ติดตามสถานะการณ์

... "ลุงสีจิ้นผิงเยือนทิเบต ครั้งแรกรอบสามสิบปี...ส่งสัญญานจีนเอาจริง"

... "ลุงสีจิ้นผิง" เป็นผู้นำจีนคนแรกในรอบสามสิบปีที่ไปเยือนทิเบต

... ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน เลขาธิการคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน (CPC) และประธานคณะกรรมาธิการการทหารกลาง เดินทางถึงสนามบิน Nyingchi Mainling ของ "ทิเบต" และได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากคนในท้องถิ่นและเจ้าหน้าที่ของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ในทิเบตทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน เขตปกครองตนเอง เมื่อวันพุธที่ 21 กรกฎาคม 2021, สัปดาห์ที่แล้ว

... โดยลุงสีร่วมแสดงความยินดีในวาระ "ครบรอบ 70 ปีการปลดปล่อยทิเบตอย่างสันติ" พร้อมเยี่ยมเยียนข้าราชการและประชาชนทั่วไปจากหลากหลายชาติพันธุ์

... จากนั้นลุวก็ไปเยี่ยมชม "สะพานแม่น้ำ Nyang" เพื่อตรวจสอบการอนุรักษ์ระบบนิเวศในแอ่งของแม่น้ำ Yarlung Zangbo และแม่น้ำสาขาของแม่น้ำ Nyang

... สีได้เยี่ยมชมศาลาว่าการท้องถิ่น หมู่บ้าน และสวนสาธารณะใน Nyingchi เพื่อตรวจสอบการวางแผนการพัฒนาเมืองของท้องถิ่น การทำให้มีชีวิตชีวาในชนบท และความพยายามในการสร้างสวนสาธารณะของเมือง

... ในวันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม 2021, ลุงสีได้ไปที่สถานีรถไฟ Nyingchi เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับการออกแบบโดยรวมของ "เส้นทางรถไฟเสฉวน-ทิเบต" และการดำเนินงานของส่วนทางรถไฟลาซา-Nyingchi จากนั้นขึ้นรถไฟไปยังเมืองหลวงของภูมิภาคลาซา , โดยตรวจสอบการก่อสร้างตามทางรถไฟระหว่างการเดินทาง

... รถไฟลาซา-Nyingchi เริ่มเปิดการดำเนินการอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนที่แล้ว เป็น "รถไฟไฟฟ้าสายแรกของทิเบต"

***... ผู้สังเกตการณ์กล่าวว่าการเยือนจีนครั้งแรกของผู้นำจีนในภูมิภาคนี้ในรอบ 3 ทศวรรษ มีวัตถุประสงค์เพื่อ "ส่งข้อความไปยังอเมริกา อินเดีย และดาไลลามะ" ว่าจีนย้ำว่าทิเบตเป็นของจีน , เพราะเป็นดินแดนที่เป็นปัญหาเรื้อรังที่มหาอำนาจแดนไกลและเพื่อนบ้านพยายามแทรกแซงจีนผ่านดินแดนนี้ตลอดมา

... http://www.xinhuanet.com/english/2021-07/23/c_1310079262.htm
... https://www.scmp.com/news/china/pol...ge-was-xi-jinping-trying-send-his-visit-tibet

 

เคราะห์ซ้ำกรรมซัด แต่รอด!

นางบังอร อายุ 44 ปี เดินแหย่หาไข่มดแดงตามต้นไม้

“พลัดตกลงไปในบ่อปูน กว้าง 2 ม. ลึก 8 ม.”

“ภายในบ่อมีงูกะปะ 2 ตัว ซึ่งมีพิษรุนแรงมาก ยาว 1 ม.”

ชาวบ้านใกล้เคียง ได้ยินเสียงร้องเรียก จึงเรียกกู้ภัยมาช่วย เอาบันไดช่วยขึ้นมาได้อย่างปลอดภัย ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย

นางบังอรเล่าว่า เดินแหย่ไข่มดแดง ไม่ได้ดูพื้นว่ามีบ่ออยู่ ก้าวเท้าพลาดเลยตกลงไป เห็นงูในบ่อ พยายามอยู่นิ่งๆ ร้องตะโกนให้คนช่วย โชคดีที่งูไม่กัด

จนท.กู้ภัย ช่วยกันจับงูขึ้นมา เพื่อป้องกันชาวบ้านได้รับอันตราย

ผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้าน จึงช่วยกันปิดปากบ่อไว้ เพื่อไม่ให้ใครตกลงไปอีก

https://news.ch7.com/detail/503762?...tmeTxonH6oBs-MC91SxiPu2gpYBI3x2TVYqeW9JGSWItQ

 

รถไฟฟ้าบีทีเอส โพสต์ประกาศ...

"งดพูดคุยกันภายในขบวนรถไฟฟ้า"

ผู้โดยสารต้องสวมหน้ากากอนามัย หน้ากากผ้า ให้ถูกวิธีตลอดเวลาที่ใช้บริการ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโควิด-19 ผ่านทางฝอยละอองของเสมหะ น้ำมูก น้ำลาย ซึ่งสามารถล่องลอยอยู่ในอากาศ

• หลีกเลี่ยงการยืน นั่งหันหน้าเข้าหากันเพื่อพูดคุย

• งดดึงหน้ากากอนามัยหน้ากากผ้าลงใต้คาง

• งดคุยโทรศัพท์มือถือ

• งดใส่เพียง Face Shield อย่างเดียว

ร่วมรับผิดชอบต่อสังคม ด้วยการป้องกันดูแลตนเอง และคนที่คุณรัก

https://www.springnews.co.th/news/813213

 

มายังไง!

