ดวงจิตก่อเกิดมาจากไหน

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย thanapanyo, 2 พฤษภาคม 2014.

  1. thanapanyo

    thanapanyo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    236
    ค่าพลัง:
    +328
    ดวงจิตของเหล่า เทพ เทวดา นาค มนุษย์ หรือ สัตว์ ดวงจิตทุกๆดวงที่ก่อเกิดขึ้นมานั้น ริเริ่มมาจากโลกอีกโลกหนึ่ง ซึ่งโลกใบนั้นมีอากาศอบอ้าว และสามารถเปลี่ยนจากอากาศนั้น กลับกลายมาสู่การก่อเกิดดวงจิตต่างๆขึ้นมาจากธาตุของ ดิน น้ำ ลม ไฟ เหมือนเช่นเดียวกันกับโลกมนุษย์ของเราที่ก่อเกิดให้เป็นตัวแมลง ตัวหนอนขึ้นมาได้ ซึ่งถ้าเทียบกันแล้ว ดวงจิตของเรานั้นก็เหมือนกันกับตัวหนอนเหล่านั้นและในแต่ละวัน ดวงจิตต่างๆก็ได้ก่อเกิดขึ้นมาเยอะแยะมากมาย จนโลกใบนั้นเกิดสภาวะแน่นแออัด แน่นจนดวงจิตหลายๆดวงจิตเริ่มค้นหาการหลุดพ้น หรือค้นหาการที่จะทำให้ตนนั้น หลุดจากสภาวะแออัดนั้น จึงได้ริเริ่มจากการนั่งสมาธิ ดวงจิตหลายๆดวงที่ได้นั่งสมาธินั้น เมื่อได้นั่งไปนั่งมาจนถึงสภาวะธรรมหนึ่งของฌานสมาธิแล้ว ก็สามารถหลุดออกไปถึงโลกสวรรค์ เมื่อได้หลุดออกไปถึงโลกสวรรค์แล้ว กายนั้นก็กลายเป็นกายทิพย์ของเหล่าเทพเทวดา มีรูปร่างหน้าตาสวยงามผ่องใสและมีความเป็นทิพย์สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ ซึ่งเป็นโลกที่น่าอยู่มากอีกโลกหนึ่ง จึงได้คิดว่าจะหาทางช่วยดวงจิตที่ยังไม่สามารถหลุดมาสู่โลกสวรรค์ได้ให้ได้หลุดพ้นจากความทุกข์เช่นเดียวกัน ดวงจิตที่หลุดพ้นแล้วนั้นได้ใช้กำลังฌานสมาธินั้นกลับไปดึงดวงจิตที่นั่งสมาธิอยู่ได้เข้ามาสู่โลกสวรรค์จึงได้ก่อเกิดโลกสวรรค์ขึ้น เมื่อมีการก่อเกิดโลกสวรรค์แล้วนั้น เหล่าเทพเทวดาก็เกิดขึ้นมาอย่างเยอะแยะมากมาย และแน่นอนว่าการที่มีดวงจิตมากมายมาอยู่รวมกันและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างความสงบสุขในดินแดนสวรรค์เริ่มเปลี่ยนแปลงไป เริ่มมีความวุ่นวาย แก่งแย่งชิงดี ฉันเก่งกว่า เขาเก่งกว่า และเริ่มที่จะมีปัญหาในโลกสวรรค์ จึงมีการประชุมของเหล่าเทพเทวดาว่า หากแต่โลกสวรรค์ของเรานั้นจะเป็นอย่างนี้ตลอดไปก็คงจะน่าเบื่อสับสนวุ่นวาย และคงจะไม่น่าอยู่เช่นเดียวกันกับโลกที่ก่อเกิดดวงจิตเหล่านั้นจึงมีการประชุมกันของเหล่าดวงจิตทั้งหลายที่มีกายเป็นกายทิพย์ของเหล่าเทพเทวดามารวมตัวกันและจึงได้ประชุมกันว่าควรจะมีกฎกติกาจัดตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นการล็อคความวุ่นวายหากมิฉะนั้นแล้วความอุดมสมบูรณ์ ความสุขและสิ่งที่มีอยู่นี้ก็จะหายไป จะกลับกลายเป็นโลกของความสับสนวุ่นวายเช่นเดียวกับโลกที่ก่อเกิดดวงจิตนั้นจึงได้รวมตัวเข้าประชุมกันว่า “หากใครที่ทำผิดกฎกติกาของสวรรค์ก็จะถูกส่งให้ไปเกิดอยู่ในโลกบาดาล” เพื่อไปบำเพ็ญชำระจิตแล้วจึงจะกลับมา หากมิเช่นนั้นก็จะก่อเกิดความวุ่นวายบนโลกสวรรค์และหากดวงจิตที่จะเกิดขึ้นมานั้นจะเกิดมาโดยกำเนิดเองและมาจากฌานของสมาธิ ย่อมแน่นอนว่าจะไม่มีการเคารพ นอบน้อม นับถือซึ่งกันและกัน และจะไม่มีผู้ใด จะรับฟังคำพูดของผู้ใด จึงได้ปรับเปลี่ยน การมาก่อเกิดโดยฌานสมาธิ ซึ่งก่อเกิดมาเหมือนกับตัวหนอนนั้น เป็นการมาเกิดกับผู้เป็นบิดามารดา จึงมีการจับแยกจิตที่เป็นฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย ซึ่งมีการจับคู่ครองเรือนกันเพื่อให้ออกบุตรและว่าดวงจิตใดก็ตามหากว่าจะมาเกิด อยู่ในโลกของสรรค์ ก็จะต้องมาเกิดจากคนที่เป็นบิดามารดาจึงจะได้ มีการดูแลช่วยเหลือกันและกันและจะได้นอบน้อม เคารพนับถือต่อผู้ที่เป็นบิดามารดา จึงจะได้มีการช่วยเหลือกันและกันอย่างเต็มที่ต่อจากนั้นเองจึงมีการครองเรือน ครองคู่และออกบุตรของโลกสรรค์ และจึงมีโลกบาดาลเกิดขึ้นมาอีกโลกหนึ่ง และมีเหล่านาคเกิดขึ้นมา เมื่อดวงจิตที่ลงมาเกิดบนโลกบาดาล ซึ่งเป็นโลกของเหล่าพญานาค เป็นกายที่มีความเป็นทิพย์สูงกว่ามนุษย์เราแต่ว่ามีกายที่มีความเป็นทิพย์น้อยกว่ากายทิพย์ที่อยู่บนสวรรค์จึงริเริ่มในการก่อเกิดกายทิพย์ที่อยู่ทางบาดาลนั้น เวียงวังที่อยู่อาศัยกันขึ้นมาและเมื่อโลกบาดาลมีดวงจิตก่อเกิดขึ้นมาเยอะขึ้นๆ ก็เริ่มมีความวุ่นวายแก่งแย่งชิงดีมีความทะเยอทะยานอยาก และมีการแบ่งพรรคแบ่งพวก แบ่งฝ่ายจึงเกิดความสับสนวุ่นวายในเมืองบาดาลว่า “หากว่าใครทำผิดกฎ ก็จะต้องมาเกิดอยู่บนโลกมนุษย์” ซึ่งเป็นโลกที่หากเทียบแล้ว ก็จะมีอายุขัยของการเวียนว่ายตายเกิดนั้นน้อยมากถ้าเทียบกับทางสวรรค์และบาดาลเหมือนเป็นการมาเกิดเพื่อชดใช้วิบากกรรมและเป็นโลกที่จะต้องมีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ในเวลาไม่ช้า ในเวลาไม่นาน และแล้วจึงมีการก่อเกิดโลกมนุษย์ขึ้นมาอีกโลกหนึ่งโลกมนุษย์เรานี้จึงนับว่าเป็นโลกของการชำระดวงจิตหรือการมาเพื่อทำสิ่งที่ดีเพื่อดันดวงจิตของตนนั้นไปสู่สภาะวธรรมที่สูงขึ้น และนับว่าเป็นการชำระจิตของตนจึงมีดวงจิตเยอะแยะมากมายที่มาเวียนว่ายตายเกิดอยู่บนโลกมนุษย์ใบนี้ และแล้วเมื่อสามโลกนี้ได้วนไปวนมา เทวดาลงมาเกิดเป็นนาค นาคขึ้นมาเกิดเป็นมนุษย์ และมนุษย์ก็กลับไปสู่เทวดา วนไปวนมากันอยู่อย่างนี้ ท้ายที่สุดก็ไม่ใช่ความหลุดพ้นที่แท้จริงอยู่ดีเพราะว่ายังมีกิเลสตัณหา สภาวะธรรมของแต่ละโลกยังมีการสร้างสมบุญบารมี เพิ่มขึ้น และก็น้อยลงอยู่ และยังมีการเวียนว่ายตายเกิดวนเวียนอยู่ดี และแล้วจึงมีดวงจิตที่เป็นดวงจิตแรกที่คิดค้นหาวิธีที่จะหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งหลายเหล่านั้น คือดวงจิตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระพุทธเจ้าองค์ปฐม พระองค์ท่านจึงเป็นดวงจิตแรกที่คิดค้นการหาทางหลุดพ้น โดยการมาเกิดบนโลกมนุษย์เพื่อตัดความยึดมั่นถือมั่นและค้นหาเหตุของทุกข์ การดับทุกข์ทั้งหลาย พระองค์ท่านจึงลงมาตรัสรู้ธรรมบนโลกมนุษย์ หลังจากที่จิตของพระองค์ท่านได้หลุดพ้นไปแล้วนั้น จิตของพระองค์ท่าน จึงได้เข้าสู่พระนิพพาน ซึ้งเป็นโลกที่เงียบสงบและสิ้นแล้วด้วยกิเลสทั้งหลาย ดวงจิตใดก็ตามหากยังปนเปื้อน ด้วยกิเลสตัณหาจะไม่สามารถเข้าสู่โลกแห่งพระนิพพานนั้นได้เลยต่อจากนั้นมาจึงมีโลกนิพพานเกิดขึ้นมาอีกโลกหนึ่ง เป็นโลกที่ ๔ และแล้วหากดวงจิตใดที่เหนื่อยล้าจากการเวียนว่ายตายเกิดจากการเป็นเทพ เป็นนาค เป็นเทวดา การเวียนวนทั้งหลาย เหล่านี้แล้ว จึงบำเพ็ญเพื่อบรรลุธรรม หลุดเข้าไปสู่ดินแดนพระนิพพานซึ่งจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์เจ้า หากดวงจิตใด ที่เหนื่อยและท้อแล้วจึงบำเพ็ญหาความหลุดพ้น ตามธรรมของพระองค์ทุกๆพระองค์ ทั้งหมดนี้ก็คือการก่อเกิดของดวงจิตและที่มาที่ไปของโลกมนุษย์สวรรค์ บาดาล เพราะเหตุใดเราจึงมาและมาเพื่อจะไปไหน สภาวธรรมของแต่ละโลก เกิดขึ้นมาเพราะอะไรและเป็นยังไง ที่ที่หลุดพ้นอย่างแท้จริงนั้น คือที่ใด นี้จึงเป็นเหตุผลที่ยกขึ้นมาให้พวกเราเหล่านักบุญทั้งหลาย ได้เรียนรู้การก่อเกิดทั้งหมดเพื่อให้เข้าใจถึงการวนเวียน การไปและการมาของดวงจิต โดยเฉพาะตัวตนของเรานั้นมาจากไหน ต้องการอะไร ปรารถนาที่จะไปไหน ทำอะไรดีจึงจะหลุดพ้น ก็ขอให้ท่านผู้อ่านทุกท่านค้นหาตัวตน ให้รู้ความปรารถนาของภูมิจิตตนนั้น ว่าจะเลือกที่จะอยู่ในสวรรค์ บาดาล โลกมนุษย์ หรือ ดินแดนพระนิพพาน........
     
