ตำหนิผู้อื่นทุกวัน...เป็นเหตุให้ตกนรก

ตำหนิผู้อื่นทุกวัน...เป็นเหตุให้ตกนรก

ไม่ว่าจะถูกหรือผิด จิตมีปฏิฆะมากย่อมไปอบายเป็นคำสอนของพระรูปหนึ่ง จากคำบอกเล่าของโยมท่านหนึ่ง เห็นว่าน่าสนใจเลยนำมาฝากไว้ให้ท่านทั้งหลายได้ขบคิดกัน...

"นักปฏิบัติธรรมทั้งหลาย อย่าได้ประมาทไปทำความชั่วเล็ก ๆ น้อย ๆ โดยไปตำหนิกรรมผู้อื่น ภายใต้สถานการณ์บ้านเมืองแบบนี้

โดยสรุปคือ...ถ้าเราไม่ระวังความคิด ระวังกายกรรม ไปตำหนิกรรมผู้อื่นไปเรื่อย ๆ โดยประมาทว่า เราเองก็ทำความดี ทำกรรมฐานประจำอยู่แล้ว ไม่น่าจะเป็นไรมั๊ง แต่ถ้าประมาท สร้างกรรมคิดตำหนิ กล่าววาจาตำหนิกรรมผู้อื่น ก็จะเป็นอาจิณกรรม มีอำนาจในจิตมีกำลังแรงกว่ากำลังกรรมฐาน เวลาตายอำนาจอาจิณกรรมด้านชั่วนี้ก็พาจิตตกอเวจีมหานรกได้

ผู้ปฏิบัติธรรมที่ไม่ประมาทตามคำสอนพุทธองค์จึงควร ตั้งใจไว้เสมอทุกวัน ทุกเช้า ว่าเราจะใช้สติระวังความคิดตลอดทั้งวัน ไม่ให้ไปคิดชั่ว พูดชั่ว ตำหนิกรรมผู้อื่น ถ้าเค้าทำไม่ถูก ก็อย่าไปตำหนิด้วยความเกลียดชัง แต่ให้ใช้หลักคิดเมตตาสงสาร ว่าถ้าเค้ายังเป็นแบบนั้นอยู่ ก็น่าสงสารยิ่ง เพราะเป็นการสร้างอกุศลกรรมเป็นอาจิณนำเค้าไปสู่อเวจีมหานรกได้ เราพึงหวังดีว่า วันนึงเค้าคงคิดได้ เค้าจะได้รอดพ้นภัยในวัฏสงสาร ไปสู่พระนิพพานได้ในที่สุด

ถ้าของหยาบแค่นี้ เราทำไม่ได้ การปฏิบัติกรรมฐานก็จะไม่มีผล เพราะอารมณ์ใจเราไม่มีความประณีต ละเอียดพอที่จะเข้าถึงภูมิธรรมสูง ๆ ขึ้นจากการทำสมถะวิปัสสนาได้"

*****************************************

เมื่อได้อ่านแล้วเห็นว่า....ผลแห่งการอนุโมทนาบาป หรือการมีปฏิฆะ ความขัดเคือง ไม่พอใจ อยู่ในกระแสจิตเสมอ ๆ สามารถทำให้ตกนรกได้ ทั้งยังเป็นการผูกเวร จอเวรแก่กันและกันอีก เมื่อยังไม่หมดเชื้อ ยังต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีก หากต้องโคจรมาพบกัน จะทำให้มีแต่ความไม่พอใจ และจองล้างจองผลาญกันไม่จบสิ้น

เมื่อพิจารณาแล้ว ท่านทั้งหลายที่สนใจการเมืองอยู่ในขณะนี้ โปรดอย่าลืมหลักปฏิบัติในการปฏิบัติจิต หลักของพระโยคาวจร ที่ผู้ปรารถนาการพ้นทุกข์ว่าควรรักษาใจอย่างไร หากอยากจะทำหน้าที่ ใช้หนี้แผ่นดิน แสดงออกอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ไม่ใช่ว่าความร้อนเท่านั้นที่จะสามารถแก้ปัญหาได้ โปรดระลึกเสมอว่าการแก้ปัญหาด้วยความร้อนย่อมมีแต่การพินาศย่อยยับ แต่หากแก้ปัญหาด้วยปัญญา ด้วยธรรมนำหน้าอย่างแท้จริง ย่อมได้รับชัยชนะทั้งด้านรูปธรรม และนามธรรม