“เสาไฟฟ้าโผล่อยู่บริเวณทางโค้งกลางถนน”

จุดนี้เป็นโค้งหักศอก หากไม่สังเกต อาจเกิดอุบัติเหตุรุนแรงได้

ส่วนชาวบ้านบอกว่า เดิมมีเสาไฟอยู่แล้ว แต่มีการขยายถนน ทำให้เสาไฟจึงมาอยู่กลางถนน

ล่าสุดเตรียมย้ายเสาไฟในวันพรุ่งนี้แล้ว

ภาพ : ช่อง 7 HD

https://ch3plus.com/news/program/251074

 

BREAKING : รายงานผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ 30 ก.ค. 64

⬆️ + 17,345 คน ⬆️

- ทั่วไป 16,664 คน

- เรือนจำ 681 คน

ยอดรวมสะสม 578,375 คน

⚪️ รักษาหาย + 10,678 คน สะสม 381,170 คน

⚫️ เสียชีวิตเพิ่ม + 117 คน สะสม 4,679 คน

 

UPDATE: 6 องค์กรสื่อ ยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงประยุทธ์ จี้ยกเลิกข้อความในข้อกำหนด เสี่ยงถูกใช้เป็นเครื่องมือคุกคามเสรีภาพ-ประชาชน
.
วันนี้ (30 กรกฎาคม) ที่ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล ตัวแทน 6 องค์กรสื่อมวลชน ประกอบด้วย สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ, สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย, สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย, สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย, สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ และสหภาพแรงงานกลางสื่อมวลชนไทย เข้ายื่นจดหมายเปิดผนึกถึง พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ผ่านอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ขอให้ยกเลิกข้อความในข้อที่ 11 ของข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก. ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 27) และข้อกำหนดในฉบับที่ 29
.
โดยระบุใจความว่า ตามที่ได้ออกข้อกำหนดตามมาตรา 9 (3) แห่ง พ.ร.ก. ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ฉบับที่ 27 ข้อ 11 เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม และฉบับที่ 29 เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม ระบุข้อความในลักษณะเดียวกันว่า ‘การเสนอข่าวหรือการทําให้แพร่หลายซึ่งหนังสือ สิ่งพิมพ์ หรือสื่ออื่นใด ที่มีข้อความอันอาจทําให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว หรือเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารทําให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉินจนกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชนทั่วราชอาณาจักร’ นั้น
.
องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนทั้ง 6 องค์กร ได้ปรึกษาหารือกันจนมีข้อสรุปว่า ถ้อยคำตามข้อกำหนดดังกล่าวสุ่มเสี่ยงที่จะถูกใช้เป็นเครื่องมือคุกคามเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชนและสื่อมวลชน ซึ่งได้รับการรับรองไว้ในมาตรา 34 และ 35 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ ข้อกำหนดดังกล่าวให้อำนาจเจ้าหน้าที่รัฐในการเอาผิดแม้เพียงแค่ ‘ข้อความอันอาจทําให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว’ โดยปราศจากหลักเกณฑ์หรือขอบเขตของการใช้อำนาจที่ชัดเจน ดังนั้น แม้ประชาชนและสื่อมวลชนที่เผยแพร่ข้อเท็จจริงหรือความจริงก็อาจถูกดำเนินคดีหรือคุกคามจากหน่วยงานของรัฐได้ เพียงเพราะใช้วิจารณญาณว่าเป็นการทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว
.
อีกทั้งข้อกำหนดทั้ง 2 ฉบับนี้มีเนื้อหาแตกต่างจากข้อกำหนดในลักษณะเดียวกันที่เคยมีการประกาศก่อนหน้านี้ในข้อกําหนดฉบับที่ 1 ลงวันที่ 25 มีนาคม 2563 ข้อ 6 ซึ่งระบุไว้ความชัดเจนว่า จะห้ามเสนอข่าวได้ ต้องเป็นข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสถานการณ์โรคระบาดโควิด และต้องเป็นการเสนอข่าวหรือทำให้เผยแพร่ข้อความอันไม่เป็นความจริง รวมทั้งระบุให้เจ้าหน้าที่ต้องเตือนให้ระงับหรือสั่งให้แก้ไขข่าวเสียก่อน
.
องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนทั้ง 6 องค์กร จึงขอเรียกร้องให้มีการยกเลิกข้อความดังกล่าวในข้อกำหนดออกโดยทันที เพื่อมิให้เกิดความเสียหายต่อเสรีภาพของประชาชนและสื่อมวลชนมากไปกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ซึ่งจะให้สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิดเลวร้ายลงไปอีก ซึ่งหากนายกรัฐมนตรียังคงเพิกเฉยต่อข้อเรียกร้องตามจดหมายเปิดผนึกฉบับนี้ องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนทั้ง 6 องค์กรจะเพิ่มมาตรการในการกดดันให้รัฐบาลต้องพิจารณายกเลิกข้อกำหนดดังกล่าว ทั้งมาตรการทางด้านกฎหมายและมาตรการทางสังคมต่อไปจนถึงที่สุด
.
อ่านข่าวอื่นๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://thestandard.co
#TheStandardNews #หยุดคุกคามสื่อ

 

