ดร.สนอง วรอุไรไขปริศนาสัมภเวสีรอจุติ

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย NoOTa, 6 กุมภาพันธ์ 2007.

  1. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,492
    ดร.สนอง วรอุไรไขปริศนา'สัมภเวสีรอจุติ'

    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width=567 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>ดร.สนอง วรอุไร ไขปริศนา... "สัมภเวสีรอจุติ"</TD></TR><TR><TD class=Text_Story vAlign=top><!-- [​IMG][/IMG] [​IMG] หนังสือ "ยิ่งกว่าสุข เมื่อจิตเป็นอิสระ" เป็นหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่ ดร.สนอง วรอุไร นักบรรยายธรรม เขียนขึ้นมาเพื่อเตือนสติไม่ให้มนุษย์ประมาทกับชีวิต


    เกี่ยวกับการเวียนว่ายตายเกิด
    โดยเนื้อหาของหนังสือจะให้คำตอบของการแสวงหาหลุดพ้นเป็นอิสระทั้งกายและใจ ถือเป็นหนังสือที่เน้นทบทวนรายละเอียดของชีวิต ค้นหาเป้าหมายแล้วลงมือปฏิบัติเพื่อมุ่งไปสู่ชีวิตที่มีสุข และเป็นอิสระอย่างแท้จริง พบคุณค่าของความเป็นมนุษย์ เพื่อร่วมเวียนว่ายตายเกิด กฎแห่งกรรม บุญและบาป การเตรียมพร้อมก่อนตาย เรื่องเล่าของผู้ตายแล้วฟื้น ขั้นตอนการพัฒนาจิตสู่ความเป็นอิสระ คือการภาวนาเบื้องหลังการบรรลุธรรม อุปสรรคที่ขวางกั้น
    ดร.สนอง อธิบายให้ฟังว่า ในสังสารวัฏตั้งแต่ภพภูมิของมนุษย์ขึ้นไปเรียกว่า สุคติภูมิ เป็นภพแห่งความสุขอันละเอียดประณีตกว่าความสุขในโลกมนุษย์
    ส่วนที่ต่ำกว่ามนุษย์ลงไปนั้น เรียกว่า อบายภูมิ เป็นที่ที่มีแต่ความทุกข์เป็นใหญ่ หาความสุขได้ยากยิ่ง อบายภูมิเป็นที่อยู่ของสัตว์นรก คือสัตว์ที่กำลังเสวยผลของความประพฤติชั่ว เปรต และอสุรกาย คือ ผู้ที่สั่งสมความโลภไว้มาก สัตว์ประเภทนี้จึงมีความอยาก หิวโหยอยู่ตลอดเวลา ส่วนสัตว์เดรัจฉาน ในทางธรรมสัตว์เดรัจฉานกับมนุษย์บางจำพวกนั้นไม่แตกต่างกันมากนัก คือมีรูปนามหยาบเหมือนกัน เพียงแต่ก่อนไปเกิดสัตว์เดรัจฉานสั่งสมกรรมไม่ดีไว้มาก กรรมไม่ดีที่เป็นต้นเหตุนำไปเกิดสัตว์เดรัจฉาน คือ การสั่งสมความหลงด้วยการคิด พูด ทำอย่างขาดสติ
    ขณะที่ สุคติภูมิ นอกจากจะเป็นที่อาศัยของมนุษย์ ยังเป็นที่อยู่ของเทวดา และพรหมด้วย เทวดาเป็นสัตว์ที่อยู่ในมิติที่มีรูปนามละเอียด เทวดาและนางฟ้านั้น หากเปรียบเทียบในด้านความสวยงามกับมนุษย์แล้ว ต่อให้มนุษย์สวยหล่อแค่ไหน เป็นนางงามหรือได้ตำแหน่งจากเวทีใด ก็ยังงามสู้เทวดานางฟ้าไม่ได้ เหตุที่ทำให้เป็นเทวดานางฟ้าก็คือ การทำความดี มีศีล มีการให้ทาน และมีความละอายชั่ว และเกรงกลัวต่อบาป
    ด้วยเหตุนี้ บนสวรรค์จึงมีนางฟ้าจำนวนมากกว่าเทวดา เพราะขณะเป็นมนุษย์ผู้ชายน้อยคนจะสนใจในบุญกุศล ผู้ชายจึงได้ขึ้นไปเกิดบนสวรรค์น้อยต่างจากผู้หญิง
    ทั้งนี้ ดร.สนอง ยังอธิบายถึงความตายด้วยว่า การตายนั้นมีอยู่ ๒ ประเภท ประเภทแรกคือ ตายแบบปกติ เมื่อถึงอายุขัย จิตหลุด หรือจุติออกจากร่างหนึ่งแล้วไปปฏิสนธิในร่างใหม่ทันที
