ถังขยะ ๔ ประเภท

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 21 มีนาคม 2013.

  1. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    โลกนี้มีความสมบูรณ์พูนผลที่ไหน มันเดือดร้อนยิ่งกว่าอะไร สัตว์ไม่ต้องพูด พูดถึงเรื่องมนุษย์เรา ใครเชื่อไม่เชื่อก็ตาม เวลาลืมตามันเห็นนี่ว่าไง ใครไม่เห็นก็ช่างก็เขาตาบอด เราตาดีมองอะไรก็เห็น นี่ก็เห็นแล้วนี่ ถ้าตาดีด้วยกันปฏิเสธได้ไง ถ้าคนตาบอดมาตอบ โอ๊ย ข้าไม่เห็น ดีไม่ดีว่าไม่มี มันก็ตอบไปแบบตาบอดของมัน คนตาดีจะไปตอบอะไรอย่างงั้น นี่พูดจริง ๆ ไม่ว่าธรรมะขั้นใด เราไม่ได้มีสงสัยในหัวใจเราเลย พูดออกมาว่าขั้นใด แม่นยำ ๆ ๆ ด้วยจากใจที่แม่นยำอยู่ แล้ว จะผิดไปไหน เพราะฉะนั้นกิริยามารยาทซุ่มเสียงมันจึงเข้มข้น มันเข้มข้นออกมาจากธรรม ซึ่งทรงรสชาติอย่างเข้มข้นไว้แล้วในธรรมทุกขั้น ไม่ได้มาหาลูบนั้นลูบนี้ พระพุทธเจ้า-พระอรหันต์ท่าน ท่านไม่ได้ลูบได้คลำ ธรรมเต็มหัวใจท่าน ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันแล้วจ้าไปหมดเลย

    ต่างกันอย่างงั้นนะ นี้ก็เพราะกิเลสนั่นเองปิดไว้ไม่ให้เห็น สิ่งรู้อยู่เท่าไหร่มีเท่าไหร่ มันไม่เห็น มันหลอกโลกไม่มีเสีย ผู้เห็นก็เห็นอยู่อย่างงั้น คนตาบอดก็บอดของมันอยู่อย่างงั้นแล้วจะให้มันเห็นยังไง พวกปทปรมะ ไม่ยอมฟังเสียงบาปเสียงบุญนรกสวรรค์อะไร ไม่ฟังเสียง พวกตาบอดก็ปล่อยมันไปเสีย พวกตาดีที่ควรจะฉุดจะลากแล้วก็เอาไป นี่จะไปหรือจะอยู่นี่ จะขึ้นหรือจะลง ลูกศิษย์หลวงตาบัวนี่มันเก่งน่ะทางลง ทางขึ้นไม่ยอมขึ้น ถ้าขึ้นมันก็ขึ้นหมอนเสีย มันไม่ขึ้นที่อื่นนะ สวรรค์นิพพานสู้หมอนไม่ได้ พวกเก่งมาก เก่งทางหมอน ดีที่วันนี้เรียกว่าในฐานให้อภัย มันไม่ได้มัดเสื่อติดหลัง แล้วมัดหมอนที่คอมาพร้อมกันทุกคน ลงที่ไหนตูมเลย สะดวกมากถ้าเป็นเรื่องเสื่อเรื่องหมอน เรื่องของกิเลส ถ้าเรื่องอรรถเรื่องธรรม มันทำไมมันขี้เกียจนัก ใส่ลงไปเปี้ยงมันก็แก้กันได้น่ะสิ ความขี้เกียจต้องแก้ด้วยความขยัน ต้องแก้กัน ขี้เกียจยอมตายกับมันแล้วก็ตายไปตลอด ไม่มีวันฟื้นนะ

