ตอนที่ 10. เรียนมนต์ชินบัญชร

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย pongio, 9 พฤศจิกายน 2014.

  1. pongio

    pongio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    843
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +6,850
    เมื่อครั้งที่ผมอยู่วัดกับพระอาจารย์นั้น เคยเล่าเรียนภาษาบาลีมาบ้างแต่เป็นการเรียนเล็ก ๆ น้อย ๆ เพียงเพื่อให้อ่านออกเท่านั้น ไม่ได้เรียนไปถึงขั้นไวยากรณ์และนิรุกติ์ซึ่งเป็นหลักและรากของภาษาบาลี จึงยังไม่ถึงขั้นที่จะแปลภาษาบาลีหรือเขียนภาษาบาลีได้เอง แม้ในขั้นการอ่านก็ยังจัดว่ายังอ่อนชั้นมาก ดังนั้นในการเริ่มต้นเรียนพระคาถาชินบัญชรจึงต้องอ่านให้ตลอดเสียก่อน แต่ก็คงเป็นการอ่านออกเสียงแบบตะกุกตะกักอยู่นั่นเอง

    การอ่านออกเสียงทำให้เกิดเสียงดังบ้างเป็นธรรมดา แต่จะช่วยทำให้เกิดความทรงจำได้ง่ายกว่าการอ่านที่ไม่ออกเสียง ครูที่บ้านนอกได้อบรมบ่มเพาะศิษย์เกี่ยวกับเรื่องความจำว่าในการอ่านหนังสือให้จำได้ดีนั้นจะต้องอ่านโดยวิธีออกเสียงก่อน เพราะการอ่านโดยออกเสียงจะทำให้ประสาทสัมผัสและประสาทเกี่ยวกับความทรงจำตื่นตัวได้ดีและมีผลให้จำได้ง่ายกว่าที่จะอ่านแบบผ่านในใจ

    ส่วนการอ่านในใจนั้นเป็นการอ่านในชั้นการอ่านทบทวนเพื่อให้เกิดความเข้าใจเพิ่มขึ้น เป็นการย้ำความทรงจำอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งเมื่อคิดดูแล้วก็เห็นเป็นเหตุเป็นผลอยู่มาก เพราะในขั้นอ่านออกเสียงนั้นไม่ต้องใช้ความคิดพิจารณาอะไรเพียงแต่เป็นการสร้างความทรงจำ แต่เมื่อถึงชั้นการอ่านในใจความคิดพิจารณาก็จะค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นทำให้เกิดความรู้และความเข้าใจเพิ่มขึ้น และทำให้ความทรงจำแน่นหนามากขึ้น จนถึงขั้นที่โบราณว่า “จำขึ้นใจในวิชาดีกว่าจด จำไม่หมดจดไว้เป็นครูสอน” นั่นแล

    ผมอ่านบทพระคาถาชินบัญชรจบไปเที่ยวหนึ่ง พอกำลังอ่านในเที่ยวที่สองก็ได้ยินเสียงคนผลักหน้าต่างชั้นสองของกุฏิใหญ่ ผมเหลือบตาขึ้นไปดูเห็นพระสงฆ์รูปหนึ่งมีลักษณะอ้วนท้วนสมบูรณ์ ใบหน้าเป็นรูปเหลี่ยมมน เต็มไปด้วยลักษณะของความเมตตา อายุราว ๆ 80 เศษ เยี่ยมหน้าออกมาทางหน้าต่างชั้นบนของกุฏิใหญ่ ท่านเห็นผมนั่งอ่านมนต์อยู่และเห็นผมมองท่านก็มิได้ว่ากล่าวประการใด แล้วท่านก็ลับหน้าเดินกลับเข้าไป

    สมปราชญ์ศิษย์วัดรุ่นพี่กำลังนั่งซักผ้าอยู่ใกล้ ๆ กันเห็นเหตุการณ์นั้นจึงดุผมว่าอ่านหนังสืออะไรเสียงดังลั่น หนวกหูท่านเจ้าคุณใหญ่ ท่านโผล่หน้าออกมาเตือนแล้ว ต่อไปนี้ขอให้เงียบเสียง อย่าได้ส่งเสียงรบกวนท่านเจ้าคุณใหญ่อีกต่อไป

    ผมไต่ถามสมปราชญ์จึงได้ความว่าพระสงฆ์ทรงพรรษาอาวุโสรูปนั้นคือเจ้าประคุณพระเทพสิทธินายก เจ้าอาวาสวัดระฆัง และครองตำแหน่งเป็นเจ้าคณะหนึ่งด้วย บรรดาพระและเด็กวัดทั้งปวงเรียกขานท่านโดยทั่วไปว่าท่านเจ้าคุณใหญ่ แต่นามเดิมของท่านเป็นที่รู้จักกันอย่างดีและอย่างกว้างขวางในวงการพระเครื่องคือหลวงปู่นาคแห่งวัดระฆังโฆสิตาราม

    หลวงปู่นาคหรือท่านเจ้าคุณใหญ่เป็นพระมหาเถระที่มากด้วยพรรษา ทรงศีล ทรงวินัย ทรงวิทยาคม มีความศักดิ์สิทธิ์เป็นที่นับถือเลื่องลือไกล งานปลุกเสกพระเครื่องวัดไหนหากมีหลวงปู่นาคไปนั่งปรกแล้ว เป็นอันวางใจได้ว่าพระเครื่องรุ่นนั้นจะมีความศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่นิยมของมหาชน

