ช้างปาลิไลยกะ กับสมเด็จพระศรีอาริยเมตไตร

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย nondanun, 26 ตุลาคม 2013.

  1. nondanun

    nondanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    5,980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +32,612
    “หลวงพ่อ” เคยกล่าวว่า คนเรามักคาดไปต่าง ๆ นา ๆ ว่าพระดีควรจะเป็นอย่างนั้น ควรจะเป็นอย่างนี้ กลายเป็นคนกิเลสท่วมหัว แต่ไปกำหนดคุณสมบัติพระอริยเจ้า เลยไม่ต้องพบพระดีกันทั้งชาติ “มันเดินชนพระอรหันต์ตายไปหลายหลายองค์แล้ว...” “หลวงพ่อ”ปรารภ...

    เช่นเดียวกับ หลวงปู่อ่ำ (พระราชกวี) วัดโสมนัสวรวิหาร ท่านเป็นพระดีที่ไม่ยอมแสดงออก จนหลวงพ่อต้องเปิดเผยให้ทราบ พวกเราจึงได้ไปกราบไว้ทำบุญกับท่าน หลวงพ่อบอกว่า “องค์นี้ คือช้างปาลิไลยกะ จะมาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์สุดท้ายของกัปป์นี้...”

    บรรดาพระภิกษุจากวัดท่าซุง พากันไปกราบสนทนาธรรมกับหลวงปู่ แล้วพากันกล่าวขานถึงความเป็นยอดปราชญ์ของท่าน อาตมาก็เพียงรับฟังไว้ เนื่องจากโอกาสที่จะไปกราบขอความรู้จากท่านยังมาไม่ถึง เพราะทำตัวเป็นคนไม่มีเวลาว่างเสียที ทั้งที่จะไปจริง ๆ ก็สามารถปลีกตัวได้...

    วันหนึ่งอาตมาลงมากรุงเทพฯ เพื่อสวดมนต์-ฉันเพล ที่บ้านของโส่ย (จันทกานต์ ตรีอุดมสิน) ในวาระทำบุญเปิดร้านใหม่ รับข้าวของที่เขาถวายมามากมาย ซึ่งอาตมายึดตามแบบของหลวงพ่อเสมอมา คือ ของเกิดขึ้นที่ไหนก็ทิ้งไว้ที่นั่น...

    แต่นี่มันเป็นบ้านไม่ใช่วัด แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะ...? พอดีนึกขึ้นมาได้ว่าที่นี่ห่างจากวัดโสมนัสไม่ไกล เลยให้เสี่ยล้ง (สุเมธ ตรีอุดมสิน) ขับรถขนของไปส่ง มีพี่มุกดา (คุณมุกดา เพชรชื่นสกุล) กับหัวหน้าชาติชาย (ปัจจุบันคือพระชาติชาย สุธมฺมธนปาโล) ขอตามไปกราบหลวงปู่ด้วย จะได้ช่วยกันแบกของไปถวายท่าน...

    ทันทีที่เปิดกุฏิออกมารับ ประโยคแรกที่หลวงปู่ทักอาตมา ทำเอาพี่มุกดากับหัวหน้าชาติชายงงเป็นไก่ตาแตก คือ “เป็นอย่างไรบ้างเพื่อน...ไปถึงไหนแล้ว...?” แต่อาตมาเข้าใจดี กราบเรียนท่านว่า “ไม่ไหวครับหลวงปู่ กระผมเลิกแล้วครับ...” หลวงปู่ยิ้มแบบให้กำลังใจ พลางกล่าวว่า “น่าเสียดายนะ...”

    ทำไมถึงกล่าวเช่นนั้น...? ก็หลวงปู่เป็นพระโพธิสัตว์ จะตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท้ายกัปป์นี้ อาตมาเองก็เคยปรารถนาเช่นนี้มาก่อน แต่ว่าหมดกำลังใจที่จะทำต่อ ขอลาจากความปรารถนานั้นแล้ว บรรดาพระโพธิสัตว์ทั้งหมด ถือว่าเป็นเพื่อนร่วมสร้างบารมีมาด้วยกันทั้งสิ้น หลวงปู่เห็นหน้าจึงทักเช่นนั้น...
    หลังจากถวายสิ่งของกับหลวงปู่แล้ว อาตมาขอให้หลวงปู่เทศน์เรื่องสังโยชน์ ๑๐เรียกว่าลองของกันซึ่ง ๆ หน้าเลย...! หลวงปู่บอกว่า “นั่นเป็นเรื่องที่พระอริยเจ้าท่านพูดกัน ฌานโลกีย์อย่างคุณ อย่างผมพูดไปก็ผิด...”

