เรื่องเด่น ชีวิตหมอ กับประสบการณ์วิญญาณ : ศ.นพ. ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย ann, 18 พฤษภาคม 2022.

  1. ann

    ann เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    246
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +2,291
    1anx7lEyOTvz6Iwz7yK9fM2GTn6zaEiibfvZUdMA95E5&_nc_ohc=1eblfuPqor8AX-Our0E&_nc_ht=scontent.fbkk5-5.jpg

    ชีวิตหมอ กับประสบการณ์วิญญาณ

    คิดอยู่นานเหมือนกันว่าจะมาบอกเล่า เก้าสิบเกี่ยวกับประสบการณ์วิญญาณหรือไม่ เดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่องที่ต้องมาพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์กันต่างๆนานา แต่คงไม่แปลก ถ้าไม่เชื่อก็ไม่เป็นไรนะครับ มาเล่าสู่กันฟัง

    เรื่องแรกที่จะเล่า (ความจริงมีมากมายหลายเรื่อง) น่าจะเป็นประสบการณ์ของหลายๆคน จนถึงกลายเป็นประสบการณ์หมู่ นั่นก็คือเรื่องเหตุการณ์สึนามิที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในวันที่ 28 ธันวาคม 2547

    ในช่วงแรกถ้าเรายังจำกันได้ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานใด ภาคใด ทั้งหมอและเจ้าหน้าที่กู้ภัย และสาธารณสุขต่างช่วยกันอย่างพร้อมเพรียงในการค้นหาผู้ที่รอดชีวิตและในการบริบาลรักษา ช่วยชีวิตผู้ที่ประสบเคราะห์กรรม และในเวลา เดียวกันก็มีการช่วยเหลือเคลื่อนย้ายผู้ประสบภัยให้ไปอยู่ในทำเลใหม่ที่ปลอดภัยกว่าและมีการสร้างที่พักพิงให้หลายตำแหน่ง

    ปัญหาความยุ่งยากที่ตามมาก็คือ ผู้ประสบภัยไม่แต่เพียงมีผลกระทบทางจิตใจ ความเครียด วิตกกังวล หดหู่ถึงกับไม่อยากมีชีวิตอยู่ ยังถูกรุมเร้าด้วย โรคประจำตัวที่มีอยู่แล้วและเคยได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นโรคทางสมอง โรคทางอายุรกรรม หัวใจ เบาหวาน ความดัน ไต ตับ และโรคเรื้อรังต่างๆ ทางข้อและกระดูก เป็นต้น โดยต้องขาดตอนการได้รับยารักษาและหลายคนก็พูดเสียงเดียวกันว่าหมอไปกับน้ำแล้ว

    เมื่อเวลาผ่านไปเป็นสัปดาห์ถึงเป็นเดือน ถึงแม้ว่าจะมีหน่วยงานทั้งในประเทศและนานาชาติ อาสาเข้ามาช่วยเหลือโดยเข้ามาอนุเคราะห์แจกจ่ายยาให้ผู้ประสบภัย

    แต่ปัญหาใหญ่ที่อาจจะทำให้เกิดผลข้างเคียงเพิ่มขึ้นไปอีกก็คือ ยาชนิดเดียวกันหรือประเภท เดียวกัน ชื่อต่างกัน ภาษาต่างกัน ได้ถูกแนะนำให้ทาน ดังนั้นหมายความว่ายาชนิดนั้นๆที่ควรใช้วันละหนึ่งเม็ดกลับกลายเป็นได้วันละสามถึงสี่เม็ด กลายเป็นยาซ้ำซ้อนเข้าไปอีก


    คณะเล็กๆของเราที่นำโดยภรรยาของหมอและเภสัชกรที่สนิทชิดเชื้อกัน จึงได้รวมกลุ่มประมาณ 60 ถึง 70 คน โดยลงไปเยี่ยมที่หมู่บ้านพักพิงเหล่านี้

    ทั้งนี้ โดยเป็นการเยี่ยมในแต่ละบ้านและทำบันทึกประจำตัวและครอบครัวถึงโรคประจำตัวที่มีอยู่ ยาที่เคยใช้ถ้าจำได้ และโรคที่เกิดขึ้นใหม่หลังจากเหตุการณ์สึนามิ รวมทั้งรวบรวมยาทั้งหมดที่ได้รับในแต่ละบ้าน แยกแยะประเภทและจัดคำแนะนำใหม่ และถ่ายรูปชื่อยาที่เป็นภาษาต่างประเทศ ที่ไม่ใช่เป็นภาษาอังกฤษ จะเป็นภาษาทางยุโรปและภาษาญี่ปุ่น อิสราเอล เป็นต้น และส่งไปแปลให้ทราบชื่อและประเภทของยา