การแสดงออกทางการเมืองตามหน้าที่ของประชาชนคนไทย เป็นสิทธิที่จะสามารถทำได้ เป็นสิ่งถูกต้อง การเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมาก่อนประโยชน์ส่วนตนก็เป็นแนวทางของพระโพธิสัตว์ ช่วยคนอื่นก่อนช่วยเหลือตนเอง หากจะเดินอยู่ในทางสายนี้ ก็อย่าลืมเดินบนแนวทาง แห่งบารมี คือ

1.) ทานะ หรือการเสียสละ
2.) บนพื้นฐานของศีล ไม่สร้างความเดือดร้อนกายใจของใคร
3.) เนกขัมมะ ออกจากเรือนทั้งเรือนครัว เรือนกาย ด้วยสมาธิจิต
4.) ปัญญานำหน้าอารมณ์เสมอ
5.) เพียร พยายาม วิริยะไม่ท้อถอย เลิกลาเสียก่อนสำเร็จ
6.) อดทนรอผลแห่งชัยชนะได้
7.) มีสัจจะในการแก้ปัญหา
8.) อธิษฐาน จิตตั้งหมั่น ยกจิตขึ้นเหนือเครื่องฉุดยึดทั้งปวง
9.) บนหลักเมตตา ไม่คิดทำร้าย ทำลายใคร แม้แต่ตนเอง
10.) อุเบกขา วางเฉยได้

จำไว้เสมอว่าอกุศลกรรม 10 กายกรรม 3 วจีกรรม 4 มโนกรรม 3 นำท่านสู่อบายเสมอ เมื่อสร้างกรรมนี้เป็นอาจิณ จนกำลังมันมากกว่าฝ่ายกุศลกรรม ต้องสำรวจจิตของท่านให้ดีนะครับอย่าให้ชินกับจิตปฏิฆะ จนจิตท่านใกล้เคียงกับเดรัจฉาน อสุรกาย สัตว์นรกเข้าไปทุกที ๆ

http://larndham.net/index.php?showtopic=33603

 

อนุโมทนากับเจ้าของกระทู้ที่นำสาระ ดี ๆ มาให้อ่านครับ
สาธุ สาธุ สาธุ<O</O
<O</O
<O</O



_____________________________<O</O
เชิญร่วมบริจาคหนังสือ เข้าห้องสมุดชุมชนวัดย่านยาว<O</O
http://palungjit.org/showthread.php?t=130823<O</O
ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพบูรณะศาลาการเปรียญวัดย่านยาว<O</O
http://palungjit.org/showthread.php?t=153325<O</O

 

การคุยมาก ก็เผลอนินทา ทำบาปเล็กๆน้อยๆ เป็นอาจิณก็เยอะได้
บางทีต้องคุยกับใครบางคนที่มีรู้สึกแง่ลบกับสังคมมากๆ เราต้องพูดเพื่อช่วยให้เค้ารู้สึกดี ต้องด่าคนที่เค้าเกลียด
แต่กับเป็นการทำให้เราต้องผิดศีลข้อ 3 ด้วย รู้สึกได้เลยว่า แย่ เลว ยิ่งนานยิ่งรู้สึกแย่ หยุดคุยเสียบางก็ดี
เงียบๆ บ้างก็เป็นสุขดี เดี๋ยวนี้เบื่อไปเลย เวลาเผลอด่าใครก็จะ รู้สึกตัวอยู่พยายามไม่ด่า
ไม่ตัดสินใคร ดีชั่วอยู่ที่ตัวเค้า เราด่าไปก็เพิ่มความเลวของเรา เค้าจะดีหรือชั่วไม่เกี่ยวกับเรา
แต่จะพาเราชั่วเอง หยุดดีกว่า ไม่เอาแล้ว หาความชั่วตัวเองแล้วแก้ไขดีกว่า หาความชั่วคนอื่น