UPDATE: รัฐบาลฝรั่งเศสแจกเงินผ่านแอปฯ 11,700 บาท ให้กับเด็กอายุ 18 ปีทั่วประเทศ สำหรับซื้อหนังสือ ดนตรี หรือตั๋วนิทรรศการ พบส่วนใหญ่นำไปซื้อ ‘การ์ตูนมังงะ’
.
เพื่อส่งเสริมให้คนรุ่นใหม่เข้าถึงวัฒนธรรมต่างๆ ให้มากขึ้น ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมารัฐบาลฝรั่งเศสจึงได้เปิดตัวแอปพลิเคชันสมาร์ทโฟนภายใต้ชื่อ Culture Pass ซึ่งจะมอบเงิน 300 ยูโร หรือราว 11,700 บาทให้กับเด็กอายุ 18 ปีทั่วประเทศ สำหรับนำไปซื้อสินค้าที่เกี่ยวกับวัฒนธรรม ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ ดนตรี หรือตั๋วนิทรรศการและการแสดง
.
กลุ่มวัยรุ่นกว่า 825,000 คน สามารถซื้อสินค้าที่จับต้องได้จากร้านหนังสือ ร้านแผ่นเสียง และร้านขายอุปกรณ์ศิลปะหรือร้านขายเครื่องดนตรี พวกเขาสามารถซื้อตั๋วชมภาพยนตร์ ละคร คอนเสิร์ต หรือนิทรรศการพิพิธภัณฑ์ และพวกเขาสามารถลงทะเบียนเรียนเต้น ระบายสี หรือวาดรูปได้ด้วย ซึ่งปัจจุบันมีธุรกิจและสถาบันกว่า 8,000 แห่งที่เข้าร่วมในแอปพลิเคชันนี้แล้ว
.
เงินจำนวนดังกล่าวจะสามาถใช้ได้นาน 2 ปี โดยแอปพลิเคชันมาพร้อมกับข้อจำกัดในตัว ซึ่งผู้ใช้สามารถใช้จ่ายได้ถึง 100 ยูโรสำหรับข้อเสนอต่างๆ เช่น E-book และการสมัครรับข้อมูลสื่อออนไลน์ และบริการสตรีมเพลงหรือภาพยนตร์ ซึ่งจำกัดเฉพาะบริษัทในฝรั่งเศสเท่านั้น และแม้ว่าบัตร Culture Pass สามารถใช้กับวิดีโอเกมได้ แต่ผู้จัดการเกมจะต้องเป็นชาวฝรั่งเศส และเกมต้องไม่มีเนื้อหาที่มีความรุนแรง นี่จึงเป็นเงื่อนไขที่เข้มงวดมากจนเกมยอดนิยมส่วนใหญ่ไม่มีให้บริการ
.
อย่างไรก็ตาม The New York Times รายงานข้อมูลที่น่าสนใจว่า ณ เดือนนี้ หนังสือคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 75% ของการซื้อทั้งหมดที่ทำผ่านแอปพลิเคชันนับตั้งแต่เปิดตัวทั่วประเทศในเดือนพฤษภาคม และประมาณ 2 ใน 3 ของหนังสือเหล่านั้นเป็นหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่น หรือที่เรียกว่า ‘มังงะ’
.
Naza Chiffert เจ้าของร้านหนังสือสองแห่งในปารีส กล่าวว่าบัตร Culture Pass ส่งผลดีต่อธุรกิจของเธอ เพราะ “การดึงดูดคนหนุ่มสาวที่อ่านหนังสือ แต่เคยชินกับ Amazon หรือร้านค้าขนาดใหญ่มาที่เราไม่ใช่เรื่องง่าย” แต่ตอนนี้เธอมีวัยรุ่นอยู่ในร้านของเธอทุกวัน
.
กระนั้นโครงการดังกล่าวถูกนักวิจารณ์ออกมาโต้แย้งว่าอาจเป็นการใช้เงินภาษีไปอย่างสูญเปล่า และบางคนก็มองว่าใช้งบประมาณที่ ‘สูงเกินไป’ โครงการนี้มีมูลค่า 80 ล้านยูโร หรือราว 3.1 พันล้านบาทในปีนี้ และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในปีหน้า แม้ว่าจะยังคงเป็นเพียงเศษเสี้ยวของงบประมาณเกือบ 4 พันล้านยูโร หรือ 1.6 แสนล้านบาทของกระทรวงวัฒนธรรมก็ตาม
.
ขณะที่บางคนเรียกบัตรนี้ว่า เป็น ‘เครื่องมือของประธานาธิบดี’ (Presidential Gadget) ซึ่งฝ่ายค้านมองว่า ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มกำลังใช้โครงการนี้เป็นเครื่องมือหาเสียงก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปีหน้า และชี้ว่าแทนที่จะทำโครงการดังกล่าว ควรสนับสนุนโครงการที่มีอยู่แล้ว เช่น โครงการที่ดำเนินการโดยศูนย์ชุมชนเยาวชน ซึ่งกระทรวงวัฒนธรรมของฝรั่งเศสได้โต้กลับว่า โครงการนี้จะช่วยให้สถาบันวัฒนธรรมสามารถเข้าผู้ชมอายุน้อยได้ ซึ่งปกติมักดึงดูดได้ยากหากต้องการเข้าถึงผ่านสมาร์ทโฟน
.
ภาพ: Mehdi Taamallah/NurPhoto via Getty Images
.
อ้างอิง:
https://www.nytimes.com/2021/07/28/arts/france-culture-pass.html
.
อ่านข่าวเพิ่มเติมได้ที่ https://thestandard.co/wealth/
#TheStandardWealth

—————————————————

ไม่พลาดข่าวไฮไลต์ประจำวัน มาเป็นเพื่อนกับ THE STANDARD WEALTH ในไลน์ คลิก https://lin.ee/xfPbXUP

 

“วันนี้มีบางกระทรวงที่ทำหน้าที่เป็นกระทรวงแห่งความจริง ซึ่งสื่อหน้าที่ของเราคือต้องบอกกับประชาชนว่ามันไม่ใช่”
.
วานนี้ (29 กรกฎาคม) ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ข้อกำหนด ห้ามนำเสนอข่าวที่อาจทำให้ประชาชนหวาดกลัว พร้อมให้อำนาจ กสทช. สั่งระงับการให้บริการอินเทอร์เน็ต ท่ามกลางความสับสนของสื่อมวลชนและประชาชนว่า การนำเสนอสิ่งที่สร้างความหวาดกลัวนั้นมีนิยามอย่างไร และถ้าหากสิ่งที่น่าหวาดกลัวนั้นเกิดขึ้นจริง จำเป็นที่จะต้องรายงานให้กับประชาชนได้ทราบ เท่ากับจะเป็นการทำผิดกฎหมายหรือไม่
.
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ประกาศของรัฐถูกออกมาในลักษณะที่ ‘คลุมเครือ’ ที่ผ่านมา การออก พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ฉบับที่ 27 ในประเด็นมาตรการเรื่องบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร แม้สื่อมวลชนจะพยายามออกแถลงการณ์ขอความชัดเจนของมาตรการ กลับได้รับการตอบกลับด้วยโพสต์บนเฟซบุ๊กของนายกรัฐมนตรีเรื่องการจัดการข่าวปลอม ที่มอบอำนาจให้กระทรวงดีอีเอสสามารถดำเนินคดีกับประชาชนและสื่อมวลชน
.
6 องค์กรวิชาชีพสื่อได้จัดเวทีเสวนา ‘หยุดอ้างข่าวปลอม หยุด พ.ร.ก. ฉุกเฉิน คุกคามเสรีภาพสื่อ-ประชาชน’ เพื่อแลกเปลี่ยนและแสดงความคิดเห็นต่อประเด็นดังกล่าว
.
และนี่คือเสียงสะท้อนจากวงการสื่อสารมวลชน ที่ต้องการทวงถามความกระจ่างและความจริงใจจากรัฐ ในฐานะที่เสรีภาพสื่อคือเสรีภาพของประชาชน
.
เรื่อง: เกศนคร พจนวรพงษ์
ตัดต่อ: พงษ์พัฒน์ มะหะหมัด
.
ชมคลิปอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่ https://thestandard.co/video/
#TheStandardVDO #TheStandardNews #หยุดคุกคามสื่อ

 