    ธรรมที่ผมสอน ๆ ทุกบททุกบาทผมไม่สงสัยเลยนะไม่ว่าธรรมขั้นใด มีทุกขั้นของธรรมที่สอนตั้งแต่ธรรมพื้น ๆ จนกระทั่งถึงที่สุดแห่งความสามารถของเราเอง เรียกว่าความสามารถนี่ก็ไม่สงสัยอีกด้วยนะ สุดยังไง เพราะงั้นการสอนโลก เราจึงไม่มีคำว่าสะทกสะท้านหวั่นไหว สามแดนโลกธาตุนี้เราไม่เคยหวั่นกับสิ่งใดเลยตั้งแต่ท้าวมหาพรหมลงมา ฟังกราบธรรมทั้งนั้น เมื่อมันเข้าเต็มหัวใจแล้วมันเหนือหมด จะว่าที่นั่นสูง ที่นี่ต่ำ ที่นั่นน่ากลัว ที่นี่น่ากล้า ที่นั่นน่าขยะแขยง ไม่มี ราบไปหมดเลย นั่นแหละธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันแล้ว ท่านจะไปตื่นกับอะไร ภาษาโลกถังขยะ คำว่าโลกถังขยะเราก็แยกออกไป ๔ ประเภทเหมือนกัน ให้คนได้รู้ถังขยะคืออะไร ถ้าพูดถังขยะนี่

    เหมือนกับว่าตำหนิติเตียนโลก เหยียบย่ำทำลายโลก แต่ที่รวมแล้วเรียกถังขยะ

    ถังขยะประเภท ๑ ที่ประเภทที่เยี่ยมที่จะหลุดพ้นได้อยู่ พวกอุคฆฏิตัญญู คำว่าถังขยะ คือยังอยู่ในแดนสมมติซึ่งเป็นแดนถังขยะ ธาตุขันธ์เป็นแดนถังขยะ จิตใจยังมีกิเลสฝังอยู่ในนั้นเป็นจิตใจที่เป็นถังขยะ แต่จิตใจนี้มีอุปนิสัยที่หลุดพ้นอย่างรวดเร็ว แต่ต้องเรียกว่าถังขยะ เพราะจิตยังไม่หลุดพ้น นี่เรียกว่าถังขยะประเภทที่ ๑ ประเภทเยี่ยม ยกตัวอย่างเช่น เบญจวัคคีย์ทั้ง๕ นั่นถังขยะประเภทที่จะหลุดพ้นไปได้พอได้ฟังธรรมพระพุทธเจ้า ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ต่อจากนั้นก็อนัตตลักขณสูตร บรรลุธรรมปึ๋ง พ้นแล้วจิตใจพ้นจากถังขยะแล้ว ร่างกายจะเป็นถังขยะก็ตาม แต่จิตหลุดพ้นแล้ว นี่ประเภทที่ ๑

    ประเภทที่ ๒ วิปจิตัญญู ลองกันลงมา คนนี้บรรลุในวันนี้เดือนนี้ คนนั้นจะบรรลุในวันนั้นเดือนนั้นต่อไป ลองลำดับลำดาไป นี่ถังขยะประเภทที่สอง คำว่าถังขยะ ถ้าลองอยู่ในวัฏจักรนี้เรียกว่าถังขยะได้ด้วยกัน แต่แยกถังขยะเป็นประเภท ประเภทที่ ๒ นี่ก็ประเภทจะไป จะพ้นจากถังขยะทางด้านจิตใจ ส่วนธาตุขันธ์นี่ก็เป็นถังขยะเหมือนโลก โลกเหมือนท่าน อันนี้เป็นสมมติเสมอกันไปหมด การเจ็บไข้ได้ป่วย ปวดหัว ตัวร้อน การกินอยู่เหมือนกันหมด เรียกว่าเป็นถังขยะในพื้นเพของมันโดยตรง แต่จิตนั้นเป็นถังขยะเพื่อจะหลุดพ้นก็มี เพื่อจะจมยิ่งกว่านั้นก็มี มันหลายประเภท

    ประเภทที่ ๓ เนยยะ คำว่าเนยยะเป็นผู้พอฉุดลาก พอแนะนำสั่งสอนไปได้หลายครั้งหลายหนแล้วค่อยหลุดพ้นเป็นลำดับลำดาไป แล้วสุดท้ายก็เข้าถึงพวกอุคฆฏิตัญญู วิปจิตัญญู ผ่านได้เลย ประเภทที่ ๓ ยังมีคดีสำคัญกันอยู่กับประเภทที่ ๔

    ประเภทที่ ๔ ปทปรมะ นั้นไม่เอาไหนเลย ในบุคคลคนเดียวซะก่อน เวลานี้มันขยัน ครั้นต่อไปมันขี้เกียจ มันแย่งกันอยู่ ความขี้เกียจกับความขยันแย่งกัน วันนี้จิตค่อยสงบบ้าง วันหลังไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย มีแต่ไฟเผาหัวใจเพราะความยุ่งเหยิงวุ่นวายคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้กิเลสสังหาร

