ตายแล้วไม่สูญ..ตายแล้วไปไหน

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย danetkung, 1 มิถุนายน 2012.

  1. danetkung

    danetkung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    1,063
    กระทู้เรื่องเด่น:
    5
    ค่าพลัง:
    +15,273
    คำบอกเล่า
    [​IMG]
    [FONT=verdana,sans-serif]เนื่องในงานทำบุญวันคล้ายวันเกิดของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ในปีนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๔๔ เพื่อเป็นการระลึกถึงพระคุณความดีของหลวงพ่อ ข้าพเจ้าและคณะศิษย์หลวงพ่อได้จัดพิมพ์หนังสือเรื่อง “ตายแล้วไม่สูญ” และ “ตายแล้วไปไหน” เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้ทราบตามความเป็นจริงว่า “คนที่ตายไปแล้วไม่สูญ” เรื่องนรก สวรรค์ พรหม และพระนิพพาน นั้นมีจริงตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ และหลวงพ่อได้นำวิชา “มโนมยิทธิ” มาสอนบรรดาคณะศิษย์ให้ฝึกไปพิสูจน์ความจริงด้วยตนเอง จะได้หมดความสงสัยและมีความมั่นใจในการปฏิบัติเพื่อให้เกิดมรรคผล [/FONT]

    [FONT=verdana,sans-serif]ข้าพเจ้าคิดที่จะทำหนังสือเรื่อง “ตายแล้วไม่สูญ” และ “ตายแล้วไปไหน” เพื่อแจกเป็นที่ระลึกในงานทำบุญวันคล้ายวันเกิดหลวงพ่อมานานแล้ว แต่ติดในด้านทุนทรัพย์ในการจัดพิมพ์เนื่องจากค่าใช้จ่ายสูง จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อปลายเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ได้มีโอกาสคุยเรื่องนี้กับหลวงพี่สมปอง ท่านฟังแล้วก็บอกว่าให้เริ่มลงมือทำได้เลยให้ทันแจกในปีนี้ ท่านและคณะธัมมวิโมกข์ของท่านจะช่วยพิมพ์ต้นฉบับ และจัดทำรูปเล่มให้ทั้งหมด พร้อมทั้งจะช่วยหาทุนให้ด้วย ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจมาก หลังจากนั้นจึงมากราบเรียนขออนุญาตท่านพระครูปลัดอนันต์ พทฺธญาโณ เจ้าอาวาสวัดท่าซุง ท่านก็มีเมตตาอนุญาตให้พิมพ์ได้ [/FONT]

    [FONT=verdana,sans-serif]เรื่องราวทั้งหมดในหนังสือเล่มนี้ ข้าพเจ้ารวบรวมคำสอนของหลวงพ่อที่ท่านพูดเกี่ยวกับคนที่ตายไปแล้วไปเกิดในแดนนรก แดนสวรรค์ แดนพรหม และแดนพระนิพพาน เป็นเรื่องพระสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้บ้าง และเรื่องที่หลวงพ่อท่านได้ประสบมาเองบ้าง เนื่องจากเรื่องที่หลวงพ่อท่านนำมาสอนนั้นมีมากมายหลายเรื่อง ข้าพเจ้าจึงรวบรวมมาเท่าที่จะมีเวลาทำได้ จากหนังสือหลายๆ เล่มของหลวงพ่ออาทิ หนังสือธัมมวิโมกข์ หนังสืออ่านเล่น หนังสือไตรภูมิ ฯลฯ ส่วนใหญ่ของเรื่องต่างๆ ที่จัดพิมพ์ไว้ในหนังสือเล่มนี้ หลายท่านที่มาฝึกญาณ ๘ ที่บ้านสายลมสามารถฝึกไปพิสูจน์ด้วยตนเอง ว่าเป็นความจริงตรงตามที่หลวงพ่อได้ประสบมา และนำมาเล่าให้คณะศิษย์ฟัง [/FONT]

