ชีวิตในโลกเปรต

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย Supannifon, 16 พฤษภาคม 2012.

  1. Supannifon

    Supannifon สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +20

    [​IMG]
    โลกเปรต
    ชีวิตในโลกเปรตต่างๆ
    โลกใหม่ที่บุคคลผู้มีกรรม ซึ่งผลวิบากอกุศลกรรมชักนำให้ไปเกิดกล่าวคืออบายภูมิโลกเปรตนั้น มันหาใช่มีสภาพเหมือนกับมนุษย์โลกที่เขาเคยอยู่ไม่ เพราะโลกเปรตนี้เป็นโลกที่มีความชั่วร้าย ไม่น่าอยู่อาศัยเป็นโลกที่ห่างไกลจากความสุขความสบาย

    ความจริงสัตว์ที่ไปเกิดในโลกเปรตนี้ แม้แต่ความทุกข์ความเดือดร้อนน้อยกว่าสัตว์ในโลกนรกก็ตามถึงกระนั้นก็มิได้หมายความว่าเขาจะเป็นสัตว์ที่ได้รับความสุขโดยที่แท้ยังห่างไกลจากความสุขสบายอยู่เป็นอันมาก เพราะฉะนั้นท่านจึงบัญญัติชื่อเรียกโลกเปรตนี้ว่า เปตติวิสยภูมิ-ภูมิเป็นที่อยู่ของสัตว์เหล่าที่ห่างไกลจากความสุขสบาย

    ชีวิตในโลกเปรต
    เมื่อจะกล่าวถึงชีวิตความเป็นอยู่ของสัตว์ในเปรตวิสยภูมิหรือโลกเปรตแล้วเปรตทั้งหลายย่อมมีชีวิตความเป็นอยู่กันออกไปมากมายหลายประเภท สุดแต่อำนาจแห่งอกุศลกรรมที่ตนทำไว้จักบันดาลให้เป็นไปในที่นี้จักขอกล่าวถึงเปรตประเภทใหญ่ๆซึ่งมีราบชื่อปรากฏในคัมภีร์ทางพุทธศาสนา ดังต่อไปนี้

    ๑. วิชชาตเปรต
    เปรตพวกนี้นับว่าเป็นเปรตชั้นผู้ใหญ่เป็นเปรตชั้นดีมีฤทธิ์มากตั้งอยู่ในฐานะเป็นดุจดังพญาเปรตทั้งนี้ก็เพราะตนเคยเป็นผู้ที่พอจะรู้จักพระจตุราริยสัจธรรมแต่ไม่นำพาไม่สนใจปฏิบัติให้ถึงจึงมีความมัวเมาประมาททำทุจริตผิดพลาดประกอบอกุศลกรรมไว้ในปางก่อนจึงต้องมาเสวยวิบากแห่งกรรมเกิดเป็นเปรตอยู่ในเปรตวิสัยก็เปรตพวกนี้ย่อมมีปรกติอยู่ในแดนของเขาซึ่งตั้งอยู่เหนือโลกนรกขึ้นมา

    อยู่กันแต่เฉพาะพวกเขาเท่านั้น เปรตพวกอื่นขะเข้าไปอยู่อาศัยปะปนด้วยไม่ได้ มีชีวิตเสวยกรรมเป็นเปรตอยู่อย่างนี้สิ้นกาลช้านาน จนกว่าจะสิ้นกรรมที่ทำไว้ จึงจะถือกำเนิดในภูมิอื่นต่อไป