    ถังขยะอันนี้มันหมุนตัวของมันอย่างนั้น แล้วก็หมุนตัวไปทางต่ำปทปรมะ สุดท้ายความดีทั้งหลายที่บำเพ็ญมาไม่เห็นเป็นสำคัญยิ่งกว่าไม่เอาไหน ความไม่เอาไหนเป็นของดีกว่าสิ่งเหล่านี้ไปซะหมด นี่ถังขยะประเภทปทปรมะไม่เอาไหนนี้ลากลง ๆ เนยยะที่ควรไปได้ก็จมไปกับมัน ผู้ที่ไม่ถอยสู้กันไปสู้กันมา เนยยะค่อยลากเข็ญตัวเองพ้นจากถังขยะขึ้นไป กลายเป็นอุคฆฏิตัญญู วิปจิตัญญู

    เนยยะนี่ขึ้นไปได้ เพราะเนยยะนี่เป็นได้สองทาง พอแนะนำสั่งสอนได้ พอเอาไปได้ พอถูไถไปได้ ถ้าไม่ถูไถมันก็ลง

    ส่วนปทปรมะทำยังไงมันก็ไม่เอา อย่างที่คนไข้เข้าไปในโรงพยาบาล แทนที่จะเข้าไปรับการเยียวยารักษาจากหมอ มันไม่สนใจ เข้าไปก็เข้าห้อง ไอ ซี ยู คอยแต่ลมหายใจฝอด ๆ เท่านั้น หมอไม่มีความหมาย ยาไม่มีความหมาย เพราะคนคนนี้หมดความหมายไปแล้ว จะเอาความหมายมาจากไหน มันก็รอแต่วันตายเท่านั้น นี่ปทปรมะ ไม่ฟังเสียงอรรถเสียงธรรมเสียงบุญเสียงบาป ใครว่าอะไรก็เอาตามใจเจ้าของแล้วก็จม นี่ประเภทที่ ๔ นี่อยู่ในกรอบของถังขยะแห่งวัฏจักร

    วัฏจักรเป็นที่บรรจุถังขยะ ๔ ประเภทนี้ไว้ พอแยกย้ายจากนี้ไปแล้วส่วนจิตใจก็พ้น ๆ ไปนี่เรียกว่าพ้นถังขยะ อย่างจิตพระอรหันต์ท่าน โสดา สกิทาคา อนาคานี่ไปแล้วน่ะ กำลังก้าวจะพ้นจากถังขยะ จิตนี้พ้นไปเป็นลำดับลำดา จากนั้นก็พ้นไปซะเลย นี่เรียกว่าพ้นถังขยะไปแล้ว คำว่าถังขยะพูดกลาง ๆ คือเป็นที่อยู่ของวัฏจักรที่หมุนเวียนไปด้วยความเกิดแก่เจ็บตาย ความทุกข์ ความเดือดร้อน ความสุขสับสนปนเปไปอย่างนั้นเรียกว่าถังขยะ พอพ้นจากนี้แล้วไม่มีคำว่าทุกข์เหล่านี้ไม่มีเหลือเลย กิเลสซึ่งเป็นตัวสำคัญสร้างถังขยะขึ้นให้แก่สัตว์ทั้งหลายนั้นขาดสะบั้นไปจากใจแล้วหลุดพ้นปึ๋ง นี่หมดแล้วเรื่องถังขยะไม่มีเหลือในจิตของท่านผู้หลุดพ้นแล้ว คือพระอรหันต์

    นอกจากนั้นก็มีตามส่วน พระอนาคามีก็ยังมียังไม่หลุดพ้น กิเลสมีมากน้อยนั่นแหละถังขยะในจิตยังมีเป็นขั้น ๆ นี่พูดว่าถังขยะมันมีหลายขั้นหลายตอน แยกให้พี่น้องทั้งหลายทราบ อันนี้ไปเรียนในจากไหนในคัมภีร์ไหนท่านบอกไว้ ไม่มี แต่หลักความจริงมันมีอย่างนี้ ดูอยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้ รู้อยู่อย่างนี้ จะผิดไปไหน พระพุทธเจ้าไปหาคัมภีร์จากไหนมาสอนโลก ขึ้นจากพระทัยผึงทันทีเลย นี่คัมภีร์ในของพระพุทธเจ้า คัมภีร์นอกท่านก็แจกแจงออกไป เป็นพระไตรปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระวินัยปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ออกมาจากคัมภีร์ใหญ่นี้ ไม่ต้องตั้งชื่อตั้งนามอะไรล่ะ นี่เป็นคัมภีร์หลักธรรมชาติพระพุทธเจ้าของพระอรหันต์ท่านทรงไว้แล้ว นี่เราแยกไปเป็นกิ่งเป็นก้านให้เป็นพระวินัยปิฎกบ้าง พระสุตตันตปิฎกบ้าง พระอภิธรรมปิฎกบ้าง