    ในที่สุดเมื่อเสียไม่ได้ หลวงปู่ก็เทศน์วนอยู่แค่สังโยชน์ ๕ เป็นการเปิดให้ดูก้นหีบว่า มีอยู่แค่นี้เอง พออาตมาถามถึงเรื่องนรก - สวรรค์ – พรหม –นิพพาน หลวงปู่นิ่งไปชั่วอึดใจ ก่อนจะกล่าวว่า “ผมเกรงว่าจะอวดอุตริมนุสสธรรม...”

    “ไม่ใช่การปรารภเพื่อลาภผลนี่ครับหลวงปู่...” เท่านั้นเอง เรื่องราวก็พรั่งพรูออกจากปากหลวงปู่ ตั้งแต่ครั้งเรียนบาลีอยู่ อ่านเรื่องช้างปาลิไลยกะอุปัฏฐากพระพุทธเจ้า พอพระพุทธเจ้าจากไป ก็อาลัยรักจนอกแตกตาย...

    “อ่านถึงตรงนี้ทีไรมันจับอกจับใจ ถึงแก่ร้องไห้ทุกที...” แต่ตอนนั้น หลวงปู่ยังไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร จนกระทั่งวันหนึ่ง ขณะนั่งดูตะวันตกดินอยู่ สภาพจิตทรงฌานอัตโนมัติ กายทิพย์หลุดจากร่าง ตรงไปเฝ้า สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตร...

    สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรตรัสเล่าให้ทราบ ว่าหลวงปู่คือช้างปาลิไลยกะ เคยปรารถนาพุทธภูมิมาพร้อมกัน สมัย องค์สมเด็จพระสิริมิตรสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่หลวงปู่ประเดิมความเป็นพระโพธิสัตว์ชาติแรกเยี่ยมมาก คือ ตกนรก...!
    เวียนตายเวียนเกิดมานับชาติไม่ถ้วน ชาติที่สำคัญคือ เกิดมาเป็นผู้ประดิษฐ์อักษรไทย ซึ่งหลวงปู่ยืนยันหนักแน่นว่า อักษรไทยมีมาก่อนสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช และคนไทยอยู่ในสุวรรณภูมินี้มาแต่ดั้งเดิม ไม่ใช่อพยพมาจากภูเขาอัลไต...

    ชาตินี้ความจริงไม่ใช่วาระที่หลวงปู่จะมาเกิด เป็นคิวของพระศรีอาริย์ แต่งานสำคัญคือ ต้องมารวบรวมประวัติการเกิดอักษรไทย พระศรีอาริย์ท่านเห็นว่า หลวงปู่เป็นคนต้นคิดเอง ก็สมควรจะมาเกิดเพื่อทำงานนี้ซะเอง...

    หลวงปู่จึงต้องลัดคิวลงมาทำหน้าที่นี้ และบัดนี้ได้รวบรวมประวัติหนังสือไทยและพระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิไว้เรียบร้อยแล้ว “ตอนนี้ยังหาคนยอมรับได้ยาก ต้องให้ผมตายไปแล้วนั่นแหละ ไม่อย่างนั้นเขาเชื่อแต่ จอร์จ เซเดย์...”

    ท่านขนเอาตำรับตำราอักษรโบราณต่าง ๆ ตลอดจนกระเบื้องดินเผาจารอักษร ที่ขุดได้จากเมืองเก่าราชบุรี (เมืองโบราณคูบัว) มาให้ดู เป็นที่น่าอัศจรรย์มากที่ตัวอักษรไม่ว่าชาติใดภาษาใด ตลอดถึงอักษรในกระเบื้องจาร...