 

จริงแท้ที่สุด .... เราเคยคิดว่าใคร แค่คิดในใจ แต่ก็กรรมสะท้อนมาเลยเร็วมากๆ เช่น คิดว่า โห คนนี้ผมบางน่าเกลียดจัง มาเลย ผมเริ่มร่วงเลย หรือ คิดว่า คนนั้น มีใฝตรงนี้ ดูไม่ดีเลย วันรุ่งขึ้น สิวขึ้นตำแหน่งนั้นเด๊ะเลย เม็ดใหญ่มากๆ เพราะฉะนั้น ตอนนี้จึงระวังทั้งความคิด และคำพูดมากเลย อนุโมทนากับ คุณ J.Sayamol ด้วยจ๊ะ

 

เราก็เป็นเหมือนคุณกระติ๊บเลยค่ะ แค่คิดหรือพูดว่าใคร ผลกรรมสะท้อนมาที่ตัวเราเร็วมาก เป็นแบบนี้ก็ดีนะอย่างน้อยผลกรรมที่ส่งผลเราเร็วอย่างน้อยเราก็จำได้ว่าเราทำอะไรไว้ถึงได้เป็นแบบนี้ ก็ทำให้เราสำนึกผิดจะได้สำรวม กาย วาจา ใจ มากกว่านี้ ใขขณะเดียวกันที่ ใจเป็นบุญกุศลตลอดเวลา บุญก็ส่งผลรวดเร็วมากทำให้ ชีวิตเรามีความสุข ราบรื่นตลอด มีคนบอกว่า คนที่บาปและบุญที่ก่อไว้ ส่งผลรวดเร็ว แสดงว่า คนๆ นั้น มี "จิต" ผ่องใสมาก มีกำลังมาก ดั้งนั้นเมื่อทำอะไรจึงมีผลตอบสนองรวดเร็ว คงจะเป็นเช่นนั้นล่ะมัง

...ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม...

 

anumothana ka

 

อนุโมทนา สาธุ ครับ

ทศบารมีก็สั่งสมมาเรื่อยๆ ขนาดยังห่างไกลกว่าจะครบ 30 ทัส ยังส่งผลเยอะเลย ^^

 

ขอบคุณที่มาเตือนสติครับ

ขอเริ่มไหม่ครับ

อนุโมทนา สาธุๆๆๆๆๆๆๆๆ

 

อนุโมทนาแก่ จขกท. ผมมีเรื่องเล่าให้ทุกท่านฟังสักนิด

แต่ก่อนผมก็เป็นคนหนึ่งที่ติดนิสัย ติฉิน ผู้อื่น ไม่ว่าจะเดินไปตามถนนหนทาง เห็นใครทำอะไรขัดหูขัดตา เป็นจะต้องนึกตำหนิติเตียน ไปเสียหมด และมีเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ผมต้องเลิกแม้แต่จะ"คิด" ตำหนิผู้อื่น ประมาณ พ.ศ. 2549 ขณะนั้นผมทำงานอยู่ที่ กทม. และพักด้านหลัง ม.ธุรกิจบัณฑิต เห็นนักศึกษาหญิงนุ่งกระโปรงสั้น ๆ ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์นักศึกษาชายหนุ่ม กอดเอวผู้ชายแน่นเชียว พร้อมส่งเสียงวีดว้าย ตามนิสัยผม ก็นึกตำหนิ ว่า "นังคนนี้แต่งตัวแบบนี้ ทำท่าทางแบบนี้ สงสัยอยากจะมี ผั.." ทันใดนั้นเองเหมือนมีเสียงที่ไม่ได้ยินทางหู แต่ได้ยินทางจิต ส่งลงมาจากฟากฟ้าว่า "หยุดแม้แต่จะคิดเชียวนะ การตำหนิผู้อื่นนั้นเป็นบาป" เท่านั้นเองครับ ผมกลัวมากเลย และตั้งแต่นั้นมาก็พยายมไม่ตำหนิ ติเตียนผู้อื่น เพราะเกรงกลัวและละอายต่อบาป และในปัจจุบันผมก็ไม่ตำหนิใครง่าย ๆ อีกแล้ว.............