    ในกลุ่มนี้มีหมอและพี่หมออีกท่านหนึ่งที่ร่วมคณะไปด้วย โดยในแต่ละบ้านที่มีการเข้าเยี่ยม ถ้าพบมีปัญหาก็จะโทรศัพท์มาเรียกเราให้เข้าไปตรวจร่างกาย ซักประวัติและทำบันทึกในกระดาษใส่ซองพลาสติก ทั้งนี้ เพื่อจะได้นำไปแสดงให้น้องหมอและพยาบาลที่โรงพยาบาลในพื้นที่ที่มีการเข้ามาเยี่ยมหรือพาไปรักษาต่อที่โรงพยาบาล จะได้ทราบอาการเพื่อทำการตรวจวินิจฉัยด้วยเครื่องมือที่จำเป็นต่อไป

    4DQpjUtzLUwmJZZSBzoIXssTMWS36c9KajnnnejFX0tv.jpg

    การเยี่ยมบ้านในพื้นที่ยังได้มีการทบทวนทุกสองเดือน เพื่อจะได้ทราบว่าปัญหาที่ได้นำส่งโรงพยาบาลในพื้นที่ ว่าได้รับการแก้ไขแล้วสำเร็จหรือไม่ หรือจำเป็นต้องส่งต่อไปยังโรงพยาบาลใหญ่ต่อไป

    ที่เล่ามายืดยาวเป็นการปูพื้นเรื่องว่า ในระหว่างที่ทำงานนั้นพบอะไรบ้าง เมื่อคณะของเราเดินทางไปถึงที่เขาหลัก โดยมีที่พักเป็นโรงแรมที่อยู่ที่นั่น ที่หน้าโรงแรมจะมีหน่วยทหารที่น้องๆคอยช่วยรื้อถอนขนย้ายซากปรักหักพัง โดยที่เรายังไม่ทันเข้าในที่พัก

    น้องทหารก็เข้ามาหาแล้วถามว่า พี่ๆเป็นหมอใช่มั้ย พวกผมขอยานอนหลับเยอะๆได้ไหม

    และก็เล่าให้ฟังว่าเวลาโพล้เพล้ ก็จะเห็นกลุ่มคนเดินมาเป็นหมู่ ส่งเสียงที่จับความไม่ได้แต่ไม่ใช่ภาษาไทยหรือไม่ใช่ภาษาอังกฤษด้วยซ้ำ แล้วก็เดินไปมาทุกเย็นและได้ยินเสียงตอนกลางคืน

    4DQpjUtzLUwmJZZSBzoIXssTMWS36c9Ck35jc7zd2RW2.jpg

    พวกเราได้ฟัง ก็ดูเหมือนจะตรงกับที่ทราบมาเลาๆก่อนหน้าว่ามีอะไรแบบนี้ ดังนั้นน้องเภสัชกรจึงสมัครใจอยู่ห้องเดียวกัน ห้องละสี่ถึงห้าคนและแต่ละคน ต่างก็เตรียมบทสวดคาถาตามศาสนาต่างๆครบถ้วน

    ซึ่งเมื่อเข้าที่พักไปแล้ว และกำลังจะเตรียมลงพื้นที่ยังได้พบกับน้องทหารที่เป็นผู้บังคับการ ได้บอกปัญหาของทหารที่ทำงานอยู่ขณะนี้ว่า อกสั่นขวัญแขวน และอย่างไรก็คงต้องใช้ยาที่ช่วยให้ผ่อนคลาย หรือยานอนหลับนั่นเอง

    จะเป็นวันแรกหรือวันที่สองที่พวกเราลงพื้นที่ หมอก็ไม่แน่ใจนัก ตกตอนเย็น ประมาณ 6 โมงเย็นกว่าๆ หมอก็เลยชวนลูกชาย ขณะนั้นน่าจะอายุประมาณ 13 ปี ไปตีเทนนิสที่สนามที่อยู่ข้างๆที่พัก

    จำได้ว่าตีไปประมาณสามเกม ไฟที่อยู่ริมสนามดับไปหนึ่งดวงเหลือสามดวง ก็มองหน้ากัน ในใจคงไม่ต้องบอกนะครับว่ากำลังคิดอะไรอยู่ แต่ก็เล่นต่อ เล่นไปได้อีกสักพัก ไฟก็ดับไปอีกหนึ่งดวง

    ถึงตอนนี้เลยพยักหน้ากัน และรีบไปเก็บไม้ใส่ถุง เก็บลูกเทนนิสเรียบร้อย กำลังจะเดินออก

    เราทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าตึกๆขึ้นบันไดมา โดยที่สนามเทนนิสจะมีความสูงอยู่ประมาณชั้นสอง เสียงฝีเท้าวิ่งผ่านประตูเข้าสนามเทนนิส ซึ่งครึ่งทางด้านล่างทึบ และน่าจะมีความสูงประมาณ 1 เมตร และก็เห็นศีรษะเด็กโผล่มาให้เห็นเล็กน้อย และเสียงฝีเท้าก็วิ่งลงบันไดอีกทางไปชั้นล่าง

    หมอและลูกตอนนี้ น่าจะอยู่ในสภาวะขนลุกขนชัน แต่ก็เดินไปที่ประตูและเปิดประตูมองไปทางซ้ายก็คือเป็นบันไดที่ขึ้นมาจะเข้าสนามเทนนิส มองไปทางขวาก็คือบันไดที่ลงไปชั้นล่างและที่ได้ยินเสียงฝีเท้าลงไป

