"ซกเชน" คำสอนแห่งพระพุทธเจ้าสมณโคดม ทำให้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ในชาติเดียว!

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย anakarik, 8 มิถุนายน 2007.

  1. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    "ซกเชน" คำสอนแห่งพระพุทธเจ้าสมณโคดม ทำให้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ในชาติเดีย

    เป็นเนื้อหาธรรมของซกเชนที่ทางเถรวาทไม่ยอมรับ มีดังนี้

    บารมี 6 ที่พระโพธิสัตว์ปฏิบัตินั้นประกอบด้วยเมตตา 5 ปัญญา 1
    เมื่อปฏิบัติถึงที่สุดแล้ว พระโพธิสัตว์ก็บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า
    ได้ สามารถบรรลุความเป็นตรีกายได้คือ ธรรมกาย สัมโภคกาย และนิรมานกาย

    ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นพื้นฐานที่ต้องมีความเป็นพระโพธิสัตว์ต้องบังเกิดเพื่อ
    บรรลุความสำเร็จในการปฏิบัติวัชรยานต่อไป ฉะนั้นจึงแยกความเป็นมหายาน
    และวัชระยานออกจากกันไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าได้สอนเรื่องของวัชรยานไว้
    ตั้งแต่สมัยพุทธกาล เช่น กาลจักระ ตันตระ ซึ่งเป็นบทปฏิบัติตันตระชั้นสูง
    พระพุทธเจ้าได้เทศนาหลังจากได้บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว 1 ปีพระ
    พุทธเจ้าได้เทศนาสอน แก่พระโพธิสัตว์ที่บำเพ็ญในภูมิที่สูง (ไม่มีปรากฏใน
    เถรวาท ดังนั้นผู้ที่ไม่ได้ศึกษาพุทธมหายานหรือวัชรยานอาจเกิดความไม่เข้า
    ใจ) คำสอนตันตระถือได้ว่าเป็นคำสอนลับเฉพาะ
     
  2. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    พุทธมหายานถืออุดมคติ 3 ประการ คือ

    1.หลักมหาปัญญา ในหลักการข้อนี้ฝ่ายมหายานได้อธิบายหลักอนัตตาซึ่งเป็นคุณลักษณะพิเศษในพุทธศาสนาออกไปอย่างกว้างขวางลึกซึ้งมากพิสดารยิ่งกว่าในฝ่ายเถรวาท มหายานเรียกว่า ศูนยตา แทนคำว่า อนัตตา ในส่วนปฏิบัติของบุคคลทางฝ่ายมหายานถือว่าบุคคลจะพ้นทุกข์ได้ก็ด้วยการเข้าถึงศูนยตา ซึ่งมี 2 ชั้น คือ บุคคลศูนยตาและธรรมศูนยตา บุคคลศูนยตา ได้แก่การละอัสมิมานะซึ่งทำให้บุคคลบรรลุอรหันต์ ส่วน ธรรมศูนยตา ได้แก่การละความยึดถือแม้ในพระนิพพานซึ่งเป็นภูมิของพระโพธิสัตว์ชั้นสูง

    2.หลักมหากรุณา ได้แก่การตั้งโพธิจิตมุ่งพุทธภูมิ ไม่มุ่งอรหันต์ภูมิ ในทัศนะมหายานเห็นว่าอรหันต์ภูมิช่วยคนได้น้อย เพราะฉะนั้นจึงควรมุ่งพุทธภูมิซึ่งในขณะที่ยังมิได้บรรลุต้องสร้างบารมีเพื่อช่วยสัตว์ ดังนั้น ทางฝ่ายมหายานจึงย่อทศบารมีลงเหลือ 6 คือ
    2.1ทานปารมิตา พระโพธิสัตว์จะต้องสละทรัพย์ อวัยวะและชีวิตเพื่อสัตว์โลกได้โดยไม่อาลัย
    2.2 สีลปารมิตา พระโพธิสัตว์ต้องรักษาศีลอันประกอบด้วยอินทรีย์สังวรศีล กุศลสังคหศีล ข้อนี้ได้แก่ การทำความดีสงเคราะห์สัตว์ทุกกรณี สัตวสังคหศีล คือการช่วยให้พ้นทุกข์
    2.3 กษานติปารมิตา พระโพธิสัตว์ต้องสามารถอดทนต่อสิ่งกดดันเพื่อโปรดสัตว์ได้
    2.4 วิริยปารมิตา พระโพธิสัตว์ไม่ย่อท้อต่อพุทธภูมิ ไม่รู้สึกเหนื่อย หน่ายระอาในการช่วยสัตว์
    2.5 ธยานปารมิตา พระโพธิสัตว์จะต้องสำเร็จในฌานสมาบัติทุกชั้น มีจิตไม่คลอนแคลน เพราะเหตุอารมณ์
    2.6 ปรัชญาปารมิตา พระโพธิสัตว์จะต้องทำให้แจ้งในปุคคลศูนยตาและธรรมศูนยตา