    เมื่อสมปราชญ์มาขัดคอเสียดังนั้นผมจึงหยุดเรียนมนต์ แต่ในใจผมยังไม่อยากจะเชื่อว่าการเรียนพระคาถาชินบัญชรโดยการอ่านออกเสียงในวันนั้นเป็นการรบกวนท่านเจ้าคุณใหญ่ คงคิดแต่ว่าท่านเจ้าคุณใหญ่อาจจะสงสัยว่าใครที่ไหนมาท่องพระคาถาชินบัญชรทั้งที่ไม่มีเทศกาลงานอะไร

    แต่เมื่อศิษย์วัดรุ่นพี่มาตักเตือนเช่นนั้นผมก็ได้แต่เกรงใจและไม่อยากขัดใจ ในคืนวันนั้นหลังจากสวดมนต์ไหว้พระแล้วผมก็เอาพระคาถาชินบัญชรมาอ่านอีก 2-3 รอบ อ่านแล้วรู้สึกสงบเย็น และมีความอบอุ่นมั่นใจอย่างไรชอบกล

    วันรุ่งขึ้นตอนบ่ายสมปราชญ์ศิษย์วัดรุ่นพี่ออกไปข้างนอกและทั้งกุฏิก็เหลือแต่ผมคนเดียว ผมจึงเอาแผ่นกระดาษที่พิมพ์พระคาถาชินบัญชรแผ่นเดิมมานั่งอ่านที่ด้านหลังกุฏิดังเดิมอีก แต่คราวนี้เสียงอ่านมนต์คาถาออกจะราบรื่นเพราะได้ผ่านตาและอ่านมา 4-5 ครั้งแล้ว จึงคล่องแคล่วกว่าเมื่อวันวานมาก

    ผมอ่านออกเสียงพระคาถาชินบัญชรด้วยจิตศรัทธาและมีสมาธิพอประมาณ น้ำเสียงจึงกังวานและไม่มีความติดขัด ในทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงทุ้มเย็นยะเยือกดุจเสียงสวดสรรเสริญพระรัตนตรัยดังขึ้นช้า ๆ จากกุฏิใหญ่ชั้นบนว่า เอออ้ายหนูคาถาชินบัญชรนี้ศักดิ์สิทธิ์มาก เอ็งร่ำเรียนเอาไว้เถิด

    ผมได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าขึ้น เห็นท่านเจ้าคุณใหญ่เยี่ยมหน้าต่างออกมาเช่นวันก่อน ท่านจ้องมาที่ผมด้วยสีหน้าอันยิ้มแย้มและเปี่ยมด้วยความเมตตาผมจึงยกมือไหว้ท่วมศีรษะ เพราะท่านเจ้าคุณใหญ่อยู่ข้างบนกุฏิชั้นสอง แล้วได้ยินเสียงหลวงปู่นาคพูดพอได้ยินดังขึ้นอีกว่า เออดี เออดี แล้วท่านก็เดินกลับเข้าไป

    ผมทราบได้ในขณะนั้นว่าหลวงปู่นาคท่านเห็นดีเห็นงามในการที่ผมจะร่ำเรียนพระคาถาชินบัญชร จึงได้ให้กำลังใจด้วยน้ำใจที่เมตตา ซึ่งสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจน

    ผมเข้าใจว่าท่านเจ้าคุณใหญ่พูดให้กำลังใจในวันนี้เพราะคงฟังจากเสียงท่องมนต์ที่ราบรื่นและชัดเจนกว่าวันก่อน  แล้วรู้ว่าเด็กวัดน้อยกำลังเรียนมนต์อันศักดิ์สิทธิ์ของอดีตสมภารเจ้าวัดระฆังอย่างเอาจริงเอาจัง ไม่ใช่อ่านหนังสือออกเสียงโดยไม่รู้อะไร

    ผู้ที่จิตมีกำลังสมาธิย่อมมีขีดความสามารถที่จะหยั่งรู้อารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่นได้ตามลำดับขั้นของกำลังสมาธินั้น หากกำลังสมาธิบรรลุถึงขั้นสูงสุดในพระพุทธศาสนาและบรรลุถึงเจโตปริยญาณแล้วก็สามารถหยั่งรู้จิตผู้อื่นได้

    สำหรับผู้ที่ยังไม่บรรลุถึงขั้นเจโตปริยญาณแต่มีการฝึกฝนอบรมจิตอย่างสม่ำเสมอก็มีขีดความสามารถในการรับรู้อารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่นได้เป็นบางขั้นบางระดับ แม้การฝึกฝนอบรมจิตในลัทธิศาสนาอื่นก็เคยมีปรากฏ ดังตัวอย่างที่ปรากฏในหนังสือสามก๊กตอนหนึ่งเมื่อครั้งที่สุมาอี้ยกกองทัพสิบหมื่นตรงมาที่เมืองเล็ก ๆ ซึ่งขงเบ้งปักหลักเตรียมจะล่าถอยนั้น ทหารรักษาเมืองมีน้อยตัวนัก ขงเบ้งจะสู้ก็มิได้ จะล่าถอยก็ไม่ทัน จึงคิดอ่านทำกลอุบายเมืองร้างอันลือลั่นในประวัติศาสตร์กลอุบายขึ้น