    [FONT=verdana,sans-serif]ทุนทรัพย์ในการจัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้ เป็นศรัทธาของบรรดาคณะศิษย์หลวงพ่อที่เป็นญาติผู้ใหญ่ พี่ๆ น้องๆ ที่ปฏิบัติธรรมด้วยกัน ช่วยกันบริจาคทรัพย์มากบ้างน้อยบ้างตามกำลังศรัทธา โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านที่มาฝึกญาณ ๘ ที่บ้านสายลมได้ช่วยกันรวบรวมเงินมาเป็นค่าพิมพ์ด้วยความศรัทธาและเต็มใจจริงๆ ทำให้ข้าพเจ้ามีความซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก และขออนุโมทนากับทุกท่านที่มีจิตศรัทธาเป็นบุญกุศล ถ้าหากมีการขาดตกบกพร่องหรือข้อผิดพลาดประการใดในหนังสือเล่มนี้ ข้าพเจ้าขอน้อมรับไว้แต่เพียงผู้เดียว [/FONT]

    [FONT=verdana,sans-serif]หนังสือเล่มนี้สำเร็จได้ด้วยอำนาจพระบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระอริยสงฆ์ทั้งหมด ครูบาอาจารย์ท่านผู้มีพระคุณทั้งหมด ตลอดจนพรหมและเทวดาทั้งหมด อันมีองค์หลวงพ่อและท่านแม่เป็นที่สุด ท่านมีพระเมตตาสงเคราะห์ช่วยเหลือ [/FONT]

    [FONT=verdana,sans-serif]ผลบุญใดที่จะพึงมีขึ้นจากการพิมพ์หนังสือเล่มนี้ ข้าพเจ้าขอน้อมกราบถวายเพื่อบูชาพระคุณความดีขององค์หลวงพ่อที่มีต่อข้าพเจ้าและบรรดาคณะศิษย์หลวงพ่อ ให้ได้พบวิธีปฏิบัติตนเพื่อการพ้นทุกข์ ไม่ต้องกลับมาเกิดพบกับความทุกข์อีกต่อไป [/FONT]

    [FONT=verdana,sans-serif]ในที่สุดนี้ ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบรรลุแล้ว และธรรมใดที่องค์หลวงพ่อเข้าถึงแล้ว ขอให้ข้าพเจ้าและท่านผู้มีจิตศรัทธาร่วมบริจาคทุนทรัพย์ในการพิมพ์ครั้งนี้ ตลอดจนท่านผู้อ่านหนังสือเล่มนี้ทุกๆ ท่าน จงเกิดปัญญาในการตัดกิเลสและเข้าถึงที่สุดของธรรมนั้นโดยฉับพลันในชาติปัจจุบันนี้โดยมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์และปราศจากทุกขเวทนาใดๆ ทั้งปวงด้วยเถิด. [/FONT]

    [FONT=verdana,sans-serif]คณิตพร บุณยเกียรติ (เปี๊ยก) [/FONT]
    [FONT=verdana,sans-serif]๗ ตุลาคม ๒๕๔๔ [/FONT]



    <HR id=null>

    ตายไม่สูญ...แล้วไปไหน


    ....ความจริง “ตายแล้วไม่สูญ” และ “ตายแล้วไปไหน” นี้ไม่น่าจะเป็นที่ข้องใจของท่านเลย เพราะพระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วอย่างละเอียดว่า เมื่อตายจากโลกนี้ไปแล้ว ทางที่ไปก็มี ๕ สายคือ

    ๑) อบายภูมิ ได้แก่เกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย และเป็นสัตว์เดรัจฉาน
    ๒) เกิดเป็นมนุษย์
    ๓) เกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้าอยู่บนสวรรค์
    ๔) เกิดเป็นพรหม
    ๕) ไปพระนิพพาน

    ท่านที่ตายแล้วจะไปเกิดที่ใด พระพุทธเจ้าก็ตรัสบอกเหตุที่จะไปเกิดไว้ครบถ้วนตามกฎของกรรมคือการกระทำ ได้แก่ความประพฤติดีหรือชั่วในสมัยที่เกิดเป็นมนุษย์นี้เอง กฎของกรรมหรือความประพฤติดีหรือชั่วที่จะพาไปเกิดในที่ใดที่หนึ่ง ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ ๕ ทางนั้น ท่านว่าไว้อย่างนี้