    ปิฎก แปลว่าอะไรภาชนะ ภาชนะสำหรับรับรองพระวินัย ภาชนะสำหรับรับรองพระสูตร ภาชนะสำหรับรับรองพระอภิธรรม ที่ว่าปิฎก ๆ นั่น ปิฎกะ ภาษาบาลี นี่เรามาแปลภาษามคธก็บอกปิฎกก็คือภาชนะนั่นเอง ถอดออกมาทีหลัง ออกมาจากธรรมชาติ พระไตรปิฎกใน หรือว่าปิฎกธรรมชาติ ใจเป็นผู้รับรองปิฎกนั้น แยกออกมาเป็น ๓ ประเภท ท่านออกมาทีหลังสังคายนาครั้งที่ ๔ ผมก็ลืม แต่มี นี่มันอ่านมานานมันลืม ครั้งที่ ๑ ที่ ๒ ยังไม่มี สังคายนาร้อยกรองพระธรรมวินัยที่ ๓ หรือที่ ๔ นี่แหละ ได้จดจารึกออกมา เพราะคิดถึงกุลบุตรสุดท้ายภายหลัง ท่านมีแต่พูดตอบกันสนทนากันด้วยปากเปล่าอย่างนี้ไม่มีร่องรอย ไม่มีหนังสือ ไม่มีที่จดจำมันจะล่วงโรยไปหมดเสีย เลยจดจารึกไว้เพื่อให้กุลบุตรสุดท้ายภายหลังได้อ่านได้ท่องบทสังคายนาจดจำเรียนมาทุกวันนี้เอง ทราบอย่างงั้นสิ อันนี้จึงเรียกว่าเกิดทีหลัง ถ้าไม่ผิด ดูเหมือนเป็นครั้งที่ ๔ มันมีอยู่ ๒ ครั้ง ไม่ที่ ๔ ก็ที่ ๕ นี่ล่ะ จดครั้งที่ ๑ ที่ ๒ ยังไม่มี ถ้ามีก็ดูเหมือนครั้งที่ ๔ หรือที่ ๕ เรายังไม่แน่ใจว่ามี มันจะไปปักใจอยู่ที่ครั้งที่ ๔ หรือที่ ๕ นี่ จดจารึกออกมา คือร้อยกรองพระธรรมวินัย สนทนากันด้วยปากเปล่า ยอมรับกันด้วยปากเฉย ๆแต่ไม่ได้จดจารึกไว้สิ มันก็ไม่รู้สิ จึงได้มาจดจารึกเพื่อกุลบุตรสุดท้ายภายหลัง ได้ท่องบทเรียนมาจนกระทั่งป่านนี้ เรื่องราวมันเป็นมาอย่างนั้น

    พระไตรปิฎก ยังขึ้นอยู่กับผู้ไปจดจารึกอีกนะ ถ้าเป็นพระอรหันต์ การไปจดจารึกมาแม่นยำ ๆ ถ้าเป็นคนสามัญธรรมดามีกิเลสนี้มีผิดมีพลาดไปบ้าง หลักใหญ่ถึงจะถูก แต่ปลีกย่อยอาจผิดไปก็ได้ เพราะเป็นปุถุชนคนมีกิเลสเหมือนเรา ๆ ท่าน ๆ ไปจดจารึกธรรมที่บริสุทธิ์มามันก็มีแปลกมีปลอม แต่ยังไงก็ตามหลักใหญ่มีอยู่ ได้หลักใหญ่มาก็ยังดี เช่น อริยสัจ ๔ สติปัฏฐาน ๔ นี่หลักใหญ่ที่จะชำระกิเลสตัณหาได้โดยสมบูรณ์ หลักใหญ่ ส่วนปลีกย่อยก็มีผิดพลาดบ้าง ก็ไม่ถือสีถือสา ไม่ว่าท่านว่าเรา คนมีกิเลสก็ต้องมัว ๆ มืด ๆ เป็นธรรมดา จะให้แจ้งเหมือนพระอรหันต์ ไม่แจ้งล่ะ ให้พากันจำไว้นะ คำว่าพระไตรปิฎกหมายความว่าไง