    ขงเบ้งให้เปิดประตูเมืองแล้วให้คนชรา 6-7 คนไปทำทีกวาดขยะหน้าประตูเมือง ขงเบ้งขึ้นไปนั่งดีดพิณอยู่บนเชิงเทินเหนือประตูกำแพง มีเด็กน้อย 2 คนคอยถือกระถางธูปและแส้สัญญาณ ทำให้เกิดความฉงนแก่ผู้พบเห็น

    กองทัพหน้าของสุมาอี้เห็นเหตุการณ์ดังนั้นก็ประหลาดใจ สุมาอี้ชักม้าขึ้นมาถึงกองทัพหน้าเห็นเหตุการณ์ประหลาดก็ไม่กล้าบุกเข้าโจมตีด้วยเกรงว่าขงเบ้งวางกลอุบายซ่อนทหารไว้ซุ่มโจมตี

    แต่สุมาอี้ก็เป็นแม่ทัพใหญ่ เจนจบพิชัยสงคราม ผ่านการฝึกฝนอบรมจิตและมีความรู้เรื่องการดนตรีเป็นอย่างดีไม่ได้ด้อยไปกว่าขงเบ้ง จึงเงี่ยหูสดับฟังทำนองเพลงพิณของขงเบ้งว่าเป็นประการใด คือเสียงพิณได้สะท้อนความผิดปกติประการใดบ้างเพื่อจะได้จับพิรุธของขงเบ้ง

    สุมาอี้เงี่ยหูฟังอยู่พักใหญ่ก็ปรากฏว่าทำนองเพลงพิณนั้นรื่นไหลไม่ติดขัด ไม่ส่ออาการวิตกกังวลหรือตื่นเต้นตกใจของผู้บรรเลงเพลงพิณเลยแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำทำนองเพลงพิณในบางตอนก็เหมือนซ่อนความมั่นใจอย่างลึกซึ้งเอาไว้ ทำนองเพลงพิณในบางตอนก็เหมือนซ่อนความนัยไว้ภายใต้สิ่งที่ปรากฏว่าราบเรียบ ที่สำคัญในบางห้วงของทำนองเพลงมีกลิ่นอายของความอำมหิตโหดเหี้ยมสุดประมาณ

    สุมาอี้สังเกตอย่างถี่ถ้วนแล้วจึงมั่นใจว่าขงเบ้งทำกลอุบายซุ่มซ่อนทหารไว้ทำลายกองทัพตัวจึงตกใจ เกรงว่าจะตกอยู่ในกลขงเบ้งจึงสั่งให้ทัพหลังแปรเป็นทัพหน้าล่าถอยออกไปก่อน แล้วทัพหน้าก็แปรเป็นทัพหลังคอยระวังหลังในการล่าถอย

    นั่นแสดงให้เห็นถึงการหยั่งรู้ความรู้สึกนึกคิดจิตใจของผู้อื่นจากเสียงที่แสดงออก เป็นแต่ว่าสุมาอี้พลาดพลั้งในครั้งนั้นก็เพราะกำลังจิตและการฝึกฝนอบรมจิตยังด้อยขั้นกว่าจูกัดเหลียงขงเบ้ง จึงนอกจากจับพิรุธไม่ได้แล้วยังกลับต้องหลงกลขงเบ้งอีก

    ใกล้ค่ำวันนั้นผมออกไปหาข้าวปลากินแถวบ้านพรานนกซึ่งอยู่ห่างวัดระฆังออกไปประมาณ 1 กิโลเมตร ขากลับผมได้ซื้อพวงมาลัยดอกมะลิแล้วแวะไปกราบสมเด็จที่วิหาร บอกกล่าวเจ้าประคุณสมเด็จว่าผมร่ำเรียนท่องมนต์พระคาถาชินบัญชรมา 2 วัน พอจะคุ้นกับภาษาบาลีและเนื้อความในบทพระคาถาแล้วแต่ยังท่องจำไม่ได้ ผมเริ่มเรียนมนต์วันพฤหัสบดี อีก 2 วันจะเป็นวันอาทิตย์ ซึ่งมีคติว่าอาทิตย์เป็นมิตรกับครูคือมีคติทางโหราศาสตร์ถือว่าพระอาทิตย์เป็นศิษย์ของพระพฤหัส ผมฝากตัวเป็นศิษย์เจ้าประคุณแล้วจึงขอบารมีเจ้าประคุณให้ความทรงจำบังเกิด สามารถร่ำเรียนและท่องมนต์สำเร็จในวันอาทิตย์นี้เถิด

    วันรุ่งขึ้นเป็นวันเสาร์ผมก็หัดท่องพระคาถาชินบัญชรต่อไปอีก ขณะที่ท่องมาถึงคำว่า “มะหีตะเล” ก็ได้ยินเสียงหลวงปู่นาคดังขึ้นจากทางหน้าต่างชั้นสองของกุฏิใหญ่ว่า อ้ายหนู ภาษาบาลีตอนนี้ต้องท่องให้ชัด เพราะไม่ใช่เสียงตัว ห.หีบ และไม่ใช่เสียงตัว ฮ.นกฮูก แต่ต้องออกเป็นเสียงกล้ำระหว่างตัว ห.หีบ กับตัว ฮ.นกฮูก เป็นเสียงขึ้นจมูก

    ผมเงยหน้าขึ้นเห็นท่านเจ้าคุณใหญ่มองมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แววตาของท่านเปล่งประกายถึงความเมตตาอารีอย่างเห็นได้ชัด ผมยกมือไหว้หลวงปู่ด้วยความเคารพศรัทธาและซึ้งในพระคุณ แล้วเห็นหลวงปู่นาคท่านเดินกลับเข้าไปอีก