UPDATE: Google มอบเงินช่วยเหลือประเทศไทย 10 ล้านบาทผ่าน UNICEF ร่วมฝ่าวิกฤตโควิด
.
นอกเหนือจากการจัดทำข้อมูลและหน้าเว็บไซต์พิเศษในการติดตามสถานการณ์โควิดรอบโลก ล่าสุดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (29 กรกฎาคม) Google โดยองค์กรการกุศล Google.org ยังได้มอบเงินสนับสนุนประเทศไทยในการรับมือกับโควิดเป็นเงินรวม 300,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 9.8 ล้านบาทผ่านองค์การ UNICEF อีกด้วย
.
เงินจำนวน 9.8 ล้านบาทนี้จะถูกจัดสรรให้กับองค์การ UNICEF เพื่อสนับสนุนความต้องการเร่งด่วนในการตอบสนองต่อสถานการณ์โควิด โดยจะนำเงินสนับสนุนไปใช้ในการจัดหาอุปกรณ์สุขอนามัย เช่น สบู่ เจลล้างมือ สเปรย์แอลกอฮอล์ หน้ากากผ้า และยาฆ่าเชื้อ เพื่อนำส่งไปยังจังหวัดที่มีความเสี่ยงสูงและได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการแพร่ระบาดของโควิด
.
แจ็คกี้ หวาง Country Director, Google ประเทศไทย กล่าวถึงการสนับสนุนในครั้งนี้ว่า “จำนวนผู้ติดเชื้อโควิดที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในปัจจุบันทำให้แรงกดดันมหาศาลตกอยู่ที่ระบบสาธารณสุข และเงินสนับสนุนที่ Google.org มอบให้แก่องค์การ UNICEF ในครั้งนี้ถือเป็นการยกระดับการสนับสนุนของเราสำหรับประเทศไทยในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้ นอกจากนี้เรายังคงมุ่งมั่นช่วยให้คนไทยเข้าถึงข้อมูลและเครื่องมือต่างๆ ได้อย่างทันท่วงที เพื่อทำให้ทุกคนได้รับข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ ไม่พลาดการติดต่อสื่อสาร และปลอดภัยในสถานการณ์ปัจจุบัน”
.
ด้าน คาริน ฮัลชอฟ ผู้อำนวยการองค์การ UNICEF ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก กล่าวว่า “ขอขอบคุณ Google.org ที่ให้การสนับสนุนองค์การ UNICEF เรายังคงเดินหน้ารับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง โดยให้การเข้าถึงวัคซีนโควิดและบริการต่างๆ อย่างเป็นธรรมแก่กลุ่มประชากรที่เปราะบางที่สุด การตอบสนองต่อวิกฤตการณ์ในระดับสากลเท่านั้นที่จะสามารถปกป้องอนาคตของเด็กทุกคนและชุมชนที่พวกเขาอาศัยอยู่ และเราจะยังคงเดินหน้าทำงานร่วมกับพันธมิตรของเราต่อไป โดยจะอาศัยความเชี่ยวชาญ โซลูชันที่เป็นนวัตกรรม และการระดมทุนที่มีความยืดหยุ่นของเหล่าพันธมิตร เพื่อช่วยลดผลกระทบจากโควิดในภูมิภาคนี้และทั่วโลก”
.
ขณะที่นอกเหนือจากประเทศไทย Google.org ยังได้ให้ความช่วยเหลือกับอีก 4 ประเทศในเอเชียผ่าน UNICEF เช่นกัน ประกอบด้วย มาเลเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และปากีสถาน ด้วยเงินจำนวนเดียวกัน 300,000 ดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้กรอบความช่วยเหลือในครั้งนี้จะรวมแล้วเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 1.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
.
นอกเหนือจากเงินสนับสนุนที่มอบให้กับองค์การ UNICEF แล้ว Google.org ยังจะมอบเงินสนับสนุนอีก 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้กับสหพันธ์สภากาชาดและสภาเสี้ยววงเดือนแดงระหว่างประเทศ (International Federation of Red Cross and Red Crescent Societies: IFRC) เพื่อตอบสนองความต้องการเร่งด่วนด้านการจัดหาออกซิเจนและอุปกรณ์ทางการแพทย์ในอินโดนีเซีย
.
นอกจากนี้ Google.org จะมอบทุนสนับสนุนจากโครงการ Ad Grants จำนวน 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับหน่วยงานรัฐบาลท้องถิ่นและองค์กรต่างๆ ทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งรวมถึงประเทศไทย เพื่อนำไปใช้ในการประชาสัมพันธ์ข้อมูลด้านสาธารณสุขผ่านแคมเปญโฆษณา Google Ads ได้ฟรี
.
โดยตั้งแต่ปีที่แล้ว Google ได้มอบทุนสนับสนุนจากโครงการ Ad Grants จำนวนกว่า 27 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อสนับสนุนรัฐบาลท้องถิ่น รวมถึงองค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO) ที่ได้ทำการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลสาธารณะ (Public Service Announcement: PSA) ไปแล้วกว่า 343 ล้านครั้ง เพื่อช่วยให้ผู้คนได้ทราบถึงวิธีดูแลตนเองให้ปลอดภัยและข้อเท็จจริงต่างๆ เกี่ยวกับวัคซีนโควิด
.
อ่านข่าวเพิ่มเติมได้ที่ https://thestandard.co/wealth/
#TheStandardWealth #Google #UNICEF

—————————————————

ไม่พลาดข่าวไฮไลต์ประจำวัน มาเป็นเพื่อนกับ THE STANDARD WEALTH ในไลน์ คลิก https://lin.ee/xfPbXUP

 

