ตายเพราะลูก

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย rinnn, 10 กุมภาพันธ์ 2006.

  1. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,026
    นางเยิก ยนต์อยู่ เชื้อสายมอญ ตั้งบ้านเรือนอยู่ หมู่ที่ 6 ตำบลบางเดื่อ อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี ขณะที่อายุ 30 ปี เมื่อปี พ.ศ. 2459 นางเยิก ยนต์อยู่ ได้คลอดบุตรคนที่ 3 ทารกที่ออกมาอยู่ไม่นานก็ตาย นางเยิกเองมีการตกเลือดมาก ร่างกายอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ไม่มีกำลัง ชีพจรเต้นอ่อนลงแล้วสิ้นลมปราณไปอย่างสงบ ทิ้งความเศร้าโศกสลดไว้แก่สามีและลูก ๆ ตลอดจนญาติมิตรที่อยู่ข้างหลังเป็นอย่างมาก
    ในครั้งนั้น ส่วนใหญ่จะเก็บศพไว้ประมาณ 7 วัน และตลอด 7 วัน จะมีพระมาสวดอภิธรรมทุกคืน ศพของนางเยิก แม้ตายไปแล้ว 3 วันก็ยังเหมือนคนนอนหลับ ไม่ขาวซีดเหมือนคนตายทั่วๆ ไปทางญาติพี่น้องเพียงแต่เอาผ้าคลุมเอาไว้ ไม่บรรจุโลง เพราะหวังกันว่านางเยิกอาจจะฟื้นขึ้นมาได้ หากครบกำหนด 7 วันแล้วยังไม่ฟื้นจึงค่อยนำบรรจุโลงและทำฌาปนกิจต่อไป
    ครั้นถึงเช้าวันที่ 7 นายแพผู้สามีและญาติพี่น้องก็ได้ทำบุญ และเตรียมการบรรจุศพเพื่อทำฌาปนกิจในวันนั้นทั้งพระสงฆ์องค์เจ้า และชาวตำบลบางมะเดื่อได้พร้อมใจกันมาช่วยงานทำบุญ 7วันกันอย่างเนืองแน่น ทุกคนต่างเสียดายในการจากไปของคนใจบุญชอบช่วยเหลือผู้อื่นอย่างน่าเวทนา เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ทุกคนต้องอยู่ในความเศร้าโศกไปตาม ๆ กัน ยังไม่ทันสิ้นกระแสโศก ศพของนางเยิกที่มีผ้าขาวคลุมร่างก็ค่อย ๆ เพลื่อนไหว ลืมตา แล้วลุกขึ้นนั่งอย่างช้า ๆ ทุกคนต่างขวัญหนีดีฝ่อ คนใจอ่อนเผ่นกระเจิงออำไปก่อนใคร คนที่คุมสติได้ค่อย ๆ เพ่งพินิจด้วยใจเต้นระทึก ต่อมาก็ได้ยินเสียงนางเยิกพูดด้วยเสียงแผ่วเบาและสั่นเครือว่า ฉันยังไม่ตายดอกตา!
    ทุกคนในที่นั้นต่างก็ใจกล้าขยับเข้ามารุมล้อม เมื่อนางเยิกฟื้นขึ้นมาใหม่ ๆ ทั้งร่างกายและจิตใจยังอ่อนเพลีย เพราะไม่ได้รับประทานอาหารนานถึง 7 วัน หลังจากรับประทานอาหารร่างกายเข้าสู่สภาพปกติ อาการป่วยที่ตกเลือดได้หายไปแล้ว
    นางเยิก ยนต์อยู่ จึงได้เล่าถึงความเป็นไประหว่างที่ตนตายให้ญาติพี่น้องผู้ที่สนใจฟังอย่างละเอียดละออ ดังนี้
    ขณะที่กำลังนอนป่วยเพราะตกเลือด เนื่อจากการคลอดลูกคนที่ 3 นั้น รู้สึกอ่อนเพลียมากพอหลับตา ตั้งใจจะนอนพักผ่อนก็มองเห็นลูกคนที่คลอดใหม่ และตายไปแล้วได้เข้ามาทางปลายเท้าและเอามือกระตุกที่หัวแม่เท้า บอกว่า แม่ ๆ ไปกันเถอะ ต่อจากนั้นตนก็ลืมความเจ็บปวด ลืมเหตุการณ์ณ์ที่ผ่านมาทั้งหมด และด้วยความห่วงใยสงสารลูก จึงลุกขึ้นตามไป....แต่ที่สุด ก็ไม่เห็นลูกเสียแล้ว มารู้สึกตัวอีกทีว่า ตนมายืนอยู่ข้างกำแพงคนเดียว จึงเอะใจว่าเรามายืนอยู่ที่นี่ได้อย่างไร เหลียวซ้ายแลขวาก็มองหาลูกไม่พบ นึกประหลาดใจว่าทำไมลูกที่บ้านอีก 2 คน และนายแพสามีจึงไม่ตามมาด้วย เมื่อต้องมายืนโดดเดี่ยวในที่เปลี่ยวเปล่าอ้างว้างเช่นนี้ จึงมีความกลัวมาก พยายามจะนึกว่า เรามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ก็นึกไม่ออก ความรู้สึกในขณะนั้นเหมือนคนหลงทางอยู่กลางป่าทึบ ทั้งว้าเหว่ ทั้งกลัวเป็นที่สุด
    เมื่อมองดูกำแพงที่ตนมายืนอยู่ใกล้ๆ นั้น ดูเหมือนกับกำแพงคุที่บางขวาง จึงหวัดนนทบุรี คือทั้งสูงทั้งยาวเหยียด บนกำแพงมีป้อมสำหรับให้คนยามคอยเฝ้าดูอยู่เป็นระยะ ๆ มีความกลัวขนาดใจเต้นดังตึ๊กตั๊ก จึงพยายามก้มหน้ากัมตาเดินเลาะไปตามตีนกำแพงนั้นโดยคิดว่า คงจะได้พบกับผู้คนบ้างแต่ก็ไม่พบใครเลย เมื่อเดินไปครู่หนึ่ง ได้ยินเสียงกรุ๋งกริ๋งโกร่งกร่างดังออกมาจากภายในกำแพงนีกสงสัยว่า ภายในเขาทำอะไรกันอยู่ จึงเดินไปเรื่อย ๆ ไปจนถึงประตูกำแพง ซึ่งเปิดอ้าอยู่ แต่มีคนยามหน้าตาน่ากลัวยืนเฝ้ายาม
    ตนจึงได้มองเข้าไปในประตูแลเห็นนักโทษชายหญิงถูกล่ามโซ่ตรวนคล้องไว้ที่คอและขา เดินกันให้ขวักไขว่เป็นจำนวนมาก จึงได้รุ้ว่าเสียงกรุ๋งกริ๋งโกร่งกร่างนั้น เป็นเสียงโซ่ตรวนกระทบกันขณะที่นักโทษเดินไปเดินมานั้นเอง ตนอยากรู้ขึ้นมาว่า เพราะเหตุใดคนเหล่านั้นจึงได้มาต้องโทษ ถูกจองจำด้วยโซ่ตรวนพะรุงพะรังเช่นนี้ จึงได้เดินเข้าไปพูดคุยกับคนยามที่เฝ้าประตูว่า
     

แชร์หน้านี้

Loading...