ตำรวจวัด

ตำรวจวัด

โดย วสิษฐ เดชกุญชร



หนังสือพิมพ์ ข่าวสด ฉบับวันที่ 11 ตุลาคม 2550 นี้ ลงข่าวว่า ในการประชุมรองผู้บังคับการตำรวจนครบาลที่รับผิดชอบในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม เมื่อวันที่ 10 เดือนเดียวกัน พล.ต.ต.วิบูลย์ บางท่าไม้ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ได้สั่งให้ดำเนินโครงการ "ตำรวจวัด" อันเป็นนโยบายเร่งด่วน

ในโครงการนี้ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลจะให้ใช้ตำรวจชุมชนสัมพันธ์ (ตชส.) เป็นหลักโดยจะถือหลักหนึ่งสถานีต่อหนึ่งวัด ให้ตำรวจเข้าวัดตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์ เพื่อสร้าง "ปฏิสัมพันธ์" กับพระสงฆ์ วัตถุประสงค์ของปฏิสัมพันธ์ก็คือ หาข้อมูลเกี่ยวกับอาชญากรรม รวมทั้งยาเสพติดในชุมชนนั้นๆ จากพระสงฆ์ ทั้งนี้ โดยอาศัยหลักที่ว่าพระสงฆ์เป็นผู้นำชุมชน และหากสถานีตำรวจใดมีวัดอยู่ในเขตรับผิดชอบมากกว่าหนึ่งแห่ง ก็อาจใช้วิธีเวียนเข้าวัดสัปดาห์ละวัด

ผมสนใจในโครงการ "ตำรวจวัด" ของผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เพราะเท่าที่แล้วมา ทั้งๆ ที่เป็นที่รู้กันว่าเมืองไทยมีวัดและพระอยู่เต็มเมือง แต่ก็ไม่เคยได้ยินว่า ผู้บังคับบัญชาตำรวจคนใดสนใจที่จะใช้วัดให้เป็นประโยชน์อย่างใด นอกจาก พล.ต.ท.อุดม เจริญ อดีตผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งในสมัยที่เป็นผู้บัญชาการศึกษา ได้พยายามฟื้นฟูจริยธรรมตำรวจด้วยการส่งตำรวจไปเข้าวัดเพื่อถือศีลกินเพลและหัดทำสมาธิ และจะเป็นเพราะเหตุนั้นหรือไม่ก็ไม่รู้ ในที่สุดคุณอุดมก็เลยพ้นราชการตำรวจ ไปเป็นผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

ผมเข้าใจเหตุผลและเจตนาของผู้บัญชาการตำรวจนครบาลที่จะใช้ "ปฏิสัมพันธ์" กับพระสงฆ์ หาข้อมูลเกี่ยวกับอาชญากรรม โดยเฉพาะยาเสพติดในชุมชน เพราะพระสงฆ์นั้นใกล้ชิดกับชุมชนและย่อมรู้ปัญหาของชุมชนดี แต่การใช้ตำรวจชุดชุมชนสัมพันธ์หรือ ตชส. ซึ่งเป็นเครื่องมือที่มีอยู่แล้วนั้น ผมไม่แน่ใจว่า ลงท้ายจะทำให้ตำรวจเป็น "ตำรวจวัด" หรือทำพระให้กลายเป็น "พระตำรวจ"

ตำรวจชุมชนสัมพันธ์ (ตชส.) เป็นตำรวจชุดที่มีหน้าที่โดยเฉพาะในการสร้างและพัฒนาความสัมพันธ์และความเข้าใจกับชุมชน แต่การส่ง ตชส.เข้าไปนั้น หาก ตชส.ทำงานประสบความสำเร็จ ก็อาจจะแลดูเป็นผลงานโดยเฉพาะของ ตชส.เอง ยังไม่ใช่ผลงานของสถานีตำรวจนั้นทั้งสถานี

หากต้องการให้เกิด "ปฏิสัมพันธ์" จริงๆ ผมก็เห็นว่าตำรวจทั้งสถานีต่างหากที่ควรจะเข้าวัด ตั้งแต่ผู้กำกับการสถานีตำรวจนั้นลงมา และควรเริ่มเข้าวัดด้วยการไปนมัสการทำความรู้จักกับพระก่อน ตั้งแต่ท่านเจ้าอาวาสลงไป แล้วตามด้วยการไปร่วมกับชาวบ้าน (หรือตามชาวบ้าน) ทำบุญตักบาตรตอนเช้า ฟังเทศน์ และทำบุญในโอกาสเทศกาลอื่นๆ เป็นประจำ

ให้เห็นว่า เวลามีงานวัด ต้องมีตำรวจไปร่วมด้วยเสมอ และไม่ใช่เฉพาะ ตชส. แต่เป็นตำรวจทั้งโรงพักหรือส่วนใหญ่ และไปร่วมในฐานะที่เป็นพุทธศาสนิกชนด้วยกัน ไม่ใช่ในฐานะที่เป็นตำรวจ

การเข้าวัดอย่างสม่ำเสมอของตำรวจจะได้ประโยชน์อีกอย่างหนึ่ง คือทำให้กิจกรรมนอกกฎหมายและนอกพระธรรมวินัยในวัดลดน้อยลง เพราะพวกมิจฉาชีพและพระปลอมที่ไปแอบแฝงอาศัยวัดอาศัยผ้าเหลืองหากินอยู่ในวัดจะกลัวตำรวจ และจะหนีหรือย้ายออกไปอยู่ที่อื่น

ด้วยวิธีนั้น และเมื่อรู้จักคุ้นเคยกันแล้ว "ปฏิสัมพันธ์" ก็คงจะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติและดำเนินต่อไป โดยไม่จำเป็นต้องมีการกระตุ้นหรือหว่านล้อมชักจูงแต่อย่างใด ไม่ว่าโดย ตชส.หรือผู้อื่นใด และข่าวข้อมูลที่ต้องการก็คงจะได้มาเองด้วยความเลื่อมใสและสมัครใจของพระและชาวบ้าน

ผลพลอยได้อีกอย่างหนึ่งที่จะมีประโยชน์มหาศาลก็คือ ตำรวจเองจะได้สัมผัสพระสงฆ์และพระธรรม และจะทำให้ปัญหาความเสื่อมคุณธรรมหรือจริยธรรมของตำรวจลดลง

อย่างนี้ต่างหากที่จะทำให้ตำรวจกลายเป็น "ตำรวจวัด" จริงๆ และไม่ทำให้พระกลายเป็น "พระตำรวจ"

ไหนๆ ก็ขึ้นต้นจะเข้าวัดแล้ว ผมขอบอกบุญมายังคุณอัศวิน ขวัญเมือง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เสียเลย ถ้าคุณอัศวินเริ่มต้นเอง ด้วยการเข้าวัด ฟังเทศน์ ปฏิบัติธรรม และร่วมกับชาวบ้านทำบุญเป็นประจำ ไม่เฉพาะแต่ ตชส.หรือตำรวจโรงพักเท่านั้น แต่ผมเชื่อว่าตำรวจนครบาลทั้งกองบัญชาการก็จะตามอย่างคุณอัศวินและพากันเข้าวัดด้วย

แล้วตำรวจนครบาลก็จะกลายเป็น "ตำรวจวัด" พวกแรก

ไม่ใช่ของเมืองไทยเท่านั้น แต่จะเป็น "ตำรวจวัด" พวกแรกของโลกเลยทีเดียว

--------------
ที่มา:มติชน
http://www.matichon.co.th/matichon/...g=01act04161050&day=2007-10-16&sectionid=0130