    พ้นจากกิเลสทั้งหลายเรียกว่าพ้นแล้วจากถังขยะ ประเภทที่ ๑ ที่พระอรหันต์พ้นไปแล้ว อุคฆฏิตัญญูผู้จะรู้ได้เร็ว พอปั๊บจากนี้ก็เป็นพระอรหันต์ขึ้นมา พ้นแล้ว ๆ ให้พากันทราบ คำว่าถังขยะ ท่านก็ไม่ได้บอกนะพระไตรปิฎก แต่หลักธรรมชาติของมัน มันก็บอกอยู่ในตัวโดยหลักธรรมชาติ ตั้งชื่อไม่ตั้งชื่อก็รู้ชัด ๆ ประเภทไหน ๆ เวลาตั้งชื่อมาก็แจ่มแจ้งขึ้น ด้วยเหตุนี้เอง การเทศนาว่าการ เราจึงไม่มีสงสัยในการเทศน์สอนโลก ไม่ว่าจะธรรมขั้นใด เราไม่เคยสะทกสะท้านว่าผิดไป เพราะธรรมชาตินี้ไม่ได้ผิด แม่นยำ ๆ ถอดออกมามากน้อยเพียงไร สูงต่ำขนาดไหน ออกจากความแม่นยำ ๆ แล้วจะสงสัยไปไหน การเทศนาว่าการจะไม่มีความสะทกสะท้านหวั่นไหวว่ากล้าว่ากลัวไม่มี มันเหนือแล้ว เหนืออะไร เหนือถังขยะ ภาษาถังขยะ ไปกลัวไปกล้ากับมันอะไร ไปตั้งหมัดตั้งมวยใส่ถังขยะแล้วไปกลัวถังขยะ วิ่งเข้าเผ่นเข้าป่า เขาว่าบ้าทั้งขึ้นทั้งร่อง เข้าใจมั้ย?

    ถังขยะมันก็รู้แล้ว ไปตื่นไปเต้นอะไรกับมัน อะไรที่จะดีอยู่ในถังขยะชำระซักฟอก ดึงขั้นมา เหมือนพระพุทธเจ้าสอนโลก สอนอยู่ในถังขยะนั่นแหละ ถังขยะประเภทที่ ๑ ที่สอง เป็นสาระประโยชน์อยู่ในถังขยะ ยังมีผู้จะรู้ได้เห็นได้อยู่ คือประเภทที่เป็นสาระประโยชน์ยังมีในกองถังขยะ สอนออกมา นอกนั้นก็เป็นถังขยะตามเดิม สอนไม่ได้ก็ปล่อยเลย ให้พากันเข้าใจอย่างนี้นะประเภทที่สอนได้อยู่ในถังขยะแต่ประเภทที่เป็นสาระคุณ อันดับ ๑ อันดับ ๒ อันดับ ๓ อันดับ ๔ ไม่ต้องพูดถึง อันดับ ๓ ก้ำกึ่งกันอยู่ ทั้งจะขึ้นจะลง ถ้าว่าจะขึ้นปุ๊บปั๊บจะลงซะ ลมหายใจฝอด ๆ ยังมีอยู่ โอ๊ยยังไม่ตายปลุกมันขึ้น ปลุกขึ้น อย่างงั้น