  2. thanapanyo

    thanapanyo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    236
    ค่าพลัง:
    +328
    เราเกิดมาเพื่ออะไร

    เมื่อเราได้รู้แล้วว่า การก่อเกิดของดวงจิตนั้น ก่อเกิดมาจากไหนและการก่อเกิดของแต่ละโลกนั้น ก่อเกิดมาจากสภาวธรรมของอะไร ต่อจากนี้ก็จะเป็นหัวข้อธรรม ที่เราก็มาหากันอีกว่า แล้วการก่อเกิดของมนุษย์เราเกิดมาเพื่ออะไร พระพุทธเจ้าท่านบอกกับกวนอิมน้อยว่า การเกิดมาของมนุษย์นั้นคือการเกิดมาเพื่อหากำไรให้ดวงจิตของตนทุกๆคนเกิดมาก็เหมือนกับการลงทุนทำการค้า เพื่อหากำไรไปสู่ดวงจิตของตน กำไรใน ณ ที่นี้มิได้หมายถึงการค้าขายที่เป็นเงินทอง แต่ถ้ากำไรของดวงจิตนั้นคือการสร้างสั่งสมบุญบารมี เพื่อให้เลื่อนภูมิจิตของตนจากต่ำขึ้นไปสูงและจากสูงแล้วให้ขึ้นสูงยิ่งๆขึ้นไปอีก หากการเกิดมาของมนุษย์เราเกิดมาแล้วไม่ ได้สร้างคุณงามความดี ไม่ได้ทำหน้าที่ ที่จะหากำไรให้กับดวงจิตของตน ก็นับว่าเสียดาย ที่มาเกิดเป็นมนุษย์ เหมือนกันกับคนที่ไปลงทุนทำการค้า แล้วต้องขาดทุนกลับไป แต่หากใครที่มาเกิดเป็นมนุษย์แล้วสร้างคุณงามความดี หากำไรให้กับดวงจิตของตน บุญกุศลนั้นค้ำหนุนดวงจิตให้เลื่อนสู่สภาวะของจิตที่เป็นภูมิจิตที่สูง นั้นก็ถือว่าเป็นผู้มีกำไรในการมาเกิดและไม่ขาดทุนในการมาทำการค้าในคราวครั้งนี้ และพระองค์ยังบอกกับกวนอิมน้อยอีกว่า การเกิดมาเป็นคนนั้นมีค่าแต่จะไม่มีค่าอะไรเลย หากว่าเกิดมาแล้วมิได้สร้างบุญสร้างบารมี มิได้สร้างกำไรให้กับดวงจิตของตน และยิ่งโดยเฉพาะ หากดวงจิตใดที่เกิดมาแล้วสร้างแต่กรรมชั่ว ทำแต่สิ่งไม่ดี ให้จิตของตนนั้นขาดทุน ก็ย่อมจะไม่มีค่าอะไรเลย เพราะฉะนั้นเมื่อพวกเราได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ก็จงรีบเร่งสร้างบุญกุศล หากำไรให้กับตนด้วยกัน อย่ามัวแต่หลงอยู่กับสิ่งต่างๆและสร้างกรรมชั่วสร้างความทุกข์ให้กับตนเลย มีเวลาในการมาหากำไรไม่นานนักหรอก เดี๋ยวพวกเราก็หมดเวลากันแล้ว ก็ขอให้ท่านผู้อ่านทุกท่าน จงรีบเร่งขวนขวายกำไรให้กับดวงจิตของตน ให้เลื่อนสภาวะจิตจากต่ำขึ้นไปสูง และหากสูงอยู่แล้วก็ให้สูงยิ่งๆขึ้นไปอีก การที่คนเราเกิดมานั้น อาจมีภูมิจิตมาต่างกันหรือไม่เท่ากันเช่นเดียวกับบางคนไปทำการค้ามีทุนไปเยอะจึงไม่ค่อยลำบากเท่าไหร่ แต่บางคนต้องกู้หนี้ยืมสินในการที่จะไปริเริ่มการค้าจึงต้องรีบเร่งค้าขายหากำไรเพื่อไปชดใช้จ่ายหนี้สินเหล่านั้น แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ดี หากเรารู้หน้าที่แล้ว ว่าเราเกิดมาเพื่ออะไร ก็จงตั้งใจทำหน้าที่ของตน หากเป็นหนี้เก่าอยู่ก็รีบสร้างคุณงามความดีเพื่อไปชดใช้กรรม หนี้เก่านั้นให้หมดสิ้น และจึงได้บุญบารมีมาสร้างสะสมเก็บเกี่ยวเอาไว้เพื่อเป็นพลังผลักดันดวงจิตให้ไปสู่จุดที่สูงและใครก็ตามหากคนนั้นมีทุนของบุญกุศลมาเยอะในการค้ำหนุนก็จงอย่าหลงในสิ่งที่มีจนทำให้ตนนั้น ไม่มีสติในการค้าแล้วขาดทุนกลับไป ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ก็มีสิทธิ์ที่จะดีขึ้นและลดลงได้ตามการกระทำของตน เกิดมาเป็นคนแล้ว ก็จงรีบเร่งหากำไรสร้างบุญกุศลให้กับตน.....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 พฤษภาคม 2014
  3. thanapanyo

    thanapanyo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    236
    ค่าพลัง:
    +328
    รูปแบบการเกิด

