ตามรอย พญานาค วังนาคินทร์คำชะโนด พิสูจน์ลูกไฟในลำน้ำโขง

ในห้อง 'ท่องเที่ยว - อาหารการกิน' ตั้งกระทู้โดย vacharaphol, 14 ตุลาคม 2007.

  1. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,173
    ตามรอย ' พญานาค' วังนาคินทร์คำชะโนด พิสูจน์ลูกไฟในลำน้ำโขง

    ถึงคืนวันออกพรรษา ขึ้น 15 ค่ำเดือน 11 คราใด "บั้งไฟพญานาค" ปรากฏการณ์ของการเกิดลูกไฟสีแดงอมชมพูพวยพุ่งขึ้นจากลำน้ำโขงจะมาเกิดขึ้นที่ จ.หนองคายเป็นประจำ

    <DD>ทุกปีมีนักท่องเที่ยวเรือนแสนรอนแรมพากันไปจับจองที่นั่งริมน้ำโขง รอชมบั้งไฟพญานาค สิ่งลึกลับมหัศจรรย์ที่จะโผล่ให้เห็นเฉพาะคืนนั้น
    <DD>เทศกาลออกพรรษาบั้งไฟพญานาคใกล้เข้าทุกขณะ ปีนี้สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เขต 5 ต้อนรับเทศกาลนี้ด้วยเส้นทาง "ตามรอยบั้งไฟพญานาค" จัดเป็นเส้นทางใหม่ที่นำนักท่องเที่ยวเข้าสู่ความเชื่อและความศรัทธาในเรื่องพญานาคของชาวอีสานตั้งแต่โบร่ำโบราณ ซึ่งในเส้นทางเต็มไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวที่มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับโลกพญานาคที่ลึกลับและน่าสนใจ
    <DD>คณะสื่อมวลชนก็เป็นกลุ่มหนึ่งที่มีโอกาสเดินทางตามเส้นทางนี้ จุดเริ่มต้นของการตามรอยพญานาคอยู่ที่ป่าคำชะโนด ตั้งอยู่ที่อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี ป่าศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวอีสานและชาวลาวให้ความนับถือ เชื่อกันว่าเป็นที่ตั้งของเมืองนาคินทร์ และวังพญานาคต้นตำนานแม่น้ำโขง อีกทั้งมีความน่าสนใจในแง่พฤกศาสตร์กับต้นคำชะโนดที่มีอายุนับหลายร้อยปีพันกว่าต้น ซึ่งขึ้นอยู่ที่เดียว ณ ป่าแห่งนี้ โดยเฉพาะช่วงปี 2534 ชื่อคำชะโนดยิ่งขจรขจายเมื่อมีเรื่องราวของผีจ้างหนังที่คำชะโนดเป็นข่าวคราวตามรายการโทรทัศน์และหน้าหนังสือพิมพ์ต่างๆ
    <DD>ลุงทองหล่อ ตลิ่งชัน กำนันตำบลบ้านม่วง อำเภอบ้านดุง ย้อนรอยเรื่องเร้นลับนี้ให้ฟังว่า เมื่อปี 2532 มีผู้ไปติดต่อบริษัทหนังเร่ "แจ่มจันทร์" ให้เอาหนังกลางแปลงไปฉายที่บ้านวังทอง ค่าจ้างสี่พันบาท ซึ่งค่าจ้างที่ได้รับมาเป็นเศษสตางค์ทั้งหมด มีสัญญาข้อหนึ่งว่าให้ฉายหนังถึงตีสี่เท่านั้น อย่าอยู่จนถึงสว่าง กลับจากฉายหนังพวกคนงานเดินทางกลับมาเล่าเรื่องประหลาดให้เจ้าของฟังว่า ได้ไปฉายหนังให้ผีดู หัวค่ำไม่เห็นคน แต่พอเริ่มฉายสามทุ่มมีคนมามากมาย ที่แปลกคือ ผู้หญิงที่นุ่งขาวห่มขาวจะนั่งอยู่ด้านหนึ่ง ผู้ชายใส่เสื้อผ้าสีดำนั่งอีกด้าน นั่งสงบ ไม่ว่าจะฉายหนังเรื่องอะไร สนุกตื่นเต้นแค่ไหนคนดูก็ไม่มีส่งเสียง
    <DD>"พอถึงตี 4 คนหายไปหมด เงียบเชียบ คนงานเก็บข้าวของเดินทางกลับ มาแวะซื้อบุหรี่เจอกับชาวบ้าน เล่าว่าไปฉายหนังที่บ้านวังทองมา ชาวบ้านยืนยันเมื่อคืนไม่มีหนังมาฉายเลย สงสัยกันว่าไปฉายหนังที่ไหนมา สรุปว่าอาจจะไปฉายในดงคำชะโนด ซึ่งเป็นสถานที่ลี้ลับที่เชื่อว่าเป็นเมืองพญานาค เมื่อเจ้าของหนังตามไปพิสูจน์เห็นรอยล้อรถยนต์แล่นเข้าไปในท้องนา ไม่น่าจะเข้าไปได้ ดงชะโนดเป็นดงไม้ทึบอยู่กลางทุ่ง อย่าว่าแต่รถจะเข้าไปไม่ได้เลย แม้จะขึงจอหนังก็ทำไม่ได้" กำนันทองหล่อเล่าแล้วก็ยังบอกคนส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง
