ตายแล้วไปไหน ?

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย honey_bee414, 14 มิถุนายน 2011.

  1. honey_bee414

    honey_bee414 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,164
    ค่าพลัง:
    +3,665
    ตายแล้วไปไหน ?



    [​IMG]





    และยังได้กระทำบุญต่าง ๆ มีการให้ทาน เป็นต้น บางทีเราเข้าใจว่า การทำบุญก็คือ
    การให้ทานเพียงอย่างเดียวความจริงแล้ว การทำบุญมีถึง ๑๐ ประการ เรียกว่า “บุญกิริยาวัตถุ”
    แปลความว่า ความดีที่ควรกระทำ เพราะเป็นเหตุเป็นที่ตั้งแห่งผลดีที่เกิดขึ้น คือ เป็นสิ่งที่ให้สำเร็จเป็นบุญเป็นกุศล พร้อมทั้งอานิสงส์ ที่ผู้กระทำพึงได้รับ ตามสมควรแก่โอกาสมี ๑๐ ประการ คือ

    ๑. ทาน คือ การให้สิ่งของของตน โดยการบูชาหรืออนุเคราะห์แก่ชนเหล่าอื่น และสัตว์ทั้งหลาย<O:p
    ๒. ศีล คือ การรักษากาย วาจา ให้ตั้งอยู่ในศีล เช่น โยมทั้งหลายอยู่บ้าน เรียกว่า เป็นฆราวาส ก็รักษาศีล ๕ หรือ รักษาศีล ๘ พระภิกษุรักษาศีล ๒๒๗ สามเณรรักษาศีล ๑๐<O:p
    ๓. ภาวนา คือ การเจริญสมถะ และวิปัสสนา การเจริญสมถะ มีถึง ๔๐ วิธี เช่น เรานั่งสมาธิกำหนดลมหายใจ เข้า-ออก ภาษาพระเรียกว่า อานาปานัสสติ เป็นต้น การเจริญวิปัสสนา เช่นเรากำหนดอิริยาบถ ๔ คือ ยืน เดิน นั่ง นอน ตามความเป็นจริงว่าเป็นรูปยืน รูปเดิน รูปนั่ง รูปนอน เป็นต้น แม้การที่เราตั้งใจศึกษาเล่าเรียนวิชาต่าง ๆ ที่ไม่มีโทษเป็นประโยชน์แก่ตนเอง และแก่ผู้อื่น ก็สำเร็จเป็นบุญประการที่ ๓ คือ ภาวนา ในข้อนี้ด้วยเหมือนกัน<O:p
    ๔. อปจายนะ คือ การทำความนับถือ อ่อนน้อมลุกขึ้นต้อนรับแก่ท่านผู้เจริญด้วยชาติวุฒิ วัยวุฒิ และคุณวุฒิด้วยใจที่ไม่เศร้าหมอง ซึ่งเว้นจากความหวังตอบแทนในปัจจัย ๔ มีเครื่องนุ่งห่ม เป็นต้น ผู้เจริญด้วยชาติวุฒิ เช่น พระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ , ผู้เจริญด้วยวัยวุฒิ คือ ผู้ที่มีอายุมากกว่าเรา เช่น มารดา บิดา ลุง ป้า น้า อา , ผู้เจริญด้วยคุณวุฒิ คือ ผู้ที่มีคุณธรรมมากกว่าเรา เช่น พระภิกษุ สามเณร แม่ชี บางทีท่านอายุน้อยกว่าเรา รุ่นลูกรุ่นหลานแต่เราก็อ่อนน้อมต่อท่าน เพราะถือว่าท่านมีศีลมากกว่าเรา เป็นต้น รวมไปถึงผู้บังคับบัญชา ผู้ปกครอง เจ้านาย ผู้จัดการ บางทีอายุน้อยกว่าเรา แต่เราก็อ่อนน้อมต่อเขา อันนี้เรียกว่า เราประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรม เป็นบุญประการที่ ๔<O:p
    ๕. เวยยาวัจจะ คือ การช่วยเหลือการงานของผู้อื่น เช่น ช่วยยกของ ช่วยคนเจ็บไข้ได้ป่วย จูงคนแก่ข้ามถนน เวลามีงานบุญก็ช่วยจัดของ จัดสถานที่ ขับรถไปรับพระมางาน ช่วยคุณพ่อคุณแม่ทำงานบ้าน เป็นต้น<O:p