    การเกิดของมนุษย์เรานั้นแยกออกมาเป็น 2 รูปแบบ รูปแบบที่ 1 เรียกว่ากรรมลิขิต กรรมลิขิตก็คือผลของการกระทำของดวงจิตนั้นๆ ที่กระทำไปแล้วในอดีตกาลก่อน จะเป็นตัวมาลิขิตชีวิตของตนและชะตาชีวิตของดวงจิตนั้น ก็จะต้องเป็นไปตามผลของการกระทำ โดยมีเจ้าเกณฑ์ชะตาชีวิตเป็นผู้ลิขิตให้ว่าคุณจะต้องไปเกิดเป็นอะไร แบบไหน ชดใช้กรรมอะไร และเป็นผู้แต่งนิยายเรื่องราวชีวิตของคุณ เพื่อชดใช้หนี้กรรมที่คุณได้ทำมาในกาลก่อนนั้นก็ถือว่า เป็นผู้ที่มาเพื่อชดใช้หนี้ และสร้างบุญใหม่ เพื่อไปลบล้างหนี้กรรมเก่านั้น และได้ชดใช้กรรมนั้นๆ ตามเกณฑ์ชะตาชีวิตของคนผู้นั้น และรูปแบบที่2 เรียกว่า บุญลิขิต ผู้ที่บุญลิขิต ก็เช่นดังว่า เป็นเทพเทวดาที่อยู่บนสวรรค์ชั้นใดชั้นหนึ่ง หรือ เป็นเทพที่อยู่ทางโลกบาดาล แต่ตั้งใจอธิษฐานขึ้นมาเพื่อสร้างบุญบารมี สร้างคุณงามความดีไปค้ำหนุนดวงจิตของตนเพื่อให้สูงยิ่งๆขึ้นไป โดยจะมีการลิขิตชีวิตของตน เช่นจะเขียนเลือกว่า ฉันจะไปเกิดในรูปแบบไหน ต้องเผชิญกับอะไร และมีอะไรคือบททดสอบฉันบ้าง ต้องเผชิญพบเจอกับอะไรเพื่อให้ดวงจิตของฉันได้ทดสอบความดี ได้ทดสอบจิต ทดสอบกำลังบารมี และได้สร้างสมบุญบารมี เพื่อให้เลื่อนภูมิจิตจากนาคขึ้นไปเป็นเทพหรือเทพขึ้นไปหาความหลุดพ้น เช่นเดียวกันกับองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราหรือเหล่าพระอรหันต์ พระปัจเจกพุทธเจ้า ที่ลงมาเกิดเพื่อหาความหลุดพ้น ในกายของมนุษย์ และสิ่งที่ผ่านพ้นเข้ามาในชีวิตของแต่ละดวงจิตนั้น ก็คือบททดสอบเพื่อให้ตนนั้น ได้ผ่านการทดสอบเข้าไปสู่การเก็บบารมี สร้างสมบุญบารมี เลื่อนไปสู่สภาวธรรมที่สูงกว่าที่เป็นอยู่จึงสามารถที่จะเลือกได้ว่า ฉันจะเล่นเกมในแบบไหนฉันจะทำยังไงเพื่อให้ได้คะแนนสูงสุดในรอบของการมาสร้างบุญสร้างบารมีนั้นจึงจัดอยู่ในกลุ่มของ “บุญลิขิต” บนโลกมนุษย์ของเรานี้ ก็มีทั้งในรูปแบบของกรรมลิขิต และ บุญลิขิต มีผู้ต้องมาชดใช้กรรมตามการกระทำในอดีตกาลก่อน และมีผู้ที่มาสอบบารมี เพื่อเลื่อนสู่สภาวธรรมที่สูงกว่า ที่เป็นอยู่ และไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบไหนก็ตามสรุปแล้วก็เหมือนกันกับ หัวข้อเมื่อกี้ ก็คือ ทุกๆคนมีหน้าที่ เพื่อทำให้ดวงจิตของตนนั้นสูงกว่าที่เป็นอยู่ หากเป็นหนี้กรรมอยู่ก็มาเพื่อล้างหนี้กรรม เลื่อนจากการเป็นหนี้ เข้าสู่การหลุดหนี้และเก็บเกี่ยวแต้มคะแนนบุญ หากว่ามีบุญอยู่แล้ว ก็มาเพื่อสร้างสมบุญ ให้เลื่อนให้สูงยิ่งๆขึ้นไป นี้ก็คือรูปแบบของการเกิด และตัวคุณเองจะเป็นในแบบไหน จะเป็นอยู่ในรูปแบบใด....
     
  4. หนุ่มยาดอง

    หนุ่มยาดอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2011
    โพสต์:
    678
    ค่าพลัง:
    +680
    อ่านแล้วมีความสุขมาก ใจเต็มเลยล่ะครับ:cool:
     
  5. หนุ่มยาดอง

    หนุ่มยาดอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2011
    โพสต์:
    678
    ค่าพลัง:
    +680
    อย่าลืมมาเพิ่มเติมนะครับ(ทางใครทางมัน:cool:)
     
  6. a5g1aeka

    a5g1aeka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    728
    ค่าพลัง:
    +1,579
    อ่านแล้วหากเป็นจริง ชีวิตนี้โคตรน่าเบื่อเลย อยากเปลี่ยนความเชื่อว่าตายไปแล้ว ไม่ต้องเกิดเป็นอะไรอีก ไม่ว่าจะเทพ อินทร์ พรหม หรือบรรลุนิพาน เพราะการเกิดเป็นทุกข์สุดๆเลย รู้สึกเบื่อกับการเป็นชาวพุทธซะแล้วซีๆๆๆ
     
  7. thanapanyo

    thanapanyo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    236
    ค่าพลัง:
    +328
    หลักสูตรค้นหาตัวตน

    หลังจากที่เราได้รู้กันแล้วว่า มีรูปแบบในการเกิด 2 รูปแบบ ต่อจากนี้ไปทางสายปฏิบัติธรรม “สัมมาสัมพุทธะ ปัจฉิมาสัมพุทธะ ของเราก็จะขอนำท่านผู้อ่านเข้าสู่การไขรหัสชีวิต เปิดกรรม ค้นหาตัวตนเพื่อรู้ว่าคุณนั้นเป็นในรูปแบบที่ 1 หรือ รูปแบบที่ 2 ชีวิตของคุณ เกิดมาเพื่ออะไร สิ่งต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของคุณนั้น คือบททดสอบ หรือหนี้กรรมที่คุณต้องมาชดใช้ การที่เราจะต้องรู้ว่าเรานั้นเกิดมาเพื่ออะไร จำเป็นอย่างยิ่งเพราะ หากว่าเรานั้นไม่รู้หน้าที่ของตนก็เปรียบเสมือนคนที่ไปทำงาน ในจุดใดจุดหนึ่ง และมีระยะเวลาในการจำกัดว่า จะไปแค่กี่ปี กี่เดือน แต่เมื่อเราไปถึงที่นั้นแล้วเรากลับลืมว่า มีหน้าที่อะไร ที่จะต้องไปทำ มัวแต่หลงอยู่ในสิ่งที่เป็น สิ่งหลอกล่อทั้งหลายจนหมดเวลาแล้ว ยังไม่ได้กระทำในหน้าที่ของตน ในสิ่งที่นั้นได้ตั้งใจเอาไว้เลยและการที่เรานั้นรู้ว่าเรามาเพื่อสิ่งใด ทำอะไร ก็จะเป็นการเห็นแสงสว่างในทั้งก่อนมาและในการที่จะต้องไปข้างหน้า ย่อมถือว่า เป็นทางที่ดีสำหรับดวงจิตทุกๆ ดวงที่ปรารถนาจะรู้ตัวตนของตน ก็ขอเชิญชวนท่านผู้อ่านทั้งหลายร่วมค้นหาตัวตน จิตของมนุษย์เราทุกๆคนจะมีภาษาจิตที่ซ้อนอยู่ในกายเนื้อ หากแต่ว่าจิตของเรานั้น มาเกิดเป็นคนเหนือก็จะพูดเหนือ เกิดเป็นคนใต้ก็จะพูดใต้ เกิดอยู่ภาคอีสานก็จะพูดอีสาน และหากเกิดมาอยู่ในชาวต่างชาติ ก็ย่อมที่จะพูดภาษานั้นๆไป แต่ทุกคนมีจิตที่ซ้อนอยู่ในกายเนื้อ ที่เป็นตัวเวียนว่ายตายเกิดข้ามภพข้ามชาติ และเรานั้น ก็ถูกลบข้อมูลทั้งหลายออกไป โดยจำไม่ได้แล้ว ว่าเรามาจากไหน มาทำอะไร มีหน้าที่อะไร สิ่งใดคือการหลง และสิ่งใดคือการนำพาดวงจิตของเราสู่ความหลุดพ้น จิตถูกครอบด้วยขันธ์ 5 และกิเลสตัณหาทั้งหลาย ที่เป็นตัวหลอกล่อชักจูงเราในการกระทำที่จะไปสร้างให้จิตนั้นเป็นทุกข์ เพราะฉะนั้น จึงมีคาถานี้ เป็นคาถาชำระจิตและดึงจิตให้มาอยู่เหนือกาย เพื่อให้จิตของเรานั้นมีพลัง ในการกำหนดการของเราว่า ควรจะทำอะไรดี เช่น จะเหมือนสองคนอยู่ในกายเดียวกัน หากบางครั้งเราจะทำอะไรที่ไม่ถูก ที่อยู่ในกรอบของการที่จะสร้างบาปนั้น จิตของเราก็จะเป็นตัวบอกขึ้นมาว่า ไม่ได้ อย่าทำ คาถานี้จึงเป็นคาถาที่ดึงจิตให้มีพลังเหนือกายให้จิตเป็นนายให้กายเป็นบ่าว จึงจะนำทางเราสู่ในกรอบขอบเขตของการกระทำความดี จึงจะไม่หลงทางสายปฏิบัติธรรมของเรานี้ จึงมีการไขรหัสชีวิตเพื่อให้คุณรู้ว่าตัวของคุณนั้นมีหน้าที่อะไร และ มีคาถาเพื่อให้ดึงจิตของคุณมาเพื่อให้ชนะกาย และคุณจะได้ไม่เดินหลงทาง จะได้ไม่หลงอยู่กับสิ่งที่เห็น ที่มี และที่เป็น เพื่อให้จิตของคุณนั้น หลุดพ้นจากความทุกข์........
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 พฤษภาคม 2014
  8. thanapanyo