    การภาวนา การทำอะไรให้มีจริงจังสิ เช่นกำหนดพุทโธให้ตั้งสติปั๊บกับพุทโธ ไม่ต้องเอาอะไรในโลกนี้ เอาแต่คำว่าพุทโธกับสติติดแนบ ยังไงก็พ้นไม่ได้จิตจะต้องหมอบราบจนได้ ขอให้จริงจัง อันนี้ไม่จริงไม่จัง เหลาะ ๆ แหละ ๆ ไม่ได้เรื่องอะไร ธรรมบทใดก็ตามถ้าไม่จริงซะอย่างเดียวก็ไม่เกิดประโยชน์ ถ้าจริงแล้วก็ต้องเกิดประโยชน์ไปเรื่อย ๆ ด้วยความเชื่อมัน มีกำลังใจที่จะทำ แล้วยังไงก็ปรากฏ ธรรมมีอยู่แล้วทำไมไม่ปรากฏ ก็เราไม่จริงจังกับธรรมซึ่งเป็นของมีอยู่แล้ว มันก็ไม่ได้ผลได้ประโยชน์อะไร ธรรมพระพุทธเจ้าคงเส้นคงวาหนาแน่นตลอดมา อกาลิโก แปลว่าไง ไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลาจะไปทำลายความจริงของธรรมให้หลุดลอยไปได้ อกาลิโก กิเลสก็เหมือนกัน กิเลสก็เป็นอกาลิโก คว้าไปทำให้เกิดกิเลสเกิดทันที ทำให้เกิดธรรมเมื่อไหร่เกิดทันทีเพราะเป็นอกาลิโกด้วยกัน

    นี่เราไปคว้าแต่อกาลิโกของกิเลส เอาเชือกมามัดคอ เอาไฟมาเผาหัวอก ไปที่ไหนมีแต่ไฟเผาหัวอกของโลกทั้งนั้นแหละ อะไรมาหน้าร้านสดสวยงดงาม ภายในมีแต่ไฟเผาหัวอกมัน ตัวเองไม่ดูตัวเอง ถ้าดูตัวเองบ้างมันก็จะรู้จุดด่างพร้อยหรือเดือดร้อนของตัวเอง มันก็พยายามแก้ไข มันเป็นเพราะอะไรมันถึงร้อนอย่างนี้ เรื่องราวอะไร แก้เรื่องราวนั้นเข้าไปมันก็จางเท่านั้นเอง นี่มันไม่ได้แก้ ทำอะไรให้จริงนะ อย่าทำเหลาะ ๆ แหละ ๆ นะ บวชนิกายไหนก็ตามเถอะ จิตใจไม่มีเพศ ไม่มีเพศพระเพศโยมจิตใจเข้าได้เรื่องธรรม เรื่องกิเลส เข้าได้ด้วยกันหมด ไม่ว่าบวชเป็นพระ เป็นฆราวาสก็ตาม กิเลสเข้าได้เมื่อหากิเลส กิเลสเกิดทันที หาธรรม ธรรมเกิดทันที เพราะจิตไม่มีเพศ ไม่มีนิยมว่าหญิงว่าชาย เข้าได้ทั้งกิเลสทั้งธรรม แก้ได้แล้วมันก็ดี

    มันไม่มีอะไรจริงจังนะโลกเรานี่ เหลาะ ๆ แหละ ๆ ดูแล้วมันดูไม่ได้นะ เพราะธรรมจริงทุกอย่าง แม่นยำทุกอย่าง มองไปไหนดูอะไรดูจริง ๆ ฟังจริง ๆ พินิจพิจารณาจริง ๆ ได้เหตุได้ผลมาจริงๆ นี่ธรรม คว้าไปตรงไหนได้สาระมาทุกแห่ง ถ้ากิเลสคว้าไปที่ไหนมีแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้ตลอดเวลา ไม่มีสาระอะไรติดกิเลสที่คนไปผูกพันกับมัน ถ้าผูกพันกับธรรมเป็นธรรมขึ้นมา ให้พากันจำไว้นะ

    ท่านพระครูมาจากที่ไหน มาจากอโศการามหรือมาจากที่ไหน วัดพระศรีฯเหรอ ไม่โกโรโกโสเหรอพระเรา ถ้าวัดไหนเอาเมนไปตั้งลงตรงนั้น นั่นละเมนเผาศพพระ ทีแรกก็เผาศพคน พระกุสลาธัมมา ๆ ฟาดเอาเงินมาเผาหัวพระ นี่บวชเข้ามาหาตั้งแต่เงินแต่ทอง เผาหัวพระ อย่างท่านพ่อลีท่านพูด เราเน้นหนักอีก ในวัดอโศการาม ใครมาปรึกษาหารือท่านว่าอยากจะสร้างเมนที่วัด “สร้างหาอะไร” เห็นมั้ยล่ะท่านเด็ด

    เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม
    วันพฤหัสบดีที่ ๒๗ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๔ (ตอนค่ำ)
    “ถังขยะ ๔ ประเภท”

    Luangta.Com -
     

แชร์หน้านี้

Loading...