    ส่วนอีกประเภท แม้ว่าฟังดูอาจจะไม่ตรงตามความรู้ทางอภิธรรม หรือปริยัติ แต่ก็มีอยู่จริง และปฏิเสธไม่ได้คือ การตายแบบยังถึงไม่อายุขัย ยังไม่ถึงเวลาที่ควรจะทิ้งร่าง แต่จำเป็นต้องทิ้งร่างไปก่อนด้วยมีกรรมมาตัดรอน เช่น เกิดอุบัติเหตุ ทำให้ร่างเดิมใช้การไม่ได้ จิตจึงปฏิเสธร่างเดิมออกไปอยู่ในรูปร่างกายที่เป็นทิพย์ ซึ่งกายทิพย์ตัวนี้อยู่ในรูปลักษณะเดิม มีหน้าตาเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
    "สมมติว่า จิตหลุดจากร่างขณะใส่เสื้อลาย กายทิพย์ก็จะอยู่ในรูปลักษณะของเสื้อลายตัวเดิม สัตว์ในสังสารวัฏรูปแบบนี้ เรียกว่า สัตว์รอเกิดหรือสัมภเวสี สัมภเวสีมีให้พบเห็นอยู่ทั่วไปตามข้างถนนและโรงพยาบาล มีทั้งในรูปกายทิพย์ของมนุษย์และสัตว์ ผู้ที่เคยมีประสบการณ์เห็นคนป่วยมายืนปลายเตียงเวลาไปนอนโรงพยาบาล ก็ให้รู้ไว้เลยว่านั่นแหละคือสัมภเวสีหรือสัตว์รอเกิด ซึ่งเขาก็คือ เพื่อนร่วมสังสารวัฏประเภทหนึ่งของเรา" ดร.สนอง กล่าว
    พร้อมกันนี้ ดร.สนอง ยังให้เหตุผลที่ไม่แขวนพระเครื่องด้วยว่า ตั้งแต่ศึกษาธรรมะมาตั้งแต่อายุสามสิบกว่า จนมาถึงวันนี้อายุ ๖๙ ปีแล้ว พบว่าที่พึ่งดีที่สุดคือ ศีล สติ เท่านั้นที่จะป้องกันอันตรายได้ อีกทั้งยังเชื่อในเรื่อง กฎแห่งกรรม เรื่องราวของกรรมที่ให้ผลรวดเร็ว โดยไม่ต้องรอพิสูจน์ถึงชาติหน้านั้นมีให้เห็นอีกมาก
    เช่น ครอบครัวหนึ่ง เลี้ยงไก่ไว้ใต้ถุนบ้าน แต่ด้วยเหตุที่บ้านนั้นยกพื้นขึ้นไม่สูงมาก ไก่ที่เลี้ยงจึงกระโดดขึ้นไปถ่ายมูลไว้เรี่ยราดเป็นประจำ
    อยู่มาวันหนึ่ง แม่บ้านเห็นไก่และมูลไก่อยู่เต็มบ้านแล้ว เกิดบันดาลโทสะอย่างรุนแรง เมื่อไล่จับไก่ได้ตัวหนึ่งจึงใช้มีดหั่นหมูฟันลงที่ขาไก่ทั้งสองข้างจนเป็นไก่ขาด้วน
    อยู่มาไม่นาน ผู้หญิงคนนั้นก็ตั้งท้อง เมื่อครบกำหนดคลอด ปรากฏว่าได้ลูกชาย แต่พิการขาด้วนทั้งสองข้าง ตั้งแต่ใต้ข้อเข่าลงไป ต่อจากนั้นอีกไม่นานผู้หญิงคนนั้นก็ตาย เหลือแต่ลูกชายพิการ ที่ต้องมีชีวิตอยู่เพื่อใช้อกุศลวิบากแทนแม่จนทุกวันนี้
    "กรรมทั้งดีและไม่ดี เราทำต่อผู้ทรงศีลที่มีบารมีสูงนั้นจะกลับมาแรงและเร็ว การทำผิดต่อผู้ทรงศีล จึงเป็นที่ให้ผลแรง อาจทำให้เราตกนรกได้ เหมือนพระทเวทัต ที่ปองร้ายพระพุทธเจ้า พระเจ้าสุปปพุทธะ พระบิดาของพระนางยโสธราพิมพา และพระเทวทัต ที่ขวางการบิณฑบาตพระพุทธเจ้า นางจิญจมาณวิกาที่กล่าวตู่ให้ร้ายว่า พระพุทธเจ้าทรงทำให้นางตั้งครรภ์ และนันทมาณพที่ข่มขืนพระอุบลวรรณาเถรี ภิกษุณีผู้เป็นพระอรหันต์ บุคคลเหล่านี้ล้วนแต่ถูกธรณีสูบลงนรกให้ดูเป็นตัวอย่างแล้ว" ดร.สนอง กล่าวทิ้งท้าย
    -----------เบิลบ์-------------
    "สัมภเวสีมีให้พบเห็นอยู่ทั่วไปตามข้างถนนและโรงพยาบาล มีทั้งในรูปกายทิพย์ของมนุษย์และสัตว์"
    ---------/////----------0 เรื่อง สุทธิคุณ กองทอง / ภาพ สกล สนธิรัตน 0