    ๒. วันตาสาเปรต
    เปรตพวกนี้มีรูปร่างชั่วร้ายน่าเกลียด มีสถานที่อยู่ไม่แน่นอน ปรากฏว่าได้เสวยทุกข์เวทนามีความอดอยากความหิวโหยเป็นกำลัง
    บางครั้งพาสังขารเซซังมาสู่แดนมนุษย์ เห็นมนุษย์ทั้งหลายขากถ่มเสลดน้ำลายออกมา เปรตเหล่านี้ต่างก็พากันดีเนื้อดีใจ รีบตรงไปก้มหน้าลงดูดเอาโอชะแห่งเสลดน้ำลายของมนุษย์เหล่านั้น ได้กินเป็นอาหารหน่อยหนึ่ง แล้วก็หิวโหยต่อไปอีกตามเดิม มันต่างพากันเที่ยวเดินโซซัดโซเซเสวยทุกขเวทนาโดยการเสวงหาเสลดน้ำลายกินเป็นอาหารอยู่อย่างนี้นานแสนนานจนกว่าจะสิ้นกรรมที่ตนทำไว้
    [​IMG]
    ๓. กุณปขาทาเปรต
    เปรตประเภทนี้มีรูปร่างน่าเกลียดพิลึก มีสถานที่อยู่อันแน่นอนมิได้อีกเช่นกัน บางวันก็เที่ยวเพ่นพ่านเข้ามาถึงแดนมนุษย์เที่ยวซอกซอนหาซากอสุภะกินเป็นอาหาร

    ครั้นเห็นซากอสุภะของมนุษย์ของสัตว์ที่กระทำกาลกิริยาแล้ว และกำลังเปื่อยพังเน่าเหม็นอย่างร้ายกาจเหลือหลาย เขาเหล่านั้นต่างพากันดีเนื้อดีใจ รีบวิ่งตรงเข้าไปก้มลงดูดโอชะอันเน่าเหม็นจากซากอสุภะนั้นกินเป็นอาหารด้วยความหิวโหยสุดประมาณ
    ได้เสวยทุกขเวทนาอย่างนี้นานแสนนาน จนกว่าจะสิ้นกรรมที่ตนทำไว้

    ๔. คูถขาทาเปรต
    เปรตประเภทนี้รูปร่างน่าเกลียดน่าซัง มีกลิ่นเหม็นสาบเหม็นสางน่าอิดสะเอียนเป็นที่สุด เมื่อเที่ยวสะเปะสะปะมาถึงแดนมนุษย์ในบางครั้งแล้ว ครั้นเห็นมูตรคูถคืออุจจาระปัสสาวะที่มนุษย์ถ่ายทิ้งไว้ ก็พากันดีเนื้อดีใจ ยิ่งมีกลิ่นเหม็นคลุ้งไป เพราะถ่ายไว้หลายวันหมักหมมไว้นานเป็นกองโตใหญ่ ก็ยิ่งชอบใจวิ่งรี่เข้าไปกองคูถมีกิริยาดุจสุนัขโซเห็นกองคูถกินเป็นอาหารด้วยความหิวโหยสุดประมาณต้องเสวยทุกขเวทนาโดยมีคูถมูตรเป็นอาหารอยู่อย่างนี้เป็นเวลานาน จนกว่าจะสิ้นกรรมที่ตนทำไว้

    เปรตกินอสุจิคือของไม่สะอาดทั้ง ๓ จำพวก ซึ่งได้แก่วันตาสาเปรต เปรตกินเสลดน้ำลายของมนุษย์ ๑ กุณปขาทาเปรต เปรตกินซากอสุภะที่มีกลิ่นเน่าเหม็น ๑ คูถขาทาเปรต เปรตกินมูตรคูถที่มีกลิ่นเหม็นร้ายแรง ๑ ดังกล่าวมาแล้วนี้ บางทีท่านก็เรียกว่าเป็น "ปีศาจ"เพราะมีความหิวโหยเป็นกำลัง ทั้งมีปรกติเกิดในอสุจิไม่สะอาดทั้งบริโภคของอสุจิไม่สะอาดอยู่เป็นเนืองนิตย์ โดยธรรมดาเป็นอาทิสมานกาย คือมีกายไม่ปรากฏในสามัญจักษุของมนุษย์ทั้งหลาย นอกจากตนต้องการจะแสดงให้มนุษย์เห็นเป็นครั้งคราวเท่านั้น