    thanapanyo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    236
    ค่าพลัง:
    +328
    วิธีฝึกสมาธิเพื่อค้นหาตัวตน

    เริ่มแรกให้ผู้ที่จะทำสมาธินั่งขัดสมาธิ แล้วเอามือทั้งสองข้างวางหงายลงบนหัวเข่า เพื่อรับพลังพุทธบารมี ตัดความยึดมั่นถือมั่นทุกอย่าง ตัดอดีตที่ผ่านมาเพราะแก้ไขอะไรไม่ได้ ตัดอนาคตที่ยังมาไม่ถึง เพราะเป็นเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น ให้อยู่กับปัจจุบัน และคิดว่าตอนนี้เรากำลังทำสมาธิอยู่ในโลกอีกโลกหนึ่งของความสงบสุข เมื่อได้ตัดความวุ่นวายทั้งหลายออกไปแล้วให้หายใจลึกๆ และค่อยๆหลับตาลง ให้ตั้งสมมติขึ้นว่า เหนือศีรษะของเราขึ้นไป สูงขึ้นไปข้างบน มีองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์ขนาดใหญ่เป็นกายแก้วใสๆนั่งอยู่บนดอกบัวแก้ว แล้วพระองค์ท่านมีฉัพพรรณรังสี แสงสว่างเจิดจ้า ด้วยพุทธบารมี เมื่อเราเอาความรู้สึกนึกคิดไปถึงที่นั่น จิตกายภายในของเราก็ได้ไปอยู่ในที่นั่นจริงๆ แล้วจะรับได้ถึงความรู้สึก และความชุ่มเย็นจากพลังบุญของพระองค์ท่านที่ส่งมาให้ ตอนนี้เราอยู่ต่อหน้าพระพุทธองค์ท่านแล้ว ให้ตั้งจิตข้างในขึ้นมา เอากายภายในสมมุติยกมือไหว้ และตั้งจิตอธิษฐานขอขมากรรม ว่า “ หากกรรมอันใดที่ข้าพระพุทธเจ้า ได้เคยประมาท พลาดพลั้ง ล่วงเกิน ต่อองค์พระบิดา พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่อคุณพระรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณบิดามารดา ครูบาอาจารย์ ผู้มีพระคุณทั้งหลาย รวมถึงเพื่อนร่วมโลกทุกๆจิตวิญญาณ ทุกผู้ทุกคนนั้นแล้วข้าพระพุทธเจ้ากราบขออโหสิกรรมต่อหน้าองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอพระองค์โปรดเมตตา อดโทษ งดโทษ แก่ข้าพระพุทธเจ้าด้วยเทอญ เพื่อให้ข้าพระพุทธเจ้าได้รับพลังพุทธบารมีเข้าถึงความสุขของฌานสมาธิเพื่อพิสูจน์พระธรรมคำสั่งสอนเพื่อให้รู้เห็นตามความเป็นจริงหากจิตของข้าพระพุทธเจ้านิ่งได้ด้วยฌานสมาธิแล้ว ขอให้ข้าพระพุทธเจ้าได้พบเห็นโลกทิพย์ก็ดี กรรมเก่าที่เคยกระทำมาแล้วก็ดี หรือเห็นสภาวธรรมต่างๆเพื่อเติมกำลังของสติปัญญา ไม่ให้หลงและยึดติดจนทำให้ตนนั้น ไม่สามารถออกจากทุกข์ได้ด้วยเทอญ ” ให้ใช้คำบริกรรม ว่า “สัมมาสัมพุทธะ ปัจฉิมาสัมพุทธะ ” แล้วสูดลมเข้าไปไว้ในท้อง สูดลมเข้าไปไว้ในท้อง 1 ครั้ง ตามการท่องคำบริกรรม “สัมมาสัมพุทธะ ปัจฉิมาสัมพุทธะ ” 1 รอบ เช่น ท่อง “สัมมาสัมพุทธะ ปัจฉิมาสัมพุทธะ ” 1 รอบเสร็จให้ทำท้องยุบลงไป 1 ครั้ง เท่ากับได้เก็บพลังพุทธบารมีนั้นไปไว้ในท้องแล้ว 1 แต้ม ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆจนกว่าจะเห็นแสงสว่างเกิดขึ้นในท้อง อาจเห็นลูกแก้วลูกเล็กหรือลูกใหญ่ตามกำลังฌานของแต่ละคน และให้บริกรรม “สัมมาสัมพุทธะ ปัจฉิมาสัมพุทธะ ” ไปเรื่อยๆ ให้นิ่งอยู่กับพลังเย็นๆที่ได้รับมาจนกว่าจะเห็นร่างกายของตนนั้นมีแสงเกิดขึ้น เห็นดวงแก้วดวงธรรมเกิดขึ้นที่กายภายใน แล้วจึงอธิษฐานจิต เพื่อให้จิตกายภายใน ได้ไปในภพต่างๆ ที่ต่างๆตามความปรารถนาของเราเอง

    ข้อควรรู้ในการนั่งสมาธิ
    หากระหว่างการนั่งสมาธิมีภาพใดที่เข้ามารบกวนฌานสมาธิ หรือมีสิ่งใดที่เข้ามาขัดขวางทำให้จิตว้าวุ่น นิ่งไม่ได้ ให้แผ่เมตตาให้แก่สิ่งนั้นๆในฌานสมาธิแล้วตั้งจิตเริ่มต้นใหม่ เช่น ตั้งจิตอธิษฐานว่า “ หากบุญอันใดที่ข้าพเจ้ากระทำมาแล้ว หรือกำลังจะกระทำขออานิสงค์บุญนั้นจงแผ่ถึง เจ้ากรรมนายเวร หรือผู้ที่คอยมารบกวนนี้ให้ได้รับผลของบุญแล้วให้เป็นสุขอย่าได้มาขัดขวาง ฌานสมาธิ การสร้างบุญของเราเลย ” และการนั่งสมาธิตามรูปแบบที่ได้สอนไว้นี้ เพื่อให้เราได้รู้สภาวะธรรมตามความเป็นจริงของโลกทิพย์ที่มีอยู่และซ่อนอยู่ ให้เราเข้าใจในสิ่งต่างๆทั้งหลายเพื่อตัดความยึดมั่น ถือมั่น ความลุ่มหลงจนทำให้ตนตกอยู่ในความทุกข์เท่านั้น หากการนั่งสมาธินั้นทำให้สามารถระลึกชาติได้ หรือได้พบเจอสิ่งที่ดีกว่าสิ่งที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน หรือเห็นกรรมของตัวเอง ไม่ให้ลุ่มหลงอยู่กับสิ่งนั้น อย่าให้กิเลสและตัวหลงเกิดขึ้น ให้ปล่อยวางจิตเป็นกลางๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 พฤษภาคม 2014
  9. หนุ่มยาดอง