    ๖. ปัตติทานะ คือ การให้ส่วนบุญกุศลที่ตนเองกระทำแล้วแก่ผู้อื่น ถ้าผู้อื่นมีชีวิตอยู่ เราให้ส่วนบุญได้เลย เช่น พูดว่า วันนี้ไปถวายสังฆทานมา เอาบุญมาฝาก เรียกว่า แผ่บุญกุศลให้ ถ้าเขารับ เขาก็พูดว่า ขออนุโมทนาบุญด้วยแต่ถ้าผู้อื่นเสียชีวิตแล้ว เราก็กรวดน้ำไปให้ เราทำเช่นนี้ก็สำเร็จเป็นบุญประการที่ ๖<O:p

    ๗. ปัตตานุโมทนา คือ การอนุโมทนาหรือการพลอยยินดีบุญที่ผู้อื่นให้แล้ว (แผ่บุญให้) หรือไม่ได้ให้ก็ตาม ด้วยจิตที่ปราศจากมลทินคือความตระหนี่ เช่น เราเห็นผู้อื่นทำบุญ ใส่บาตร ถวายสังฆทาน ถวายกฐิน ผ้าป่า บวชพระ บวชสามเณร หรือทำความดีต่าง ๆ เราก็อนุโมทนาด้วย มีใจชื่นชมยินดีในบุญที่เขากระทำ อันนี้ก็สำเร็จเป็นบุญประการที่ ๗<O:p

    ๘. ธรรมสวนะ คือ การฟังธรรม รวมถึงการรับฟังข้อแนะนำสิ่งที่เป็นประโยชน์เกื้อกูล เช่น เราฟังธรรมนี้อย่างนี้แล้ว ปฏิบัติตามนัยที่ท่านกล่าวแล้วในธรรมนั้น จักเป็นผู้มีส่วนแห่งคุณวิเศษ ทั้งที่เป็นโลกิยะและโลกุตระหรือว่าเราฟังธรรมมากแล้ว จักอนุเคราะห์แก่ผู้อื่น ด้วยกิจมีการแสดงธรรม เป็นต้น ทำเช่นนี้ก็สำเร็จเป็นบุญประการที่ ๘<O:p

    ๙. ธรรมเทศนา คือ การแสดงธรรม หรือการแนะนำสิ่งที่เป็นประโยชน์เกื้อกูล โดยไม่มุ่งถึงอามิส มีลาภและสักการะเป็นต้น เช่น พระภิกษุ-สามเณร ตั้งใจแสดงธรรมให้ญาติโยมทั้งหลายได้รับฟัง หรือเราช่วยสอนหนังสือ ช่วยสอนวิชาชีพต่าง ๆ ช่วยให้ความรู้แก่ผู้อื่น อันนี้ก็สำเร็จเป็นบุญประการที่ ๙<O:p

    ๑๐. ทิฏฐุชุกรรม คือ การทำความเห็นให้ตรง ให้ถูกตามความเป็นจริง ซึ่งมี ๑๐ ประการตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น การทำความเห็น ความเข้าใจให้ถูกต้อง เช่นนี้ ก็สำเร็จ เป็นบุญแก่ผู้นั้นเป็นประการที่ ๑๐<O:p

    ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นกรรมดี ให้ผลทั้งในปัจจุบันชาติและให้ผลเกิดในสุคติทั้ง ๗ ภูมิ<O:p

    “ ยศและลาภ หาบไป ไม่ได้แน่<O:p
    เว้นเสียแต่ ต้นทุน บุญกุศล<O:p
    ทิ้งสมบัติ ทั้งหลาย ให้ปวงชน<O:p
    ร่างของตน เขายังเอา ไปเผาไฟ
    <O:p
    ต่อไปจะกล่าวถึงอีก ๒๐ ภูมิที่เหลือ แบ่งเป็น ๒ อย่าง<O:p