    3.หลักมหาอุปาย คือพระโพธิสัตว์จะต้องประกอบด้วยกุศโลบายนานัปการ ในการช่วยเหลือปวงสัตว์ต้องประกอบด้วยไหวพริบปฏิภาณในการเข้าถึงอธิมุติของปวงสัตว์เปรียบเหมือนนายแพทย์ผู้ฉลาดรู้จักวางยาให้ถูกโรคอาศัยข้อนี้แหละทางฝ่ายมหายานจึงได้เพิ่มเติมคติธรรมและพิธีการซึ่งไม่เคยมีในฝ่ายเถรวาทเข้ามามากมายโดยถือว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงอุบาย ชักจูงให้ผู้เขลาโน้มเอียงเข้ามาสู่สัจธรรมในเบื้องปลายเท่านั้น คุรุนาคารชุนได้สถาปนาความมั่นคงฝ่ายมหายานด้วยแนวคิดดังที่ได้กล่าวมาแล้วด้วย "ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร" พระสูตรสั้นๆแต่มีสาระสำคัญอันเป็นบ่อเกิดแห่งความมั่นคงของมหายาน ในคัมภีร์มาธยมิกศาสตร์ ท่านคุรุนาคารชุนได้เริ่มคาถาในต้นปกรณ์ว่า “ไม่มีความเกิดขึ้น ไม่มีความดับ ไม่มีความขาดสูญ ไม่มีความเที่ยงแท้ ไม่มีอรรถแต่อย่าง เดียว ไม่มีอรรถนานาประการ ไม่มีการมา ไม่มีการไป ท่านใดกล่าวไว้ เป็นปฏิจจสมุปบาท ธรรม ท่านผู้นั้นคือพระพุทธเจ้า ข้าขอนอบน้อม แด่พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ผู้ดับเสียได้ซึ่ง ปัญจธรรมเป็นเลิศยิ่งกว่าวาทะทั้งหลาย”

    "รู้แจ้งก่อนจึงสอน คือนิยามพื้นฐานของเถรวาทหรือสาวกยาน
    ช่วยผู้อื่นให้รู้แจ้งก่อนแล้วจึงรู้แจ้ง คือนิยามพื้นฐานของมหายาน"
     
  3. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    โปรดสังเกตุว่า

    1. ทางวัชรยานไม่ได้ยึดติดว่าพระพุทธเจ้าต้องเป็นแบบใด
    ขอเพียงโปรดสัตว์พ้นทุกข์แท้จริง (นิพพาน) ก็ยอมรับได้

    2. ย่อบารมี 10 ข้อ เหลือ 6 ข้อ แล้วกระทำให้เกิดขึ้นเลย
    ในชาตินั้นๆ ไม่รอชาติต่อๆ ไป (ไม่ขึ้นหิ้งท่องจำแล้วไม่ทำ)

