ถามครับถาม พระอชิตะ ได้รับพยากรจะเป็นพระพุทธเจ้าเค้าทําไรบ้างหลังจากนั้น

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย ballbeamboy2, 8 ตุลาคม 2011.

  1. ballbeamboy2

    ballbeamboy2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,622
    ค่าพลัง:
    +1,618
    ตอนที่ พระพุทธเจ้า ให้คําทํานายว่า พระอชิตะ จะได้เป็นพระพุทธเจ้า ในอนาคต

    แล้ว พระอชิตะ เค้าจะทําไรอะครับ คือ กิเลศ ต่างๆ เค้าก็ตัด ได้ ตอนเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต

    หรือท่าน นั่งบําเพ็ญบารมีต่อไปเรื่อยๆ ให้ เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต แบบนี้อะเปล่าครับ คือ อยากรู้ว่า เขาทําไรหลังจาก ได้คําทํานายแล้วอยากรู้แค่นี้อ่าครับ
     
  2. Fabreguz

    Fabreguz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    645
    ค่าพลัง:
    +1,911
    ตามความคิดส่วนตัว พระเจ้าอยู่หัวของเรา ก็บำเพ็ญบารมีเช่นกันครับ อยู่ที่ว่าใคร

    จะบำเพ็ญบารมีด้านไหนมาก เช่น ทานบารมี ศีลบารมี ภาวนาบารมี เนกขัมบารมี ขันติบารมี

    อฐิษานบารมี จนครบ 10 บารมี นั่นแหละคือผู้ที่บำเพ็ญทางสายพระโพธิสัตว์

    ส่วนกิเลส ก็คงจะเบาบางมากๆแล้วแหละครับ เพียงแต่ท่านยังไม่ตัดเพื่อเข้าสู่พระนิพพาน

    เพราะท่านยังต้องการจะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์โลกให้หลุดพ้นให้ได้มากที่สุด

    ถ้าสังเกตุในหลวงของเรา ท่านทำงานหนักมากครับ และถ้าใครได้อ่านหนักสือ

    พระมหาบพิตรถาม พระอรหันต์ตาม จะทราบได้เลยว่า ท่านก็คือนักปฏิบัติธรรม

    คนหนึ่งเหมือนกัน แต่ท่านก็ยังไม่ได้ออกบวช แต่ท่านบำเพ็ญบารมีในฐานะ

    กษัตริย์มหาจักรพรรดิ์ผู้ทรงธรรม....
     
  3. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    สาธุ อนุโมทนาด้วยนะครับ

    พระอชิตะเถระท่านทรงเป็นองค์นิตยะโพธิสัตว์ประเภทวิริยาธิกะ(ได้รับพุทธพยากรณ์มา 16 อสงไขย)ท่านจะทรงมีอัธยาสัย 6 ประการดังนี้ คือ
    ๑ . พอใจที่จะบวช หรือ เนกขัมมัชฌาสัย คือ พอใจที่จะบวช รักเพศบรรพชิตยิ่งนัก

    ๒ . พอใจความเงียบสงบ หรือ วิเวกัชฌาสัย คือ พอใจในความวิเวกเงียบสงบยิ่งนัก

    ๓ . พอใจบริจาคทาน หรือ อโลภัชฌาสัย คือ พอใจในการบริจาคทาน สละความโลภตระหนี่

    ๔ . พอใจในความไม่โกรธ หรือ อโทสัชฌาสัย คือ พอใจในความไม่โกรธ เจริญเมตตาในสัตว์ทั้งปวงอยู่เนืองนิตย์

    ๕ . พอใจในความไม่ลุ่มหลง หรือ อโมหัชฌาสัย คือ พอใจในการที่จะพิจารณาสิ่งที่เป็นคุณและเป็นโทษ ไม่ลุ่มหลงในอบาย เสพสมาคมกับบัณฑิตคนมีสติปัญญายิ่งนัก

    ๖ . พอใจที่จะยกตนออกจากภพ หรือ นิสสรณัชฌาสัย ไม่ยินดีในการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารในภพน้อยภพใหญ่ มีความประสงค์ในพระนิพพานยิ่งนัก
     
  4. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    ต่อนะครับ....