    <HR id=null>แดนเกิดสายที่หนึ่ง ที่เรียกว่า อบายภูมิ
    แดนเกิดสายที่หนึ่ง ที่เรียกว่า อบายภูมิ มีนรกเป็นต้นนั้น เป็นผลจากความประพฤติชั่ว คือก่อกรรมทำเข็ญในสิ่งที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่คนและสัตว์ ท่านจัดกฎใหญ่ๆ ไว้ ๕ ประการคือ
    ๑) เป็นคนมีใจโหดร้าย ชอบข่มเหงรังแก เบียดเบียนคนและสัตว์ให้ได้รับความเดือดร้อนโดยเข้าใจผิดคิดว่าเป็นความดี หมายถึงละเมิดศีลข้อที่ ๑
    ๒) มือไว ชอบลักขโมยของที่เจ้าของยังไม่อนุญาต หรือฉ้อโกงเอาทรัพย์สินของคนอื่นด้วยเล่ห์กลโกง หมายถึงละเมิดศีลข้อที่ ๒
    ๓) ใจเร็ว ได้แก่มีจิตใจไม่เคารพในความรักของคนอื่น ชอบลอบทำชู้ บุตร ภรรยาและธิดา สามี ของคนอื่นด้วยความมัวเมาในกามคุณ หมายถึงละเมิดศีลข้อที่ ๓
    ๔) พูดปด ได้แก่พูดไม่ตรงต่อความเป็นจริงเพื่อหวังทำลายประโยชน์ของผู้อื่นโดยเจตนา หมายถึงละเมิดศีลข้อที่ ๔
    ๕) ชอบทำตนให้เป็นคนหมดสติ ด้วยการย้อมใจให้หมดความรู้สึกในการรับผิดชอบด้วยนํ้าเมา หมายถึงละเมิดศีลข้อที่ ๕

    กรรม คือความประพฤติในกฎ ๕ ประการนี้ ท่านว่าตายจากความเป็นคนแล้วไปสู่อบายภูมิมีตกนรกเป็นต้น


    <HR id=null>แดนเกิดสายที่สอง คือเกิดเป็นมนุษย์
    แดนเกิดสายที่สอง คือเกิดเป็นมนุษย์ ท่านว่าคนที่ตายแล้วจะมาเกิดเป็นมนุษย์ได้ ต้องมีกรรมบถ ๑๐ หรือที่รู้กันง่ายๆ ก็คือ เป็นคนมีศีล ๕ ประจำได้แก่
    ๑) เป็นคนมีเมตตาปรานี ไม่รังแกข่มเหง ทำร้ายใครไม่ว่าคนหรือสัตว์ มีความรัก เมตตาปรานีคนและสัตว์เสมอด้วยรักตนเอง
    ๒) ไม่มือไว คือเคารพสิทธิในทรัพย์สินของบุคคลอื่น ไม่ยอมถือเอาทรัพย์สินของใครมาเป็นของตน ในเมื่อเจ้าของไม่อนุญาตด้วยความเต็มใจ
    ๓) ไม่ใจเร็ว ละเมิดความรักในบุตร ธิดา ภรรยา สามีของบุคคลอื่น
    ๔) ไม่เป็นคนไร้สัจจะ พูดแต่เรื่องที่เป็นสาระตรงต่อความเป็นจริง
    ๕) ทำตนให้เป็นคนมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ คือเป็นคนมีอารมณ์รับรู้ความดีความชั่วตามกฎของกรรม ไม่ปล่อยใจให้เลื่อนลอยด้วยน้ำเมาต่างๆ
    ท่านที่ทรงความดี ๕ อย่างนี้ได้ ท่านว่าตายจากความเป็นคนแล้ว มีสิทธิ์กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ได้