    ๕ อัคคีชาลมุขาเปรต
    เปรตประเภทนี้มีรูปร่างผอมโซสกปรกนักหนาที่ได้รับการตั้งชื่อว่าอัคคีชาลมุขาเปรต ก็เพราะเหตุที่เขาเหล่านนั้นถูกอกุศลกรรมวิบากบันดาลให้มีเปลวไฟแลบออกมาจากปาก ตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน

    ไฟเปรตไหม้ปากและลิ้นได้รับความทุกข์ทรมานเจ็บปวดแสบร้อนอย่างแสนสาหัส ครั้นทนไม่ได้ก็วิ่งร้องลั่นไปในเปรตวิสัย มันวิ่งร้องครางไปไกลตั้งร้อยโยชน์พันโยชน์ ไฟเปรตเวรกรรมนั้นก็หาดับไม่ มิหนำซ้ำไฟจัญไรกลับทวีความร้อนแรงเผาปากและลิ้นให้ได้รับความปวดร้าวหนักเข้าไปอีก

    ต้องเสวยทุกขเวทนาโดยมีเปลวไฟเผาลนปาก และวิ่งร้องลั่นไปในแดนเปรตอย่างเพ่นพ่านอยู่เช่นนี้นานแสนนาน จนกว่าจะสิ้นกรรมที่ตนได้ทำไว้

    ๖. สูจิมุขาเปรต
    เปรตประเภทนี้มีรูปร่างแปลกพิกล คือ มีเท้าทั้งสองข้างใหญ่โต ท้องเท่าภูเขามีคอยาวมาก แต่มีปากเล็กเท่ารูเข็มเท่านั้น ได้อาหารตามวิสัยเปรตแล้ว กว่าจะบริโภคได้แต่ละมื้อแต่ละครั้งนั้นยากนักหนา ไม่พออิ่มไม่พออยาก เพราะเหตุที่ตนมีปากเล็กเท่ารูเข็ม อาหารไม่อาจจะผ่านช่องปากเข้าไปได้โดยง่ายเลย
    ต้องเสวยทุกขเวทนาได้รับความลำบากเหลือหลาย มีรูปกายผอมโซแลดำเกรียม แลดูน่าเกลียดน่าชังสุดประมาณ ต้องเป็นเปรตหิวโหยเพราะอดอยากอาหารอยู่อย่างนี้มานานแสนนาน จนกว่าจะสิ้นกรรมที่ตนทำไว้

    ๗. ตัญหาชิตาเปรต
    เปรตประเภทนี้มีรูปร่างผอมโซเช่นเดียวกับเปรตประเภทอื่น เพราะความอดอยากโดยมาก ที่ได้ชื่อว่าตัญหาชิตาเปรตก็เพราะเหตุที่มีความอยากข้าวอยากน้ำเป็นกำลัง บางครั้งเดินตระเวรท่องเที่ยวเพื่อเสาะแสวงหาอาหารเรื่อยไป จนมาถึงแดนมนุษย์โลกเรานี้

    คราใดเหลือบสายตาไปแลเห็นสระ บ่อ บึง ห้วย หนองน้ำ และนทีก็ดีเนื้อดีใจ รีบวิ่งเข้าไปหมายจะดื่มกินให้สมอยาก แต่ครั้นพอวิ่งไปถึงน้ำในบ่อบึงและนทีเป็นต้นนั้น ก็พลันกลับกลายเป็นสิ่งอื่นมิใช่น้ำไปเสีย ทั้งนี้ก็โดยอำนาจอกุศลกรรมวิบากบันดาลให้เป็นไป

    เขาพลาดหวังไปดังนี้ ก็มีความเสียอกเสียใจเป็นอันมากต้องทนทุกขเวทนาเสวยกรรมได้รับความอดอยากอยู่อย่างนี้ตลอดเวลานานเป็นหมื่นเป็นแสนปีเขาไม่เคยได้เคยได้ยินคำว่า"ข้า"และคำว่า"น้ำ"เลยจนคำเดียวต้องเปล่าเปลี่ยวเร่ร่อนพเนจรไปด้วยความอดอยากอยู่อย่างนั้นนานแสนนานจนกว่าจะสิ้นกรรมที่ตนทำไว้

