ตรงข้าม เนกขัมมะ! และผลที่จะได้รับ(คุณ/โทษ)

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย tokyoo2, 6 เมษายน 2013.

แท็ก: แก้ไข
  1. tokyoo2

    tokyoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2012
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +419
    ภิกษุ ท ! อะไร เป็นอัสสาทะ (รสอร่อย) ของกามทั้งหลาย? ภิกษุ ท ! กามคุณ
    ๕ อย่างเหล่านี้ มีอยู่. ห้าอย่าง อย่างไรเล่า? ห้าอย่างคือ รูป อันจะพึงรู้แจ้งด้วยตา
    เสียงอันจะพึงรู้แจ้งด้วยหู กลิ่นอันจะพึงรู้แจ้งด้วยจมูก รสอันจะพึงรู้แจ้งด้วยลิ้น
    โผฏฐัพพะอันจะพึงรู้แจ้งด้วยผิวกาย (แต่ละอย่างๆ) อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่า
    พอใจ มีลักษณะน่ารัก เป็นที่เข้าไปอาศัยอยู่แห่งความใคร่ เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด
    มีอยู่ ภิกษุ ท ! สุขโสมนัสใด อาศัยกามคุณห้าเหล่านี้แล้วเกิดขึ้น, นี้เป็นอัสสาทะของ
    กามทั้งหลาย.
    กามทั้งหลายมีรสอร่อยน้อยมีโทษมาก ถึงเเม้กามคุณจะให้ความสุขโสมนัสอย่างไรก็ตาม กามสุขเหล่านั้นย่อมดับไป เปรียบด้วยท่อนกระดูก ชินเนื้อ ฯลฯ เเละย่อมนำทุกข์มาให้



    ภิกษุ ท ! อะไรเป็นอาทีนวะ (โทษอันต่ำทราม) ของกามทั้งหลาย?
    ผลที่เนื้องด้วยกาม เห็นได้เอง เเละจะเกิดขึ้นกับทุกคนไม่ว่า ในภพนี้หรือภพอื่น หรือ เคยเกิดขึ้นมาเเล้ว

    (ก) ภิกษุ ท ! กุลบุตรในโลกนี้ สำเร็จการเป็นอยู่ด้วยความ พากเพียรในศิลปะ
    คือ ด้วยศิลปะแห่งการใช้สัญญาด้วยมือ ศิลปแห่งการคำนวณ ศิลปะแห่งการนับ ด้วย
    กสิกรรม ด้วยวาณิชกรรม ด้วยโครักขกรรม ด้วยศิลปะแห่งการใช้ศาตรา ด้วยการ
    เป็นราชบุรุษ หรือด้วยศิลปะอย่างใดอย่างหนึ่ง,ต้องเผชิญกับความหนาว เผชิญกับ
    ความร้อน ต้องลำบากอยู่ด้วยสัมผัสอันเกิดจากเหลือบยุงลมแดดและสัตว์เลื้อยคลาน
    ทั้งหลาย อ่อนแรงอยู่ ด้วยความหิว กระหายเพราะการไม่ได้บริโภคตามเวลา. ภิกษุ
    ท ! ข้อนี้เป็นโทษแห่งกามเป็นกองทุกข์ อันบุคคลเห็นได้เอง ว่ามีกามเป็นเหตุ มีกาม
    เป็นต้นเค้า มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ มีเหตุมาแต่กามนั่นเทียว.

    (ข) ภิกษุ ท ! แม้เมื่อกุลบุตรนั้นพากเพียรอยู่อย่างนั้น สืบต่อ พยายามอยู่อย่าง
    นั้น โภคะก็ยังไม่สำเร็จแก่เขา ; เขาย่อมเศ้ราโศก ย่อมลำบากใจ ร่ำไรรำพัน ตีอกร่ำ
    ไห้ ถึงความคลั่งเพ้อว่า " ความพากเพียรของเราเป็นโมฆะเสียแล้วหนอ ความ
    พยายามของเราไม่มีผลหนอ" ดังนี้เป็นต้น. ภิกษุ ท ! แม้ข้อนี้ ก็เป็นโทษของกาม เป็น
    กองแห่งทุกข์ อันบุคคลเห็นได้เอง ว่ามีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็น
    เครื่องบังคับให้กระทำ มีเหตุมาแต่กามนั่นเทียว.