วิกฤตที่โรงพยาบาล ห้อง ICU เต็ม ผู้ป่วยโควิดล้นเกินระบบสาธารณสุข 5 เท่า
.
การระบาดของโควิดในปัจจุบันนี้สามารถพูดได้เต็มปากว่าระบบสาธารณสุขในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลอาจไม่สามารถรองรับได้อีกแล้ว เตียง ICU เต็มทุกโรงพยาบาล ส่วนเตียงที่รองรับผู้ป่วยสีเหลืองในโรงพยาบาลก็เต็มหมด นอกจากนี้ ยังมีผู้ป่วยโควิดอาการระดับสีเหลืองต้องนอนรอในห้องฉุกเฉิน นั่นหมายความว่าโรงพยาบาลไม่สามารถรับผู้ป่วยทางบ้านได้อีก เพราะเมื่อเตียงว่าง (ไม่ว่าจะว่างลงเพราะผู้ป่วยหายแล้วหรือเสียชีวิต) ก็ต้องนำผู้ป่วยที่นอนรอในห้องฉุกเฉินเข้าไปรักษาก่อน ทุกวันนี้ทำให้เราเห็นหลายโรงพยาบาลประกาศปิดห้องฉุกเฉินชั่วคราว
.
THE STANDARD มีโอกาสเข้าไปดูห้อง ICU ผู้ป่วยโควิดที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ สถานการณ์ที่นี่ไม่แตกต่างจากทุกโรงพยาบาลในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล แพทย์ทุกคนที่เราพูดคุยด้วยสะท้อนตรงกันว่าสิ่งที่บั่นทอนจิตใจพวกเขามากที่สุดไม่ใช่ภาระงานที่หนัก แต่คือการต้องปฏิเสธรักษาคนไข้ เพราะไม่สามารถรองรับได้จริงๆ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าผู้ป่วยอยู่ในภาวะวิกฤตระดับที่ต้องรีบรักษาทันที
.
นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวถึงสถานการณ์เตียงรองรับผู้ติดเชื้อโควิดว่า จำนวนเตียงในกรุงเทพฯ และปริมณฑล บางจังหวัดที่มีการระบาดมากๆ จะเจอปัญหาเตียง ICU หรือกึ่ง ICU ไม่เพียงพอรองรับผู้ป่วย ตอนนี้ทางออก คือ หากอาการไม่หนัก ต้องให้รักษาที่บ้าน (Home Isolation) ซึ่งในกรุงเทพฯ ทางสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ทำไปแล้วกว่า 30,000 เตียง ส่วนกรุงเทพฯ ก็ทำไปแล้วหลายพันเตียง รวมถึงแยกกักในชุมชน (Community Isolation) ก็เป็นจุดหนึ่งที่ดำเนินการอยู่
.
“ถ้าผู้ป่วยในกรุงเทพฯ เกินพันก็แย่แล้ว วันนี้ยอดทั่วประเทศ 1.7 หมื่นคน เป็นกรุงเทพฯ 4-5 พันคน เรียนตรงๆ เตียงไม่พอทั้งสีเหลือง สีแดง ตอนนี้เต็มหมด จะมีสีเขียวที่ว่างตาม Hospitel ที่สีเขียวเริ่มว่าง เพราะเราทำ Home Isolation ซึ่งก็มีปัญหาเรื่องซัพพลายยาซึ่งหลายฝ่ายกำลังช่วยกันอยู่ เตียงในกรุงเทพฯ หากมีผู้ป่วย 3-4 พันราย เกินรองรับมาแล้ว 3 เท่า ตอนนี้เพิ่มเป็น 5 เท่า ก็เกินลิมิตไปแล้ว 5 เท่า เห็นแผนที่สีแดงที่คนกดขอความช่วยเหลือ ต้องขออภัยจริงๆ หน้างานไม่ไหวจริงๆ นำเข้าไปก็ไม่รู้จะให้ไปนอนที่ไหน ER (ห้องฉุกเฉิน) หลายโรงพยาบาลบางครั้งต้องปิดชั่วคราว เพราะไม่มีที่แม้กระทั่งที่ตั้งเตียง” นพ.สมศักดิ์กล่าว
.
นพ.สมศักดิ์บอกกับ THE STANDARD ด้วยว่า Home Isolation และ Community Isolation คือ ทางออกจากวิกฤตระยะสั้น แต่จำเป็นต้องใช้ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งโรงพยาบาลรัฐ คลินิก และโรงพยาบาลเอกชนร่วมกันทำให้ครอบคลุมทั่วทุกพื้นที่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ควบคู่กับการเปลี่ยน Hospitel ในกรุงเทพฯ ให้รองรับผู้ป่วยสีเหลืองได้ ซึ่งตอนนี้ก็ยังขาดเครื่องผลิตออกซิเจนที่เริ่มขาดตลาดและหายากมากขึ้น
.
เรื่อง: พลวุฒิ สงสกุล
ภาพ: ฐานิส สุดโต
.
อ่านต่อได้ที่ https://thestandard.co
#TheStandardNews #TheStandardPhoto #ฐานิสสุดโต #โควิด19 #COVID19 #โควิด19วันนี้ #วัคซีนโควิด19

 

UPDATE: วันนี้มีผู้เกี่ยวข้องกับโอลิมปิก 2020 ติดโควิดเพิ่มอีก 27 ราย
.
วันนี้ (30 กรกฎาคม) ฝ่ายจัดการแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ 2020 ออกประกาศว่ามียอดการติดเชื้อโควิดในบรรดาผู้ที่เกี่ยวข้องกับโอลิมปิก เพิ่มอีก 27 ราย โดยจำนวน 3 รายจากในจำนวนดังกล่าวเป็นนักกีฬาที่เข้าร่วมการแข่งขันในโตเกียว 2020 ด้วย
.
ขณะที่รายงานของเมื่อวานนี้ (29 กรกฎาคม) ยอดผู้ติดเชื้อนับเฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้องกับโอลิมปิกเพิ่มขึ้นมา 24 ราย ทำให้ยอดผู้เกี่ยวข้องกับโอลิมปิกที่มีการติดเชื้อโควิดเพิ่มขึ้นมาเป็น 220 ราย นับตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา ทำให้เกิดการตั้งคำถามถึงฝ่ายจัดการแข่งขันในการบริหารจัดการความเสี่ยงขึ้นอีกครั้ง
.
สำหรับยอดผู้ติดเชื้อในกรุงโตเกียว แม้จะมีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่รายงานเมื่อวานนี้ระบุว่า มียอดผู้ติดเชื้อนับเฉพาะในโตเกียวถึง 3,865 ราย ซึ่งเป็นวันที่สองติดต่อกันที่มียอดผู้ติดเชื้อในเมืองหลวงของญี่ปุ่นทะลุหลัก 3,000 ราย
.
ขณะที่ทั่วประเทศญี่ปุ่น มีรายงานยอดผู้ติดเชื้อทะลุ 9,500 รายไปเมื่อวันพุธที่ผ่านมา และมีการคาดการณ์ว่าจะทะลุ 10,000 รายในเร็ววันนี้ โดยยอดรวมผู้ติดเชื้อทั้งประเทศตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของโควิดทะลุ 892,000 รายไปแล้ว และมียอดผู้เสียชีวิตกว่า 15,000 ราย
.
อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีโยชิฮิเดะ ซูงะ ของญี่ปุ่น ยังคงแสดงความเชื่อมั่นว่า การแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับยอดผู้ติดเชื้อโควิดที่เพิ่มขึ้นในระยะหลังของประเทศญี่ปุ่น อันเนื่องมาจากนโยบายที่พวกเขาได้กำหนดไว้ก่อนหน้านี้
.
“เนื่องจากเราได้กำหนดมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัส เช่น การจำกัดการรวมตัวกันของผู้คน (ในที่สาธารณะ) และการควบคุมการเข้าประเทศที่เข้มงวดขึ้นเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสโดยผู้มาเยือนจากต่างประเทศ ผมคิดว่า (ผลกระทบจากโอลิมปิก) ไม่มี”
.
สำหรับปัจจุบัน โอลิมปิกเกมส์กำลังดำเนินมาจะถึงครึ่งทาง โดยยังมีกระแสต่อต้านจากประชาชนชาวญี่ปุ่นอยู่เป็นระยะ แม้ว่ากระแสดังกล่าวจะเบาบางลงไปหลังทัพนักกีฬาจากญี่ปุ่นจะทำผลงานได้ค่อนข้างน่าพอใจในการแข่งขันคราวนี้ก็ตาม
.
อ้างอิง:
https://www.reuters.com/article/us-...ew-games-related-covid-19-cases-idUSKBN2F0077
https://www.npr.org/sections/tokyo-...-covid-coronavirus-cases-japan-prime-minister
https://apnews.com/article/2020-tok...rus-pandemic-70b7dc83137127d81a96446b4b248ceb
.
อ่านข่าวอื่นๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://thestandard.co/tokyo2020/
#TheStandardOlympic #Olympics #โอลิมปิกเกมส์ #Tokyo2020 #TokyoOlympics #TheStandardNews #โควิด19 #COVID19