    หนุ่มยาดอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2011
    โพสต์:
    678
    ค่าพลัง:
    +680
    ชอบอ่านอ่ะคับ อ่านแล้วโดนก็เลยชอบ
    (ใครไม่เข้าใจก็ไม่ชอบนะ ผมว่า อิๆ)
     
  10. thanapanyo

    thanapanyo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    236
    ค่าพลัง:
    +328
    พิจารณาร่างกาย

    ร่ายกายของมนุษย์เรา แท้ที่จริงก็เหมือนกันกับรถ จิตของเราก็เหมือนกันกับคนขับเมื่อมีการสร้างรถขึ้นมาหนึ่งคันก็ต้องมีคนขับไปจับจองเหมือนกัน กับการก่อเกิดของร่างกายที่เกิดขึ้นในครรภ์ของมารดาก็จะมีจิตหนึ่งดวงไปจับจองร่างกายนั้น เพื่อให้ได้มาใช้ในการหากำไรให้กับจิตของตนคือการสร้างคุณงามความดี บุญบารมี เพื่อเลื่อนภูมิจิตของตนนั้นไปสู่จุดที่สูงขึ้นกว่าเดิม เหมือนการซื้อรถมาเพื่อขับไปทำการค้าและอายุขัยของรถคันนั้นก็มีอายุขัยแค่ชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น ไม่มีสามารถใช้ได้ตลอดไป เมื่อหมดเวลาก็ต้องเสื่อมไปตามสภาพ หรืออาจจะใช้งานไม่ได้นานเท่าที่ควรจะเป็นตามแต่กรณี เหมือนร่างกายของมนุษย์ ที่ต้องเสื่อมไปตามกาลเวลาหากได้ร่างนั้นมาแล้ว หลงอยู่กับมันจนเกินความพอดี ทำให้ตนต้องตกเป็นทุกข์เพราะความลุ่มหลงนั้น แล้วไม่ยอมไปทำอะไรเพื่อให้ก่อเกิดกำไรให้แก่ดวงจิตของตน กลับสร้างกรรม สร้างสิ่งไม่ดีเพื่อได้มาตกแต่ง เสริมเติม เพื่อให้ดูดี สวยงามในกายนั้น แม้คนขับกำลังขาดทุน เมื่อหมดอายุขัยการใช้งาน จิตนั้นก็ตกออกจากร่างไปเพื่อไปแสวงหาหรือจับจองร่างกายใหม่ ให้จิตได้อยู่อาศัย และทำหน้าที่ต่อไป แต่หากจิตนั้นไม่มีบุญบารมีอะไรที่ได้สร้างสมเอาไว้เลย เพราะตอนที่มีร่างกายเก่าอยู่ มัวแต่หลงอยู่กับร่างกายนั้น จึงไม่มีบุญ เปรียบเสมือนคนไม่มีเงินไปซื้อคันใหม่ จึงต้องไปอยู่ในร่างกายของสัตว์ เปรียบเสมือนรถซาเล้ง มอเตอร์ไซค์เก่าๆที่ไม่สามารถไปทำอะไรได้มาก แล้วค่อยๆไต่เต้าสร้างสมบารมีความดี เพื่อไปจับจองร่างกายของมนุษย์ เพื่อให้สะดวกมากขึ้นในการสร้างสมบุญบารมีคุณงามความดี ส่วนใครที่มีบุญบารมีมากเพราะมีสติปัญญาเมื่อครั้งมีกายมนุษย์อยู่ ไม่หลงอยู่กับกายนั้น และได้เก็บเกี่ยวบุญบารมีก็เหมือนคนรวยที่สามารถจะไปซื้อรถยี่ห้อแพงขนาดไหนก็ได้ ตามพลังบุญบารมีนั้นและหากจะกลับมาเกิดบนโลกมนุษย์เพื่อสร้างกำไรอีก ก็จะสามารถมีร่างกายที่สวยงามเพียบพร้อมทุกอย่าง และไม่ว่าจะทำอะไรก็จะสะดวกสบายในการสร้างสมบุญบารมี ร่างกายนี้มีได้ใน 3 รูปแบบ 1.กายเนื้อของมนุษย์เรา 2.กายทิพย์ของเทพเทวดา 3. กายแก้ว หรือกายแห่งพระนิพพาน
     
  11. thanapanyo

    thanapanyo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    236
    ค่าพลัง:
    +328
    โลกสวรรค์ก่อเกิดมาจากไหน , มีสภาวธรรมอะไรบ้าง

    เมื่อดวงจิตจากโลกที่ก่อเกิดดวงจิตได้หลุดไป สู่โลกสวรรค์แล้วกายนั้นก็กลายเป็นกายทิพย์ของเหล่าเทพเทวดา มีรูปร่างหน้าตาสวยงาม ผ่องใส และมีความเป็นทิพย์ สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ ซึ่งเป็นโลกที่มีความสวยงามน่าอยู่มากอีกโลกหนึ่ง ดวงจิตที่เป็นเทพเทวดาในโลกสวรรค์จึงได้คิดว่าจะหาหนทางช่วยดวงจิตที่ยังไม่สามารถหลุดให้มาสู่ยังโลกสวรรค์นั้นได้อย่างไรจึงจะได้หลุดพ้นจากความทุกข์เช่นเดียวกัน ดวงจิตเทพเทวดาที่หลุดพ้นแล้วนั้นก็ได้ใช้กำลังฌานสมาธิกลับไปดึงดวงจิตที่นั่งสมาธิอยู่ เพื่อเข้ามาสู่ในโลกสวรรค์ จึงได้ก่อเกิดโลกสวรรค์ขึ้น เมื่อมีดวงจิตเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆก็มีดวงจิตเยอะแยะมากมายมาอยู่ในโลกสวรรค์เมื่ออยู่ร่วมกันจำนวนมากขึ้นก็เริ่มมีความแตกแยก แบ่งพรรคแบ่งพวก จนทำให้โลกสวรรค์เริ่มมีสภาวะของความวุ่นวาย จึงมีการประชุมกันของเหล่าเทพเทวดาว่า หากโลกสวรรค์ยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป ก็คงจะไม่ต่างอะไรจากโลกเดิมที่ก่อเกิดดวงจิตของพวกตน จึงมีการจัดตั้งกฎระเบียบขึ้นมาใหม่โดยมีการจัดแยกจิตให้เป็นฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย มีการจับคู่ครองเรือนกันเพื่อให้มีบุตรธิดา หากดวงจิตใดก็ตามจะมาเกิดอยู่ในโลกของสรรค์จะต้องมาเกิดจากผู้ที่เป็นบิดามารดาจะได้มีความรัก ความผูกพันทางสายใย มีการดูแลช่วยเหลือกันและกันอย่างเต็มที่ ผู้เป็นบิดามารดาจะได้สั่งสอนบุตรธิดาให้รู้จักประพฤติปฏิบัติดี นอบน้อม มีความเคารพนับถือต่อผู้ที่เป็นบิดามารดาและผู้อื่น นอกจากนั้นมาจึงมีครอบครัวเกิดขึ้นบนโลกสวรรค์ และยังมีกฎระเบียบของสวรรค์ที่เป็นข้อห้าม หากใครทำผิดกฎก็จะถูกลงโทษ และส่งไปเกิดหยั่งโลกบาดาล
    สภาวธรรมของโลกสวรรค์นั้น จึงยังมีความรัก ครอบครัว และมีบ้านเรือนที่อยู่อาศัย ไม่ต่างจากโลกมนุษย์ของเรามากนัก เพราะจะต้องมีผู้ดูแลกฎของโลกสวรรค์ โดยเทวดาสูงสุดที่คอยดูแลโลกสวรรค์ คือ พระอินทร์ และจะมีเทวดาองค์อื่นๆที่คอยทำหน้าที่ดูแลเหล่าเทพเทวดา ให้ปฏิบัติตนอยู่ในกรอบของกฎระเบียบสวรรค์ เฉกเช่น ประเทศไทยของเรา ที่มีนายก เป็นตำแหน่งสูงสุดของผู้บริหารประเทศ มีรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ มีข้าราชการน้อยใหญ่ดูแลงานในส่วนต่างๆ ซึ่งการมอบหมายตำแหน่งหน้าที่บนสวรรค์นั้น ก็ตามบุญบารมีของเทวดาองค์นั้นๆ
    นอกจากกฎระเบียบการปกครองแล้ว สภาพความเป็นอยู่ในโลกสวรรค์นั้นก็มีสถานที่บำเพ็ญปฏิบัติธรรม และมีนักบวชที่อยู่ทางโลกทิพย์คอยเป็นผู้ชี้นำธรรมแก่ดวงจิตต่างๆ เช่นเดียวกับโลกมนุษย์เรา ที่มีวัด นักบวช ที่คอยชี้นำธรรม โลกสวรรค์จึงมีสภาวะความเป็นอยู่ที่คล้ายคลึงกับโลกมนุษย์ของเรา แต่มีความเป็นทิพย์สูงกว่า สามารถเหาะเหินเดินอากาศ หายตัวได้ แม้จะเจ็บป่วยในกายทิพย์ไม่นานก็สามารถหายได้เอง และเทพเทวดาก็มีอายุขัยยาวนานกว่าโลกมนุษย์หลายเท่าเลย เวลา 1 วันของสวรรค์ชั้นที่พระอินทร์อยู่จะเท่ากับเวลาในโลกมนุษย์ 73 ปี และในแต่ละชั้นของสวรรค์ก็จะมีความยาวนานของแต่ละวันที่แตกต่างกันออกไปตามระดับของแต่ละชั้นสวรรค์ นี่เป็นสภาวธรรมเบื้องต้นของโลกสวรรค์ ท่านเองก็สามารถพิสูจน์ได้ด้วยตัวของท่านเอง ด้วยการปฏิบัติธรรมตาม สายปฏิบัติธรรม สัมมา สัมพุทธะ – ปัจฉิมา สัมพุทธะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤษภาคม 2014
  12. thanapanyo