    3. ถือว่า "ธรรมกาย (กายแห่งความบริสุทธิ์หลุดพ้นจากกิเลส)
    , สัมโภคกาย (กายคนธรมดา ทำตัวเหมือนคนทั่วไป ไม่ยกตน)
    และ นิรมาณกาย (กายที่ไปสอนธรรม เช่น ห่มเหลืองไป ฯลฯ)
    หากมีครบเหล่านี้ ถือว่าเป็นพระพุทธเจ้าในแนวคิดแบบวัชรยาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มิถุนายน 2007
  4. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    <TABLE width="100%" bgColor=#e4f3f3 border=0><TBODY><TR><TD colSpan=2> ความคิดเห็นที่ 20 : (Justice)
    มีนิทานพุทธที่เล่ากันทั่วไปในธิเบตเรื่อง ต้นไม้พิษ ต้นไม้พิษนี้เป็นต้นไม้ที่มีพิษร้ายแรงมาก แม้ใครหลงไปกินผลของมันเข้าจะทุรนทุราย สาหัสสากรรจ์ เนื่องจากทุกคนรู้ถึงพิษของต้นไม้นี้ จึงคิดที่จะทำลายต้นไม้นี้เสีย คนกลุ่มหนึ่งก็ให้ความคิดว่าต้องถอนรากถอนโคนไม่ให้เหลือแม้แต่รากฝอยของต้นไม้ไว้ แต่ก็มีคนอีกกลุ่มเสนอว่าเพียงตัดโคนหรือตัดส่วนสำคัญของมัน ต้นไม้ก็จะตายไปในที่สุดและยังมีอีกกลุ่มซึ่งมีภูมิความรู้ทางการแพทย์และเคมีมาบ้างเสนอว่า ไม่จำเป็นต้องไปทำลายต้นไม้ทิ้ง เพียงแต่นำพิษของมันไปปรุงเป็นยาวิเศษเพื่อเพิ่มพลังในการรักษาโรคได้ เป็นเพราะพวกคุณ 2 กลุ่มแรกไม่รู้ในวิธีปรุงยาถ้าไม่มีพิษนี้ก็ไม่มีวัตถุดิบในการปรุงยา ในขณะที่กลุ่มคนทั้ง 3 กำลังให้ความเห็นกันอยู่นั้นก็มีนกยูงตัวหนึ่งเข้ามาและกินผลไม้พิษนั้นเป็นอาหารโดยที่พิษไม่เป็นอันตรายต่อนกยูงแต่ประการใด อีกทั้งยังช่วยเพิ่มสีสันความสวยสดงดงามของขนหางความแข็งแรงของร่างกายด้วย จากนิทานต้นไม้พิษนี้พอจะเปรียบเทียบได้กับ การปฏิบัติในพุทธศาสนาที่เน้นวิธีการที่ไม่เหมือนกัน กลุ่มแรกเน้นในเรื่องการขุดรากถอนโคนโดยสิ้นเชิงในกิเสลทั้งปวง เพื่อป้องกันมิให้มันเกิดขึ้นได้ใหม่โดยการปฏิบัติศีลสมาธิเพื่อให้เกิด ปัญญาอันเป็นแนวทางของเถรวาท การปฏิบัติตามแนวนี้ต้องบวชเป็นภิกษุจึงเป็นแนวทางที่ดีที่สุด การปฏิบัติศีล สมาธิโดยการทำให้จิตว่าง เข้าไปสู่ ปัญญา โดยการใช้สมถะ วิปัสสนา จะทำ ให้ผู้ปฏิบัติค่อยๆหลุดจากพิษของความโลภ โกรธ หลง

    วิธีการที่ 2 เป็นวิถีทางแห่งมหายานซึ่งถือว่าการตัดจุดสำคัญของต้นไม้พิษก็จะทำให้ต้นไม้พิษนั้นตายได้จุดสำคัญสุดยอดก็คือ อาตมัน การยึดติดกับอาตมันคือ ตัดตรงจุดนี้ก็ทำให้หลุดพ้นได้ การยึดในความเป็นแก่นสารหรือความจีรังต่างๆ เมื่อถูกตัดด้วยดาบแห่งศูนยตา ฟันแก่นของการยึดติดเข้าสู่ปัญญาแห่งความไม่มีแก่นสารของจักรวาล

    กลุ่มที่ 3 คือกลุ่มของแพทย์และนักเคมีที่ต้องการแปรเปลี่ยนสภาพ คือวิถีแห่งวัชรยาน แทนที่จะทำลายต้นไม้พิษทิ้ง แต่กลับนำพิษจากต้นไม้พิษใช้วิธีการพิเศษให้แปรสภาพพิษกลายเป็นยาวิเศษ ยาวิเศษก็คือ ฌาน ให้เกิดปัญญาโดยวิธีการสร้างมโนจิตตัวเองให้ดำรงจิตอยู่ใน ฌาน ความรู้ตัวทุกขณะจิตไม่ว่าจะอยู่ในอารมณ์ชนิดใด ปัญญาแห่งการบรรลุก็บังเกิดขึ้น

    ตัวนกยูงก็คือ วิถีทางแห่งการหลุดพ้นดั้งเดิม ซึ่งในธิบตเรียกว่า อธิโยคะ หรือ ซกเชน หรือในสันสฤตเรียก มหาสันติ ในวิธีนี้คือการเข้าไปสู่การรู้แจ้งโดยการเจาะทะลวงเข้าไปเลย การเข้าสู่การรู้แจ้งโดยไม่ผ่านขั้นตอนต่างๆ เช่นการตัดขาด การขจัด ชำระล้าง หรือการแปรสภาพใดๆ เป็นการเข้าสู่การรู้แจ้งแบบตรงดิ่งเข้าไปเลย ไม่ต้องผ่านพิธีการใดๆ ซึ่งหนทางนี้ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นวิธีที่สูงที่สุดในวัชรยานในทิเบตได้มีการเก็บรักษาคำสอนต่างๆ ของพุทธศาสนา ไว้อย่างสมบูรณ์ ์แบบทุกหนทาง เพื่อเป็นหนทางแก่พุทธศาสนิกชนทุกแบบทุกประเภท ได้เลือกรูปแบบและวิธีการที่เหมาะกับตนในการบรรลุสู่ความรู้แจ้ง ซึ่งบางรูปแบบก็ไม่เป็นที่ ยอมรับของพุทธศาสนิกชนในประเทศอื่นแต่ในประวัติศาสตร์ทางพุทธศาสนาวัชรยานมีพระอาจารย์ในสายปฏิบัตินี้มากมายที่บรรลุความรู้แจ้งในบริเวณประเทศแถบหิมาลัยและประเทศในสายปฏิบัติวัชรยาน
    </TD></TR><TR><TD colSpan=2> จากคุณ : Justice [ 21 ม.ค. 2545 / 16:14:14 น. ] [SIZE=-1]
    [ IP Address : 203.170.129.216 ]
    [/SIZE] </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ที่มา http://202.44.204.76/cgi-bin/kratoo.pl/004063.htm
     