    ๘. นิชฌามกเปตร
    เปรตประเภทนี้มีรูปร่างสัณฐานแปลกกว่าเปรตประเภทอื่นโดยมีฟันขาว มีเขี้ยวยื่นงอกออกมาจากปากผมเผ้ายาวพะรุงพะรังริมฝีปากบนห้อยย้อยลงมาทับริมฝีปากข้างล้าง

    แลดูแสนจะทุเรศนัยน์ตาหนักหนา การที่พวกเขาจะได้ชื่อว่านิชฌามกเปรต ก็เพราะเหตุว่าพวกเขามีสัณฐานแลลักษณะการประดุจต้นตาลหรือต้นไม้ใหญ่ที่ถูกไฟไหม้สูงชะลูดดำทะมึนแลดูน่ากลัว

    เนื้อตัวมีกลิ่นเน่าเหม็น ตีนและมือเป็นง่อยจะเคลื่อนไหวไปมามิได้ยืนร้องไห้ร้องครวญครางเพราะความอดอยากหิวโหยอาหารต้องยืนทื่อทรมานอยู่กับที่โดยไม่มีอาหารจะบริโภคอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานานนับจำนวนวันเดือนปีไม่ถ้วนไปจนกว่าจะสิ้นกรรมที่ตนทำไว้

    ๙. สัพพังคเปรต
    เปรตประเภทนี้มีสรีระร่างใหญ่โต มีเล็บตีนและเล็บมือยาวคม ความคมแห่งเล็บตีนเล็บมือของเขานั้นเปรียบประดุจความคมแห่งมีดและดาบมี่ลับไว้อย่างดี เล็บตีนและเล็บมือของเขานั้นมีสัณฐานงอเหมือนขอเหมือนเบ็ด

    ตลอดเวลาเปรตประเภทนี้ได้แต่ก้มหน้าก้มตาใช้เล็บตีนเล็บมืออันแปลกพิกล ข่วนตะกายร่างของตนเองให้ขาดวิ่นเป็นแผลยับกระจุยกระจาย มีเลือดไหลออกมานองเนือง แล้วก็ดื่มกินซึ่งเลือดเนื้อของตนเองนั้นแลเป็นอาหาร

    พร้อมกันนั้นก็ร้องลั่นไปด้วยความเจ็บปวดต้องเสวยทุกขเวทนาเป็นเปรตมีเล็บมืออันคมกล้าข่วนตะกายควักเอาเนื้อแห่งตนออกมากินเป็นอาหาร พร้อมกับร้องลั่นเอ็ดตะโรอยู่อย่างนี้เป็นเวลานานแสนนาน จนกว่าจะสิ้นกรรมที่ตนทำไว้

    ๑๐. ปัพพตังคเปรต
    เปรตประเภทนี้มีร่างกายโตใหญ่เหมือนบรรพตภูเขาและได้รับทุกขเวทนาอย่างน่าแปลกประหลาด คือ ในเพลาราตรี ทั่วทั้งร่างกายของเขาถูกไฟไหม้ มีร่างกายสว่างไสวรุ่งเรืองด้วยเปลวไฟปรากฏแก่บุคคลผู้แลดูในที่ไกลประดุจภูเขาใหญ่ถูกไฟไหม้ลุกแดงฉะนั้น ในเพลากลางวัน ปรากฏเป็นควันระอุล้อมอยู่รอบกาย เขาต้องถูกไฟเปรตเผาครอกนอนกลิ้งไปกลิ้งมาดุจดงขอนไม้อันกลิ่งอยู่กลางไร่กลางป่าเช่นนั้น

    ได้เสวยทุกขเวทนาดังว่าจะขาดใจตาย เหลือที่จะทนได้แล้ว ก็ร้องครางร้องครวญปริเทวนาการ มันเป็นเสียงร้องครวญครางขนาดใหญ่โกลาหลทั้งนี้ก็เพราะว่าเปรตประเภทนี้มีหลายตนหลายเปรต ต้องเสวยทุกขเวทนาอันน่าทุเรศอยู่อย่างนี้เป็นเวลานานแสนนาน จนกว่าจะสิ้นกรรมที่ตนทำไว้