    พอหลวงปู่ชี้เท่านั้น ทั้งอาตมา พี่มุกดา และหัวหน้าชาติชาย ต่างก็เห็นว่ามันคืออักษรไทยปัจจุบันนี้เอง สามารถอ่านได้ทุกคำ แต่เมื่อหลวงปู่ยกนิ้วขึ้น ทุกคนก็เห็นเป็นตัวยึกยืออะไรก็ไม่รู้ อ่านไม่ออกซักคำ...!

    “ผู้คิดดัดแปลงอักษรให้แก่ชนชาติอื่น ๆ นั้นเก่งมาก ทั้งที่มีรากฐานไปจากอักษรไทยแท้ ๆ แต่ดูจากสายตาทั่วไปแล้วจะไม่เห็นเค้าเลย...” ฮั่นแน่...ชมตัวเองก็เป็นเหมือนกันนะครับหลวงปู่...ฮิ...ฮิ...

    กว่าสามชั่วโมงที่หลวงปู่เมตตาเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้ฟัง จนกระทั่งขอตัวกราบลา และกราบขอขมาที่ล่วงเกินหลวงปู่ ท่านเมตตากล่าวว่า “คุณถามเพราะใฝ่รู้ไม่ถือว่าเป็นการล่วงเกินอะไรหรอก...”

    หลังจากกราบลาแล้ว ทั้งที่หลวงปู่กำชับว่า ให้ไปหาอีกทันทีที่มีโอกาส แต่อาตมาก็ทำตัวเป็นคนไม่มีเวลา จนกระทั่งหลวงปู่มรณภาพ แต่ผลงานของหลวงปู่ก็ยังอยู่นะครับ หัวหน้าชาติชายตัวขึ้สงสัย โดนหลวงปู่ต้อนเข้าวัดไปเลย บวชซะแล้วครับ...!
    ๓๐ กันยายน ๒๕๓๕
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ

    ที่มา พุทธสาสนสุวัณณภูมิ ปกรณ์ : ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย - ชมรมจิตสงเคราะห์ บ้านเนินสย
     
  2. Chang_oncb

    Chang_oncb ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    12,276
    ค่าพลัง:
    +80,040
    [​IMG]
     
  3. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    ช้างปาริไลยะกะนั้นถ้าถามว่า มาเกิดเป็นใครในยุคปัจจุบัน ก็จะได้คำตอบที่หลากหลายไม่ซ้ำกันเลย ทั้งๆ ที่บุคคลเหล่านั้นมีชีวิตอยู่ร่วมกันในช่วงเวลาปัจจุบันด้วยซ้ำ เท่าที่สรุปมีดังนี้

    1. ครูบาศรีวิชัย (หนังสือประวัติหลวงปู่จาม ท่านเล่าว่าฟังจากคำหลวงปู่ตื้อ )
    2. หลวงปู่อ่ำ (หลวงพ่อฤาษีลิงดำบอก)
    3. ในหลวงองค์ปัจจุบัน ร.9 (หลวงปู่สิมบอก)
    4. เป็นเทวดาในสวรรค์ (นิมิตจากคุณ tjs)
    5. ยังมีอีกหลายคนที่อ้างว่าตนเองเคยเกิดเป็นช้างปาริไลยกะ
    6. มีอีกหลายคนที่ถูกพยาการณ์โดยอาจารย์นิรนามว่าเคยเกิดเป็นช้างปาริไลยกะ

    ลองอ่านดูครับ
    http://palungjit.org/threads/โพธิสัตว์องค์ไหนคือ-ช้างปาลิไลย์.225886/

    http://palungjit.org/threads/ทำไมหลวงพ่อฤาษีลาพุทธภูมิครับ.473164/page-2#post7637358
     