    หมอเลยถามลูกว่าจะลงไปดูเขาไหมตามที่ได้ยินเสียงฝีเท้า ลูกหมอเลยตอบเสียงเบาๆว่า พ่อข้างล่างมันมืดตึ๊ดตื๋อ และเราก็เห็นลางๆมีของวางระเกะระกะ ลูกบอกว่า…พ่อไปเหอะ

    และแล้วพ่อกับลูกก็วิ่งแข่งกันกลับไปอย่างรวดเร็ว ไปที่ล็อบบี้ของที่พักได้เจอเจ้าหน้าที่เลยถามว่าที่ตรงนั้นเอาไว้ทำอะไร ได้รับคำตอบว่าเป็นที่สำหรับเก็บของที่ได้รับความเสียหายจากคลื่นยักษ์ เลยเอามาเก็บไว้รวมกันที่ชั้นใต้ถุน เราก็เลยถามต่อว่า มีอะไรหรือเห็นอะไรอย่างนี้ไหม น้องเค้าก็อ้อมแอ้มว่า ก็ไม่มีอะไรนะครับ

    จะยังไงก็ตาม เราสองคนก็เลยวิ่งกลับห้องโดยด่วน และแน่นอนเปิดไฟสว่างจ้าตลอดคืนหลังจากที่เราทำงานเสร็จในพื้นที่ครั้งนี้ กลับมาบ้านที่กรุงเทพได้ประมาณหนึ่งสัปดาห์ หมอฝัน ในฝันนั้นเห็นสตรีน่าจะเลยวัยกลางคนไม่ใช่คนไทย เดินอยู่บนสนามหญ้า และข้างๆมีเด็กผู้ชายขี่จักรยานเล่นอยู่ด้วย คุณน้าท่านนั้น เดินเข้ามาหาหมอและยื่นมือส่งตุ๊กตาเล็กๆให้ซึ่งหมอรับมาและก็ตกใจตื่น

    ทั้งนี้ ในช่วงเวลานั้นคงเหมือนกับคนไทยทุกคนที่ได้ทำบุญแผ่ส่วนกุศลให้ผู้ประสบเคราะห์กรรมเหล่านี้ได้ไปสู่สุคติ และน่าจะเป็นเครื่องเตือนใจว่า ชีวิตนั้นไม่แน่นอนและเมื่อจากไปแล้วยังคงวนเวียนอยู่

    การทำบุญทำกุศลเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อคนอื่นโดยไม่ต้องคิดว่าจะต้องได้รับอะไรตอบแทน เป็นสิ่งประเสริฐที่สุดในชีวิตและไม่น่าจะสายเกินไปที่มนุษย์ทุกคนจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยความรัก เข้าใจ และไม่ประหัตประหารกัน

    ความจริงยังมีอีกมากมายหลายเรื่องในชีวิตของหมอ และเชื่อว่าหลายๆคนอาจจะมีประสบการณ์คล้ายคลึงกัน ถ้าไม่เบื่อจะได้นำมาเล่าให้ฟังกันอีกนะครับ.

    หมอดื้อ

    ที่มา : หมอดื้อ.com
    และ Thairath.com
     
  2. ann

    ann เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    246
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +2,291
    w644.jpg
    ชีวิตหมอกับประสบการณ์วิญญาณ (ตอนที่ 2)

    หมอดื้อ
    1 พ.ค. 2565 06:30 น.

    สุขภาพหรรษา (วันที่ 24 เมษายน 2565) มีผู้อ่านหลายท่านสนใจ และแม้กระทั่งในแวดวงหมอและพยาบาลที่คลุกคลีอยู่กับผู้ป่วยมาตลอดก็ติดต่อมา เลยคิดว่าจะขอเล่าประสบการณ์ที่เกิดขึ้นอีกหนึ่งเรื่อง

    เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับโรคพิษสุนัขบ้าที่พวกเราได้ประสบ และนำมาซึ่งการศึกษาในเรื่องอาการของโรค ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในคนหรือในสุนัขก็ตาม และควบรวมไปกับการศึกษากลไกการเกิดโรคอย่างละเอียด รวมกระทั่งถึงการพิสูจน์ว่าวัคซีนที่ใช้ป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าในคนที่ใช้กันเนิ่นนานมา มีผลข้างเคียงแทรกซ้อนมากมาย

    ในช่วงตั้งแต่ที่หมอฝึกอบรมเป็นผู้เชี่ยวชาญสาขาอายุรกรรม และจากนั้นอบรมต่อยอดเป็นผู้เชี่ยวชาญสาขาอายุรกรรมประสาท ตั้งแต่ประมาณปี 1981 (และต่อมาฝึกอบรมต่อที่สถาบันจอห์นส์ ฮอปกินส์) เป็นช่วงที่ประเทศไทยยังมีปัญหาเกี่ยวกับโรคพิษสุนัขบ้ามากมหาศาล โดยที่ไม่สามารถควบคุมตัวนำโรคที่สำคัญก็คือหมาและแมว ซึ่งต้องการการควบคุมประชากร รวมทั้ง ต้องให้วัคซีนอย่างถูกต้องเป็นประจำ