    ๑๑. อชคราทิเปรต
    เปรตประเภทนี้เป็นเปรตเบ็ดเตล็ด เพราะมีร่างกายแตกต่างกันหลายอย่างหลายชนิด โดยมีรูปร่างคล้ายกับสัตว์เดียรัจฉานต่างๆที่เราเห็นกันอยู่ทั่วไปในเมืองมนุษย์โลกนี้ เช่น บางเปรตมีรูปร่างเหมือนกับงูเหลือม ควาย เหี้ย หมา ม้า ไก่ ปลา จระเข้ และบางรูปร่างเหมือนกับมนุษย์ขี้เรื้อน มีรูปร่างแตกต่างกันไป เดินเพ่นพ่านขวักไขว่ปะปนกับเปรตวิสัยถึงแม้จะมีรูปร่างลักษณะผิดแผกแตกต่างกันไปอย่างไร

    แต่ก็ถูกไฟเปรตเผาไหม้ตลอดร่างกายอยู่ทั่วทุกตัวเปรตเหมือนกัน ตลอดเวลาทั้งกลางวันกลางคืนไม่ว่างเว้น ต้องเสวยผลวิบากแห่งอกุศลกรรมเป็นเปรต มีรูปร่างแสนทุเรศได้รับทุกขเวทนาถูกไฟไหม้อยู่อย่างนี้เป็นเวลานานแสนนาน จนกว่าจะสิ้นกรรมที่ตนทำไว้

    ๑๒. มหิทธิกาเปรต
    เปรตประเภทนี้ เป็นเปรตมีฤทธิ์เหาะเหินเดินอากาศได้และทรงไว้ซึ่งรูปอันงดงามดุจเทพยดาทั้งหลายแต่ว่าเป็นผู้ห่างไกลจากความสุขสบายเพราะให้รู้สึกหิวโหยอาหาร เต็มไปด้วยความอดอยากเป็นยิ่งนัก ท่องเที่ยวไปในสถานที่ต่างๆ บางครั้งก็ตระเวนท่องเที่ยวจนถึงเมืองมนุษย์โลกเรานี้

    ครั้นประสบโชคดีได้พบเห็นของที่ไม่สะอาดคือสิ่งโสโครกต่างๆเช่น มูตรคูถในเวจกุฏิที่มนุษย์พากันไปถ่ายหมักหมมไวเป็นเวลานานแรมปีก็ตรงรี่วิ่งเข้าไปดูดเอาโอชะอันชั่วร้ายเน่าเหม็นนั้นกินเป็นอาหารต้องทนทุกข์ทรมานด้วยความอดอยากนี้เป็นเวลานานแสนนานจนกว่าจะสิ้นอกุศลกรรมที่ตนทำไว้

    ๑๓. เวมานิกเปรต
    เปรตประเภทนี้ดูว่าจะมีชีวิตความเป็นอยู่ดีกว่าเปรตทุกประเภทเพราะเหตุว่ามีสมบัติคือวิมานเป็นทองของทิพย์บางครั้งได้เสวยความสุขประดุจดังว่าตนนั้นหรือคือเทพยดาเจ้า

    ปรารถนาจะเอาอะไรก็ได้ดังใจและมีเปรตบริวารรับใช้มากมายอยู่หลายเปรตไม่มีความเดือดร้อนเนื้อร้อนใจอะไรเลยแต่แล้วเมื่อถึงกาลกำหนดที่จะต้องเสวยทุกข์ตามประสาเปรต อกุศลกรรมวิบากก็เข้าทำหน้าที่บันดาลให้กลายเพศเป็นเปรตมีรูปร่างแสนจะน่าทุเรศและน่าเกลียดน่าชัง บางครั้งได้เสวยทุกขเวทนายิ่งกว่าเปรตธรรมดาเสียอีกต้องเสวยทุกขเวทนาโดยมีสภาพเป็นกึ่งเปรตกึ่งเทวดา ผลัดเปลี่ยนไปตามกาละอยู่อย่างนี้เป็นเวลานานแสนนาน จนกว่าจะสิ้นอกุศลกรรมที่ตนทำไว้

