวอย่างของพระโสดาบันที่ทำ
    อภิญญาเพิ่ม

    ดังนั้น ข้อที่ว่า เป็นพระโสดาบันแล้วจะไม่ได้อภิญญาบ้าง ทำให้หมดหนทางเจริญคุณวิเศษบ้าง
    เป็นเรื่องกล่าวคำจริงหรือเท็จ ก็ให้พิจารณาดูเอาเถิด

    แต่ถ้าให้สรุป ก็ขอคำสอนของพระอาจารย์ปราโมทย์ ปราโมชโช ที่กล่าวถึงพุทธพจน์ในเรื่อง
    นี้แทน

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มกราคม 2009
  11. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ถาม หมายความว่าการทำสมถะเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นหรือไม่ควรทำ ดังนั้นเราไม่ต้องนั่งสมาธิเลยก็ได้ ใช่ไหมครับ

    ตอบ พวกเราเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า เมื่อท่านสอนว่าธรรมที่ควรเจริญด้วยปัญญาอันยิ่งมี 2 อย่างคือสมถะกับวิปัสสนา เราชาวพุทธก็ต้องเชื่อฟังท่าน จะพูดเอาตามใจชอบว่าไม่ควรทำสมถะย่อมเป็นการไม่สมควร เพราะสมถะจำเป็นสำหรับผู้ปฏิบัติบางคน แต่มีประโยชน์กับผู้ปฏิบัติทุกคน
    แต่ขอให้สังเกตถ้อยคำของพระพุทธเจ้าให้ดี ท่านเน้นว่าควรเจริญด้วยปัญญาอันยิ่ง ไม่ใช่เจริญแบบไร้สติ ไร้ปัญญา หมายความว่าเราจะทำสมถะหรือวิปัสสนาก็ตาม เราต้องรู้ว่า
    (1) เราจะทำอะไร (สมถะ/วิปัสสนา)
    (2) จะทำเพื่ออะไร (สงบ/พ้นทุกข์)
    (3) จะทำอย่างไร (มีสติรู้อารมณ์อันเดียวอย่างต่อเนื่อง/มีสติสัมปชัญญะรู้รูปนามตามความเป็นจริง) และ
    (4) ระหว่างทำก็ต้องมีสติปัญญารู้ชัดว่าทำอะไรอยู่ด้วย หากในเวลาที่ควรทำสมถะก็ฝืนจะเจริญปัญญา ในเวลาที่ควรเจริญปัญญากลับไปทำให้จิตหยุดนิ่งอยู่กับสมถะ อย่างนี้ก็นับว่าปฏิบัติไม่ถูก และในเวลาทำสมถะและวิปัสสนา เราจะทิ้งสติไม่ได้ ไม่ใช่นั่งเคลิ้มครึ่งหลับครึ่งตื่น หรือนั่งเห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ แล้วบอกว่าเป็นการทำสมถะตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอน อันนั้นเป็นความเข้าใจผิดเสียแล้ว เรื่องนี้หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านสอนไว้ชัดเจนน่าฟังมาก ว่า "ทำสมาธิมากก็เนิ่นช้า คิดพิจารณามากก็ฟุ้งซ่าน หัวใจสำคัญของการปฏิบัติคือการมีสติในชีวิตประจำวัน จะเดิน (รวมทั้งเดินจงกรม) ก็ต้องเดินด้วยความมีสติจะนั่ง (รวมทั้งนั่งสมาธิ) ก็ต้องนั่งด้วยความมีสติ เพราะมีสติก็คือมีความเพียร ขาดสติก็คือขาดความเพียร"
    ประเด็นที่คุณถามจึงตอบได้ว่า สัมมาสมาธิเป็นสิ่งที่จำเป็นและ ขาดไม่ได้สำหรับทุกคนที่ปรารถนามรรคผลนิพพาน ส่วนการทำสมถะมีประโยชน์กับทุกคน แต่จำเป็นสำหรับสมถยานิก สำหรับเรื่องการนั่งสมาธินั้น ขอตอบว่า เรามีสมาธิได้ในทุกอิริยาบถ ไม่เฉพาะในอิริยาบถนั่งเท่านั้น แต่ถ้าจะนั่งทำสมถะแบบขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย อย่างที่นิยมกันนั้น หากเป็นการทำด้วยปัญญาอันยิ่งก็ควรทำ แต่ หากทำเพราะคิดว่านั่นคือทั้งหมดของการปฏิบัติธรรมทางพระพุทธศาสนา หรือทำเพื่อสนองความอยากรู้อยากเห็นตามอำนาจของกิเลสตัณหา หรือทำเอาความเคลิบเคลิ้มขาดสติ อย่างนั้นก็ไม่ถูกต้อง
    อาตมามีข้อสังเกตว่าสมถะเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก เพราะผู้ปฏิบัติต้องคอยแก้จิตที่ไม่ดีให้ดี ต้องคอยแก้จิตที่ไม่สงบให้สงบ เมื่อจิตดีและสงบแล้วก็ต้องคอยรักษาไว้ สมถะทำยากแต่พวกเราชอบทำ เพราะเชื่อว่าจำเป็นเหลือเกินสำหรับการเจริญวิปัสสนา พอพูดถึงการปฏิบัติธรรมพวกเราก็จะเริ่มคิดถึงการหลับตานั่งสมาธิกันก่อนอย่างอื่น

    refer : http://www.bkkonline.com/scripts/it/question.asp?Q=550


    อนุโมทนาครับ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มกราคม 2009
  12. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,606
    ค่าพลัง:
    +1,817

    การถามคำถาม ไม่ได้แสดงออกถึงความโง่ หรือความฉลาด
    คนที่ถามส่วนใหญ่ แบ่งได้หลายพวกหลายกลุ่ม ตามจุดประสงค์ของพวกเขา บ้างก็ดี บ้างก็เพื่อผลประโยชน์ท บ้างก็เพื่อต้องการรู้อย่างจริงจัง บ้างก็ลองภูมิ ฯลฯ

    คำถามของคุณ
     

แชร์หน้านี้

Loading...