ตรัสโปรดธัมมิกอุบาสก

ในห้อง 'พระไตรปิฎก' ตั้งกระทู้โดย anand, 7 ตุลาคม 2009.

  1. anand

    anand เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,118
    ค่าพลัง:
    +641
    ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


    ธัมมิกสูตร

    ว่าด้วยพระพุทธพจน์ตรัสโปรดธัมมิกอุบาสก

    ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้

    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตกรุงสาวัตถี ครั้งนั้น ธัมมิกอุบาสกพร้อมด้วยอุบาสก ๕๐๐ คน เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้ว นั่ง ณ ที่สมควร ได้กราบทูลด้วยคาถาว่า

    [๓๗๙]
    ข้าแต่พระโคดมผู้มีพระปัญญาอันไพบูลย์
    ข้าพระองค์ขอทูลถามพระองค์ว่า
    บรรดาสาวกที่ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต
    กับสาวกที่เป็นอุบาสกอยู่ครองเรือนนั้น
    สาวกที่ปฏิบัติตนอย่างไร จึงชื่อว่า เป็นสาวกที่ดี
    [๓๘๐]
    พระองค์เท่านั้นทรงทราบชัดคติ
    และข้ามพ้นไปจากคติ
    ของชาวโลกพร้อมทั้งเทวโลก
    ไม่มีใครที่เล็งเห็นประโยชน์ได้สุขุมลุ่มลึกเท่ากับพระองค์
    บัณฑิตทั้งหลายพากันขนานนามพระองค์ว่า
    เป็นพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ
    (คติหมายถึงการไปหรือภพที่สัตว์ไปเกิด ๕ คือ ๑. นรก ๒. กำเนิดสัตว์เดรัจฉาน ๓.แดนเปรต ๔.มนุษย์ ๕. เทพ)

    [๓๘๑]
    พระองค์ผู้ทรงรู้แจ้งเญยยธรรม ทรงอนุเคราะห์เหล่าสัตว์
    ได้ทรงประกาศพระญาณและธรรมทั้งปวง
    ข้าแต่พระองค์ผู้มีสมันตจักขุ
    พระองค์มีกิเลสดุจเครื่องปิดบังอันเปิดแล้ว
    ทรงปราศจากมลทิน รุ่งเรืองอยู่ในโลกทั้งปวง
    [๓๘๒]
    พญาช้างเอราวัณทราบว่าพระผู้มีพระภาค
    เป็นผู้ทรงชนะบาปธรรมได้แล้ว
    จึงเข้าไปเฝ้าพระองค์ถึงที่ประทับ
    พญาช้างแม้นั้นได้ปรึกษาทูลถามปัญหากับพระองค์
    ฟังคำพยากรณ์แล้ว ได้บรรลุธรรม
    มีความยินดีเปล่งสาธุการแล้วจากไป
    (ช้างเอราวัณ หมายถึงเทพบุตรชื่อเอราวัณเนรมิตกายเป็นพญาช้าง)
    [๓๘๓]
    ถึงแม้ท้าวเวสวัณ ซึ่งมีพระนามเดิมว่า ท้าวกุเวร
    ก็ยังเสด็จเข้ามาเฝ้ากราบทูลถามปัญหาธรรม
    พระองค์แม้ถูกท้าวเวสวัณนั้นทูลถาม
    ก็ยังตรัสตอบจนท้าวเธอสดับแล้วมีความชื่นชมยินดีจากไป
    [๓๘๔]
    ชนต่างๆ เหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นพวกเดียรถีย์อาชีวกหรือนิครนถ์
    ผู้ชอบกล่าวยกตนข่มผู้อื่นทั้งหมด
    ย่อมไม่เกินเหนือพระองค์ด้วยปัญญา
    เหมือนคนที่หยุดอยู่ ไม่ทันคนที่เดินเร็วและไม่หยุด ฉะนั้น
    [๓๘๕]
    พวกพราหมณ์ผู้เฒ่า
    ที่มีปกติกล่าววาทะเหล่าใดเหล่าหนึ่งก็ดี
    และพราหมณ์เหล่าอื่นที่สำคัญอยู่ว่า
    เราทั้งหลายผู้มีปกติทำวาทะก็ดี
    ชนเหล่านั้นทั้งหมด ล้วนแต่ได้รับประโยชน์จากพระองค์
    [๓๘๖]
    ข้าแต่พระผู้มีพระภาค
    ธรรมนี้ที่พระองค์ทรงแสดงอย่างดีละเอียด
    (ธรรมในที่นี้หมายถึงโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ)
    และก่อให้เกิดสุขอย่างแท้จริง
    ข้าพระองค์ทั้งหมดตั้งใจฟังธรรมนั้น
    ข้าแต่พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด
    ขอพระองค์โปรดตรัสพยากรณ์ปัญหา
    ที่พวกข้าพระองค์ทูลถามแล้วด้วยเถิด