    ผลก็คือจะมีหมาและแมว ที่เรียกว่าอยู่ในชุมชน ตามถนนหนทาง ตามตลาด และอยู่ใกล้ชิดกับคนมาก รวมทั้งอีกกลุ่มที่เป็นสุนัขจรจัดจริงๆ

    ตัวนำโรคที่สำคัญจะเป็นหมา ซึ่งสามารถที่จะปล่อยเชื้อออกมาในน้ำลายก่อนที่จะมีอาการได้ถึง 10 วัน ดังนั้น คนที่ถูกหมากัดจะเข้าใจว่าไม่มีอันตราย ทั้งนี้ โดยคิดว่าถูกกัดโดยบังเอิญ หรือเกิดขึ้นเนื่องจากไปแหย่หมา หรือแยกหมาที่ทะเลาะกัน หรือไปยุ่งกับชามข้าวของหมา ไปเหยียบหางหมาโดยบังเอิญ เป็นต้น ทั้งนี้ มักเข้าใจผิดคิดว่าหมาที่เป็นบ้า ต้องกัดคนโดยไม่มีสาเหตุโน้มนำ หรือไม่มีการกระตุ้น (unprovoked) เท่านั้น

    ด้วยเหตุดังกล่าว คนที่ถูกกัดก็จะไม่ได้รับการป้องกันโรค โดยที่หัวใจหลักก็คือ การล้างแผลทันทีด้วยน้ำและสบู่ จากนั้นต้องไปทำการฉีดวัคซีนและเซรุ่ม และการล้างแผลฆ่าเชื้อใหม่ที่สถานพยาบาล และมีผู้เสียชีวิตในปีหนึ่งไม่ต่ำกว่า 400 ราย

    ที่มากไปกว่านั้นก็คือ ในสมัยนั้นวัคซีนที่ใช้เป็นประจำทำจากสมองแกะ โดยที่นำไวรัสมาฉีดแกะ จากนั้น จึงทำการแยกสมองออกมาเป็นวัคซีน จึงปนเปื้อนด้วยส่วนประกอบของเนื้อสมองสัตว์และเมื่อฉีดเข้าไป คนที่ได้รับวัคซีนจึงเกิดผลข้างเคียง มีสมอง ไขสันหลัง หรือเส้นประสาทอักเสบ จนกระทั่งเสียชีวิตก็มี

    ทั้งนี้ ความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นมีได้ถึงหนึ่งต่อ 300 ถึง 400 ราย

    Dtbezn3nNUxytg04abpW2XatxAZZZWrnWE0cUJU69J98iL.jpg

    ขณะที่มีวัคซีนที่ทำจากเซลล์เพาะเลี้ยงที่ปลอดภัย แต่ก็มีราคาสูงมาก และมีปริมาณไม่เพียงพอ ซึ่งก็เป็นที่มาที่คณะทำงานของเราพิสูจน์ได้ว่า มีสารโปรตีนที่ปนเปื้อนเฉพาะชื่อ MBP ในวัคซีนที่ทำจากสมอง เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดผลข้างเคียง และเสนอองค์การอนามัยโลกให้หยุดการใช้วัคซีนที่ทำจากสมองสัตว์ทั่วโลกซึ่งรวมถึงที่ทำจากสมองหนูด้วย และในขณะเดียวกันได้พิสูจน์ว่าการฉีดวัคซีนเข้าชั้นผิวหนังโดยใช้ปริมาณของวัคซีนที่ทำจากเซลล์เพาะเลี้ยง น้อยมากเพียงแค่ 10 หรือ 20% ก็ได้ผลเท่ากัน

    และได้พิสูจน์กลไกในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันว่าเป็นระบบพิเศษที่อยู่ในชั้นผิวหนังและเป็นที่ยอมรับขององค์การอนามัยโลก และยังคงใช้อยู่จนกระทั่งถึงปัจจุบัน

    ตัวหมอเองนั้น ได้ดูแลรักษาผู้ป่วยที่ได้รับผลแทรกซ้อนจากวัคซีนและผู้ป่วยโรคพิษสุนัขบ้าไปพร้อมๆกัน โดยได้ดูแลโดยตรงหรือร่วมดูแลผู้ป่วยโรคพิษสุนัขบ้าไม่ต่ำกว่า 200 ราย ในช่วงหลายปี และทำให้เราได้เรียนรู้ลักษณะอาการสำคัญของโรคพิษสุนัขบ้าในคน ตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม จนกระทั่งถึงระยะสุดท้าย กระทั่งถึงวิธีการวินิจฉัยด้วยการตรวจพีซีอาร์ในน้ำลาย น้ำปัสสาวะ น้ำไขสันหลัง ปมรากผม ตั้งแต่ปี 2000 และเป็นตำรา และเป็นคู่มือขององค์การอนามัยโลกจนถึงปัจจุบันเช่นกัน