    ล้อมกรอบ
    ความหมายของ "สัมภเวสี"
    สัมภเวสี แปลว่า ผู้แสวงหาที่เกิดอยู่ คือผู้ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ สัมภเวสี หมายถึง พระเสขะและปุถุชนที่แสวงหาที่เกิดต่อไป เพราะยังไม่สิ้นภพสิ้นชาติ และสังโยชน์ และหมายถึง สัตว์ที่เกิดในครรภ์ เช่น มนุษย์ และสัตว์ที่เกิดในไข่ หรือนก เป็นต้น ขณะยังอยู่ในครรภ์ และในไข่ ยังไม่คลอด รวมทั้งยังไม่ออกจากเปลือกไข่ แม้พวกสังเสทชกำเนิดและโอปปาติกกำเนิด (ดูเรื่องโยนิ) ที่เกิดในขณะจิตแรกหรือยังอยู่ในอิริยาบถแรกก็เรียกว่า สัมภเวสี สัมภเวสี ในความหมายทั่วไป หมายถึง ผู้ที่ตายจากมนุษย์ไปแล้ว แต่ยังไม่ได้เกิดในกำเนิดอื่น ยังคงล่องลอยวนเวียนหาที่เกิดอยู่

    -->
    [​IMG]


    หนังสือ "ยิ่งกว่าสุข เมื่อจิตเป็นอิสระ" เป็นหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่ ดร.สนอง วรอุไร นักบรรยายธรรม เขียนขึ้นมาเพื่อเตือนสติไม่ให้มนุษย์ประมาทกับชีวิต
    เกี่ยวกับการเวียนว่ายตายเกิด
    โดยเนื้อหาของหนังสือจะให้คำตอบของการแสวงหาหลุดพ้นเป็นอิสระทั้งกายและใจ ถือเป็นหนังสือที่เน้นทบทวนรายละเอียดของชีวิต ค้นหาเป้าหมายแล้วลงมือปฏิบัติเพื่อมุ่งไปสู่ชีวิตที่มีสุข และเป็นอิสระอย่างแท้จริง พบคุณค่าของความเป็นมนุษย์ เพื่อร่วมเวียนว่ายตายเกิด กฎแห่งกรรม บุญและบาป การเตรียมพร้อมก่อนตาย เรื่องเล่าของผู้ตายแล้วฟื้น ขั้นตอนการพัฒนาจิตสู่ความเป็นอิสระ คือการภาวนาเบื้องหลังการบรรลุธรรม อุปสรรคที่ขวางกั้น


    [​IMG]