    <HR id=null>แดนเกิดสายที่สาม ได้แก่สวรรค์
    แดนเกิดสายที่สาม ได้แก่สวรรค์ อาการที่ทำให้คนเกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้าบนสวรรค์ ท่านบรรยายไว้มาก แต่เมื่อสรุปกล่าวโดยย่อมี ๒ อย่างคือ
    ๑) เป็นคนมีความละอายต่อความชั่ว ไม่ยอมทำชั่วในที่ทุกสถาน
    ๒) เกรงผลของชั่ว จะทำให้เกิดความเดือดร้อน
    เหตุ ๒ ประการนี้ เป็นผลทำให้ตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้า


    <HR id=null>แดนเกิดสายที่สี่ ได้แก่พรหมโลก
    แดนเกิดสายที่สี่ ได้แก่พรหมโลก พรหมกับเทวดามีดินแดนที่เกิดเป็นคนละแดนกัน พรหมท่านว่าศักดิ์ศรีดีกว่าเทวดาและมีชั้นภูมิสูงกว่า มีอำนาจมากกว่า มีความสุขดีกว่า ความสวยสดงดงามก็ดีกว่าเทวดา แต่พรหมไม่มีเพศคือไม่มีเพศหญิงเพศชาย ทั้งนี้เพราะพรหมไม่มีการครองคู่ อยู่โดดเดี่ยวอย่างพระสงฆ์ตามวัดคือไม่มีภรรยาสามี ท่านว่ามีความสุขสงบสงัด ท่านที่จะเป็นพรหมได้ท่านว่าต้องเป็นนักกรรมฐานและมีอารมณ์จิตสุดท้ายก่อนตาย อารมณ์จิตเป็นฌานที่เรียกว่า เข้าฌานตาย