    ในส่วนของกลไกการเกิดโรค เราได้พยายามศึกษาจน กระทั่งสามารถรู้ได้แน่ชัดว่า ไวรัสจะค้างอยู่ที่ตำแหน่งที่หมากัดในระยะหนึ่ง โดยมีอิทธิพลตัวควบคุมจากเซลล์กล้ามเนื้อ และจนกระทั่งวิ่งเข้าเส้นประสาทและเมื่อถึงไขสันหลังแล้ว จะกระจายทั่วไปอย่างรวด เร็วทั้งสมองไขสันหลัง โดยใช้ระยะเวลาที่ไวรัสวิ่งจากเซลล์ประสาทหนึ่งไปอีกตัวหนึ่งในเวลาสั้นมาก...ข้อสำคัญก็คือ ไวรัสสามารถอยู่ในสมองและไขสันหลังได้นานเป็นอาทิตย์ โดยที่ไม่แสดงอาการใดๆทั้งสิ้น จวบจน กระทั่งเริ่มมีอาการผิดปกตินาทีแรก นั่นหมายถึงผู้ป่วยจะเสียชีวิตทั้งหมดในระยะเวลาห้าวันต่อมา ถ้าเป็นอาการคลุ้มคลั่ง กลัวน้ำ กลัวลม และเป็นระยะเวลาประมาณ 11 ถึง 12 วัน ถ้าเป็นอาการแบบแขนขาอัมพาต หายใจไม่ได้ โดยไม่มีอาการคลุ้มคลั่งอาละวาด

    ส่วนหนึ่งของการดูแลผู้ป่วยนั้น ยังประกอบไปด้วยการทำภาพคอมพิวเตอร์สนามแม่เหล็กไฟฟ้า หรือเอ็มอาร์ไอ (MRI) ของสมองและไขสันหลัง ซึ่งพวกเราไม่ได้ทำเฉพาะผู้ป่วย แต่ยังได้ครอบคลุมไปถึงการวิจัย โดยศึกษาในหมาที่เริ่มมีอาการบ้าหรืออัมพาตขา โดยนำไปเข้าเครื่องเอ็มอาร์ไอ และการศึกษาในหมานำมาซึ่งการทำแผนที่สมองหมา (brain template) (ต่อมาทำในคน เป็นแผนที่สมองคนไทย) เพื่อดูการเคลื่อนตัวและความผิดปกติของเส้นใยประสาท จากตำแหน่งหนึ่งไปยังตำแหน่งอื่น (Diffusion tensor imaging)

    รวมถึงผนังเส้นเลือดและสภาพเซลล์บวม โดยนำหมาบ้า เข้าเครื่องตอนเที่ยงคืนและกลับมายังห้องปฏิบัติการ ในเวลาประมาณตีห้าหรือ 6 โมงเช้า (เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นก็คือ น้องสัตวแพทย์ต้องคอยดูแลไม่ให้หมาตื่นขึ้น ไม่งั้นจะเป็นเรื่อง วิ่งกันขาขวิด)

    เรื่องที่เกี่ยวข้องกับบทความตอนนี้ก็คือ เรามีคนป่วยที่สงสัยว่าเป็นโรคพิษสุนัขบ้า ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายนี้ศีรษะล้าน และใส่วิกผม ในขณะที่เคลื่อนย้ายผู้ป่วย จนไปทำคอมพิวเตอร์สนามแม่เหล็กไฟฟ้านี้เอง ซึ่งใช้เวลานานเป็นชั่วโมง ผู้ป่วยเสียชีวิตในเครื่องเอ็มอาร์ไอ ซึ่งได้ทำการปฐมพยาบาลกัน จนกระทั่งถึงวาระสุดท้าย

    ในวันต่อมา มีผู้ป่วยเข้ารับการตรวจเอ็มอาร์ไอ ด้วยเครื่องเดียวกันนี้ ซึ่งถ้าใครเคยเข้าเครื่องเอ็มอาร์ไอนี้ มีลักษณะเป็นอุโมงค์ค่อนข้างไม่สว่าง แต่ก็จะมีไมโครโฟนและลำโพงให้สามารถพูดจา ติดต่อสื่อสารกันได้กับผู้ที่ควบคุมการตรวจ ซึ่งอยู่ในห้องติดกัน แต่มีกระจกใส มองเห็นกันได้

    Dtbezn3nNUxytg04abpW2XatxAZZZWroEQEbK6Y9amAHCG.jpg

    ผู้ป่วยรายนี้ได้แจ้งว่า ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินอยู่รอบๆ เครื่องไม่หยุด ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็แจ้งให้ทราบว่า ไม่มีใครอยู่ในห้องอย่างแน่นอน แต่ผู้ป่วยก็ยังยืนยันอยู่เช่นเดิม และต่อมาผู้ป่วยแจ้งว่า เหลือบไปเห็นคนมายืนอยู่ข้างเตียงใส่เสื้อแบบที่ใช้ในโรงพยาบาลของคนป่วยแต่เป็นสีส้ม ในขณะที่ผู้ป่วยที่ยังอยู่ในอุโมงค์เอ็มอาร์ไอใช้เสื้อสีฟ้า