 

UPDATE: สหราชอาณาจักรเตือน UNSC เร่งช่วยเหลือเมียนมา หวั่นชาวเมียนมาครึ่งประเทศเสี่ยงติดโควิดภายใน 2 สัปดาห์ข้างหน้า
.
วันนี้ (30 กรกฎาคม) สหราชอาณาจักร หนึ่งในประเทศสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) แสดงความกังวลถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดภายในเมียนมา พร้อมเตือน UNSC เร่งช่วยเหลือเมียนมา หวั่นชาวเมียนมาครึ่งประเทศเสี่ยงติดโควิด ภายใน 2 สัปดาห์ข้างหน้า
.
โดยสังคมเมียนมาตกอยู่ภายใต้เงารัฐประหารโดยกองทัพมานานถึง 6 เดือนแล้ว ผลกระทบจากการก่อรัฐประหารส่งผลให้เมียนมาในมิติต่างๆ หยุดชะงักและเกือบพังทลายลง ซึ่งผู้แทน UN คาดการณ์ว่า ขณะนี้ระบบสาธารณสุขของเมียนมาราว 40% เท่านั้นที่ยังคงเดินหน้าต่อ เพื่อรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดภายในประเทศ หลังบุคลากรทางด้านการแพทย์ พยาบาลและสาธารณสุขตกเป็นเป้าของกองทัพและเจ้าหน้าที่ตำรวจ เนื่องจากเข้าร่วมขบวนอารยะขัดขืนต่อต้านการนึดอำนาจของกองทัพ
.
“รัฐประหารส่งผลให้ระบบสาธารณสุขของประเทศนี้ใกล้ล่มสลาย เจ้าหน้าที่ทางด้านสาธารณสุขต่างถูกโจมตีและจับกุมตัว ไวรัสกำลังแพร่กระจายอย่างรวดเร็วในหมู่ประชาชนชาวเมียนมา โดยคาดการณ์ว่าภายใน 2 สัปดาห์ข้างหน้า ประชากรชาวเมียนมากว่าครึ่งประเทศอาจติดเชื้อโควิด”
.
โดยผู้แทนรัฐบาลสหราชอาณาจักร เสนอให้คณะมนตรีมีมติเพื่อเจรจาหยุดยิงในพื้นที่ความขัดแย้ง เพื่อสามารถที่จะจัดส่งวัคซีนไปยังพื้นที่ต่างๆ ทั่วเมียนมาได้อย่างปลอดภัย แม้เมียนมาจะเริ่มเดินหน้าฉีดวัคซีนให้ประชาชนแล้ว แต่ปริมาณวัคซีนที่มีอยู่ก็อาจไม่ครอบคลุมประชาชนกลุ่มต่างๆ ในสังคม วัคซีนจากรัฐบาลจีนบางส่วนถูกแบ่งไว้ฉีดให้กับประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณชายแดนประเทศ โดยเฉพาะชายแดนเมียนมา-จีน เพื่อป้องกันการไหลทะลักเข้าประเทศของบรรดาผู้ติดเชื้อ
.
ล่าสุด เมียนมามีผู้ติดเชื้อสะสมแล้วเกือบ 2.9 แสนราย เสียชีวิตแล้ว 8,552 ราย รักษาอาการติดเชื้ออยู่ 78,546 ราย ทางการเดินหน้าฉีดวัคซีนให้ประชาชนแล้ว 2.5 ล้านโดส มีชาวเมียนมาเข้ารับวัคซีนครบโดสแล้ว 1.5 ล้านรายหรือคิดเป็นเพียง 2.8% ของประชากรทั้งประเทศ
.
บทความที่เกี่ยวข้อง:
สำรวจแนวทางการใช้วัคซีน mRNA เป็น ‘วัคซีนเข็มที่ 3’ ในประเทศที่ใช้วัคซีน Sinovac อ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://thestandard.co/exploring-guidelines-for-using-mrna-vaccine-as-a-third-dose-vaccine/
สำรวจ ‘วัคซีนเข็มกระตุ้น’ หรือ ‘วัคซีนเข็มที่ 3’ ที่น่าสนใจในประชาคมโลก อ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://thestandard.co/third-dose-vaccine-in-world-community/
เปรียบเทียบประสิทธิภาพล่าสุด วัคซีน Sinovac vs. Pfizer-BioNTech ในชิลี อ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://thestandard.co/efficacy-comparison-of-sinovac-vs-pfizer-biontech-vaccine-in-chile/
โควิด-19 กลายพันธ์ุสายพันธ์ุต่างๆ มีชื่อเรียกใหม่ว่าอย่างไร อ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://thestandard.co/new-name-covid-19-in-diferrent-species/
สำรวจราคาวัคซีนต้านโควิด-19 ในประชาคมโลก โดสละเท่าไร เพิ่มเติมได้ที่ https://thestandard.co/price-survey-of-covid-19-vaccine/
ผลข้างเคียงวัคซีนต้านโควิด-19 ในประชาคมโลก อาการเป็นอย่างไรบ้าง อ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://thestandard.co/side-effects-of-the-covid-19-vaccine-2/
เช็กประสิทธิภาพวัคซีนต้านโควิด-19 ล่าสุด อ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://thestandard.co/coronavirus-vaccine-potential-update/
ภาพ: STR / AFP
.
อ้างอิง:
https://www.aljazeera.com/news/2021...19-could-infect-half-myanmar-in-next-two-week
https://www.channelnewsasia.com/news/asia/un-warned-of-dire-covid-19-situation-in-myanmar-15331688
https://www.reuters.com/world/asia-...xygen-supply-covid-19-cases-surge-2021-07-12/
.
อ่านข่าวอื่นๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://thestandard.co
#TheStandardNews #โควิด19 #COVID19 #โควิด19วันนี้ #วัคซีนโควิด19