    ผมได้ยินคำเตือนของหลวงปู่นาคก็ได้ตั้งความสังเกตว่าบทพระคาถาชินบัญชรตอนที่ว่า “มะหีตะเล” นั้นหากออกเสียงเป็นเสียง ห.หีบ ก็จะเป็นเสียงที่บอกความหมายน่าเกลียดและเห็นจะไม่เป็นมงคลเป็นแน่ มาได้ทราบภายหลังว่าในการออกเสียงภาษาบาลีนั้น การออกเสียง ห.หีบ จะเป็นเสียงกล้ำระหว่าง ห.หีบ กับ ฮ.นกฮูก คือเป็นเสียงขึ้นเพดานออกทางจมูกตามที่ท่านเจ้าคุณใหญ่ได้แนะนำไว้ จึงนึกถึงพระคุณของหลวงปู่นาคและทำให้เข้าใจถึงความสำคัญของการเรียนมนต์ที่จะคลาดเคลื่อนในอักขระวิธีไม่ได้ เพราะความหมายจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น แม้น้ำเสียงพยัญชนะก็จะผิดเพี้ยนไปจนน่าเกลียด

    ดังนั้นใครที่เรียนและท่องพระคาถาชินบัญชรในตอนนี้ก็ควรที่จะตั้งความระลึกถึงความถูกต้องในการออกเสียงให้ถูกต้องดังที่หลวงปู่นาคท่านได้แนะนำไว้ดังนี้

    การท่องบทพระคาถาชินบัญชรในวันนี้ออกจะราบรื่นโดยทั่วไป จะติดขัดหลงลืมบ้างก็แต่บางตอน ผมจึงมีความมั่นใจว่าจะสามารถเรียนพระคาถาชินบัญชรให้สำเร็จได้ภายในวันอาทิตย์เป็นแน่แท้ รำลึกดังนี้ความเชื่อมั่นก็บังเกิดขึ้นในใจเป็นอักโข นี่แหละที่โบราณเขาว่าความตั้งใจย่อมก่อตั้งความทรงจำ

    คืนนั้นก่อนนอนผมไหว้พระสวดมนต์อย่างที่เคยแล้วกราบลงบนหมอน รำลึกถึงพระคุณเจ้าประคุณสมเด็จ นึกภาวนาว่าขอให้เรียนพระคาถาชินบัญชรสำเร็จดังปรารถนาเถิด ในคืนวันนั้นก็บังเกิดความฝันประหลาด เห็นพระภิกษุชรารูปหนึ่งอายุพรรษาราว ๆ 80 เศษ ชราจนหง่อมแล้ว ห่มจีวรสีกลัก แต่ผิวพรรณยังผุดผ่องมีเนื้อหนังมังสาที่สมบูรณ์ มีใบหน้าที่เปี่ยมด้วยความเมตตาอย่างล้ำลึก ผมยกมือขึ้นไหว้ พระภิกษุนั้นก็หายไป

    ตื่นขึ้นจำความฝันได้ก็รู้สึกแปลกใจและเฉลียวใจว่าพระภิกษุชราในฝันนั้นหรือจะเป็นเจ้าประคุณสมเด็จมาแสดงนิมิตให้ปรากฏ แต่ก็แปลกใจว่าภาพพระภิกษุชราที่ปรากฏในฝันนั้นไม่เหมือนกันเลยกับรูปหล่อเจ้าประคุณสมเด็จในวิหารซึ่งมีลักษณะผอมโปร่ง และที่บริเวณหน้าท้องค่อนข้างจะป่อง ขณะเดียวกันในใจก็ค่อนข้างจะมั่นใจว่าน่าจะเป็นเจ้าประคุณสมเด็จเป็นแท้ เป็นแต่ว่าภาพที่เห็นในฝันนั้นเป็นภาพที่เจ้าประคุณมีความสมบูรณ์พร้อมก่อนที่จะอาพาธในครั้งสุดท้าย

    เพราะเท่าที่เคยได้ยินมานั้นการได้พบหรือการเห็นนิมิตหรือการปรากฏในความฝันของบรรดาผู้ที่ล่วงลับไปแล้วจะมีลักษณะสามประการไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง คือ มีรูปร่างที่สมบูรณ์เหมือนเมื่อครั้งที่มีความสมบูรณ์มากที่สุดหรือมากกว่านั้นอย่างหนึ่ง มีรูปร่างเหมือนกับยามสิ้นลมอย่างหนึ่ง และมีรูปร่างที่อัปลักษณ์น่าเกลียดน่ากลัวยิ่งกว่ายามมีชีวิตอยู่อีกอย่างหนึ่ง ขึ้นอยู่กับผลบุญกุศลและผลกรรมที่ทำมาในขณะมีชีวิต

    มาภายหลังจึงได้ทราบว่ารูปหล่อเจ้าประคุณสมเด็จอันสถิต ณ วิหารสมเด็จวัดระฆังนั้นเป็นรูปจำลองของเจ้าประคุณในเวลาบั้นปลายใกล้จะดับขันธ์แล้ว ณ เวลานั้นเจ้าประคุณอาพาธหนัก มีอาการมาก ผอมซูบจนเห็นซี่โครงได้ชัดเจน แต่บริเวณส่วนท้องกลับป่องมาก เพราะเหตุนี้จึงต่างกับพระภิกษุชราที่ปรากฏในฝันคืนนั้นราวกับว่าเป็นคนละคน.