    ดร.สนอง อธิบายให้ฟังว่า ในสังสารวัฏตั้งแต่ภพภูมิของมนุษย์ขึ้นไปเรียกว่า สุคติภูมิ เป็นภพแห่งความสุขอันละเอียดประณีตกว่าความสุขในโลกมนุษย์
    ส่วนที่ต่ำกว่ามนุษย์ลงไปนั้น เรียกว่า อบายภูมิ เป็นที่ที่มีแต่ความทุกข์เป็นใหญ่ หาความสุขได้ยากยิ่ง อบายภูมิเป็นที่อยู่ของสัตว์นรก คือสัตว์ที่กำลังเสวยผลของความประพฤติชั่ว เปรต และอสุรกาย คือ ผู้ที่สั่งสมความโลภไว้มาก สัตว์ประเภทนี้จึงมีความอยาก หิวโหยอยู่ตลอดเวลา ส่วนสัตว์เดรัจฉาน ในทางธรรมสัตว์เดรัจฉานกับมนุษย์บางจำพวกนั้นไม่แตกต่างกันมากนัก คือมีรูปนามหยาบเหมือนกัน เพียงแต่ก่อนไปเกิดสัตว์เดรัจฉานสั่งสมกรรมไม่ดีไว้มาก กรรมไม่ดีที่เป็นต้นเหตุนำไปเกิดสัตว์เดรัจฉาน คือ การสั่งสมความหลงด้วยการคิด พูด ทำอย่างขาดสติ
    ขณะที่ สุคติภูมิ นอกจากจะเป็นที่อาศัยของมนุษย์ ยังเป็นที่อยู่ของเทวดา และพรหมด้วย เทวดาเป็นสัตว์ที่อยู่ในมิติที่มีรูปนามละเอียด เทวดาและนางฟ้านั้น หากเปรียบเทียบในด้านความสวยงามกับมนุษย์แล้ว ต่อให้มนุษย์สวยหล่อแค่ไหน เป็นนางงามหรือได้ตำแหน่งจากเวทีใด ก็ยังงามสู้เทวดานางฟ้าไม่ได้ เหตุที่ทำให้เป็นเทวดานางฟ้าก็คือ การทำความดี มีศีล มีการให้ทาน และมีความละอายชั่ว และเกรงกลัวต่อบาป
    [​IMG]

    ด้วยเหตุนี้ บนสวรรค์จึงมีนางฟ้าจำนวนมากกว่าเทวดา เพราะขณะเป็นมนุษย์ผู้ชายน้อยคนจะสนใจในบุญกุศล ผู้ชายจึงได้ขึ้นไปเกิดบนสวรรค์น้อยต่างจากผู้หญิง
    ทั้งนี้ ดร.สนอง ยังอธิบายถึงความตายด้วยว่า การตายนั้นมีอยู่ ๒ ประเภท ประเภทแรกคือ ตายแบบปกติ เมื่อถึงอายุขัย จิตหลุด หรือจุติออกจากร่างหนึ่งแล้วไปปฏิสนธิในร่างใหม่ทันที
    ส่วนอีกประเภท แม้ว่าฟังดูอาจจะไม่ตรงตามความรู้ทางอภิธรรม หรือปริยัติ แต่ก็มีอยู่จริง และปฏิเสธไม่ได้คือ การตายแบบยังถึงไม่อายุขัย ยังไม่ถึงเวลาที่ควรจะทิ้งร่าง แต่จำเป็นต้องทิ้งร่างไปก่อนด้วยมีกรรมมาตัดรอน เช่น เกิดอุบัติเหตุ ทำให้ร่างเดิมใช้การไม่ได้ จิตจึงปฏิเสธร่างเดิมออกไปอยู่ในรูปร่างกายที่เป็นทิพย์ ซึ่งกายทิพย์ตัวนี้อยู่ในรูปลักษณะเดิม มีหน้าตาเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