 

ตอนนี้งานวิจัยเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันต่อไวรัสโรคโควิด-19 มีมากขึ้น ลงลึกขึ้นทุกวัน เล่าให้ฟังแบบง่ายๆก็จะยากขึ้นเรื่อยๆครับ ยกตัวอย่างงานวิจัยที่ผมอ่านวันนี้เค้าเปรียบเทียบแอนติบอดีต่อไวรัสโรคโควิด-19 ในคนที่ได้รับการฉีด และ กระตุ้นด้วย mRNA vaccine ทั้ง Pfizer และ Moderna เปรียบเทียบกับคนที่หายป่วยแล้วได้การกระตุ้นด้วยวัคซีนแค่เข็มเดียว

ถ้าพูดถึงปริมาณคือ สิ่งที่วัดได้จากเครื่องวัดแอนติบอดี ที่มีหน่วยเป็น AU/ml หรือ U/ml เค้าพบว่าไม่แตกต่างกันเท่าไหร่ แต่สิ่งที่แตกต่างคือ คุณภาพของแอนติบอดี คือ ความสามารถของแอนติบอดีในการจับกับโปรตีนของไวรัสที่แน่นขึ้น ที่มีประสิทธิภาพในการยับยั้งไวรัสได้ดีขึ้น โดยเฉพาะต่อมิวเตชั่นต่างๆที่พบในไวรัสกลายพันธุ์ จะมีมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในกรณีการฉีดกระตุ้นให้คนหายป่วย พูดง่ายๆคือ ไวรัสกลายพันธุ์ทั้งหลายหนีหรือหลบภูมิจากคนหายป่วยที่ได้วัคซีนกระตุ้นยากกว่าภูมิจากวัคซีนทั่วไป

ปกติ B cell ในร่างกายเรามีความจำเมื่อเห็นตัวไวรัส หรือวัคซีน เซลล์จะมีการพัฒนาความสามารถของตัวเองไม่อยู่นิ่งแต่จะมีกลไกปรับแอนติบอดีให้จับกับสิ่งที่เห็นที่จำมาให้ดีขึ้น แน่นขึ้นไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะถ้ามีการเจอเชื้อเดิมซ้ำอีกก็จะเพิ่มความสามารถไปอีก...แต่วัคซีนยังเลียนแบบธรรมชาติไม่ได้หมดครับ ร่างกายรับรู้ได้ว่า การฉีดวัคซีน 2 เข็มไม่ใช่การติดเชื้อแบบธรรมชาติ การตอบสนองที่ออกมาจึงยังไม่เหมือนและไม่ดีเท่า

หน้าที่ของนักวิจัยคือต้องทำความเข้าใจธรรมชาติและหาวิธีปรับวัคซีนให้ได้เหมือนมากที่สุด ถ้าแจ๊คพอตอาจจะทำได้ดีกว่าที่ธรรมชาติทำได้ด้วยซ้ำ...Nature vs Science ต้องแข่งกัน

ที่มา
https://www.biorxiv.org/content/10.1101/2021.07.29.454333v1

 

UPDATE: ดีอีเอส แจงภาพผู้เสียชีวิตตามที่สาธารณะในภูเก็ตเป็นข่าวปลอม หลังเพจภูเก็ตปลดแอกโพสต์ ก่อนเพิ่มข้อความว่า “เป็นนิทรรศการ”
.
จากกรณีที่เมื่อวานนี้ (29 กรกฎาคม) เพจภูเก็ตปลดแอก โพสต์ภาพคล้ายมีผู้เสียชีวิตในที่สาธารณะในเมืองภูเก็ต โดยระบุข้อความว่า “จำนวนผู้เสียชีวิต ไม่ใช่เพียงแค่ตัวเลข หากแต่เป็นประชาชน อาจจะเป็นบุคคลอันเป็นที่รักของใครบางคน อาจจะเป็นบุคคลอันมีคุณูปการต่อประเทศ แต่ผู้มีอำนาจสูงสุดของประเทศไม่สามารถจะแก้ไขอะไรได้เลยแม้แต่น้อย จึงขอไว้อาลัยแด่ผู้เสียชีวิตเหล่านั้นด้วยใจจริง #ภูเก็ตปลดแอก”
.
ต่อมา เพจ Anti-Fake News Center Thailand โดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ได้ชี้แจงถึงกรณีดังกล่าวว่า สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดภูเก็ตได้ตรวจสอบและชี้แจงข้อเท็จจริง ว่าไม่เป็นความจริงตามที่โพสต์ดังกล่าวระบุแต่อย่างใด โดยโพสต์ที่ถูกเผยแพร่ดังกล่าวทำให้จังหวัดภูเก็ตได้รับความเสียหาย กระทบต่อภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยวอย่างรุนแรง
.
ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่งหรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมจากสำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดภูเก็ต สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ https://pr.prd.go.th/phuket หรือ โทร. 0 7621 6118
.
ต่อมาทางเพจภูเก็ตปลดแอกได้แก้ข้อความโพสต์ดังกล่าว โดยเพิ่มเติมข้อความระบุว่า “นี่เป็นเพียงนิทรรศการ หาใช่ศพจริงไม่ แต่หากรัฐบาลล่าช้าที่จะแก้ไขปัญหาก็มีรูปภาพแบบนี้ออกมา แต่เป็นผู้เสียชีวิตจริงๆ”
.
อ่านข่าวอื่นๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://thestandard.co/
#TheStandardNews #COVID19NOW #ฝ่าวิกฤตโควิด19

—————————————————

ไม่พลาดข่าวไฮไลต์ประจำวัน มาเป็นเพื่อนกับ THE STANDARD WEALTH ในไลน์ คลิก https://lin.ee/xfPbXUP

 

จีน : มณฑล กวางตุ้ง
เมืองกวางโจว รถไฟใต้ดินสาย 21
สถานี เสินโจวหลู ต้องอพยพอีกครั้ง
ฝนตกหนักน้ำไหลเข้าสถานี ผู้โดยสารทั้งหมดปลอดภัย
เหตุเวลา 13.30 น. วันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคม 2564

 