    โดย เรืองวิทยาคม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤศจิกายน 2014
  2. pongio

    pongio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    843
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +6,850
    ตอนที่ 11 - เนื้อในพระคาถาชินบัญชร

    การฝันเห็นพระภิกษุชราในวันเวลาที่ผมตั้งใจมั่นว่าจะเรียนพระคาถาชินบัญชรให้สำเร็จ ทำให้ผมมั่นใจว่าความศรัทธา ความเพียร ความมุ่งมั่นแห่งจิต จะทำให้เกิดสมาธิมากขึ้น และย่อมส่งผลให้เรียนมนต์อันศักดิ์สิทธิ์นี้สำเร็จลุล่วงเป็นแน่แท้ ใจก็ยิ่งมีศรัทธามั่นกว่าแต่ก่อนเป็นอันมากว่าเห็นจะเรียนมนต์ให้สำเร็จในวันอาทิตย์นี้ได้เป็นมั่นคง

    ในวันนั้นลูกผู้น้องของผมติดต่อกับครูกริ้วแล้วทราบว่าทางโรงเรียนวัดมกุฏกษัตริย์ยินดีรับเข้าเรียน โดยต้องนำหลักฐานผลการสอบชั้น มศ.2 และใบสุทธิจากโรงเรียนเก่าไปแสดงด้วยซึ่งขณะนั้นยังคงรอผลสอบกันอยู่ ครูกริ้วบอกว่าพร้อมเมื่อใดแล้วให้ไปพบกับครูคนหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนของครูกริ้ว ซึ่งได้ติดต่อประสานงานกันไว้เรียบร้อยแล้ว

    ผมได้ยินข่าวเช่นนั้นใจหนึ่งก็ดีอกดีใจไปกับลูกผู้น้อง แต่อีกใจหนึ่งก็ใจหายเพราะข่าวดังกล่าวก็คือสัญญาณหมายว่าโรงเรียนใกล้จะเปิดเทอมใหม่แล้ว ยังไม่รู้ว่าจะได้เรียนที่ไหน เกิดเป็นความกังวลขึ้นในใจ แต่พักหนึ่งก็ตัดใจได้ว่าถึงอย่างไรก็ต้องพยายามหาที่เรียนให้จงได้

    ในเวลาก่อนเพลวันอาทิตย์นั้นทั้งพระทั้งเณรและเด็กวัดอื่นพากันไปข้างนอกหมดเช่นเดียวกับเมื่อวันวาน ราวกับว่าเปิดโอกาสให้ผมเรียนและท่องพระคาถาชินบัญชรได้อย่างเต็มที่ ผมจึงพยายามตั้งจิตให้สงบ นึกถึงพระคุณของสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสีให้ช่วยประสิทธิ์ประสาธน์ให้เกิดความทรงจำ และท่องมนต์พระคาถาชินบัญชรให้สำเร็จในวันนี้ 
    ผมท่องพระคาถาชินบัญชรไปมาอยู่หลายรอบ รู้สึกว่าแคล่วคล่องใกล้จะตลอดแล้ว เหลือเพียงบางตอนซึ่งตะกุกตะกักอยู่บ้าง จึงพยายามท่องเฉพาะตอนที่ตะกุกตะกักอยู่นั้นอีกหลายเที่ยว จนมีความแคล่วคล่องเหมือนตอนอื่น ๆ

    จากนั้นจึงท่องตลอดทั้งบทพระคาถาอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้ปรากฏว่าสามารถท่องพระคาถาชินบัญชรได้อย่างแคล่วคล่อง ไม่มีผิดพลาดตะกุกตะกักอีก ความปรีดาปราโมทย์ได้บังเกิดขึ้นจนเป็นความสุขสุดที่จะกล่าว ในขณะเดียวกันก็มีความดีใจที่สามารถเรียนพระคาถาชินบัญชรได้สำเร็จสมดังความตั้งใจ จึงยกมือขึ้นไหว้ไปทางวิหารสมเด็จด้วยความสำนึกในพระคุณ

    ผมท่องทวนอีก 2-3 จบ ทั้งท่องออกเสียงและท่องในใจก็แคล่วคล่องตลอดไม่ติดขัด ในขณะนั้นพระมหาทรงธรรม์กลับมาจากกิจธุระพร้อมกับลูกผู้น้องของผมเพื่อที่จะมาฉันเพล ได้ยินผมท่องพระคาถาชินบัญชรอย่างแคล่วคล่องก็มีสีหน้ายินดี ถึงกับหยุดทักทายผมที่ข้างหลังกุฏินั้นเอง

    พระมหาทรงธรรม์ได้กล่าวขึ้นว่า แกนี่มันยอดคน อายุอานามเพียงเท่านี้รู้จักเรียนพระคาถาชินบัญชรแล้ว ฉันนอนฟังแกท่องบทพระคาถาเมื่อวันก่อน ตอนแรกก็รู้สึกแปลกใจและคิดว่าในที่สุดก็คงจะทิ้ง เพราะไม่สามารถท่องภาษาบาลีอันเป็นบทพระคาถาขนาดยาวได้ นึกไม่ถึงว่าไม่กี่วันก็สามารถเรียนและท่องมนต์บทนี้ได้สำเร็จ