    ๑. รูปภูมิ (เป็นภูมิของผู้ที่เจริญสมาธิจนได้ถึงขั้นรูปฌาน) มี ๑๖ ชั้น<O:p
    ๒. อรูปภูมิ (เป็นภูมิของผู้ที่เจริญสมาธิจนได้ถึงขั้นอรูปฌาน) มี ๔ ชั้น<O:p
    รูปภูมิ ๑๖ ชั้น หรือ ๑๖ ภูมิ มีดังนี้ คือ
    ผู้ที่ได้ปฐมฌาน (ฌานที่ ๑) จะเกิดใน ๓ ภูมินี้ คือ <O:p
    (๑) พรหมปาริสัชชาภูมิ เป็นที่อยู่ของพรหมชั้นบริษัท คือ พรหมทั่วไป<O:p
    (๒) พรหมปุดรหิตาภูมิ เป็นที่อยู่ของพรหมชั้นปุโรหิต คือ พรหมที่เป็นที่ปรึกษา<O:p
    (๓) มหาพรหมาภูมิ เป็นที่อยู่ของพรหมที่เป็นใหญ่เป็นหัวหน้า<O:p
    ผู้ที่ได้ทุติยฌาน (ฌานที่ ๒) และตติยฌาน (ฌานที่ ๓) จะเกิดใน ๓ ภูมินี้ คือ<O:p
    (๔) ปริตตาภาภูมิ เป็นที่อยู่ของพรหมชั้นบริษัท<O:p
    (๕) อัปปมาณาภาภูมิ เป็นที่อยู่ของพรหมชั้นปุโรหิต<O:p
    (๖) อาภัสสราภูมิ เป็นที่อยู่ของมหาพรหม<O:p
    ผู้ที่ได้จตุตถฌาน (ฌานที่ ๔) จะเกิดใน ๓ ภูมินี้ คือ<O:p
    (๗) ปริตตสุภาภูมิ เป็นที่อยู่ของพรหมชั้นบริษัท<O:p
    (๘) อัปปมาณสุภาภูมิ เป็นที่อยู่ของพรหมชั้นปุโรหิต<O:p
    (๙) สุภากิณหาภูมิ เป็นที่อยู่ของมหาพรหม<O:p
    ผู้ที่ได้ปัญจมฌาน (ฌานที่ ๕) จะเกิดใน ๗ ภูมินี้ คือ<O:p
    (๑๐) เวหัปผลาภูมิ เป็นภูมิของผู้ที่ได้ปัญจมาฌาน<O:p
    (๑๑) อสัญญสัตตภูมิ เป็นภูมิของผู้ที่ได้ปัญจมฌานที่เจริญสัญญาวิราคภาวนาต่อ<O:p
    (๑๒) อวิหาภูมิ เป็นภูมิของพระอนาคามีที่มีศรัทธามาก<O:p
    (๑๓) อตัปปาภูมิ เป็นภูมิของพระอนาคามีที่มีวิริยะมาก<O:p
    (๑๔) สุทัสสาภูมิ เป็นภูมิของพระอนาคามีที่มีสติมาก<O:p
    (๑๕) สุทัสสีภูมิ เป็นภูมิของพระอนาคามีที่มีสมาธิมาก<O:p
    (๑๖) อกนิฏฐาภูมิ เป็นภูมิของพระอนาคามีที่มีปัญญามาก<O:p

    <O:p
    อรูปภูมิ ๔ ชั้น หรือ ๔ ภูมิ มีดังนี้ คือ<O:p
    (๑๗) อากาสานัญจยตนภูมิ เป็นภูมิของผู้ที่ได้อากาสานัญจายตนฌาน<O:p
    (๑๘) วิญญาณัญจายตนภูมิ เป็นภูมิของผู้ที่ได้วิญญาณัญจายตนฌาน<O:p
    (๑๙) อากิญจัญญายตนภูมิ เป็นภูมิของผู้ที่ได้อากิญจัญญายตนฌาน<O:p
    (๒๐) เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ เป็นภูมิของผู้ที่ได้เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน<O:p

    <O:p
    ถามว่า ทำกรรมอะไรจึงไปเกิดใน ๒๐ ภูมินี้ ตอบว่าทำกุศลประเภทภาวนา คือ เป็นผู้ที่เจริญภาวนาจนได้ฌานอย่างต่ำที่สุดปฐมฌาน ก่อนตาย ถ้าฌานไม่เสื่อม ก็จะเกิดในพรหมโลกทั้ง ๒๐ ภูมินี้ ท่านเหล่านี้ละนิวรณ์ ๕ ได้ ด้วยการข่มไว้ด้วยอำนาจของฌาน ไม่ยินดีเรื่องของการคุณ ๕ ยินดีในฌานซึ่งเป็นสุขที่ประณีตกว่า นี้เป็นการกล่าวอย่างกว้าง ๆ ถามว่า นิวรณ์ ๕ (คือ ธรรมชาติที่กางกั้นกุศลจิตที่จะเกิดขึ้นด้วยอำนาจฌานเป็นต้น ไม่ให้เกิดขึ้น) ที่ท่านเหล่านั้นละได้มีอะไรบ้าง ตอบว่า มี ๕ ประการ ดังนี้ คือ<O:p