    [๓๘๗]
    ภิกษุพร้อมทั้งอุบาสกนี้ทั้งหมด
    ผู้นั่งประชุมกัน ณ ที่นี้ เพื่อต้องการจะฟัง
    จะตั้งใจฟังธรรมที่พระผู้มีพระภาค
    ผู้ทรงปราศจากมลทินตรัสรู้แล้ว
    เหมือนทวยเทพต่างตั้งใจฟังสุภาษิตของท้าววาสวะ ฉะนั้น
    [๓๘๘] (พระผู้มีพระภาคตรัสดังนี้)
    ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงตั้งใจฟังเรา
    เราจะให้เธอได้สดับธรรมคือข้อปฏิบัติกำจัดกิเลส
    และขอพวกเธอทั้งหมดจงประพฤติธรรมนั้น
    ภิกษุผู้มีปัญญาพิจารณาเห็นประโยชน์
    ควรปฏิบัติตนอยู่ทุกอิริยาบถที่สมควรแก่บรรพชิต
    [๓๘๙]
    ภิกษุไม่ควรออกเที่ยวไปในเวลาวิกาล
    แต่ควรเที่ยวบิณฑบาตในหมู่บ้านตามเวลา
    เพราะว่าภิกษุผู้ออกเที่ยวในเวลาวิกาล
    กิเลสเครื่องข้องจะครอบงำ
    เพราะฉะนั้น บุคคลผู้รู้ทั้งหลายจึงไม่ออกเี่ที่ยวในเวลาวิกาล
    (กิเลสเครื่องข้อง ๕ อย่าง คือ ราคะ โทสะ โมหะ มานะและทิฏฐิ)
    [๓๙๐]
    ภิกษุควรกำจัดความพอใจในกามคุณ ๕ เหล่านี้ คือ
    รูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัสที่ทำให้เหล่าสัตว์หลงมัวเมา
    เข้าไปยังโอกาสที่จะพึงบริโภคอาหารในเวลาเช้า ตามกาล
    [๓๙๑]
    อนึ่ง ภิกษุได้อาหารบิณฑบาตมาฉันภายในเวลาแล้ว
    ควรกลับไปนั่งในที่สงัดตามลำพัง
    ควบคุมอัตภาพ คือจิตได้อย่างมั่นคงแล้ว
    กำหนดจิตพิจารณาอารมณ์ภายใน
    ไม่ปล่อยจิตไปในอารมณ์ภายนอก
    [๓๙๒]
    ถ้าแม้ภิกษุนั้นจำเป็นจะต้องสนทนากับสาวกอื่นๆ
    หรือภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง ก็ควรสนทนาธรรมที่ประณีตนั้น
    ไม่ควรกล่าวคำสอนส่อเสียดกระทบว่าร้ายผู้อื่น
    (ธรรมที่ประณีต หมายถึงกถาวัตถุ ๑๐ ประการ)
    [๓๙๓]
    มีคนพวกหนึ่งชอบกล่าววาทะโต้เถียงกัน
    เราไม่สรรเสริญคนพวกนั้นผู้มีปัญญาน้อย
    เพราะกิเลสเครื่องข้องที่เกิดจากการกล่าววาจาโต้เถียงกันนั้น
    จะครอบงำคนพวกนั้น เพราะพวกเขา (เมื่อโต้เถียงกัน)
    ย่อมทำจิตให้ไกลจากการปฏิบัติสมถะและวิปัสสนา
    [๓๙๔]
    สาวกผู้มีปัญญาดี ฟังธรรมที่พระสุคตพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว
    พิจารณาอาหารบิณฑบาต ที่อยู่อาศัย ที่นอน ที่นั่ง น้ำใช้น้ำฉััน
    และการซักผ้าสังฆาฏิที่สกปรกให้สะอาดแล้วจึงใช้สอยปัจจัย
    [๓๙๕]
    เพราะฉะนั้น ภิกษุจึงไม่ควรเป็นผู้ยึดติดในสิ่งเหล่านี้
    คืออาหารบิณฑบาต ที่นอน ที่นั่ง น้ำใช้น้ำฉัน
    และการซักผ้าสังฆาฏิที่สกปรกให้สะอาดนี้
    เหมือนหยาดน้ำไม่ติดบนใบบัว ฉะนั้น
    [๓๙๖]
    ต่อไปนี้ เราจะบอกข้อปฏิบัติของคฤหัสถ์แก่พวกเธอ
    คือสาวกที่เป็นคฤหัสถ์ประพฤติอย่างไร