    "สมมติว่า จิตหลุดจากร่างขณะใส่เสื้อลาย กายทิพย์ก็จะอยู่ในรูปลักษณะของเสื้อลายตัวเดิม สัตว์ในสังสารวัฏรูปแบบนี้ เรียกว่า สัตว์รอเกิดหรือสัมภเวสี สัมภเวสีมีให้พบเห็นอยู่ทั่วไปตามข้างถนนและโรงพยาบาล มีทั้งในรูปกายทิพย์ของมนุษย์และสัตว์ ผู้ที่เคยมีประสบการณ์เห็นคนป่วยมายืนปลายเตียงเวลาไปนอนโรงพยาบาล ก็ให้รู้ไว้เลยว่านั่นแหละคือสัมภเวสีหรือสัตว์รอเกิด ซึ่งเขาก็คือ เพื่อนร่วมสังสารวัฏประเภทหนึ่งของเรา" ดร.สนอง กล่าว
    พร้อมกันนี้ ดร.สนอง ยังให้เหตุผลที่ไม่แขวนพระเครื่องด้วยว่า ตั้งแต่ศึกษาธรรมะมาตั้งแต่อายุสามสิบกว่า จนมาถึงวันนี้อายุ ๖๙ ปีแล้ว พบว่าที่พึ่งดีที่สุดคือ ศีล สติ เท่านั้นที่จะป้องกันอันตรายได้ อีกทั้งยังเชื่อในเรื่อง กฎแห่งกรรม เรื่องราวของกรรมที่ให้ผลรวดเร็ว โดยไม่ต้องรอพิสูจน์ถึงชาติหน้านั้นมีให้เห็นอีกมาก
    เช่น ครอบครัวหนึ่ง เลี้ยงไก่ไว้ใต้ถุนบ้าน แต่ด้วยเหตุที่บ้านนั้นยกพื้นขึ้นไม่สูงมาก ไก่ที่เลี้ยงจึงกระโดดขึ้นไปถ่ายมูลไว้เรี่ยราดเป็นประจำ
    อยู่มาวันหนึ่ง แม่บ้านเห็นไก่และมูลไก่อยู่เต็มบ้านแล้ว เกิดบันดาลโทสะอย่างรุนแรง เมื่อไล่จับไก่ได้ตัวหนึ่งจึงใช้มีดหั่นหมูฟันลงที่ขาไก่ทั้งสองข้างจนเป็นไก่ขาด้วน
    อยู่มาไม่นาน ผู้หญิงคนนั้นก็ตั้งท้อง เมื่อครบกำหนดคลอด ปรากฏว่าได้ลูกชาย แต่พิการขาด้วนทั้งสองข้าง ตั้งแต่ใต้ข้อเข่าลงไป ต่อจากนั้นอีกไม่นานผู้หญิงคนนั้นก็ตาย เหลือแต่ลูกชายพิการ ที่ต้องมีชีวิตอยู่เพื่อใช้อกุศลวิบากแทนแม่จนทุกวันนี้

    "กรรมทั้งดีและไม่ดี เราทำต่อผู้ทรงศีลที่มีบารมีสูงนั้นจะกลับมาแรงและเร็ว การทำผิดต่อผู้ทรงศีล จึงเป็นที่ให้ผลแรง อาจทำให้เราตกนรกได้ เหมือนพระเทวทัต ที่ปองร้ายพระพุทธเจ้า พระเจ้าสุปปพุทธะ พระบิดาของพระนางยโสธราพิมพา และพระเทวทัต ที่ขวางการบิณฑบาตพระพุทธเจ้า นางจิญจมาณวิกาที่กล่าวตู่ให้ร้ายว่า พระพุทธเจ้าทรงทำให้นางตั้งครรภ์ และนันทมาณพที่ข่มขืนพระอุบลวรรณาเถรี ภิกษุณีผู้เป็นพระอรหันต์ บุคคลเหล่านี้ล้วนแต่ถูกธรณีสูบลงนรกให้ดูเป็นตัวอย่างแล้ว" ดร.สนอง กล่าวทิ้งท้าย

    -----------

    "สัมภเวสีมีให้พบเห็นอยู่ทั่วไปตามข้างถนนและโรงพยาบาล มีทั้งในรูปกายทิพย์ของมนุษย์และสัตว์"

    ---------/////----------
    0 เรื่อง สุทธิคุณ กองทอง / ภาพ สกล สนธิรัตน 0

    ความหมายของ "สัมภเวสี"