    และที่สำคัญก็คือ บอกได้ชัดเจนว่าเป็นผู้ชายและศีรษะล้านซึ่งเป็นลักษณะของผู้ป่วยที่เสียชีวิตในคืนก่อนหน้า และเสื้อสีส้ม...หมอไม่แน่ใจว่า เจ้าหน้าที่คงทำเอ็มอาร์ไอต่อในผู้ป่วยรายนี้ จนครบถ้วนกระบวนความหรือไม่ แต่ที่สำคัญก็คือ เจ้าหน้าที่ได้แจ้งหมอโดยด่วน ถึงเหตุการณ์นี้ และรวมทั้งอาจารย์หมอเอ็มอาร์ไอที่ได้ทำการตรวจผู้ป่วยที่เสียชีวิตในคืนก่อนหน้านี้...จากเหตุการณ์นี้ได้ทำให้ต้องปิดห้องเอ็มอาร์ไอและนิมนต์พระพร้อมกับทำบุญให้กับผู้ป่วยที่เสียชีวิต หมอไม่แน่ใจว่าได้ปิดบริการไปกี่วัน ทั้งนี้ เนื่องจากต้องมีการนิมนต์พระและหลังจากนั้นทั้งหมอและเจ้าหน้าที่อาจยังลังเลอยู่ชั่วระยะหนึ่งหรือไม่ ที่จะใช้ห้องเอ็มอาร์ไอในการปฏิบัติงานต่อ

    ควันหลงก็คือ ในพื้นที่ใกล้กับห้องเอ็มอาร์ไอนี้เป็นห้องสวนหัวใจ ซึ่งในระยะเวลาใกล้เคียงกันมีผู้ที่เสียชีวิตในขณะที่ทำการตรวจสวนเส้นเลือดหัวใจ และมีปรากฏการณ์คล้ายกัน แต่เผอิญหมอไม่ทราบรายละเอียด จึงไม่สามารถเล่าได้ในที่นี้ แต่การนิมนต์พระมาทำบุญ ก็ได้ทำทั้งสองห้องตรวจพร้อมกันทั้งห้องเอ็มอาร์ไอและห้องสวนหัวใจ...ที่เล่าให้ฟังนี้ เป็นประสบการณ์ตรงและสะท้อนให้เห็นว่า เมื่อมนุษย์เราจากโลกนี้ไป อาจจะด้วยความกะทันหันไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจ ก็ยังอาจจะวนเวียนอยู่ ณ ที่นั้น จะได้เป็นเครื่องเตือนใจพวกเราทุกคนว่า ชีวิตของเรานั้นจะจบสิ้นเมื่อใดก็ได้ ดังนั้น การใช้ชีวิตที่ดีที่สุดไม่เบียดเบียนใครเอื้อเฟื้อแก่กัน คิดว่าอาจจะไม่มีวันพรุ่งนี้และทำทุกวันให้ดีที่สุด เมื่อถึงเวลานั้นจะไม่ต้องห่วงอะไรทั้งสิ้น เพราะเราทำดีที่สุดไม่ใช่ต่อตัวเราเอง แต่ต่อครอบครัวและคนรอบข้างด้วย

    ท้ายนี้หมอน่าจะมีเรื่องอื่นที่ประสบกับตัวเองอีกเช่นกันคือประสบการณ์เฉียดตาย ในความรู้สึกขณะนั้นเป็นอย่างไร และเกิดอะไรขึ้น ถ้าท่านผู้อ่านยังไม่เบื่อก่อนนะครับ

    เป็นห่วงทุกคนและรักษาตัวครับ.

    หมอดื้อ
     
  3. ann

    ann เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    246
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +2,291
    33322b7c872afc819f18c3dc50b1d05f0b639e3858086ee5b5176c9b29ed6dc5.jpg
    ชีวิตหมอกับประสบการณ์วิญญาณ (ตอนที่ 3)

    หมอดื้อ
    8 พ.ค. 2565 06:32 น.

    24 เมษายนและวันที่ 1 พฤษภาคม 2565) นอกจากที่มีเพื่อน พี่ๆ และน้องๆ ในแวดวงการดูแลรักษาบริบาลคนป่วย ได้มาเล่าประสบการณ์ตนเองให้หมอฟัง ยังมีน้องแซวว่า เดี๋ยวนี้หมอดื้อกลายเป็น “สายมู” ไปซะแล้ว

    เลยทำให้หมอเป็นงงมาก ต้องรีบเปิดอาจารย์กู (เกิ้ล) เลยเข้าใจแล้วว่า สายมู คือ “มูเตลู” ที่เป็นบทความในไทยรัฐออนไลน์ เดือนเมษายนปีนี้เอง และเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อเรื่องลี้ลับ ของขลัง ไสยศาสตร์ โหราศาสตร์ การเสริมดวงโชคชะตา การทำคุณไสย การทำเสน่ห์ต่างๆ คำนี้มาจากหนังสยองขวัญ สัญชาติอินโดนีเซีย ตั้งแต่ปี 1979 ที่มีหญิงสาวสองคนปิ๊งหนุ่มคนเดียวกัน และร่ายรำคาถาต่างๆ