    จึงยังประโยชน์ให้สำเร็จได้
    จริงอยู่ สาวกที่ยังมีความหวงแหนในไร่นาเป็นต้น
    ไม่สามารถที่จะบรรลุธรรมของภิกษุล้วนๆ ได้
    [๓๙๗]
    สาวกที่เป็นคฤหัสถ์ยกโทษในสัตว์ทุกจำพวก
    ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ที่ยังหวาดสะดุ้ง และที่มั่นคงในโลกแล้ว
    ไม่พึงฆ่าเอง ไม่พึงใช้ให้ผู้อื่นฆ่า และไม่พึงอนุญาตให้ใครๆ ฆ่า
    [๓๙๘]
    จากนั้น สาวกที่เป็นคฤหัสถ์ รู้อยู่
    ควรงดเว้นการถือเอาสิ่งของต่างๆ ในทุกหนทุกแห่ง ที่เจ้าของมิได้ให้
    คือ ไม่พึงลักเอง ไม่พึงใช้ให้ผู้อื่นลัก และไม่พึงอนุญาตให้ใครๆ ลัก
    พึงงดเว้นการถือเอาสิ่งของทั้งปวงที่เจ้าของมิได้ให้โดยเด็ดขาด
    [๓๙๙]
    สาวกที่เป็นคฤหัสถ์ ผู้เข้าใจชัดแจ้ง
    ควรงดเว้นพฤติกรรมอันมิใช่พรหมจรรย์
    เหมือนคนเดินหลีกหลุมถ่านเพลิงที่มีไฟลุกโชน ฉะนั้น
    แต่เมื่อไม่สามารถประพฤติพรหมจรรย์ได้
    ก็ไม่ควรล่วงเกินภรรยาของผู้อื่น
    [๔๐๐]
    สาวกผู้อยู่ในที่ประชุม หรือในที่สาธารณชน
    และอยู่กับคนคนเดียว ไม่ควรพูดเท็จ
    ไม่ควรใช้ให้ผู้อื่นพูดเท็จ และไม่ควรอนุญาตให้ใครๆ พูดเท็จ
    ควรงดเว้นคำพูดที่ไม่เป็นจริงทั้งหมด
    [๔๐๑]
    สาวกผู้เป็นคฤหัสถ์ไม่ควรประพฤติการดื่มน้ำเมา
    ควรยินดีชอบใจธรรม คือการงดเว้นการดื่มน้ำเมานี้
    ไม่ควรชักชวนผู้อื่นให้ดื่ม และไม่ควรอนุญาตให้ใครๆ ดื่ม
    เพราะรู้ชัดถึงโทษของการดื่มน้ำเมานั้นว่า มีความเป็นบ้าในที่สุด
    [๔๐๒]
    เพราะความเมานั่นเอง คนพาลทั้งหลายจึงทำบาปต่างๆ ได้
    ทั้งยังชักชวนคนอื่นๆ ผู้ประมาทให้ทำอีกด้วย
    สาวกที่เป็นคฤหัสถ์จึงควรงดเว้นการดื่มน้ำเมา
    ที่ไม่เป็นบ่อเกิดแห่งความดี มีแต่ทำให้เป็นบ้า หลงลืม
    ที่พวกคนปัญญาทรามชอบดื่มกันนี้
    [๔๐๓]
    สาวกที่เป็นคฤหัสถ์ไม่ควรฆ่าสัตว์ ไม่ควรลักทรัพย์
    ไม่ควรพูดเท็จ ไม่ควรดื่มน้ำเมา
    ควรงดเว้นจากเมถุนที่เป็นความประพฤติไม่ประเสริฐ
    ไม่ควรบริโภคอาหารในเวลาวิกาลในเวลากลางคืน
    [๔๐๔]
    ไม่ควรทัดทรงดอกไม้ ไม่ควรลูบไล้กายด้วยของหอม
    ควรนอนบนเตียง บนพื้น หรือบนที่ที่ปูลาดไว้
    บัณฑิตทั้งหลายกล่าวว่า อุโบสถที่ประกอบด้วยองค์ ๘ นี้แล
    พระพุทธเจ้าผู้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ทรงประกาศไว้
    [๔๐๕]
    และต่อไป สาวกที่เป็นคฤหัสถ์ผู้มีใจเลื่อมใส
    ควรเข้าจำอุโบสถที่ประกอบด้วยองค์ ๘ ให้บริบูรณ์ดี
    ทุกวัน ๘ ค่ำ ๑๔ ค่ำ หรือ ๑๕ ค่ำแห่งปักษ์
    และตลอดปาฏิหาริกปักษ์
    (ปาฏิหาริกปักษ์ หมายถึงกำหนดเวลา ๕ เดือน คือ เดือน ๘ ต้นแห่งวันเข้าพรรษา, ๓ เดือนภายในพรรษา, เดือน ๑๒)