    พระมหาทรงธรรม์กล่าวดังนั้นแล้วจึงหันไปถามลูกผู้น้องของผมว่าแกไม่สนใจเล่าเรียนบ้างหรืออย่างไร ลูกผู้น้องของผมได้ตอบว่าใจพะวงอยู่แต่การเข้าเรียน ไม่มีสมาธิที่จะเรียนและท่องคาถาชินบัญชร ไว้วันหน้าถ้ามีโอกาสก็จะพยายามเรียนให้สำเร็จเหมือนกัน

    หลังพระฉันเพลวันนั้นแล้วผมยังอิ่มเอิบอาบอยู่ด้วยปิติที่บังเกิดขึ้นกับใจที่สามารถร่ำเรียนพระคาถาชินบัญชรได้สำเร็จ ดังนั้นในช่วงบ่ายจึงออกมานั่งหลังกุฏิ ท่องทบทวนพระคาถาชินบัญชรอีก 2-3 รอบ

    พลันได้ยินเสียงของหลวงปู่นาคดังขึ้นจากกุฏิชั้นบนอีกว่า เออดีแล้วไอ้หนู เก่งมาก เรียนคาถาชินบัญชรแล้วอย่าคิดแต่จะใช้เพื่อประโยชน์ของตัวเอง เพราะคาถานี้สามารถเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ได้ด้วย วันข้างหน้าจะเห็นประโยชน์ใหญ่

    ผมหันหน้าขึ้นไปมองหลวงปู่ ยกมือขึ้นไหว้ ท่านก็ยิ้มให้ด้วยความเมตตาเหมือนวันก่อน

    ความจริงชื่อพระคาถาชินบัญชรนั้นแปลว่าหน้าต่างของพระผู้มีพระภาคเจ้า และเนื้อความในบทพระคาถาอันยาวเหยียดนั้นอาจจำแนกได้เป็นห้าตอน คือ

    ตอนที่หนึ่ง เป็นบทสรรเสริญพระคุณของพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่ได้ตรัสรู้อริยสัจสี่ แล้วเสวยวิมุตติสุขจากความตรัสรู้นั้นแล้วอัญเชิญพระพุทธเจ้าทั้ง 28 พระองค์ มีสมเด็จพระตัณหังกรพระพุทธเจ้าเป็นต้นให้เสด็จมาอยู่ ณ เบื้องกระหม่อม

    ตอนที่สอง เป็นบทอัญเชิญพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้มาสถิตอยู่ที่ศีรษะ ที่ดวงตา และหน้าอก

    ตอนที่สาม เป็นบทอาราธนาพระอริยสาวกทั้งปวง มีพระสาลีบุตร พระโมคคัลลานะ พระอนุรุทธเถระเป็นต้น ให้มาสถิต ณ ส่วนและอวัยวะต่าง ๆ

    ตอนที่สี่ เป็นบทอัญเชิญพระสูตรทั้งปวง มีรัตนสูตรเป็นต้น มาสถิตอยู่ที่ส่วนต่าง ๆ และกางกั้นอยู่เบื้องบนอากาศ และเป็นกำแพงอันล้อมรอบ

    ตอนที่ห้า เป็นบทอานิสงส์และเงื่อนไขของพระคาถาชินบัญชร สำหรับผู้ร่ำเรียนท่องบ่นมนต์นี้ ซึ่งมีสามส่วนคือ

    ส่วนที่หนึ่ง เป็นส่วนอานิสงส์หรือผลที่จะได้รับ ซึ่งขออานิสงส์ให้อุปัทวันตรายทั้งหลายภายนอกและอุปัทวันตรายทั้งหลายภายในอันเกิดแต่เหตุต่าง ๆ มีลมกำเริบและดีซ่านเป็นต้นให้ดับสูญไป

    ส่วนที่สอง เป็นคำมั่นสัญญาว่าจะต้องประพฤติปฏิบัติในปัจจุบันว่า “เมื่อข้าพเจ้าประกอบการงานของตนอยู่ในขอบเขตในพระบัญชรของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอริยสาวกทั้งหลายเหล่านั้นแล้ว ขอได้โปรดคุ้มครองรักษาข้าพเจ้า”

    ส่วนที่สาม เป็นเงื่อนไขและคำมั่นสัญญาในอนาคตว่า “ด้วยประการฉะนี้เป็นอันข้าพเจ้าได้คุ้มครองไว้ด้วยดีและด้วยอานุภาพของสมเด็จพระชินสีห์สัมพุทธเจ้า ขอให้ข้าพเจ้ามีชัยชนะแก่อุปัทวะทั้งปวง ด้วยอานุภาพของพระธรรมขอให้ข้าพเจ้ามีชัยชนะแก่หมู่อริศัตรูทั้งปวง ด้วยอานุภาพแห่งพระสงฆ์ขอให้ข้าพเจ้ามีชัยชนะแก่อันตรายทั้งปวง ข้าพเจ้าผู้อันอานุภาพแห่งพระสัทธรรมคุ้มครองรักษาแล้วจะประพฤติตนอยู่ในขอบเขตพระบัญชรของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตลอดไปเทอญ”

    มาภายหลังได้พิเคราะห์ดูแล้วเข้าใจว่าบทพระคาถาชินบัญชรนี้มีความศักดิ์สิทธิ์มากเพราะเหตุสองสถาน