    ทั้งนี้ หมอเลยได้อธิบายไปว่า ที่เล่ามาทั้งหมด เป็นเรื่องที่ประสบพบมาด้วยตัวเอง และอีกทั้งมีคนอื่นร่วมอยู่ในเหตุการณ์ด้วย ดังนั้น ถ้าเป็นสายมู ท่าทางจะกลายเป็น “มูหมู่” หรือ “หมู่มู” คือเจอทั้งกลุ่ม

    เล่ามายาว มาถึงตอนนี้เป็นประสบการณ์วิญญาณ แต่ท่าทางจะเป็นวิญญาณของหมอเอง ในเหตุการณ์เฉียดตาย (near death) ที่มีหนังฝรั่งหลายเรื่อง อาทิเช่น แฟลทไลน์เนอร์ (flatliner) ที่มีนักเรียนแพทย์เล่นกันเอง ทำให้หัวใจหยุดเต้น และทำการบำบัด ฟื้นคืนชีวิต กระตุกไฟฟ้าหัวใจ ทำให้คลื่นหัวใจที่ราบเรียบไปแล้ว เต้นขึ้นมาใหม่ และเห็นเหตุการณ์ที่ผ่านมาในชีวิตในขณะที่ตายไปชั่วขณะ และสิ่งร้ายๆที่ทำไปตามมาหลอกหลอนอีกในชีวิตปัจจุบัน

    Dtbezn3nNUxytg04abpXmF1cn0DS9IGuBTdhBVW4F8suRT.jpg

    ทั้งนี้ เรื่องประสบการณ์เฉียดตาย อยู่ในความสนใจของหมอและนักวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับทางสมอง สัมพันธ์กับจิต ความทรงจำ ความนึกคิด และอื่นๆ และมีการประชุม เช่น ที่สถาบัน New York Academy of Science ในปี 2013 โดยมีนักจิตวิทยาทางสมอง หมอที่เฉียดตายจากการจมน้ำ ศาสตราจารย์ทางสมอง และทางเวชบำบัดวิกฤติ มีการศึกษาเรื่อยมา กระทั่งต่อมามีการประชุมกันอีกในปี 2019 ในเรื่องเกิดอะไรขึ้นเมื่อหัวใจหยุดเต้น ประกอบด้วย หมอและนักวิทยาศาสตร์ ที่ทำงานในห้องฉุกเฉินทางด้านหัวใจ และในไอซียูทางสมอง และผู้เชี่ยวชาญที่ศึกษาในกระบวนการวิทยาศาสตร์ การปลุกฟื้นคืนชีพ (Resuscitation science) เมื่อหัวใจหยุดเต้น และการดูแลผู้ป่วย หลังจากที่หัวใจหยุดเต้นแล้วและช่วยหัวใจกลับฟื้นขึ้นมา โดยที่สมองอาจจะกลับมาได้ทั้งหมด หรือกลับมาได้บางส่วน หรือยังคงเป็นเจ้าชายหรือเจ้าหญิงนิทราอยู่

    ดังนั้น การพยายามที่จะไขสิ่งที่พบในคนที่รอดชีวิตจะเป็นเงื่อนสำคัญ ในการอธิบายการทำงานเชื่อมโยงของระบบต่างๆของร่างกายกับสมอง จิตวิญญาณ ทางวิทยาศาสตร์

    เรื่องของหมอเองนั้น เกิดขึ้นจากการที่หมอเป็นไส้เลื่อนที่ขาหนีบทางด้านซ้าย โดยเมื่อเดิน ไอ จามหรือเบ่ง ก็จะตุงและปวดบริเวณนั้น และแม้จะใส่กางเกงในชุดรัดพิเศษก็ทานไม่ไหว เลยตัดสินใจตามที่รุ่นพี่แนะนำว่า ผ่าซะเถอะ

    ทั้งนี้ การผ่าไส้เลื่อน ก็ไม่ได้ยุ่งยากซับซ้อนเท่าไหร่ อีกทั้งพี่ดมยา ก็บอกว่า ไม่ต้องดมยาสลบหรอก เป็นการบล็อกหลัง โดยทำให้ชาจากปลายเท้าจนกระทั่งขึ้นมาเลยบริเวณที่จะต้องผ่า ดังนั้น เวลาที่ผ่าก็ยังพูดคุยกันได้อย่างสนุกสนาน ระหว่างพี่หมอผ่าตัด พี่ดมยาและน้องพยาบาลผู้ช่วย

    ทั้งนี้ โดยกระบวนการก่อนผ่าตัด ก็จะมีการตรวจสอบว่า มีแพ้ยาอะไรบ้าง รุนแรงแค่ไหน โดยที่หมอเองเคยแขนหักและได้รับยาแก้ปวดมอร์ฟีน ขณะที่ทำการเคลื่อนกระดูกที่หักให้เข้าที่และแพ้ แต่ในตอนนั้นเพียงแต่ความดันตก ยังไม่ถึงกับช็อกและเพียงให้น้ำเกลือบำบัดไม่กี่ชั่วโมงก็เป็นปกติ