    ฝูงเปรตทั้งหลายในเปรตโลกเท่าที่ได้พรรณามานี้เป็นผีเปรตที่ปฏิสนธิเกิดขึ้นด้วยอำนาจแห่งอกุศลของตนเองต้องเสวยวิบากแห่งอกุศลกรรมของตนไปจนกว่าจะหมดสิ้นกรรม

    รับส่วนบุญส่วนกุศลของใครไม่ได้เพราะยังต้องเสวยทุกขเวทนาอยู่อย่างหน้าดำคร่ำเครียดหูอื้อตาลายจิตใจยังไม่มีความเลื่อมใสใคร่จะรับส่วนบุญส่วนกุศลของใครถึงแม้ญาติในมนุษย์โลกนี้จักมีใจดีทำบุญกรวดน้ำอุทิศให้ด้วยความห่วงใย

    จะทำบุญให้ใหญ่โตมโหฬารสักเท่าใดก็ดีพวกผีเปรตเหล่านี้ก็ไม่สามารถที่จะรับส่วนบุญนั้นได้ต่อเมื่อใดสิ้นกรรมเวรแล้วมาเกิดเป็นเปรตประเภทคอยรับส่วนบุญส่วนกุศลที่คนเราอุทิศให้แต่มนุษย์โลกนี้มีชื่อว่า"ปรทัตตูปชีวีเปรต"

    เหล่าปรทัตตูปชีวีเปรตนี้ประเภทเดียวเท่านั้น เป็นเปรตที่สามารถจักรับส่วนบุญส่วนกุศลที่มนุษย์เราอุทิศให้ได้ขอท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายพึงสังเกตจดจำไว้ให้ดี การที่เขาสามารถจักรับส่วนบุญได้นั้น ก็โดยเหตุที่เขาเป็นเปรตประเภทที่มีอกุศลบางเบา โมหะความโง่เขลาไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษคลายออกจากจิตใจเป็นอันมากแล้ว

    เพราะฉะนั้น จึงมีจิตยินดีที่จะอนุโมทนาส่วนบุญกุศลปรทัตตูปชีวีเปรตบางตนมีความหิวโหยเพราะอดข้าวและน้ำมานานแสนนานนักหนาจึงเดินโซซัดโซเซเปะปะท่องเที่ยวไปมาพยายามนึกถึงหมู่ญาติของตนด้วยความคิดอันสับสนเลอะเลือนว่าเป็นนครอยู่ที่ไหนบ้าง

    ครั้นนึกได้ก็ค่อนพยุงกายเดินโซซังไปจนหระทั้งถึงบ้านญาตินั้นแล้วก็คอยอยู่ใกล้ๆอุตสาห์รอคอยอยู่หลายวันหลายเดือนหลายปีโดนมีความหวังว่า"เมื่อใดญาติของตูทำกุศลแล้วเขาคงจักอุทิศให้แก่ตูบ้างกระมัง"

    ครั้นเห็นเหล่าญาติมัวนั่งเดินยืนนอน ทำอะไรต่อมิอะไรให้ยุ่งไปตามประสามนุษย์ก็สุดที่จักกลุ้มใจ ได้แต่เฝ้ารำพึงอยู่ว่า

    "เมื่อใดเล่าหนา มนุษย์เหล่านี้จึงจะมีจิตเป็นกุศล ทำที่พึ่งอันแท้จริงแห่งตนด้วยการทำบุญให้ทานแล้วอุทิศส่วนกุศลนั้นให้แก่ตูเสียสักที มัวแต่วุ่นวายทำอะไรอยู่อย่างนี้ ไม่เห็นจะเป็นแก่นสารเสียเลย"

    เฝ้ารำพึงด้วยความน้อยใจอยู่อย่างนี้แล้วก็รอคอยต่อไปครั้นญาติทั้งหลายทำบุญกุศลแล้วแต่ลืมอุทิศส่วนกุศลคือไม่กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้หรือว่าได้ทำการกรวดน้ำอุทิศให้เปรตชนเหมือนกัน