    thanapanyo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    236
    ค่าพลัง:
    +328
    โลกบาดาลก่อเกิดมาจากไหน , โลกบาดาลมีสภาวธรรมอะไรบ้าง

    เมื่อเหล่าเทพเทวดาทำผิดกฎของสวรรค์จึงถูกส่งไปอยู่ในโลกบาดาลเพื่อพำเพ็ญ หรืออยู่ในโลกที่มี่ความเป็นทิพย์น้อยลงไปกว่าโลกของสวรรค์แต่มีความเป็นทิพย์มากกว่าโลกมนุษย์ เพื่อชดใช้ความผิดนั้น แล้วค่อยสร้างความดีบุญบารมีกลับไปสู่โลกของสวรรค์อีกครั้งตามกำลังบุญของจิตนั้นๆ เมื่อมีจิตที่ถูกส่งไปอยู่ในโลกบาดาลมากขึ้นทุกวันๆจนโลกบาดาลนั้นมีดวงจิตก่อเกิดขึ้นอยู่อาศัยอยู่มากมายทำให้เกิดความวุ่นวาย มีการแก่งแย่งชิงดี มีความทะเยอทะยานอยากมากมายขึ้นในโลกบาดาล จึงมีการประชุมร่วมกันระหว่างเหล่าเทพเทวดาบนสวรรค์ และนาคในโลกบาดาลเพื่อบัญญัติกฎระเบียบของโลกบาดาลขึ้น ว่า หากจิตดวงไหนที่ละเมิดกฎ ทำผิด ทำความชั่ว เบียดเบียนต่อผู้อื่น ก็จะถูกส่งมาเพื่อชดใช้กรรมบนโลกมนุษย์

    โลกบาดาลเป็นโลกที่มีความเป็นทิพย์น้อยกว่าโลกสวรรค์แต่มากกว่าโลกมนุษย์ และมีอายุขัยที่ยืนยาวกว่ามนุษย์หลายเท่า เช่น เมื่อเทียบกับเวลาในโลกมนุษย์ นาค จะมีอายุขัยตั้งแต่หนึ่งร้อยปีถึงหมื่นปี และนาคบางองค์อาจมีอายุขัยถึงล้านปีก็มี ซึ่งขึ้นอยู่กับกรรม หรือความปรารถนาของนาคองค์นั้นๆ ในโลกบาดาลมีสภาวธรรมความเป็นอยู่ คือ ยังครองคู่ ครองเรือนเป็นครอบครัว มีบุตรธิดา มีสถานที่ปฏิบัติธรรม นักบวช นักบำเพ็ญ คอยชี้ทางธรรมให้กับดวงจิตต่างๆ เฉกเช่นบนโลกสวรรค์ และโลกมนุษย์เรา และยังมีนาคที่เป็นภูมิของสัตว์ในโลกบาดาลด้วย นาคในภูมินี้เกิดมาจากวิบากกรรมของตนที่ได้สร้างมาจึงได้มาชดใช้กรรมในกายของสัตว์เลื้อยคลาน คือ พญานาคที่เป็นตัวไม่สามารถกลายร่างเป็นกายทิพย์หรือกายที่เหมือนมนุษย์ได้
    ระบบการปกครองดูแลในโลกบาดาลก็ยังมีพระอินทร์เป็นผู้ดูแลสูงสุด แต่ก็มีเจ้าแห่งบาดาลที่ดูแลบาดาลรองลงไปจากพระอินทร์ มีนาคชั้นน้อยใหญ่ดูแลบาดาลในส่วนต่างๆเช่นเดียวกับโลกสวรรค์ โดยทั่วไปแล้วใช้หลักการคล้ายคลึงกับสวรรค์
     
  13. thanapanyo

    thanapanyo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    236
    ค่าพลัง:
    +328
    โลกมนุษย์ก่อเกิดมาจากไหน , โลกมนุษย์มีสภาวธรรมอะไรบ้าง

    โลกมนุษย์เดิมทีเดียวก่อเกิดมาจาก นาค ที่ทำผิดกฎของโลกบาดาล จะถูกส่งมาเกิดบนโลกมนุษย์ ซึ่งเป็นโลกที่หากเทียบแล้วก็จะมีอายุขัยของการเวียน ว่าย ตาย เกิดนั้นน้อยมาก ถ้าเทียบกับโลกสวรรค์และโลกบาดาล เหมือนเป็นการมาเกิดเพื่อชดใช้วิบากกรรมและเป็นโลกที่จะต้องมีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ในเวลาไม่ช้าไม่นาน โลกมนุษย์เรานี้จึงนับว่าเป็นโลกของการชำระดวงจิต หรือการมาเกิดเพื่อทำสิ่งที่ดีเพื่อดันดวงจิตของตนนั้นไปสู่สภาวธรรมที่สูงขึ้น จึงมีดวงจิตเยอะแยะมากมายที่มาเวียนว่ายตายเกิดอยู่บนโลกมนุษย์นี้

    สภาวธรรมของโลกมนุษย์จึงถูกจัดอยู่ในโลกที่ถือว่าเป็นโลกแห่งการคัดกรองดวงจิตเพื่อเลื่อนไปสู่ภพภูมิที่สูงขึ้น หรือต่ำลงตามการกระทำของจิตนั้น โดยมีกิเลสตัณหา ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น ลาภ ยศ สรรเสริญ ความยึดมั่น ถือมั่นต่างๆทั้งหลายนี้เป็นสภาวธรรมของโลกมนุษย์เรา โลกมนุษย์เราจึงเปรียบเสมือนเกิดมาอยู่ในเกมส์ชีวิตที่จะต้องเจอกฎของเกมส์ต่างๆเข้ามาเพื่อทดสอบจิตของแต่ละดวง ว่าจิตนั้นจะเลื่อนขึ้นสูงได้ขนาดไหน หรือจะทำให้จิตนั้น พ่ายแพ้ต่อบททดสอบ และต้องตกต่ำไปสู่จุดที่ต่ำกว่าเดิม จึงมีเหล่าเทพเทวดาลงมาเกิดเพื่อทดสอบบารมี เลื่อนภูมิไปสู่ที่ที่สูงกว่าเดิม หรือแสวงหาการพ้นทุกข์ จิตต่างๆจึงเกิดขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่ของแต่ละจิตนั้นไม่ว่าจะเป็นสัตว์ต่างๆหรือมนุษย์เราเองก็เช่นเดียวกัน จึงมีรูปแบบของการมาเกิดที่แตกต่างกันออกไป จะได้กล่าวไว้ในลำดับต่อไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤษภาคม 2014
  14. thanapanyo

    thanapanyo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    236
    ค่าพลัง:
    +328
    โลกพระนิพพานก่อเกิดมาจากไหน , โลกพระนิพานมีสภาวธรรมอะไรบ้าง