    (ค) ภิกษุ ท ! ถึงแม้ว่าเมื่อกุลบุตรนั้น พากเพียรอยู่อย่างนั้นสืบ ต่อพยายามอยู่
    อย่างนั้น โภคะเกิดสำเร็จผลแก่เขาขึ้นมา. เขาก็ยังเสวยทุกขโทมนัสเพราะการ
    อารักขาโภคะเหล่านั้น โดยวิตกอยู่ว่า "ทำอย่างไรพระราชาจึงจะไม่ริบทรัพย์ของเรา
    ไป โจรจะไม่ปล้นทรัพย์ของเราไป ไฟจะไม่ไหม้ น้ำจะไม่พัดพาเอาไป ทายาทอัน
    ไม่เป็นที่รักจะไม่เยื้อแย่งเอาไป" ดังนี้เป็นต้น. เมื่อเขาอารักขาคุ้มครองอยู่อย่างนี้
    พระราชาริบทรัพย์ของเขาไปบ้าง โจรปล้นเอาไปบ้าง ไฟไหม้เสียบ้าง น้ำพัดพาไป
    เสียบ้าง ทายาดไม่เป็นที่รักเยื้อแย่งไปเสียบ้าง, เขาย่อมเศร้าโศก ย่อมลำบากใจ ร่ำไร
    รำพัน ตีอกร่ำไห้ ถึงความคลั่งเพ้อว่า "สิ่งที่เคยมีแก่เรา ฉิบหายไปหมดแล้วหนอ"
    ดังนี้เป็นต้น ภิกษุ ท ! แม้ข้อนี้ก็เป็นโทษแห่งกาม เป็นกองแห่งทุกข์ อันบุคคลเห็นได้
    เอง ว่ามีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ มีเหตุมาแต่
    กามนั่นเทียว.

    (ง) ภิกษุ ท ! โทษอื่นยังมีอีก ที่มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้น เค้า มีกามเป็น
    เครื่องบังคับให้กระทำ มีเหตุมาแต่กามนั่นเอง ; คือ ข้อที่ราชาวิวาทกับราชาบ้าง
    กษัตริย์วิวาทกับกษัตริย์บ้าง พราหมณ์วิวาทกับพราหมณ์บ้าง คหบดีวิวาทกับคหบดี
    บ้าง มารดาวิวาทแม้กับบุตร บุตรวิวาทแม้กับมารดา บิดาวิวาทแม้กับบุตร บุตรวิวาท
    แม้บิดา พี่น้องชายกับพี่น้องชาย พี่น้องหญิงกับพี่น้องหญิง แม้สหายกับสหายก็ยัง
    วิวาทกัน, เขาเหล่านั้น ถึงการทะเลาะแก่งแย่งวิวาทกัน ในที่นั้นๆ, ทำร้ายกันและกัน
    ด้วยฝ่ามือบ้าง ด้วยก้อนดินบ้าง ด้วยท่อนไม้บ้าง ด้วยศาตราบ้าง ถึงความตายบ้าง
    ได้รับทุกข์เจียนตายบ้างในที่นั้นๆ ภิกษุ ท ! แม้ข้อนี้ ก็เป็นโทษของกาม เป็นกองแห่ง
    ทุกข์ อันบุคคลเห็นได้เอง ว่ามีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นเครื่องบังคับ
    ให้กระทำ มีเหตุมาแต่กามนั่นเทียว.