    สถานแรก เป็นความศักดิ์สิทธิ์ด้วยลักษณะของบทมนต์ เช่นเดียวกับความศักดิ์สิทธิ์ของมนต์คาถาที่มีมาในทุกศาสนา ทุกลัทธิความเชื่อ ซึ่งเรียกว่า “วิชชามัยฤทธิ์” คือบันดาลให้เกิดความสำเร็จเพราะวิชาหรือมนต์วิธี และที่ศักดิ์สิทธิ์มากก็เพราะว่าลักษณะของบทมนต์นั้นเป็นการอัญเชิญบุญญาบารมีของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ของพระธรรม ของพระอริยสาวกทั้งหลาย ตลอดจนพระธรรมทั้งปวงอันพระตถาคตเจ้าได้แสดงแล้ว จึงนับว่าเป็นบทมนต์ที่เป็นธรรมขาวหรือที่เรียกว่าเศวตเวทย์ ไม่ใช่ไสยเวทย์ซึ่งเป็นธรรมดำหรือคุณไสย

    สถานที่สอง เป็นบทที่มีลักษณะการสาธยายมนต์โดยมีศูนย์รวมอยู่ที่ศีล สมาธิ ปัญญา และจิตที่ไกลจากกิเลสาสวะโดยลำดับแล้ว คำว่าชินบัญชรแปลว่าหน้าต่างของพระพุทธเจ้า หน้าต่างของพระพุทธเจ้าคืออะไร ตรงนี้วินิจฉัยโดยนัยยะความที่มีมาแต่โบราณว่า

    “อันดวงตาคือหน้าต่างของดวงจิต  เมื่อใจคิดงามงดตาสดใส 
    คิดชั่วช้าตาก็บอกออกความนัย  รักษาใจให้เลิศไว้เถิดเอย”

    บัญชรของพระพุทธเจ้าก็คือดวงตาของพระพุทธเจ้า นั่นคือดวงตาที่เห็นธรรมแต่อีกนัยหนึ่งก็อาจจะหมายความได้ว่าเป็นหน้าต่างที่จะมองเห็นพระพุทธเจ้า ซึ่งก็คือการมองเห็นธรรมดังพระพุทธพจน์ที่ทรงตรัสว่าผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต ดังนั้นบทพระคาถาชินบัญชรที่แม้จะมีเนื้อความยืดยาวแต่รวมความก็คือการให้มีความศรัทธา ความเพียร มีสติ มีสมาธิ และมีปัญญารู้แจ้ง ซึ่งพระธรรมอันประเสริฐที่พระตถาคตเจ้าได้แสดงแล้ว คือมีดวงตาเห็นธรรมนั่นเอง

    การที่จะมีดวงตาเห็นธรรมว่าสังขารทั้งหลายไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ และธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ซึ่งเรียกว่าเห็นพระไตรลักษณ์แล้วจะทำให้จิตหลุดพ้นจากกิเลสและอาสวะทั้งหลาย ถึงซึ่งวิชชาและวิมุตได้นั้นก็โดยอาศัยการปฏิบัติอบรมจิตในเรื่องของศีล สมาธิ และปัญญา

    ด้วยเหตุนี้พระคาถาชินบัญชรก็คือบทพระคาถาที่แสดงเป้าหมายที่สุดแห่งคำสอนของพระตถาคตเจ้า คือความหลุดพ้นจากทุกข์สิ้นเชิง ถึงซึ่งวิชชาและวิมุตโดยการฝึกฝนอบรมจิตด้วยศีล สมาธิ ปัญญานั่นเอง

    ผมคิดว่าการท่องคาถาชินบัญชรต้องอาศัยสมาธิจิต คือจิตที่ได้รับการฝึกอบรมด้วยดีโดยชอบแล้ว ในเวลาใช้จริง ๆ สถานที่นั้นอาจจะไม่สงบ หรืออยู่ในยามวิกฤต หรือมีผู้คนพลุกพล่าน หากคุ้นเคยแต่สถานที่ซึ่งมีความสงบก็อาจจะไม่สามารถท่องพระคาถาชินบัญชรในยามวิกฤตหรือในที่พลุกพล่านได้ ดังนั้นเพื่อสร้างสมความคุ้นเคยและเพื่อฝึกฝนอบรมจิตตัวเองให้มีสมาธิที่มั่นคงขึ้นผมจึงเดินไปที่ด้านหน้ากุฏิซึ่งอยู่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยาและมีเสียงเรือที่แล่นในแม่น้ำเจ้าพระยาดังกึกก้องอยู่ตลอดเวลา แล้วลองท่องพระคาถาชินบัญชร ก็ปรากฏว่ายังคงสามารถท่องได้แคล่วคล่องเหมือนดังเดิมก็มีความยินดีเป็นอันมาก

    ผมดีใจที่สามารถมีความทรงจำอย่างแคล่วคล่องและแม่นยำ จึงคิดจะไปบอกกล่าวให้แม่ชีเฒ่าซึ่งเฝ้าวิหารสมเด็จได้รับรู้และยินดีในความสำเร็จนี้ด้วย คิดดังนั้นแล้วจึงเดินออกจากประตูกุฏิ แต่พอถึงใต้ถุนกุฏิหลวงปู่นาค เห็นตู้พระไตรปิฎกเก่าคร่ำคร่าทั้งสองใบแล้วก็รู้สึกราวกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างมาทำให้สะดุดใจ

    ตู้พระไตรปิฎกเก่าคร่ำคร่าใต้ถุนกุฏิหลวงปู่นาคทั้งสองใบนี้คร่ำคร่าเสียจนไม่มีสิ่งใดน่าสะดุดใจ แต่เมื่อรู้สึกสะดุดใจขึ้นมาดังนั้นผมจึงเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ เห็นเก่าผุเต็มที เงยขึ้นไปเบื้องบนก็เข้าใจได้ว่าเวลาฝนตกน้ำฝนจากชานข้างกุฏิใหญ่ไหลมาตกลงบนตู้พระไตรปิฎกทั้งสองใบนี้ จึงทำให้เกิดการผุและชำรุด