    สัมภเวสี แปลว่า ผู้แสวงหาที่เกิดอยู่ คือผู้ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ สัมภเวสี หมายถึง พระเสขะและปุถุชนที่แสวงหาที่เกิดต่อไป เพราะยังไม่สิ้นภพสิ้นชาติ และสังโยชน์ และหมายถึง สัตว์ที่เกิดในครรภ์ เช่น มนุษย์ และสัตว์ที่เกิดในไข่ หรือนก เป็นต้น ขณะยังอยู่ในครรภ์ และในไข่ ยังไม่คลอด รวมทั้งยังไม่ออกจากเปลือกไข่ แม้พวกสังเสทชกำเนิดและโอปปาติกกำเนิด (ดูเรื่องโยนิ) ที่เกิดในขณะจิตแรกหรือยังอยู่ในอิริยาบถแรกก็เรียกว่า สัมภเวสี สัมภเวสี ในความหมายทั่วไป หมายถึง ผู้ที่ตายจากมนุษย์ไปแล้ว แต่ยังไม่ได้เกิดในกำเนิดอื่น ยังคงล่องลอยวนเวียนหาที่เกิดอยู่



    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    --------------------
    ที่มา: คมชัดลึก
    http://www.komchadluek.net/2007/02/06/j001_88550.php?news_id=88550
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กุมภาพันธ์ 2007
  2. ren

    ren เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2005
    โพสต์:
    426
    ค่าพลัง:
    +2,646
    สัมภเวสีนี้น่าสงสารน่ะ วนไปเวียนมา รอการเกิด
    แต่จริงๆ แล้ว เขาเหล่านั้นก็ปฎิบัติธรรมได้
     
  3. sacrifar

    sacrifar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    551
    ค่าพลัง:
    +3,221
    อัลเบิร์ต ไอสไตน์ กล่าวไว้ว่า ศาสนาที่เป็นวิทยาศาสตร์มากที่สุดคือศาสนา พุทธ
    ผมชอบ ดร.สนอง ท่านมากครับ ท่านเรียนสูงทางโลก เป็นนักวิทยาศาสตร์ ในหนังสือเล่มแรกของท่านชื่อ ทำชีวิตให้ได้ดีและมีสุข ท่านได้บอกเอาไว้ว่า ตัวท่านเองเป็นนักวิทยาศาสตร์ จะเชื่ออะไรก็ต่อเมื่อพิสูจน์ได้ ท่านจึงลองปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า จนพบกับตัวเอง ท่านจึงเชื่อ และนำมาเผยแพร่ต่อ คำบรรยายธรรมของท่านเป็นคำพูดที่ออกมาจากปากของนักวิทยาศาสตร์ หากฟังธรรมจากท่านแล้วจะทราบเลยว่า พระพุทธเจ้าคือนักวิทยาศาสตร์ที่สุดยอดกว่าใครทั้งสิ้น
     
  4. ชลัท

    ชลัท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +109
    ขออนุโมทนาด้วยกับผู้นำบทความมาลงให้อ่านเพื่อประดับความรู้ครับ
     
  5. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,468
    [​IMG]
    ขออนุโมทนาสาธุครับ
    ให้ธรรมทานชนะการให้ทั้งปวง ให้ธรรมทานได้ชื่อว่าให้กำลังใจ

    ดร.สนองท่าน จบปริญญาเอกจากต่างประเทศ (ถ้าจำไม่ผิดคืออังกฤษ)เชี่ยวชาญเรื่องจุลินทรีย์สิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก รับเชิญไปบรรยายธรรมทั่วประเทศ ชาติภพก่อน(มีเพื่อนผมเล่าให้ฟังว่า)ท่านเคยเป็นฤาษีมาก่อนครับ ในชาติปัจจุบันท่านเคยเรียนกรรมฐานกับท่านเจ้าคุณโชดกฯ วัดมหาธาตุครับ
    ท่านเคยคุยให้ฟังว่าอยากให้ประเทศมีการพัฒนาจริยธรรมของประชาชนโดยเฉพาะผู้ปกครองประเทศด้วยครับ ประเทศชาติคงจะร่มเย็นเป็นสุขขึ้นแน่ครับ ขออนุโมทนาสาธุในกุศลเจตนาของท่านครับ
     
  6. bridge

    bridge เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,249
    ค่าพลัง:
    +1,814
    เป็นข้อความที่ดี จับใจให้รู้สึกอยากอ่านทั้งต่อผู้ มีธรรม และไม่มีธรรม หากคนที่ยังคิดไม่ได้ในทางธรรมเมื่อมาอ่านต้องมีความคิดใดมาสกิตเตือนสติ เขาไว้ได้แน่ แต่หากไม่คิดแล้ว บุคคลนั้นได้ชื่อว่า เป็นบุคคลที่ไม่พึงสอน เป็นคนหยาบ หนิงก็ได้แต่อนุโมธนา ในข้อความนี้และพึงให้ผู้ใดที่อ่านได้ สังวรณ์ และน้อมเข้ามาใส่ตน นะค่ะ
     