    <DD>ตอนนี้มีบริษัทผู้สร้างภาพยนตร์แห่งหนึ่งสร้าง "ผีจ้างหนัง อาถรรพ์ป่าคำชะโนด" ทำให้คนไทยเห็นผีคำชะโนดอีกครั้ง โดยหนังผีสยองขวัญนี้มีแก่นของเรื่องว่าโลกของมนุษย์และโลกแห่งความเร้นลับนั้นมีเส้นแบ่งและไม่ควรจะก้าวล้ำเส้นกัน ลงโรงพฤศจิกายนนี้ เมื่อฟังจบทุกคนตรงไปที่สะพานทางเข้าป่าคำชะโนด เพราะพื้นที่ราว 20 ไร่ของดงคำชะโนดมีน้ำล้อมรอบสภาพคล้ายเกาะ เราถอดรองเท้าวางไว้ก่อน แล้วเดินเข้าไปตามทางปูนที่ทอดยาว 296 เมตร
    <DD>วันนั้นมีฝนบางๆ ให้บรรยากาศดูลึกลับ ชวนพิศวง เดินลัดเลาะใต้ร่มเงาป่าจนถึงศาลหลวงพ่อพญาศรีสุทโธ จึงแวะสักการะ ก่อนจะไปดูบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ คนสมัยก่อนเรียกที่นี่ว่าวังนาคินทร์ คำชะโนด เชื่อกันว่าบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่กลางดงเป็นประตูสู่เมืองบาดาล เป็นที่อยู่อาศัยของพญาสุทโธนาค หลายคนตักน้ำมนต์ปะพรมทั่วร่างกาย บ้างตักใส่ขวดกลับมาบูชาเป็นสิริมงคล ใครอยากทดสอบว่ามีเชื้อสายพญานาคให้ลองลูบฆ้อง ถ้าเกิดเสียงดังกังวานเชื่อว่ามีเชื้อสายแน่
    <DD>จากเมืองคำชะโนด หนึ่งในตำนานพญานาคราช เรามุ่งสู่เมืองหนองคายเพื่อตามรอยบั้งไฟพญานาคริมฝั่งโขง และพักผ่อนเอาแรงไว้ตะลุยต่อในวันรุ่งขึ้น เช้าวันใหม่คณะไม่รีรอไปกราบนมัสการหลวงพ่อพระใสที่วัดโพธิชัย พระคู่บ้านคู่เมืองหนองคายที่ผู้คนเคารพนับถือมาได้รับการกล่าวขานถึงความศักดิ์สิทธิ์ ที่วัดแห่งนี้ชาวหนองคายจะมีงานประเพณีบุญบั้งไฟบูชาพระใสทุกปี พอไหว้พระใสเสร็จแล้ว เราไปดูหงอนพญานาคที่คนร่ำลือกัน อยู่ในตู้โชว์ภายในอุโบสถของวัด
    <DD>สำหรับหงอนพญานาค 2 ชิ้น เป็นวัตถุมงคลล้ำค่าจากลาว ลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยม มีรอยเป็นแนว ชาวบ้านกราบไหว้บูชาจนเป็นข่าว ให้บรรยากาศการตามที่ตื่นเต้น แต่ในการพิสูจน์วัตถุปริศนานี้ทางวิทยาศาสตร์ระบุเป็นกรามของช้างนั่นเอง ความสนุกบนเส้นทางต่อมาที่ อ.โพนพิสัย ระหว่างทางฟังตำนานการเกิดบั้งไฟพญานาคมีความเชื่อว่าวันออกพรรษาเป็นวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จกลับจากการไปแสดงพระธรรมเทศนาโปรดพระพุทธมารดาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ตลอด 3 เดือน เมื่อกลับสู่โลกมนุษย์ เทวดา มนุษย์ แม้แต่พญานาค ต่างยินดีและต้อนรับเหล่าพญานาคที่จำพรรษาอยู่เมืองบาดาลพ่นบั้งไฟถวาย
    <DD>วันนั้นเราได้เดินเล่นกันริมโขงบริเวณวัดไทย ซึ่งเป็นจุดที่เหมาะสำหรับชมบั้งไฟพญานาคอีกแห่ง ในคืนวันออกพรรษาที่นี่จะแน่นขนัดไปด้วยผู้คนพร้อมกับเสียงเฮเมื่อมีบั้งไฟขึ้นให้เห็น บริเวณริมฝั่งน้ำโขงมีบั้งไฟขึ้นพรึ่บหลายอำเภอ เช่น อ.สังคม ศรีเชียงใหม่ เมืองรัตนวาปี ปากคาด บึงกาฬ และบึงโขงหลง แต่ที่ขึ้นเป็นร้อยลูกทุกปีไม่มีผิดหวังก็ที่ อ.เมืองและโพนพิสัย ปิดท้ายทริปเดินทางไปวัดอาฮงศิลาวาส ต.ไกสี อ.บึงกาฬ หลายคนพิศวงสงสัยทำไมมาหยุดที่วัดนี้ ก่อนจะได้ค้นหาคำตอบว่า บริเวณริมโขงในเขตนี้เป็นสะดือแม่น้ำโขง หรือชาวบ้านเรียกว่า สะดือพญานาค สายน้ำหมุนวนรอคอยให้ไปสัมผัสบรรยากาศทั้งหมดของการไปตามรอยพญานาคกันในเส้นทางนี้ ขอนำมาบอกเล่าต่อๆ กัน แต่หากใครต้องการไปดูให้เห็นกับตาก็เชิญ... </DD><DD>http://www.thaipost.net/index.asp?bk=tabloid&post_date=14/Oct/2550&news_id=149575&cat_id=220200
    </DD>
     

แชร์หน้านี้

Loading...