    แต่อุทิศให้แก่คนอื่นไม่ได้อุทิศให้ตนปรทัตตูปชีวีเปรตที่น่าสงสารก็เดินวนเวียนไปมาอยู่ ณ บริเวณนั้น ด้วยความเศร้าสร้อยผิดหวังบางครั้งยังเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจถึงกับล้มซบสลบลง ด้วยความหิวโหยสุดประมาณ พอได้ลืมตาขึ้นก็ได้แต่เฝ้าหวังอยู่อีกต่อไปว่า

    "ครั้งต่อไปเขาคงไม่ลืมตู เขาคงจะมีจิตคิดถึงตู และอุทิศส่วนกุศลให้ตูบ้างเป็นแน่"

    แล้วก็เฝ้าแต่แลดูว่า เมื่อใดญาติของตนจักเกิดจิตเป็นกุศล ทำบุญทำทานอีกสักครั้ง ความหวังของเขาบางทีก็สำเร็จบางทีก็ไม่สำเร็จที่กล่าวมานี้
    *หมายถึงปรทัตตูปชีวีเปรต ที่มีญาติเป็นพวกสัมมาทิฐิกชนคนนับถือพระบวรพุทธศาสนา

    แต่ถ้าเป็นเปรตที่มีญาติเป็นสัมมาทิฐิความหวังของเขาที่ว่าจะคอยอนุโมทนาส่วนกุศลนั้นย่อมไม่มีวันที่จักสำเร็จลงได้ทั้งนี้ก็เพราะว่าพวกมิจฉาทิฐิทั้งหลายแม้จะได้ชื่อว่าทำบุญทำทานอยู่บ้างก็จริงแต่ส่วนกุศลผลทานที่เขาทำภายนอกพระบวรพุทธศาสนานั้นไม่มีพลังแรงพอที่จักอุทิศส่งไปให้ถึงปรทัตตูปชีวีเปรตได้แท้จริงการที่เหล่าปรทัตตูปชีวีเปรตจักได้รับส่วนกุศลผลทานที่เหล่าญาติและมิตรอุทิศให้แก่ตนได้นั้นย่อมเป็นการยากยิ่งนักหนาเพราะว่าจะต้องประกอบพร้อมไปด้วยเหตุสำคัญ ๓ประการ คือ

    ๑ ทานที่เหล่าญาติและมิตรในมนุษย์โลกนี้กระทำนั้น ต้องเป็นทานที่ได้ถวายแก่พระภิกษุสงฆ์ผู้ทรงศีลในพระพุทธศาสนา ซึ่งเรียกว่า "สังฆทาน"

    ๒. เมื่อเหล่าญาติและมิตรถวายทานแก่พระภิกษุสงฆ์ ซึ่งเรียกว่าสังฆทานแล้ว ต้องมีใจผ่องแผ้วตั้งจิตกวาดน้ำอุทิศส่วนกุศลที่ตนได้บำเพ็ญทานนั้นมุ่งไปให้แก่ปรทัตตูปชีวีเปรต

    ๓. ปรทัตตูปชีวีเปรตนั้น ต้องคอยรับและคอยอนุโมทนาด้วยความตั้งอกตั้งใจเป็นหนักหนา หากว่าทำเป็นมิรู้มิชี้ไม่มีใจเลื่อมใสใคร่จักอนุโมทนา ก็หาได้รับส่วนกุศลผลทานนั้นไม่

    ต้องพร้อมไปด้วยองค์คุณอันเป็นเหตุสำคัญ ๓ ประการนี้ ปรทัตตูปชีวีเปรตจึงจะสามารถได้รับส่วนกุศลผลบุญที่เหล่าญาติและมิตรอุทิศให้ ขอท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายจงวินิจฉัยใคร่ครวญดูเถิดว่า ปรทัตตูปชีวีเปรตซึ่งมีญาติและมิตรเป็นมิจฉาทิฐ จักมีโอกาสได้รับส่วนกุศลผลทานได้หรือไม่