    (จ) ภิกษุ ท ! โทษอื่นยังมีอีก ที่มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้น เค้า มีกามเป็น
    เครื่องบังคับให้กระทำ มีเหตุมาแต่กามนั่นเอง ; คือ ข้อคนที่คนทั้งหลายถือดาบและ
    โล่หนัง ผูกสอดธนูและแล่งศร แล่งเข้าไปสู่สงครามอันตั้งขึ้นเป็นกองทัพสองฝ่าย
    ยิงศรอยู่บ้าง ซัดหอกอยู่บ้าง กวัดแกว่งดาบอยู่บ้าง, คนเหล่านั้น ถูกศรแทงบ้าง ถูก
    หอกแทงบ้าง ถูกดาบตัดศีรษะบ้าง ถึงความตายบ้าง ได้รับทุกข์เจียนตายบ้าง อยู่ในที่
    นั้นๆ. ภิกษุ ท ! แม้ข้อนี้ก็เป็นโทษของกาม เป็นกองแห่งทุกข์ อันบุคคลเห็นได้เอง ว่า
    มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ มีเหตุมาแต่กามนั่น
    เทียว.
    (ฉ) ภิกษุ ท ! โทษอื่นยังมีอีก ที่มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็น
    เครื่องบังคับให้กระทำ มีเหตุมาแต่กามนั่นเอง; คือ ข้อที่คนทั้งหลายถือดาบและโล่
    หนัง ผูกสอดธนูและแล่งศร แล่นเข้าประชิดเชิงเทินอันกระทำขึ้นด้วยวิธีที่เรียกว่า
    อัฏฏาวเลปนา๐ เมื่อมีการยิงลูกศรอยู่บ้าง ซัดหอกอยู่บ้าง กวัดแกว่งดาบอยู่บ้าง คน
    เหล่านั้นก็ถูกลูกศรแทงบ้าง ถูกหอกแทงบ้าง ถูกรดอยู่ด้วยเถ้าถ่านโคมัยอันร้อนบ้าง
    ปล่อยของหนักให้ตกลงทับทีเดียวตายบ้างทั้งหมู่บ้านบ้าง ถูกตัดศีรษะด้วยดาบบ้าง
    ถึงความตายบ้าง ได้รับทุกข์เจียนตายบ้าง อยู่ในที่นั้นๆ. ภิกษุ ท ! แม้ข้อนี้ ก็เป็นโทษ
    ของกาม เป็นกองแห่งทุกข์อันบุคคลเห็นได้เอง ว่ามีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มี
    กามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ มีเหตุมาแต่กามนั่นเทียว.

    (ช) ภิกษุ ท ! โทษอื่นยังมีอีก ที่มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็น
    เครื่องบังคับให้กระทำ มีเหตุมาแต่กามนั่นเอง; คือ ข้อที่คนบางพวก ย่อมตัดช่อง
    ย่องเบา ปล้นสะดมในเรือนหลังเดียว คอยดักทำร้ายในที่เปลี่ยว และล่วงภรรยาผู้อื่น.
    พระราชาจับคนเหล่านั้นมาแล้ว ให้กระทำกรรมกรณ์วิธีการลงโทษหลายวิธีด้วยกัน
    เช่นเฆี่ยนด้วยหวายบ้าง หวดด้วยเชือกหนังบ้าง ตัดหูบ้าง ตัดจมูกบ้าง ตัดเสียทั้งหู
    และจมูกบ้าง ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ "หม้อเคี่ยวน้ำส้ม"@ ๑ บ้าง ย่อมกระทำ
    กรรมกรณ์ชื่อ "ขอดสังข์"@๒ บ้าง ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ "ปากราหู" @๓ บ้าง ย่อม
    กระทำกรรมกรณ์ชื่อ "มาลัยไฟ" @๔ บ้าง ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ " มือคบเพลิงบ้าง"
    ๕ บ้าง ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ " ริ้วส่าย" ๖ บ้างย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ "นุ่ง
    เปลือกไม้" @๗ บ้างย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ "ยืนกวาง"๘ บ้าง ย่อมกระทำกรรมกรณ์
    ชื่อ "เกี่ยวเหยื่อเบ็ด"@ ๙ บ้าง ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ "เหรียญกษาปณ์" ๑๐บ้าง ย่อม
    กระทำกรรมกรณ์ชื่อ "ทาเกลือ" บ้าง ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ "แปรงแสบ" ๑๑ บ้าง
    ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ "เวียนหลัก"@๑๒ บ้าง ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ "ตั่งฟาง"๑๓
    บ้างราดด้วยน้ำมันร้อนๆบ้าง ย่อมปล่อยให้สุนักทึ้ง@ ๑๔"บ้าง ย่อมให้นอนหงายบน
    หลาวทั้งเป็นๆบ้าง ย่อมตัดศีรษะด้วยดาบบ้าง; เขาเหล่านั้น ย่อมถึงซึ่งความตายบ้าง
    ได้รับทุกข์เจียนตายบ้าง อยู่ในที่นั้นๆ. ภิกษุ ท ! แม้ข้อนี้ก็เป็นโทษของกาม เป็นกอง
    แห่งทุกข์ อันบุคคลเห็นได้เอง ว่ามีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นเครื่อง
    บังคับให้กระทำ มีเหตุมาแต่กามนั่นเทียว.