    เมื่อสามโลก ได้แก่ โลกสวรรค์ โลกบาดาล และโลกมนุษย์ ได้เวียน วน เกิดและดับลงระหว่างสามแบบนี้วนไปวนมา เทวดาลงมาเกิดเป็นนาค นาคขึ้นมาเกิดเป็นมนุษย์ และมนุษย์ก็กลับไปสู่เทวดา เป็นอยู่อย่างนี้แต่สุดท้ายนี่ก็ไม่ใช่ความหลุดพ้นที่แท้จริงอยู่ดี เพราะว่ายังมีกิเลส ตัณหา สภาวธรรมของแต่ละโลกยังมีการสร้างสมบุญบารมีเพิ่มขึ้น และก็น้อยลงอยู่ ยังมีการเวียนว่ายตายเกิดวนเวียนอยู่ดี และแล้วจึงมีดวงจิตที่เป็นดวงจิตแรกที่คิดค้นหาวิธีที่จะหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวง นั่นคือ ดวงจิตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐม พระองค์ท่านจึงเป็นดวงจิตดวงแรกที่คิดค้นการหาทางหลุดพ้น โดยการมาเกิดบนโลกมนุษย์เพื่อตัดความยึดมั่น ถือมั่น และค้นหาเหตุของทุกข์ การดับทุกข์ทั้งหลาย พระองค์ท่านจึงลงมาตรัสรู้ธรรมบนโลกมนุษย์ หลังจากที่จิตของพระองค์ท่านได้หลุดพ้นไปแล้วนั้น จิตของพระองค์ท่านจึงได้เข้าสู่พระนิพพาน ซึ่งเป็นโลกที่เงียบสงบและสิ้นแล้วด้วยกิเลสทั้งหลาย ดวงจิตใดก็ตามหากยังปนเปื้อนด้วยกิเลส ตัณหาจะไม่สามารถเข้าสู่โลกแห่งพระนิพพานนั้นได้เลย จากนั้นมาจึงมีโลกพระนิพพานเกิดขึ้นมาอีกโลกหนึ่ง เป็นโลกที่ ๔
    หากดวงจิตใดที่เหนื่อยล้าจากการเวียนว่ายตายเกิดของการเป็นเทพเทวดา เป็นนาคแล้ว จึงบำเพ็ญเพื่อบรรลุธรรมให้หลุดเข้าไปสู่ดินแดนพระนิพพาน จะไปเป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์เจ้า ดังนั้น เมื่อมีดวงจิตใดที่เหนื่อยและท้อแล้วจึงบำเพ็ญหาความหลุดพ้นตามทางของพระองค์ทุกๆพระองค์
    สภาวธรรมของโลกแห่งพระนิพพาน เป็นโลกที่ดวงจิตที่เข้าไปอยู่ล้วนแต่เป็นดวงจิตที่หลุดพ้นแล้วจากกิเลส ตัณหา รัก โลภ โกรธ หลง และสามารถยกจิตของตนอยู่เหนือความทุกข์ทั้งหลายเหล่านั้นได้แล้ว จึงเป็นโลกที่เงียบสงบไม่มีความวุ่นวาย แต่ก็ยังมี ภูเขา ลำธาร ป่าไม้ธรรมชาติ บ้านเรือน และสัตว์ต่างๆอาศัยอยู่ เป็นสภาวธรรมที่มีความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ น่าอยู่อาศัย สัตว์ต่างๆในโลกพระนิพพานนี้ก่อเกิดมาจากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่สร้างขึ้นมาเพื่อให้มีความสมบูรณ์และให้เกิดความสมดุลของธรรมชาติเท่านั้น ไม่มีจิตหรือการเวียนว่ายตายเกิด ส่วนบ้านเรือนก็จะเป็นเรือนแก้ว และแต่ละพระองค์ที่เป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะมี อาณาจักรเป็นของแต่ละพระองค์ และจะมีเหล่าสาวกอยู่ใกล้กันเพื่อคอยช่วยกันแผ่บุญกลับมาช่วยดวงจิตอื่นที่ยังไม่หลุดพ้น แต่จะไม่มีความรู้สึกสุขหรือทุกข์ในการทำสิ่งใดๆแล้ว เพียงแต่ทำไปตามสภาวธรรมที่เหมาะสมเท่านั้น กายก็เป็นกายแก้ว ไม่มีความหิว ไม่ต้องแสวงหาสิ่งใดอีก และในดินแดนแห่งพระนิพพานนั้นยังพระนิพพานที่ซ้อนนิพพานขึ้นไปอีก ซึ่งเป็นสภาวธรรมอีกรูปแบบหนึ่งของความเงียบ สงบขึ้นไปอีกระดับหนึ่งซึ่งเป็นที่ดวงจิตของผู้ที่สำเร็จไปนานแล้วกว่าหลายแสนปี ก็จะมีกายที่ว่างเปล่า มีสภาวธรรมเหมือนอากาศ แต่สามารถรับรู้ได้ว่ามีดวงจิตอาศัยอยู่ที่นั่น และสามารถปรากฏกายแก้วขึ้นมาให้พบเห็นได้เมื่อปรารถนา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤษภาคม 2014
  15. thanapanyo

    thanapanyo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    236
    ค่าพลัง:
    +328
    เชิญสนทนาธรรมแลกเปลี่ยนความรู้เรื่องเกี่ยวกับเรื่องดวงจิต

    มาถึงตรงนี้คงมีคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย และที่รู้สึกเฉยๆ จำนวนหนึ่ง จึงจะขอเชิญถามแลกเปลี่ยนพูดคุยในภาษาธรรมที่รู้และยังไม่รู่้เพื่อให้เข้าใจ จึงขอเชิญร่วมวงสนทนาได้เลย
     
  16. kimberly

    kimberly เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,627
    ค่าพลัง:
    +5,233
    รู้จริง เห็นแจ้ง ทุกคนรู้ได้ด้วยตัวเอง:cool:
     
  17. thanapanyo

    thanapanyo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    236
    ค่าพลัง:
    +328
    การพิจารณาการตาย