    <HR id=null>แดนเกิดสายที่ห้า ได้แก่พระนิพพาน
    แดนเกิดสายที่ห้า ได้แก่พระนิพพาน แดนนี้เป็นเขตที่รู้เรื่องกันยากมาก เพราะนักปราชญ์สมัยนี้ถือว่า “นิพพานสูญ” กันเป็นประเพณีไปแล้ว ขอบอกไว้ย่อๆ ว่า คนที่จะถึงพระนิพพานได้นั้นต้องมีความบริสุทธิ์ ๑๐ อย่างคือ
    ๑) ไม่เมาในตนเองหรือวัตถุต่างๆ ที่คิดว่าเป็นสมบัติของตน รู้สึกเสมอว่าจะต้องตายและพลัดพรากจากของรักของชอบใจแน่นอน ไม่มีอะไรที่จะมาห้ามความตายและความพลัดพรากได้ ทำจิตใจเป็นปกติเมื่อความตายมาถึงหรือเมื่อต้องพลัดพรากจากสิ่งที่ตนรัก
    ๒) ไม่สงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ทรงสอนตามความเป็นจริงว่า ทุกอย่างในโลกนี้ไม่ว่าสิ่งที่มีชีวิตต้องทำลายตนเองลงในเมื่อกาลเวลามาถึง ไม่มีอะไรทรงสภาพเป็นปกติอยู่ได้ ใครทำความดี ความดีก็คุ้มครองให้มีความสุขใจ ใครทำชั่ว ความชั่วจะบันดาลความเดือดร้อนให้ แม้ผู้อื่นยังไม่ลงโทษ ตนเองก็มีความหวาดสะดุ้งเป็นปกติ
    ๓) รักษาศีลมั่นคง ดำรงจิตอยู่ในศีลเป็นปกติ
    ๔) ทำลายความใคร่ในกามารมณ์ให้สิ้นไปจากใจ ด้วยอำนาจความรู้ถึงความจริง รู้ว่าความรักเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ ภัยอันตรายที่มีขึ้นแก่ตนเพราะอาศัยความรักเป็นเหตุ
    ๕) มีจิตใจเต็มไปด้วยความเมตตาปรานี ไม่โกรธไม่จองล้างจองผลาญคิดทำอันตรายใคร ไม่ว่าใครจะแสดงอาการอย่างไร จิตก็ไม่คลายจากความเมตตา ๖) ไม่มัวเมาในรูปฌาน โดยคิดว่าการที่ตนทรงรูปฌานได้นี้ เป็นผู้ถึงที่สุดของความดี เมาฌานจนไม่สนใจความดีที่ตนยังไม่ได้
    ๗) ไม่มัวเมาในอรูปฌาน โดยคิดว่าความดีเพียงเท่านี้ ยังไม่เป็นทางสิ้นทุกข์
    ๘) มีอารมณ์เป็นปกติ ไม่คิดถึงเรื่องอารมณ์เหลวไหล มีจิตใจเต็มไปด้วยความหวังดี ไม่ว่าต่อคนหรือสัตว์ ตลอดเวลาที่ตื่นอยู่
    ๙) ไม่ถือตน ทะนงตน ว่าดีเลิศประเสริฐกว่าใคร มีอารมณ์ใจเป็นปกติ เห็นคน สัตว์ ทรัพย์สินทั้งหมดเป็นของธรรมดาที่จะต้องตายจะต้องสลายไป และมีอารมณ์ไม่หวั่นไหวเมื่อเข้าสังคมสมาคมใดๆ มีอาการเป็นเสมือนว่าสังคมนั้น สมาคมนั้นๆ เป็นกลุ่มของคนที่ต้องตาย ไม่ทำตัวใหญ่หรือเล็กจนน่าเกลียด ทำตนพอเหมาะพอสมควรแก่สมาคมนั้นๆ เรื่องของเขา เขาจะดีจะชั่วก็ตัวของเขา เราช่วยได้เราก็ช่วย ช่วยไม่ได้ก็เฉยไว้ ไม่สนใจที่จะไปเบ่งบารมีทับใคร
    ๑๐) ตัดความรักความพอใจในโลกีย์วิสัยให้หมด งดอารมณ์อยากดีอยากเด่น ทำอารมณ์เป็นพระพุทธในพระอุโบสถ พระพุทธท่านยิ้มเสมอ ท่านที่จะถึงพระนิพพานต้องยิ้มได้อย่างพระพุทธ ใครจะดีจะชั่วก็ยิ้ม เพราะเห็นเป็นของธรรมดามันหนีไม่ได้ไล่ไม่พ้น เมื่อยังมีตัวตนเป็นคนมันก็ต้องพบอาการอย่างนี้อยู่ ก็สบายใจ ความตายจะมาถึงก็ไม่สะดุ้งหวาดกลัวเพราะรู้ตัวอยู่เสมอว่าจะต้องตาย มีอารมณ์ใจปกติ ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่ผูกพันทรัพย์สินหรือสัตว์หรือบุคคลอื่น เท่านี้ก็ไปพระนิพพานได้

    เมื่อพูดกันมาถึงทางหรือแดนเป็นที่ไป เมื่อตายแล้วว่ามี ๕ ทาง ท่านอาจจะสงสัยว่าเมื่อพระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างนั้น จะมีทางใดพิสูจน์ความจริงได้บ้างว่า คำสอนนั้นตรงต่อความเป็นจริง เคยมีใครบ้างไหมที่ฟังแล้วและเรียนข้อวัตรปฏิบัติตาม ไม่ใช่เรียนแล้วเอามาคุยอวดกัน ต้องเรียนแบบฝรั่งไม่ใช่เรียนแบบไทย ฝรั่งเขาสงสัยอะไรเขาค้นคว้าหาความจริงว่ามีหรือไม่เพียงใด สมัยนี้แม้แต่ดวงจันทร์ที่ทุกท่านคิดว่าเป็นของเกินวิสัย แต่ฝรั่งเขาไปดูจนได้เพราะเขาเรียนแล้วปฏิบัติด้วย ที่ว่าเรียนแบบไทยก็เพราะคนไทยเป็นคนมีบุญ ทุกอย่างไม่ต้องลงทุนคอยดูฝรั่งแสดงก็พอใจได้เปรียบกว่าฝรั่งมาก แต่ทว่าเนื้อแท้แล้ว เราก็รู้เพียงเขาว่าไม่ใช่เราเห็นเอง