    (ญ) ภิกษุ ท ! โทษอื่นยังมีอีก ที่มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นเครื่อง บังคับให้
    กระทำ มีเหตุมาแต่กามนั่นเอง ; คือข้อที่คนทั้งหลายประพฤติทุจริตด้วยกาย ด้วย
    วาจา และด้วยใจ, ครั้นประพฤติทุจริตด้วยกาย วาจา และใจแล้ว เขาเหล่านั้น ย่อม
    เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เบื้องหน้าแต่การตาย เพราะการแตกสลายแห่งกาย.
    ภิกษุ ท ! แม้ข้อนี้ ก็เป็นโทษของกาม เป็นกองแห่งทุกข์ อันบุคคลเห็นได้เอง ว่ามีกาม
    เป็นเหตุมีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ มีเหตุมาแต่กามนั่นเทียว.
    ภิกษุ ท ! อะไร เป็นนิสสนณะ (อุบายเป็นเครื่องออก) จากกาม ทั้งหลาย?
    ภิกษุ ท ! การนำออกเสียได้ซึ่งฉันทราคะ การละเสียได้ซึ่งฉันทราคะ ในกามทั้งหลาย
    อันใด, อันนั้น เป็นนิสสนณะจากกามทั้งหลาย.
    เพราะกาม จึง ไม่สังวรอินทรีย์ ทุจริต3ย่อมบริบูรณ์

    ภิกษุ ท ! สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด ไม่รู้ชัดตามเป็นจริง ซึ่งอัส สาทะแห่ง
    กามทั้งหลายโดยความเป็นอัสสาทะด้วย ซึ่งอาทีนวะโดยความเป็นอาทีนวะด้วย ซึ่ง
    นิสสรณะโดยความเป็นนิสสรณะด้วย โดยอาการเหล่านี้ อยู่; สมณะพราหมณ์
    เหล่านั้นน่ะหรือ จักรู้รอบซึ่งกามทั้งหลายด้วยตนเอง หรือว่าจักชักชวนผู้อื่นให้รอบ
    รู้ซึ่งกามเหมือนผู้ที่เคยปฏิบัติแล้ว ดังนี้นั้น : นั่นไม่เป็นฐานะที่มีได้.
    ภิกษุ ท ! ส่วนสมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด รู้ชัดตามเป็นจริง ซึ่ง อัสสาทะ
    แห่งกามทั้งหลายโดยความเป็นอัสสาทะด้วย ซึ่งอาทีนวะโดยความเป็นอาทีนวะด้วย
    ซึ่งนิสสรณะโดยความเป็นนิสสรณะด้วย โดยอาการอย่างนี้อยู่ ; สมณะหรือ
    พราหมณ์เหล่านั้นนั่นแหละ จักรอบรู้ซึ่งกามทั้งหลายด้วยตนเอง หรือว่าจักชักชวน
    ผู้อื่นให้รอบรู้ซึ่งกามเหมือนผู้ที่เคยปฏิบัติแล้ว ดังนี้นั้น : นั่นเป็นฐานะที่มีได้.

    (ความรู้ดังกล่าวนี้สงเคราะห์ลงในสัมมาทิฏฐิดังนั้นจึงนำมารวมไว้ในที่นี้.)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 เมษายน 2013
  2. tokyoo2

    tokyoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2012
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +419
    ๐. ตีนกำแพงที่ทำให้ขรุขระไว้ด้วยของมีคม ยากแก่การที่ข้าศึกจะเข้าไป หรือปีนกำแพงได้.
    ๑. “หม้อเคี่ยวน้ำส้ม” คือต่อยหัวขมองแยกออก แล้วใช้คีมคีบก้อนเหล็กที่ลุกแดงใส่ลงไปให้
    มันสมองเดือดพลุ่งขึ้นเหมือนน้ำส้มเดือดล้นหม้อ.
    ๒. "ขอดสังข์" คือตัดหนังควั่นไปให้รอบจอนหูทั้งสองข้าง และหลุมคอ แล้วรวบผมทั้งหมด
    ขมวดไว้ ใช้ไม้สอดหมุนยกขึ้น ให้หนังหลุดติดขึ้นมาพร้อมกับผมแล้วใช้ทรายหยาบขัด
    กระโหลกศีรษะล้างให้ขาวดังสังข์.
    ๓. " ปากราหู" คือใช้ขอเหล็กง้างปากให้อ้าแล้วจุดไฟในปาก. อีกอย่างหนึ่ง ใช้สิ่วตอกเจาะ
    ตั้งแต่จอนหูเข้าไปจนถึงปาก ให้โลหิตไหลออกมาเต็มปาก ดูปากอ้า ดั่งปากราหู.
    ๔."มาลัยไฟ"คือใช้ผาชุบน้ำมันพันจนทั่วตัวแล้วจุดไฟ.
    ๕."มือคบเพลิง"คือใช้ผ้าชุบน้ำมันพันมือทั้งสองข้างจนทั่วแล้วจุดไฟ.
    ๖."ริ้วส่าย" คือเชือดหนังลอกออกเป็นริ้วๆ ตั้งแต่ใต้คอไปจนถึงข้อเท้า แล้วเอาเชือกผูกฉุด
    คร่าไป นักโทษเดินเหยียบหนังคัวล้มลุกคลุกคลานไปจนกว่าจะตาย.
    ๗. "นุ่งเปลือกไม้" คือเชือดหนังเป็นริ้วๆอย่างบทก่อน แต่ทำเป็นสองตอน ตั้งแต่ใต้คอจนถึง
    เอวตอนหนึ่ง ตั้งแต่เอวจนถึงข้อเท้าตอนหนึ่ง ริ้วหนังตอนบนห้อยคลุมลงมาปิดกายตอนล่างดู
    ดั่งนุ่งเปลือกไม้.
    ๘. " ยืนกวาง" คือใช้ห่วงเหล็กรัดข้อศอกทั้งสอง และเข่าทั้งสอง ตรึงติดไว้กับหลักเหล็กสี่
    หลักบนพื้นดินดูดั่งกวางถูกตรึงแล้วก่อไฟล้อมลนจนกว่าจะตาย.
    ๙. " เกี่ยวเหยื่อเบ็ด" คือใช้เบ็ดมีเงี่ยงสองข้าง เกี่ยวตัวดึงเอาหนังเนื้อและเอ็นออกมาให้หมด
    ๑๐."เหรียญกษาปณ์"คือใช้มีดคมเชือดหนังออกเป็นแว่นๆขนาดเท่าเงินเหรียญจนกว่าจะตาย.
    ๑๑ "แปรงแสบ" คือฟันสับเสียให้ยับทั่วกาย แล้วใช้แปรงชุบน้ำแสบ (มีน้ำเกลือเป็นต้น)ถูครูด
    สีไปมาให้เนื้อเอ็นขาดหลุดออกมาเหลือแต่กระดูก.
    ๑๒ " เวียนหลัก" คือให้นอนตะแคง แล้วใช้หลาวเหล็กตอกเข้าช่องหูให้ทะลุ ลงไปตรึงแน่น
    อยู่กับดินแล้วจับเท้าทั้งสองเดินเวียน.
    ๑๓ "ตั่งฟาง" คือใช้ลูกหินบดทับตัว บดให้กระดูกแตกละเอียด แต่ไม่ให้หนังขาด แล้วจับผม
    รวบขึ้นเขย่าๆให้เนื้อรวมเข้าเป็นกอง แล้วใช้ผมนั่นแหละพันตะล่อมไว้ เหมือนตั่งที่ทำด้วยฟาง
    สำหรับเช็ดเท้า.
    ๑๔ "ให้สุนัขทึ้ง" คือขังฝูงสุนัขให้อดหิวโซหลายวัน แล้วปล่อยให้ออกมารุมทึ้ง พักเดียวเหลือ
    แต่กระดูก.
    - นัยแห่งอรรถกถาและพระไตรปิฎกแปลของ ม.อำไพจริต.
     
  3. chuchart_11

    chuchart_11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    764
    ค่าพลัง:
    +2,932
    ขออนุโมทนาสาธุ ธรรมใดที่ท่านสำเร็จแล้ว ขอข้าพเจ้าสำเร็จด้วยเทอญ สาธุๆๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...