    ๑. กามฉันทนิวรณ์คือ ความกำหนัด พอใจในการคุณ ๕<O:p
    ๒. พยาบาทนิวรณ์คือ ความอาฆาต ความโกรธ ผู้โกรธผู้อื่น เป็นต้นว่า “บุคคลนี้ได้ทำความเสียหายแก่เรา แก่คนที่เรารัก เช่น มารดา บิดา คู่รัก บุตรธิดา หรือบุคคลนี้ได้ทำดีกับคนที่เราโกรธ เราก็พลอยโกรธเขาไปด้วย” รวมทั้งความโกรธที่ไม่น่าจะโกรธ เช่นเราเดินไปชนโต๊ะก็โกรธ ว่าใครเอาโต๊ะมาตั้งตรงนี้ ความจริงโต๊ะเขาตั้งอยู่ประจำอยู่แล้วแต่เราเดินไปชนเอง เป็นต้น<O:p
    ๓. ถีนมิทธนิวรณ์ คือ ความหดหู่ ท้อแท้ ง่วงเหงาหาวนอน ต่อการเจริญฌาน<O:p
    ๔. อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์ คือ ความฟุ้งซ่านและรำคาญใจ เมื่อเกิดขึ้นย่อมทำให้จิตใจฟุ้งซ่าน ไม่สงบ จึงขัดขวางไม่ให้ฌานเกิดขึ้น<O:p
    ๕. วิจิกิจฉานิวรณ์ คือ ความลังเลสงสัย ทำให้การเพ่งอารมณ์กรรมฐานต้องเสียไป ไม่สามารถเข้าฌานได้<O:p

    ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ แสดงให้เห็นถึงการที่เราต้องเวียนว่ายตายเกิด อยู่ใน ๓๑ ภูมิ นี้ไม่เกินจากนี้ ท่านเรียกว่า สังสารวัฏ คือ การเวียนว่ายตายเกิดของคน และสัตว์ทั้งหลายในภพภูมิต่าง ๆ นั่นเอง ไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าเราไม่ต้องการเวียนว่ายตายเกิดในภูมิต่าง ๆ อีก มีทางเดียว คือ เจริญมรรค ๘ ซึ่งมี สติปัฏฐาน (ที่ตั้งแห่งสติ ๔ อย่าง คือ กาย เวทนา จิต ธรรม) เป็นข้อปฏิบัติเบื้องต้น จึงจะสามารถละกิเลสได้หมดสิ้น บรรลุเป็นพระอรหันต์ ไม่ต้องมาเกิดแก่เจ็บตายอีกต่อไป ถ้ายังไม่สามารถเจริญสติปัฏฐานได้เวลาทำกุศลอื่น ๆ ควรตั้งความปรารถนาให้ถึงพระนิพพานเพื่อเป็นปัจจัยส่วนหนึ่ง และยังทำให้เราเกิดในสุคติภูมิต่อ ๆ ไปด้วย<O:p
    <O:p
    “ จากเมื่อตาย ใครเล่า จะเฝ้าเห็น<O:p
    จากเมื่อเป็น ยังมาพบ ประสบศรี <O:p
    มามือเปล่า ทรัพย์สมบัติ ที่ไหนมี<O:p
    แม้ร่างกาย กายี ต้องสิ้นไป<O:p
    บุญและบาป ที่เราทำ นำสนอง<O:p
    นำเที่ยวท่อง หันเห ฉเลไหล
    บุญให้สุข ทุกข์เพราะบาป ขนาบไป<O:p
    กว่าจะได้ มรรคผล ดลนิพพาน


    คัดจากหนังสือ ตายแล้วไปไหน ?<O:p</O:p
    เรียบเรียงโดย พระมหาสุสวัสดิ์ จนฺทปญฺโญ ป.ธ.๙<O:p</O:p
    พิมพ์โดย สุวิภา กลิ่นสุวรรณ์


    ขอขอบคุณชมรมกัลยาณธรรม http://www.kanlayanatam.com/sara/sara19.htm
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มิถุนายน 2011

แชร์หน้านี้

Loading...