  7. APIRAT

    APIRAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2006
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +3,220
    โมทนาด้วยครับ ผมรู้จักอาจารน์สนองในเวปพลังจิต ตอนนั้นจะเก็บบทสวด และธรรมมะต่างๆไว้ ก็เลยเจอธรรมบรรยายของท่านที่มีผู้นำมาเผยแพร่ไว้ ได้อ่านเรื่องราวการปฏิบัติ และฟังที่ท่านบรรยายก็ตรงใจที่เราปฏิบัติอยู่(แบบงูๆปลาๆ) เลยคิดว่าเราอยากเจอท่านอยากฟังท่านสักครั้ง ปรากฏว่าอีก2สัปดาห์ก็ได้ไปฟังท่านที่ธรรมศาสตร์จริงๆ เมื่อวันที่12ธันวาคม ที่ชมรมกัลยาณธรรมจัดเพื่อเทอดพระเกียรติแด่พระเจ้าอยู่หัวของเรา คนเยอะมากเป็นประวัติการและผมก็ได้เป็นสมาชิกชมรมกัลยาณธรรมตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ครับ
     
  8. ri_thai13

    ri_thai13 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    250
    ค่าพลัง:
    +2,253
    ขออนุโมทนาสาธุ ด้วยนะคะ กับเรื่องราวที่เป็นประโยชน์ต่อผู้รุ้ และ ผู้ไม่รู้ เคยได้ยินชื่อท่านดร.สนอง มาเหมือนกันหลายคนเคยเล่าให้ฟัง แต่ยังไม่เคยได้อ่านหน้งสือของท่านเลย จะต้องหาอ่านให้ได้ จริงสิ่งที่ผู้มีดวงตาเห็นธรรม มีความหวังลึก ๆ ในใจแทบจะทุกคน ที่อยากให้ทุกคนในประเทศ หรือในโลกนี้มีคุณธรรมนำใจ แค่ทุกคนรักษาศิล 5 ให้บริสุทธิ์ เท่าชีวิตได้แล้ว โลกที่ร้อนระอุอยู่นี้ คงจะ เย็นลงได้ตั้งเยอะ ถ้าเราจะทำได้ก็เพียงช่วยกันพักดันให้ มีกฏหมายของไทย ให้มีการสอนศาสนาพุทธในโรงเรียนในทุกระดับชั้น ตลอด และให้มีการ วางแผน ให้เด็กรักษาศิล 5 ให้ได้ น่าจะดี
     
  9. s_pantusom

    s_pantusom เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +1,333
    ไม่เห็นด้วยกับ ท่าน ดร.สนอง ครับ เรื่องสัมภเวสี หรือผู้รอเกิด เพราะธรรมชาติของจิตนั้น เกิด-ดับ อยู่ตลอดเวลา และมีความสืบเนื่องกันมาเรื่อย ๆ อันที่จริงนั้น สรรพสัตว์ทั้งหลาย เกิด-ตาย ตลอดเวลา เพียงแต่ขณะจิตนั้นเร็วจนเราจับไม่ทัน และจิตที่เกิดดับนั้นมีการสืบต่อมาเรื่อย ๆ ส่วนเรื่องที่ว่าจิตหลุดจากร่างแล้วรอเกิดนั้น ไม่เคยปรากฎในพุทธพจน์ ครับ ผมเชื่อว่าพุทธพจน์ถูกที่สุด ครับ พระวินัย พระสูตร และพระอภิธรรม เป็นพุทธพจน์ ดังนั้น ๓ สิ่งนี้จึงถูกที่สุด การกล่าวขัดกับหลักทั้ง ๓ นี้ ผมว่าต้องหาเหตุผลที่สมเหตุ สมผลมาก ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ครับ เพียงคำกล่าว ที่ไม่มีเหตุผลเพียงพอ ผมจึงไม่เห็นด้วยครับ ผมยังคงเชื่อว่า พุทธพจน์ ถูกต้องที่สุดครับ วันนึงเราคงเข้าใจเรื่องเหล่านี้ตามพุทธพจน์ เหมือนกับหลาย ๆ เรื่อง ที่วิทยาศาสตร์ ได้ทำการทดสอบแล้ว ได้ผลตรงกับพุทธพจน์ครับ
     