    ถูกแล้ว......โอกาสที่เขาจักได้รับส่วนกุศลผลทานนั้นน้อยนักหนา ถ้าจะให้พูดกันอย่างไม่เกรงใจใจก็ว่าไม่มีโอกาสเสียเลยนั้นแหละมากกว่า ทั้งนี้ก็เพราะว่าพวกมิจฉาทิฐิ ไม่มีโอกาสได้ถวายทานแก่พระภิกษุสงฆ์ผู้ทรงศีล เพราะตนไม่มีศรัทธาเลื่อมใสแล้วอย่างนี้จะเอาส่วนกุศลผบุญอันยิ่งใหญ่ ซึ่งเกิดจากการถวายสังฆทานที่ไหน ไปกรวดน้ำอุทิศให้แก่เหล่าปรทัตตูปชีวีเปตร ซึ่งเป็นญาติของตนเล่า ตกลงว่าเปรตเหล่านั้นก็ต้องคอยเปล่าคอยหายอยู่เป็นเวลานานแสนนาน ยิ่งในกาลที่โลกสูญสิ้นว่างเปล่าจากพระพุทธศาสนา ไม่มีพระภิกษุสงฆ์ผู้ทรงศีลแล้วปรทัตตูปชีวีเปรตทั้งหลายยิ่งไม่มีโอกาสที่จักได้รับส่วนกุศลผลทานได้เลยเพราะฉะนั้น

    จึงปรากฏว่าเปรตเหล่านี้บางต้องรอส่วนกุศลผลทานจากญาติของตนอยู่ เป็นเวลานานชั่วระยะเวลาตั้ง ๒-๓ พุทธันดรจึงจะได้รับเช่นเปรตญาติของพระเจ้าพิมพิสารเป็นต้น และบางทีเปรตเหล่านี้ก็ไม่มีโอกาสได้รับส่วนกุศลที่พวกญาติอุทิศให้เลย ได้แต่คอยเก้อคอยหายทนเป็นปรทัตตูปชีวีเปรตไปอย่างนั้น จนกว่าจะสิ้นกรรมตายไปเอง...
     
  2. NARKA

    NARKA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    1,572
    ค่าพลัง:
    +4,560
    หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล อุดรฯอธิบายว่า
    ทำบุญให้คนตาย เขาจะได้รับ ถ้าเขาไปเกิดเป็นเปรต บางจำพวก...
    ..แต่ถ้าไปเกิดเป็นอื่น เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย เขาก็จะไม่ได้รับ แต่บุญจะตกกับผู้ทำเอง
     
  3. oam_kab

    oam_kab สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +11
    ขออนุโมทนาครับ อ่านเเล้วมันทำให้ผมรู้สึกกลัวบาปมากครับ (y)(y)(y)(y)(y)
     
  4. Chang_oncb

    Chang_oncb ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    12,276
    ค่าพลัง:
    +80,027
    [​IMG]
    กราบโมทนา สาธุ ท่านผู้มีใจบุญใจกุศล เสียสละเวลาหาบทความ นำบทความที่ดี มีสาระประโยชน์ ให้ผู้อ่านได้ศึกษา อันก่อให้เกิดปัญญาในการพิจารณา เมื่อปัญญาพิจารณาแล้ว จิตจะเป็นผู้กำหนด เป็นผู้เลือกความถูกต้อง ถือว่าเป็น จาคะ คือการให้และการให้นั้น ให้ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน อีกทั้ง ถือว่าการให้นั้น เป็นธรรมทาน เป็นบุญใหญ่ สมดั่งพระธรรมคำสั่งสอนของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตอบปัญหาท้าวสักกะผู้เป็นจอมเทพยดา ปรากฏใน ตัณหาวรรค ธรรมบท ว่า “การให้ธรรมทาน ชนะการให้ทั้งปวง ผู้ใดให้ธรรมะเป็นทาน ผู้นั้นชื่อว่าให้พระนิพพานแก่คนทั้งหลาย“ ขอโมทนาสาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...