 

อนุโมทนาคะ ดีจังเลยคะได้ความรู้อีกแล้วคะ คะแล้วจะตั้งสติไม่ว่ากล่าวผู้อื่น อุเบกขาไว้นะคะ

 

ต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วน ขอลแบบนี้มิอาจฟันธงไปด้านเดียว เพราะการตำหนิที่เป็นธรรมก็มี การตำหนิที่เป็นอธรรมก็มี การตำหนิมิใช้ว่าจะทำให้เกิดอกุศลอย่างเดียว การตำหนิที่ทำให้กุศลเจริญก็มี เช่นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตำหนิภิกษุที่ละเมิดศีล ครูตำหนิศิษย์เพราะหวังดี มันขึ้นกับว่าเราตั้งจิตอย่างไรมากกว่า

 

โมทนาสาธุเจ้าค่ะ
ตำหนิตัวเองก่อนจะไปตำหนิใคร

 

จากแต่ก่อนเราว่าตัวเรานี่ดีแล้วนะ
พอซึมซับธรรมะมากขึ้น มากขึ้น
โอ้โห เรานี่มันเลวขนาดนี้เชียวหรือ

เอาน่ะยังมีโอกาสให้แก้ตัวอยู่
ถึงวันนี้จะยังเลวอยู่แต่พรุ่งนี้ต้องเอาดีให้ได้

 

ต้องขออภัยนะครับที่จะกล่าวว่าพระพุทธองค์มิได้ตำหนิภิกษุดังที่ท่านกล่าว
พระพุทธองค์ท่านได้เรียกภิกษุรูปนั้นมาตักเตือนเกี่ยวกับความประพฤษปฏิบัติของผู้ทรงศีลนะครับและแนะนำว่าผู้ทรงศีลต้องมีจริยวัฎเยี่ยงใด พระพุทธองค์มิเคยติเตียนผู้หนึ่งผู้ใดแม้แต่โจรท่านยังแนะนำให้โจรปล้นเพียงอย่างเดียวได้ทรัพย์สินแล้วอย่าได้ฆ่าเจ้าทุกข์นะเพราะท่านทราบว่าห้ามเยียงใดโจรก็มิอาจกลับใจท่านเลยตรัสเยี่ยงนั้นต่อมาโจรได้ทำตามสุดท้ายโจรเห็นเจ้าทุกขที่เค้าปล้นเสียใจต้องมีทุกขเวทนาโจรจึงกลับใจเลิกปล้นและมากราบขอบวชกับพระพุทธองค์ พระพุทธองค์มิเคยตำหนิติเตียนผู้ใดเลยนะครับ อ่านในพระไตรปิฏกได้เลยครัครูก็มิได้ตำหนิศิษย์นะครับท่านแนะนำและตักเตือนศิษยานุศิษย์นะครับ การตักเตือนและแนะนำต่างจากการตำหนิติเตียนของหัวข้อนี้นะครับ คิดให้ได้คิดให้เป็นจะเป็นสุขคิดไม่ได้คิดไม่เป็นก็ทุกขต่อไป

 

โมทนาบุญด้วยครับ ผมเป็นอีกคนที่ปากไว ใจตรงมาก ๆ คงต้องสำรวมให้มากหน่อยแล้ว

 

ขอบคุณกระทู้ดีๆค่ะ(good) ร่วมอนุโมทนา สาธุอย่างสูงค่ะ เป็นเหมือนกันค่ะจะพยายามไม่ไปตำหนิใครอีกค่ะ จะทำให้ได้ค่ะ:VO

 

การเผลอไปพลาดไป ในวจีกรรม นั้นดูจะง่ายมากถ้าหากเราไม่มีสติ หรือขาดสติ
ดังนั้นควรเพียรพยายามฝึกให้มีสติอยู่ตลอดเวลา บวกกับเจริญเมตตาประกอบกัน
ถ้าทำได้อย่างนี้จิตของเรา ก็จะสงบเย็น ขออนุุโมทนา

 

ลิงหนาวเลย สาทู้