  5. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    "ซกเชน" : ใช้สิ่งเลวเป็นเครื่องช่วยให้บรรลุ ใช้ดำเพื่อสร้างขาว
     
  6. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ซกเชนเป็นแนวทางสูงสุดของพระลามะในทิเบต
    และพระลามะก็ปฏิบัติช่วยสรรพสัตว์ในชาตินี้เลย

    ดังนี้ จึงไม่ต้องรอไปชาติหน้า สามารถทำได้เลยทันที
     
  7. ยายทองประสา

    ยายทองประสา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    805
    ค่าพลัง:
    +3,069
    ไม่เห็นด้วยหลายประการ
     
  8. Nirvana

    Nirvana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    8,188
    ค่าพลัง:
    +20,862
    อ๋อ......คนละจักรวาล เลยคิดไม่เหมือนกัน.....อิๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
     
  9. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ในทางจิตวิทยาเรียกว่าการปรับพฤติกรรมโดยใช้พฤติกรรมภายนอก
    ปรับทัศนคติภายใน คือ การปฏิบัติทันที จนเป็นนิสัย เมื่อเกิดปัญหา
    ก็ตั้งจิตมีสมาธิ มีสติ ใช้ปัญญาแก้ไข จึงเกิด "ภาวนามยปัญญา"
    เป็น "วิปัสสนาลืมตา" แบบเซน

    อนึ่ง คำว่า "พุทธะ" นั้น หากเราหลงว่าเมื่อเราเป็นพุทธะแล้วต้องมี
    คนมาไหว้ มาเคารพมานับถือ ได้อะไรมากมายนั้นก็ไม่ใช่พุทธะ ดังนี้
    จึงไม่ได้ยึดติดความหมายของพระพุทธเจ้าว่าต้องมีลักษณะ 32 อะไร
    หรือวิเศษวิโสอะไร แต่คือ การทำสิ่งดีงามในชาตินั้นเลยทันที ไม่รอ
    ไม่มัวฝึกตนโดยไม่เกิดประโยชน์แก่ใคร แต่ให้ช่วยคนเลยทันที เพื่อ
    ทำให้เกิดขึ้นในปัจจุบันชาติ

    คือ การทำตนให้เป็นพุทธะ แล้วจิตก็จะเป็นพุทธะ จึงไม่ต้องรอชาติใดๆ
     
  10. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    เมื่อจิตระลึกความเป็นพุทธะในจิตเรานี้เองเนืองๆ นั่นคือ "จิตตานุปัสสนา"
    ที่เรียกว่า "พุทธานุสติ" นั่นเอง จึงเป็นกรรมฐานทุกอิริยาบถที่บำเพ็ญเพียร
    ช่วยคน ทั้งยังก่อให้เกิด "ภาวนามยปัญญา" บรรลุอรหันต์ได้เช่นกัน


    (มหาสติปัฏฐาน เป็น "มหา" เมื่อ กาย, เวทนา, จิต, ธรรม รวมเป็นหนึ่ง
    แต่หากแยกสติตั้งไว้ทีละฐาน จะเรียกเป็น "อนุ" ไม่ใช่ "มหา" ดังข้างต้น)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มิถุนายน 2007
  11. tai1976

    tai1976 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +49
    ในเมื่อตัวเราซึ่งแท้จริงหามีไม่ ท่านพุทธองค์สอนให้เลิกยึดมั่นถือมั่น ดังนั้นตัวตนที่ตั้งอยู่เป็นตัวเราคือภาพลวงตา คือมายา คือความไม่เที่ยง พุทธะที่แท้อยู่ในจิตเดิม จิตเดิมที่ปราศจากกิเลส ปราศจากสิ่งต่างๆมากระทบ ทำจิตให้กลับเป็นแบบเดิม แล้วพุทธะจะกลับมา(ค้นหาจิตเดิมไม่ต้องสนในตัวตน)ตัดตัวเราว่าไม่ใช่ของเราก่อน แล้วสิ่งรอบตัวก็ตัดได้เอง(พูดเหมือนง่ายแต่ทำยากมาก)
     

แชร์หน้านี้

Loading...