    [๔๐๖]
    อันดับต่อไป สาวกที่เป็นคฤหัสถ์ผู้เข้าจำอุโบสถแต่เช้า
    มีจิตเลื่อมใส เบิกบานใจอยู่เนืองๆ มีัปัญญาเข้าใจแจ้งชัด
    ควรแจกจ่ายถวายข้าวน้ำแด่ภิกษุสงฆ์ตามสมควร

    [๔๐๗]
    สาวกที่เป็นคฤหัสถ์นั้น
    ควรบำรุงเลี้ยงมารดาบิดาโดยชอบธรรม
    ควรประกอบการค้าขายที่ชอบธรรม
    เป็นผู้ไม่ประมาทประพฤติวัตรแห่งคฤหัสถ์นี่อยู่
    ย่อมไปเกิดในหมู่เทพที่ชื่อว่า สยัมปภา
    [การค้าขายที่ชอบธรรม หมายถึงการค้าขายที่เว้นจากการค้าที่ไม่ชอบธรรม ๕ อย่างคือ ๑. สัตถวณิชชา (ค้าขายอาวุธ) ๒. สัตตวณิชชา (ค้าขายมนุษย์) ๓. มังสวณิชชา (ค้าขายเนื้อสัตว์) ๔.มัชชวณิชชา (ค้าขายน้ำเมา) ๕. วิสวณิชชา (ค้าขายยาพิษ)]
    (สยัมปภา หมายถึงหมู่เทวดาที่มีแสงสว่างในตัว มีอยู่ในสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้น)
    ธัมมิกสูตรที่ ๑๔ จบ

    พระสุตตันตปิฎก
    ขุททกนิกาย
    สุตตนิบาต
    หน้า ๕๘๘-

    พระไตรปิฎกภาษาไทย
    ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย




     

แชร์หน้านี้

Loading...