    ใบหนึ่งประตูตู้ยังปิดสนิท อีกใบหนึ่งประตูตู้ชำรุดอ้าออกแล้ว ข้างในมีแต่คัมภีร์ใบลานที่เก่าแก่คร่ำคร่า ผมลองหยิบมาอ่านดูล้วนเป็นภาษาขอม เนื้อความเป็นคัมภีร์พระมาลัยครั้งที่ไปโปรดสัตว์ในเมืองนรก ซึ่งเป็นคัมภีร์ใบลานสำหรับพระเทศน์สอนผู้คนไม่ให้ทำความชั่วเพราะกลัวจะตกนรก และเป็นบทเทศนาซึ่งนิยมกันในอดีต

    ผมหวนรำลึกไปถึงความหลังเมื่อครั้งอยู่วัดกับพระอาจารย์ที่บ้านนอก สมัยนั้นพระอาจารย์ได้แนะนำว่าในอนาคตสืบไปข้างหน้ายากจะหาคนรู้ภาษาขอมแล้ว พระเณรในรุ่นหลังก็ไม่มีใครสนใจเล่าเรียน จึงสอนให้ผมเรียนรู้ภาษาขอมเพื่อจะได้อ่านและรู้ความในคัมภีร์โบราณซึ่งจะเป็นประโยชน์ในเบื้องหน้า ผมจึงได้มีโอกาสเรียนภาษาขอมซึ่งไม่มีใครเรียนตั้งแต่ในครั้งนั้น

    ภาษาขอมที่ว่านี้ได้นำมาใช้จารลงในใบลานเป็นอักขระตามภาษาบาลีอย่างหนึ่ง และเป็นอักขระที่อ่านออกเสียงเป็นภาษาไทยอีกอย่างหนึ่ง คัมภีร์ในชั้นหลัง ๆ สำหรับพระใช้เทศน์จะจารเป็นภาษาขอมที่อ่านออกเสียงเป็นภาษาไทย และส่วนใหญ่ก็จะเป็นคัมภีร์พระมาลัย

    พระอาจารย์เห็นผมเล่าเรียนภาษาขอมได้อย่างรวดเร็วและถือเป็นศิษย์วัดคนเดียวในรุ่นนั้นที่สามารถเรียนภาษาขอมได้ ดังนั้นผมจึงได้รับความเมตตาจากพระอาจารย์เป็นพิเศษ และเป็นเหตุให้ท่านได้สอนให้เขียนยันต์สำหรับคุ้มกันปัดเป่าและเพื่อความเป็นสิริมงคลอีกมากมายหลายประการ

    ผมจึงได้รู้ว่าการเขียนยันต์นั้นไม่ใช่ของง่ายเลย เพราะต้องเขียนอักขระเป็นภาษาขอมและมีลายเส้นที่มีระบบ ประณีต ประหนึ่งจะเป็นภาษาอีกชนิดหนึ่งที่จะสื่อไปถึงพลังหรือผู้ที่อยู่ในอีกมิติหนึ่งให้ได้รู้เพื่อจะได้รักษาคุ้มครองป้องกันจากอุปัทวันตรายทั้งปวงและส่งเสริมให้เกิดความสิริมงคล

    ในขณะเขียนลายเส้นยันต์ เขียนอักขระประกอบยันต์ทั้งหลายนั้นยังจะต้องทำจิตให้เปี่ยมด้วยเมตตาแล้วแผ่ไปในทุกทิศ จากนั้นจึงต้องสำรวมจิตเข้าเป็นหนึ่งเพ่งลงมาที่ยันต์ และบริกรรมด้วยพระคาถาต่าง ๆ ตามที่ต้องการจะทำยันต์นั้น

    เพราะเหตุที่ได้เล่าเรียนภาษาขอมจึงมีโอกาสได้เล่าเรียนยันตวิธีและพิธีอาถรรพ์ ตลอดจนไสยเวทย์ยิ่งกว่าศิษย์คนใดในสำนักของพระอาจารย์นั้น แต่เนื่องจากการทั้งปวงนี้ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานสมาธิจิตหรือองค์ฌานอันกล้าจึงจะมีผลอย่างสมบูรณ์ดังปรารถนา ในขณะนั้นผมอายุยังน้อยด้อยพลังจิตจึงเรียนรู้ได้แต่กรรมวิธีโดยที่ไม่มีกำลังแห่งจิตเกื้อหนุนค้ำจุน แต่ถึงกระนั้นพื้นฐานความรู้ที่ได้เล่าเรียนก็เป็นบาทฐานให้แก่การฝึกฝนไปในวันข้างหน้า

    ถ้าเปรียบเทียบกับหนังสือกำลังภายใน กรรมวิธีการเขียนและพิธีกรรมก็เหมือนกับกระบวนท่าร่างหรือกระบวนท่าของกระบี่ แต่จะใช้ให้ได้ผลจริงก็ต้องมีพื้นฐานกำลังภายในเป็นรากฐาน กระบวนท่าและพลังจึงก่อตัวเป็นเพลงกระบี่ที่มีอานุภาพได้ ฉันใดก็ฉันนั้น.

    โดย เรืองวิทยาคม
     

แชร์หน้านี้

Loading...