    เรื่องของ “การตายแล้วไม่สูญ” และ “ตายแล้วไปไหน” ก็เหมือนกัน ถ้าเรียนกันแบบอ่านหนังสือแล้วก็ตั้งแง่สงสัยหรือเอาความรู้จากหนังสือที่อ่านจำได้แล้วเอาไปเบ่งบารมีกัน ก็ไม่ต่างอะไรกับคนนอนฝันหาความจริงไม่ใคร่ได้ ถ้าจะพบความจริงบ้างก็ต้องบังเอิญจริงๆ หลักเกณฑ์การปฏิบัติเพื่อรู้ว่าตายแล้วไปไหน ท่านสอนไว้ในหลักสูตรของวิชชาสาม ท่านให้เจริญสมาธิคือ เจริญกสิณกองใดกองหนึ่ง หรือเอากสิณเฉพาะเพื่อทิพจักขุญาณ ท่านให้ใช้เตโชกสิณเพ่งไฟ หรืออาโลกสิณเพ่งแสงสว่าง หรือโอทาตกสิณเพ่งสีขาว จนมีสมาธิถึงขั้นอารมณ์เริ่มเป็นทิพย์คือถึงอุปจารฌาน แล้วถือนิมิตกสิณเป็นสำคัญฝึกดูสวรรค์ นรก และพรหมโลก ถ้าทรงวิปัสสนาญาณด้วย ก็พิสูจน์พระนิพพานด้วยได้ การพิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้าต้องฟังแล้วปฏิบัติตาม ท่านจึงจะหมดข้อสงสัยเพราะท่านรู้เองเห็นเอง แต่ถ้าฟังกันแล้วแต่ไม่ทำตาม ความหวังที่ตั้งใจต้องล้มเหลวแน่เพราะเป็นเพียงเสือกระดาษจะกัดใครตายได้ เวลานี้มีผู้ฝึก มโนมยิทธิเพื่อพิสูจน์คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสว่า “ตายแล้วไม่สูญ” แดนอบายภูมิ แดนสวรรค์ แดนพรหม และแดนพระนิพพาน นั้นมีจริง เขาฝึกกันได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่เป็นจำนวนมาก ต่อไปก็จะขอนำเรื่องราวของท่านผู้ที่ตายไปแล้วกลับฟื้นขึ้นมาใหม่ และได้ไปพบไปเห็นในแดนต่างๆ ว่ามีอะไรบ้าง เพื่อเป็นตัวอย่างให้ท่านทั้งหลายได้ทราบตามความเป็นจริงว่า ตายแล้วไม่สูญ..”
     
  2. Chang_oncb

    Chang_oncb ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    12,276
    ค่าพลัง:
    +80,040
    [​IMG]

    กราบโมทนา สาธุ ท่านผู้มีใจบุญใจกุศล เสียสละเวลาหาบทความ นำบทความที่ดี มีสาระประโยชน์ ให้ผู้อ่านได้ศึกษา อันก่อให้เกิดปัญญาในการพิจารณา เมื่อปัญญาพิจารณาแล้ว จิตจะเป็นผู้กำหนด เป็นผู้เลือกความถูกต้อง ถือว่าเป็น จาคะ คือการให้และการให้นั้น ให้ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน อีกทั้ง ถือว่าการให้นั้น เป็นธรรมทาน เป็นบุญใหญ่ สมดั่งพระธรรมคำสั่งสอนของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตอบปัญหาท้าวสักกะผู้เป็นจอมเทพยดา ปรากฏใน ตัณหาวรรค ธรรมบท ว่า “การให้ธรรมทาน ชนะการให้ทั้งปวง ผู้ใดให้ธรรมะเป็นทาน ผู้นั้นชื่อว่าให้พระนิพพานแก่คนทั้งหลาย“ ขอโมทนาสาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...