    เคยคิดว่าหรือไม่ว่าถ้าตัวเองตายไปจะเป็นแบบไหน เคยคิดหรือไม่ว่าเราสามารถจะตายได้ในทุกเวลาทุกวินาที ลองนั่งลงแล้วสมมุติว่าตัวเองตายให้จินตนาการเรื่องราวชีวิตของผู้คน เราก็จะรู้ดีแล้วว่าหากเราตายตอนนี้จะเป็นแบบไหน ก่อนอื่นให้สมมุติว่าตัวเองได้ตายก่อน คนที่ตายแล้วขยับไม่ได้แล้ว คนที่ตายแล้วเมื่อมีแมลงมาเกาะก็ไม่รู้สึกอะไรแล้ว คนที่ตายแล้ว จะไม่สนใจต่อสิ่งใด สมมุติว่าตอนนี้เรากำลังเป็นซากศพอยู่ ลมหายใจสิ้นแล้ว เราตายแล้วไม่มีร่างกายแล้วจินตนาการว่าเมื่อเราตาย พ่อแม่โทรหากัน ญาติพี่น้องโทรหากัน หลังจากนั้นผ่านไปสองสามชั่วโมงร่างกายของเราก็แข็ง ญาติพี่น้องของเราก็ทยอยกันมาและร้องไห้ พ่อก็ร้องไห้ แม่ก็ร้องไห้ ญาติพี่น้องก็กอดกันร้องไห้ สามีหรือภรรยา และลูกร้องไห้ มีคนมาร่วมงานศพของเรามากมายแต่ว่าเราคุยกับใครไม่ได้เลย ในขณะที่เรารู้สถานการณ์ทุกอย่างแต่ร่างกายของเราแน่นิ่ง ขยับเขยื้อนไม่ได้ เราติดอยู่ในโลงศพนั้น แม้จะมีคนเดินผ่านไปผ่านมาเราก็ไม่สามารถคุยกับใครได้ เดินไปชนเค้าเค้าก็สัมผัสไม่ได้ เดินไปสัมผัสกับรถของเรารถไม่ใช่ของเราเสียแล้ว เดินไปจับสามี หรือภรรยา เค้าไม่ใช่สามีหรือภรรยาของเราอีกแล้ว ถึงจะจับไปเค้าก็ไม่รู้เรื่อง เดินไปจับแม่แล้วพูดว่า แม่จ๋าอย่าร้องไห้ หนูอยู่นี่ แม่ก็ไม่รู้เรื่อง ถึงเวลากลับบ้าน ทุกคนกลับบ้าน เราก็เดินตามทุกคนไปที่บ้าน ก็เข้าบ้านไม่ได้ เจ้าที่ยืนขวางทางอยู่ห้ามไม่ให้เข้าบ้าน ก็เดินกลับมา ตอนนี้หน้าของเราเริ่มเขียวแล้ว ร่างของเราเริ่มเขียวแล้ว เริ่มเน่าเหม็น ทุกคนเริ่มกลัว ทุกคนเห็นเราเป็นผีไปแล้ว สุดท้ายแล้วไม่มีอะไรเป็นของเราเลย ตอนนี้ ร่างก็กลับไม่อยู่ไม่ได้ บ้านก็เข้าไม่ได้ สามีหรือภรรยา ลูก เราก็ไม่สามารถกอดเค้าได้ ไม่มีอะไรเป็นของเราเลย แม้เราจะรัก และห่วงใยคนเหล่ามากมายเพียงใด เงินที่เราเฝ้าหามามากมายด้วยความเหน็ดเหนื่อยก็ไม่สามารถใช้ได้อีกแล้ว ผู้ที่มีเงินเยอะๆทรัพย์สมบัติเยอะ ลองจินตนาการดูถ้าเราตายแล้วจะเป็นอย่างไร เอาอะไรไปด้วยไม่ได้เลยสักอย่าง พอเวลาผ่านไปมีแต่ปัญหามากมาย มนุษย์เราหลงอยู่กับบ้าน หลงอยู่กับเมีย หลงอยูกับทรัพย์สินเงินทองมากมายจนลืมไปว่าเราก็จะตายเป็น และคนที่รักเราหรือเรารักเค้ามากมาย เค้าก็ไม่สามารถช่วยอะไรเราได้เลย ร่างกายที่เน่าเปื่อยลงทุกวันๆ สุดท้ายเค้าก็หามเราไปที่เมรุแล้วจุดไปเผาร่างของเรา ทุกคนมายืนไว้อาลัยแต่ไม่มีใครเห็นเรา สัมผัสเราได้ เราไม่สามารถคุยกับใครเราได้เลย เมื่อร่างกายเราถูกเผาไปแล้ว จิตของเราจะไปไหน จากนั้นก็มีคนใส่ชุดสีดำเดินมาสองคน คนหนึ่งจับข้างซ้าย คนหนึ่งจับข้างขวา เบื้องหน้ามีเส้นทางที่สว่างไสว แล้วเราก็ถูกพาข้ามไปอีกมิติหนึ่ง จนไปถึงทางแยกทางหนึ่ง อีกทางนั้นเป็นบันไดทองสวยงามขึ้นไป อีกทางเห็นเป็นดวงไฟสีแดง มี บ่อน้ำไฟที่มีคนจมอยู่ร่ำร้องด้วยความทุกข์ทรมาน อีกทางหนึ่งมีคนขาวๆเดินสัญจรไปมา มีหมอกขาวๆ
    คนที่ตายแล้วจะทำอะไรได้บ้าง ชีวิตของเราทุกคนไม่มีใครรู้ว่าจะดับลงเมื่อไหร่ ไม่ว่าจะเป็นเด็กแรกเกิด 3 เดือน 4 เดือน คนหนุ่มสาว หรือคนแก่ชรา ก็สามารถตายได้ตลอดเวลา พิจารณาชีวิตของเราและนึกอยู่เสมอว่าเราจะต้องตายเป็นแน่แท้ แล้วถ้าตายไปจะเป็นแบบไหน เพื่อเป็นการเตือนตัวเองไม่ให้เราหลงต่อสิ่งที่มี จมอยู่กับสิ่งที่เป็น ทุกข์อยู่ในทรัพย์สินเงินทอง ชื่อเสียง ลาภยศต่างๆ ทุกกับลูกๆที่เราให้ชีวิตเค้ามา ทุกข์กับสามีภรรยาที่เรารักเค้าอยู่ในวันนี้ แต่ท้ายที่สุดก็ไม่มีใครหลีกหนีพ้นความตายเลยสักคน เพราะฉะนั้นอย่าประมาทกับชีวิต ถ้าใครยังทุกข์อยู่กับทรัพย์สินเงินทอง ชื่อเสียงเกียรติยศ และของหรือคนอันเป็นที่รักก็จงเลิกทุกข์เถอะ ขอให้ทำตามเท่าที่พละกำลังเราพอจะมีและพอจะทำได้
    การเกิดของมนุษย์ของเรานั้น หากเทียบกับโลกทิพย์หรือโลกสวรรค์ก็เหมือนการมาบำเพ็ญเพียรเพียงช่วงเวลาสั้นๆช่วงหนึ่งเท่านั้น ชีวิตเราก็เหมือนเป็นแค่ความฝัน ที่ฝันเป็นเจ้าหญิง เจ้าชาย เป็นบ่าว เป็นนาย เป็นที่มีคนรักคนเกลียดมากมาย มีชื่อเสียงมากมาย มีทรัพย์สินเงินทองมากมาย แต่นั่นก็เป็นเพียงความฝันเพียงช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น เมื่อถึงเวลาก็ต้องตื่นจากฝัน มันไม่ใช่ความจริง แม้จะฝันดี ฝันร้าย ประสบพบเจอกับคนรอบข้างมากมายที่ดี หรือทำร้ายเพียงใด ความพลั้งพลาดต้องจมอยู่กับความทุกข์นั้น สุดท้ายก็ต้องตื่นจากฝัน
     
  18. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    อ่านตรงนี้ก็รู้แล้วว่า จขกท.รู้เพียงตามฐานะ

    แต่ไม่ได้รู้จริงอย่างท่านผู้ถึงนิพพาน ท่านเหล่านั้นย่อมไม่กล่าวอย่างนี้แน่นอน

    สิ่งที่ จขกท. เอื้อนเอ่ยมานั้น เสมือนว่านิพพานเป็นภพ ภพหนึ่ง ที่ยังมีจิตเข้าไปอาศัย

    ได้ยินมาว่า "มีจิตย่อมมีภพ" เมื่อยังมีความเป็นภพ ย่อมไม่ใช่สภาวะแห่งนิพพาน

    จิตนั้นเป็นต้นต่ออวิชชา
     
  19. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    บางคนคงจะเคยได้ยิน ในลักษณะที่ว่า
    อุปกิเลสที่จรมา เป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต

    และคงเคยได้ยิน โศลกของท่านเว่ยหลาง “ไร้กาย ไร้จิต ไร้บานกระจก ฝุ่นจะจับลงที่ตรงไหน”

    นิพพานนั้น พ้นความเป็นสมมุติใดๆในโลก อย่างสิ้นเชื้อ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤษภาคม 2014
  20. thanapanyo

    thanapanyo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    236
    ค่าพลัง:
    +328
    แลกเปลี่ยนสภาวธรรมเรื่องของจิต

    สภาวธรรมของความว่างเปล่านั้น ก่อเกิดมาจากจิตของตน ที่ปล่อยวางได้แล้วกับทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่มีอยู่ ไม่ว่าจะมีก็เหมือนไม่มี แต่ไม่ได้แปลว่าโลกนั้นจะได้ว่างเปล่าไปหมดทุกอย่าง เปรียบเหมือนคนที่เข้าถึงนิพพานได้เมื่อครั้งมีชีวิตอยู่ จึงไม่ได้แปลว่าผู้ที่หลุดพ้นแล้วนั้นจะต้องมีสภาวธรรมว่างเปล่าในโลก เช่นดังองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าและเหล่าพระอรหันต์ก็ยังคงอยู่และดูแลศาสนาดูแลดวงจิตที่ยังไม่หลุดพ้นทุกข์อยู่เสมอ หากเมื่อไหร่ที่ได้เข้าถึงสภาวธรรมนั้นแล้วก็จะเข้าใจว่าเป็นยังไง ดังคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ว่าผู้ที่ปฏิบัติพึงเห็นได้ด้วยตนเอง
     

แชร์หน้านี้

Loading...