    "ในสมัยพระพุทธกาล พระโพธิสัตว์เมตไตรย(พระอชิตะ)เกิดเป็นพระโอรสของพระนางกาญจนาเทวี อัครมเหสีของพระเจ้าอชาตศัตรู ทรงติดตามพระราชบิดาไปฟังธรรมที่เวฬุวนาราม ทรงเลื่อมใสแล้วออกบวช และทรงศึกษาพระพุทธวจนะจนเชี่ยวชาญ

    เมื่อพระ พุทธเจ้าเสด็จมากรุงกบิลพัสดุ์เป็นครั้งที่ ๒ และประทับอยู่ที่นิโครธาราม ครั้งนั้นพระนางมหาปชาบดีโคตรมีต้องการถวายผ้าผืน ๒ ผืนที่ทรงกระทำขึ้นอย่างประณีตแด่พระพุทธเจ้า แต่ทรงปฏิเสธ ตรัสให้ถวายแก่สงฆ์ พระนางทรงเสียพระทัย ตรัสเล่าให้พระอานนท์ทราบ เพื่อขอให้กราบทูลถามสาเหตุที่ไม่ทรงรับ

    พระพุทธเจ้าจึงตรัส ปาฏิบุคลิกทาน (ทานถวายเจาะจง) ๑๔ ประเภท และสังฆทาน (ทานถวายสงฆ์) ๗ ประเภท จบแล้วพระนางทรงโสมนัสยินดียิ่งนัก จึงทรงถือผ้าคู่นั้นเข้าไปน้อมถวายพระอสีติมหาสาวกทั้ง ๘๐ รูป แต่ไม่มีใครรับไว้

    เมื่อถึงลำดับ พระอชิตะผู้บวชใหม่นั่งลำดับสุดท้าย ทรงน้อมเข้าไปถวายพระอชิตะก็รับผ้าคู่นั้นไว้ ทำให้พระนางทรงโสมนัสน้อยพระทัยจนน้ำพระเนตรไหล คิดว่าตนเองมีบุญน้อย

    พระ พุทธเจ้าทรงเห็นพระนางเสียพระทัย ดำริที่จะให้พระนางเกิดความโสมนัสในทาน จึงตรัสให้ท่านพระอานนท์ไปนำบาตรของพระองค์มา ทรงรับแล้วอธิษฐานว่า “ขออย่าให้สาวกทั้งหลายได้บาตรนี้เลย แต่ให้อชิตภิกษุเท่านั้นได้บาตร” แล้วทรงโยนบาตรขึ้นไปในอากาศหายไป

    พระเถระทั้งหลายมีพระสารีบุตร เป็นต้น กราบทูลขอไปนำบาตรกลับมา แล้วเหาะไปหาบาตร แต่ไม่มีใครพบบาตรเลย ตรัสให้พระอชิตะไปนำบาตรมา ท่านไปยืนนอกที่ประชุมแล้วตั้งจิตอธิษฐานว่า “เราออกบวชเพราะใคร่จะตรัสรู้ธรรมทั้งปวง และศีลของเราบริสุทธิ์ดี ขอให้บาตรของพระองค์จงลงมาประดิษฐานในมือของเราเถิด” เมื่อเหยียดมือออกบาตรก็ตกลงมาจากอากาศอยู่บนมือท่านแล้ว

    พระนางทอด พระเนตรเห็นความอัศจรรย์นั้นแล้ว ทรงปีติโสมนัสว่า พระสงฆ์สาวกนี้มีพระคุณยิ่งเป็นอัศจรรย์ แม้แต่ผู้ใหม่ยังมีคุณวิเศษถึงเพียงนี้ เพราะฉะนั้น ผ้าคู่นี้ของเราก็ได้ชื่อว่าบูชาพระบรมศาสดาเหมือนกัน ทรงประนมหัตถ์ นมัสการลากลับไป

    พระอชิตะรับผ้านั้นแล้ว ผืนหนึ่งได้นำมาทำเป็นเพดานบนพระคันธกุฎี อีกผืนหนึ่ง ฉีกออกเป็น ๔ ท่อน ผูกเป็นม่านห้อยลงใน ๔ มุมของเพดานผ้านั้น ท่านเห็นผ้าที่ห้อยลงมานั้นงามยิ่งนัก จึงเปล่งวาจาว่า

    “การบูชา ด้วยผ้านี้เป็นที่เจริญจิตยิ่งนัก ด้วยอานิสงส์แห่งวัตถุบูชานี้ เรามิได้ปรารถนาสิ่งอื่นใด นอกจากพระโพธิญาณ เพื่อนำสัตว์ที่ยังยินดีอยู่ในราคะ โทสะ และโมหะ ให้พ้นสังสารวัฏ ตัดจากกิเลสทั้งปวงเข้าสู่พระอมตนิพพานในอนาคตกาลเท่านั้น”

    พระ พุทธเจ้าทอดพระเนตรเห็นแล้วทรงแย้มพระโอษฐ์ พระอานนท์เห็นแล้วจึงทูลถามเหตุ ที่ทรงแย้มพระโอษฐ์ พระองค์จึงทรงพยากรณ์ว่า “ดูก่อนอานนท์ อันว่าอชิตภิกษุนี้ จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า เมตไตรย ในอนาคตแห่งภัทรกัปนี้”
     

แชร์หน้านี้

Loading...