บราซิล : อากาศหนาวเย็นจัด อย่างน้อย 43 เมืองหิมะตก
และมีฝนเยือกแข็ง ส่งผลต่อพื้นที่เพาะปลูก พายุหิมะลูกสุดท้ายของบราซิลคือปี 1957 ที่หิมะตกหนักสุด และสถิติอากาศหนาวเย็นยาวนานในปี 1994 ปัจจุบันอากาศหนาวเย็นมากกว่า 1 สัปดาห์แล้ว และยังคงหนาวเย็นต่อไปอีกหลายวัน

☕ ราคาเมล็ดกาแฟ อาราบิก้า เพิ่มขึ้น 20% ในสัปดาห์นี้ และ 10 % ในวันนี้รวม 30% สูงสุดในรอบ 7 ปี สาเหตุจากพื้นที่เพราะปลูกเสียหายจากอากาศหนาวเย็น

ภาพบางส่วน : CGTN

 

ปากีสถาน : อิสลามาบัด
️ พื้นดินทรุดเป็นหลุมลึกเนื่องจากฝนตกหนัก หลายพื้นที่ในเมืองหลวง
เต็มไปด้วยน้ำจากฝนตกหนัก เกิดน้ำท่วมในหลายจุด ️

 

ยังต้องยกการ์ดสูง ตัวเลขเพิ่มจากคลัสเตอร์ที่เจียอี้ ศบค.ไต้หวันประกาศจำนวนผู้ป่วยโควิด-19 วันที่ 30 ก.ค. ผู้เสียชีวิต 0 ราย ผู้ติดเชื้อจากต่างประเทศเพิ่ม 4 ราย ผู้ป่วยยืนยันประเทศเพิ่ม 21 ราย กระจายอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ ดังนี้ ⬇⬇

 

Jul 30, 2021 เมกาเสี่ยง! เอกสารศูนย์ควบคุมโรคสหรัฐเผยสายพันธุ์เดลต้าติดง่ายเหมือนอีสุกอีใส ทำป่วยอาการรุนแรงมากขึ้น

วอชิงตัน โพสต์ สำนักข่าวชื่อดังระดับโลกในสหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่า เอกสารภายในของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคระบาดแห่งชาติสหรัฐอเมริกา หรือ CDC ระบุว่าโรคระบาดโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้า หรืออินเดีย ทำให้เกิดการแพร่ระบาดติดเชื้อได้อย่างง่ายมาก ซึ่งไม่แตกต่างจากการติดโรคอีสุกอีใส ในเวลาเดียวกัน สายพันธุ์เดลต้าเป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม

เอกสารภายในของศูนย์ CDC ฉบับดังกล่าว ระบุต่อไปว่าผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคระบาดโควิด-19 ครบโดสแล้ว อาจเป็นพาหะในการแพร่กระจายเชื้อสายพันธุ์เดลต้าในอัตราความเร็วใกล้เคียงกับผู้ที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนด้วย

ในเวลาต่อมา ดร.โรเชลล์ วาเลนสกี้ ผู้อำนวยการศูนย์ CDC เปิดเผยว่า เอกสารภายในดังกล่าวเป็นเอกสารจริง ศูนย์ CDC ต้องการให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง เอกสารภายในฉบับนี้ เตรียมที่จะเปิดเผยในวันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคมนี้ ตามเวลาในสหรัฐอเมริกา เพื่อเป็นหนึ่งในข้อมูลที่สนับสนุนการปรับเปลี่ยนนโยบายสวมใส่หน้ากากอนามัยที่จะแนะนำประชาชนชาวอเมริกันให้ปฏิบัติตามท่ามกลางสายพันธุ์เดลต้าแพร่กระจายอย่างรวดเร็วในสหรัฐอเมริกา

ข้อมูลในเอกสารนี้ เปิดเผยรายละเอียดว่า ผู้ที่ติดเชื้อสายพันธุ์เดลต้า 1 รายโดยเฉลี่ยแล้วจะสามารถแพร่กระจายเชื้อดังกล่าวได้ตั้งแต่ 8-9 ราย ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับไข้หวัดทั่วไป จะพบว่าโดยเฉลี่ยแล้ว ผู้ติดเชื้อ 1 ราย จะแพร่กระจายเชื้อ 2 ราย วัคซีนป้องกันโรคระบาดโควิด-19 นั้น มีประสิทธิภาพมากกว่า 90% ในการป้องกันภาวะเจ็บป่วยที่รุนแรง หรือป่วยถึงขั้นเสียชีวิตโดยสามารถป้องกันได้ถึง 10 เท่า และป้องกันการติดเชื้อได้ถึง 3 เท่า แต่อาจมีประสิทธิภาพน้อยลงในการป้องกันการแพร่ระบาด ดังนั้น จึงพบสถานการณ์ติดเชื้อในผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้ว หรือ Breakthrough COVID

#ศูนย์ควบคุมโรคสหรัฐ #สายพันธุ์เดลต้า #covid19 #โควิด19 #Btimes #สหรัฐอเมริกา #วัคซีนโควิด19

 

Jul 30,2021 ลุงแซมแจก! วัคซีนจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ลอตแรก 455,000 โดสจากสหรัฐฯส่งถึงกัมพูชาแล้ว กัมพูชารับวัคซีนรวม 7 ล้านผ่านโคแวกซ์ปีนี้
.
นายแมม บุญเฮง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขของกัมพูชารับมอบวัคซีนจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน จากสหรัฐอเมริกาบริจาคให้แก่ประเทศกัมพูชา โดยวัคซีนดังกล่าวเป็นวัคซีนลอตแรกจำนวน 455,000 โดส จากทั้งหมดราว 1 ล้านโดส ที่สหรัฐฯ จะทยอยมอบให้แก่กัมพูชาผ่านโครงการโคแวกซ์ ซึ่งกัมพูชาจะได้รับวัคซีนผ่านโครงการโคแวกซ์ทั้งหมด 7 ล้านโดสในปีนี้
.
ซึ่งสหรัฐได้บริจาควัคซีนให้แก่กัมพูชานั้นเป็นแผนการบริจาควัคซีนโควิด-19 จำนวน 80 ล้านโดส ไปยังประเทศที่ขาดแคลนทั่วโลก เพื่อต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั้งนี้โครงการฉีดวัคซีนโควิด-19 ของกัมพูชาได้เริ่มฉีดให้กับประชาชนตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งได้ฉีดให้ประชาชน จำนวน 71 เปอร์เซ็นต์ ของประชาชนวัยผู้ใหญ่ และเตรียมฉีดวัคซีนให้กลุ่มวัยรุ่นอายุ 12 ถึง 17 ปี ในเดือนหน้า
.
#วัคซีนโควิด19 #สหรัฐ #กัมพูชา #covid19 #โควิด19 #Btimes