  10. naf06

    naf06 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    577
    ค่าพลัง:
    +2,227
    (verygood) เจตสิกดวงสุดท้ายของท่านก่อนจะสิ้นใจที่ยึดติดอยู่กับสรรสิ่งใดก็จะบังเกิดเป็นอย่างนั้น ขออนุโมทนาสาธุกับ ด.สนองครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 18 กุมภาพันธ์ 2007
  11. a5g1

    a5g1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    91
    ค่าพลัง:
    +384
    เป็นบทความที่ดีมากๆๆครับอ่านแล้วอยากทำความดีละเว้นความชั่ว โดยเฉพาะการทำร้ายไก่กรรมตามทันเร็วมากๆเลย สาธุๆๆๆ
     
  12. wara99

    wara99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    379
    ค่าพลัง:
    +892
    ขอแสดงความคิดเห็นกันคุณลุงหมูบิน ตัวผมเองไม่ได้เก่งมาจากใหน เพียงแต่เสนอมุมมองใหม่ของผมเท่านั้นเอง ผิดถูกประการใด ถ้าผู้รู้พบเจอก็ขออภัยด้วย
    คุณเข้าใจถูกเรื่องการเกิดดับของจิตว่ามีขึ้นตลอดเวลา แต่การเกิดดับของจิตไม่ได้หมายความว่าตายแล้วจิตจึงดับและเกิดใหม่จิตก็เกิด จริงๆแล้วแค่อ่านข้อความในหน้งสือ บรรทัดเดียวจิตก็เกิดดับนับไม่ถ้วน ขณะเดียวกันพวกสัมภเวสีเองขณะที่ยังอยู่ในสภาพนั้นจิตก็เกิดดับอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน
    การรอเกิดตามความหมายของ ดร.สนอง นั้นน่าจะหมายถึงจิตที่ยังมิได้เกิดในกายหยาบมากกว่า
    ส่วนในพุทธพจน์ ก็มีอยู่จริงแต่ไม่ได้อธิบาบละเอียดไปเสียทุกมุม เพียงแต่กล่าวเป็นตอนๆไว้ พวกเราทั้งหลายไม่ว่าพระหรือฆราวาสก็ต้องพินิจพิเคราห์เอาเอง ถ้าไม่เช่นนั้นพระพุทธเจ้าคงจะไม่ตรัสเรื่องภพภูมิ เรื่องการเกิดดับของจิตเป็นแน่
    ผมคงมีความเห็นเท่านี้ ไม่ทราบว่าผู้อื่นเห็นเช่นไร ช่วยชี้แนะแบ่งปันด้วย
    ขออนุโมทนาให้ผู้อ่านทุกท่าน และคุณลุงหมูบินมีความสุขและพบธรรมโดยเร็ววัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กุมภาพันธ์ 2007
  13. นายดอกบัว

    นายดอกบัว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +5,676
    ก็ว่า นางฟ้าเยอะจริงๆ เพราะผู้หญิงชอบทำบุญทำทาน
    มาชาตินี้ เกือบทุกมหาลัย เลยมีผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
    แถมมีฐานะดีกว่าผู้ชายอีก ชาติที่แล้วทำบุญทำทานเยอะนี่เอง

    เรื่องแม่บ้าน มีลูก ขาด้วน มันเป็นกรรมของแม่บ้านด้วย
    และเด็กคนที่ขาด้วนด้วยครับ ลูกขาด้วนไม่ได้รับกรรมแทนแม่
    แต่รับกรรมให้กับตัวเองต่างหาก
     
  14. khuntun

    khuntun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2007
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +324
    ขออนุโมทนาสาธุด้วยนะครับ ขอบคุณที่นำบทความดีๆมาให้อ่านนะครับ เฮ้อ ถ้าโลกนี้ มีคนมีคุณธรรม เยอะๆ โลกคงจะสงบสุขกว่านี้นะครับ เฮ้อ มิน่าละ เพราะ มนุษย์แทบไม่เหลือคุณธรรมเเล้ว คนดีๆจึงอยากไปนิพพานเร็วๆนั้นเอง อนิจจา...
     

แชร์หน้านี้

Loading...