  4. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    อย่าหาว่าลบหลู่ก็ต้องขอโทษด้วย ปัจจุบันดิฉันยังคงศรัทธาในศาสนาพุทธเรื่อง บาปกรรม เรื่องเวียนว่ายตายเกิดเหมือนเดิม แต่จะต่างจากแต่ก่อนอย่างนึงก็ตรงที่ดิฉันหันไปเชื่อเรื่องอาตมัน แต่ไม่ค่อยเชื่อเรื่องนิพพานแล้ว ไม่คิดว่าจะทำได้จริงๆ เพราะจากหลายๆเหตุผลที่ลองศึกษาดู อาจารย์ พระ แต่ละท่านยังพูดไม่เหมือนกันเลย ตัวเราเองก็ยังพิสูจน์ ไม่ได้ คนที่บอกอย่างนั้นอย่างนี้ก็ยังมีข้อน่าสงสัยมากมาย ลึกๆอยากให้นิพพานมีจริง แต่ จากภาพการที่เห็นแบบ สัจจะนิยม เรียลลิสติกจริงๆ ยังมองไม่ออก
     
  5. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    พระพุทธเจ้า ไม่ได้บอกให้เชื่อทันทีครับ
    ถ้าไม่รู้จะทำตามอาจารย์ท่านไหนก็ไม่เป็นไรครับ แต่อย่าพึ่งไปลบหลู่ท่านเหล่านั้น

    ลองปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าสอนในพระไตรปิฎกดูสิครับ เพราะเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าโดยตรงเลย คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นหนึ่งไม่มีสอง ไม่ว่าครูบาอาจารย์ไหนก็ตามก็ยึดพระพุทธเจ้าเป็นบรมครูเหมือนกันหมด ลองดูว่าสามารถทำให้ความทุกข์ลดลงได้จริงไหม ถ้าจริงแล้วค่อยเชื่อก็ได้ครับ ท่านกล่าวว่า

    เอหิปัสสิโก ท่านจงมาลองดูเถิด

    แนะนำให้ลองอ่านสติปัฏฐานสูตรดูนะครับพระพุทธเจ้าตรัสว่า

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้
    อย่างนี้ ตลอด ๗ ปี เขาพึงหวังผล ๒ ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ
    พระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือเมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑ ๗ ปี
    ยกไว้ ผู้ใดผู้หนึ่งพึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนี้ตลอด ๖ ปี ... ๕ ปี ... ๔ ปี ... ๓ ปี ...
    ๒ ปี ... ๑ ปี เขาพึงหวังผล ๒ ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ พระอรหัตผลใน
    ปัจจุบัน ๑ หรือเมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑ ๑ ปียกไว้ ผู้ใดผู้
    หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนี้ตลอด ๗ เดือน เขาพึงหวังผล ๒ ประการ
    อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ พระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือเมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่
    เป็นพระอนาคามี ๑ ๗ เดือนยกไว้ ผู้ใดผู้หนึ่งเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนี้
    ตลอด ๖ เดือน ... ๕ เดือน ... ๔ เดือน ... ๓ เดือน ... ๒ เดือน ... ๑ เดือน ... กึ่ง
    เดือน เขาพึงหวังผล ๒ ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ พระอรหัตผลในปัจจุบัน
    ๑ หรือเมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑ กึ่งเดือนยกไว้ ผู้ใดผู้หนึ่ง
    พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนี้ตลอด ๗ วัน เขาพึงหวังผล ๒ ประการอย่างใด
    อย่างหนึ่ง คือ พระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือเมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็น
    พระอนาคามี ๑ ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย หนทางนี้เป็นที่ไปอันเอก เพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่า
    สัตว์ เพื่อล่วงความโศกและปริเทวะ เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์โทมนัส เพื่อ
    บรรลุธรรมที่ถูกต้อง เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน หนทางนี้ คือ สติปัฏฐาน ๔
    ประการ ฉะนี้แล คำที่เรากล่าว ดังพรรณนามาฉะนี้ เราอาศัยเอกายนมรรคกล่าว
    แล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้น ยินดี ชื่นชมภาษิต
    ของพระผู้มีพระภาคแล้ว ฉะนี้แล ฯ

    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=10&A=6257&Z=6764

    นอกจากอ่านได้จาก พระไตรปิฎกแล้วอาจจะอ่านจากที่มีคนสรุปไว้ก็ได้ อย่างของดังตฤณ ก็ใช้ได้ครับ

    http://dungtrin.com/index.php?option=com_docman&task=cat_view&gid=95&Itemid=299
     

แชร์หน้านี้

Loading...