    บนเตียงผ่าตัด การบล็อกหลังด้วยยาชา หมอที่เป็นคนป่วยเองก็นอนตะแคงคู้เข่า เพื่อให้พี่หมอดมยาแทงเข็มผ่านช่องว่างระหว่างกระดูกสันหลังเข้าไป เพื่อส่งยาเข้าไปในช่องว่างที่มีเส้นประสาทอยู่ และรอจนกระทั่งชาสนิทจริงจากปลายเท้าขึ้นมาจนถึงระดับเหนือสะดือ และนอนหงายเพื่อให้ทำการผ่าตัด


    ระหว่างที่เริ่มผ่าตัดนั้น ราบรื่น ยังจำได้ว่าคุยกันสนุกสนาน เล่าเรื่องนั้น เรื่องนี้กัน แต่การผ่าไส้เลื่อนนั้นจะมีกระบวนการที่เข้าไปดึงเยื่อบุช่องท้องบางส่วน และทำให้หมอมีความรู้สึกเหมือนจุกท้อง เลยได้บอกว่า ท่าทางจะไม่ไหว ทั้งนี้ โดยที่ไม่ต้องดมยาสลบ พี่หมอก็ฉีดยาแก้ปวดให้ ที่ไม่ใช่มอร์ฟีน หลังจากนั้นก็ถามไถ่กันว่า น้อง (คือตัวหมอเองที่นอนบนเตียงผ่าตัด) เป็นไงบ้าง ช่วงนั้นเอง เกิดมีอาการเวียนหัว บ้านหมุน คลื่นไส้ จำได้ว่า บอกไปอย่างทุลักทุเลว่า ไม่น่าจะไหว เวียนหัวมากเหลือเกิน ทุกคนก็บอกว่า...ไม่น่านะ เพราะความดันก็...ทั้งนี้ พี่หมอพูดยังไม่ทันขาดคำ ก็บอกว่าความดันตกแล้ว และหมอเองดูเหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น

    และขณะเวลานั้น เป็นช่วงที่ทรมานมาก มีเวียนหัวคล้ายตัวหมุน แต่ถัดมา อาการเวียนหัวดูเบาลงไปบ้างนิดหน่อย แต่ยังอย่างทรมานอยู่ และกลับมีภาพเหมือนจริง สามมิติทุกอย่าง ตั้งแต่หมอยังเด็กๆ ยืนร้องไห้มองดูฝนตก ที่เม็ดฝนกระทบพื้น มองดูเป็นรูปเก้าอี้ ที่มีพนักหรือเป็นรูปมงกุฎ และขณะนั้นดูหดหู่เหลือเกิน มีภาพที่เล่นกับเพื่อน จับแมลงปอมาเด็ดหาง ผูกเชือกและให้แมลงปอบินไป จับจิ้งหรีดกัดกัน

    และยังมีภาพที่เอาไฟไปลนฆ่ามดจนกระทั่งไปติดเสื่อ บ้านจะไฟไหม้ด้วยซ้ำ และเลื่อนไปถึงตอนเป็นเด็กประถม ออกจากโรงเรียนเจอคุณยายอายุมาก หาบขนมมาขาย หมอเอาค่าข้าวที่พอเหลืออยู่บ้าง ให้คุณยายไป โดยไม่ได้รับขนมมา ทำเช่นนี้เป็นประจำ จนวันหนึ่งคุณยายหายไปและไม่เจออีกเลย

    ภาพต่างๆเหล่านี้ ลื่นไหลไปเร็วมาก จนมีภาพที่เสียคนป่วยรายแรกในชีวิต ตอนที่เป็นหมอฝึกหัด และคนป่วยเป็นเพียงผู้หญิงอายุไม่มาก ไปทำแท้งผิดกฎหมาย และเกิดติดเชื้อ เชื้อเข้ากระแสเลือด จนช็อก และทำการผ่าตัด ตัดมดลูกที่ติดเชื้อรุนแรงออก

    หมอและพี่หมอแพทย์ประจำบ้าน ยืนน้ำตาซึมกัน คิดกันว่า ทำไมเราช่วยไม่ได้ เราขาดให้ยาปฏิชีวนะอะไรไปหรือเปล่า...

    ภาพต่างๆที่ไหลมาดูเต็มไปหมด แต่ทั้งหมดนี้ น่าจะกินเวลาเป็นวินาที คล้ายกับม้วนฟิล์มไปเร็วๆ

    และจู่ๆ ความรู้สึกไม่สบาย ทรมานหายไปเป็นปลิดทิ้ง คล้ายมีลมเย็นพัดเข้ามา และเหมือนอยู่ในอุโมงค์ที่เห็นแสงสว่างอยู่ข้างหน้า และตอนนั้น ความรู้สึกคือพร้อมใจ เต็มใจ ที่จะเดินและกำลังเดินไปหาแสงสว่างโดยไม่ได้มีห่วงอะไรเลยอยู่ข้างหลัง

    แต่แล้ว ก็กลับมาสู่สภาพนอนอยู่บนเตียงผ่าตัดเหมือนเดิม ยังถามรอบข้างว่า ช็อกไปหรืออย่างไรใช่ไหมครับ พี่ก็บอกว่าแป๊บเดียวเท่านั้น ไม่เป็นไร

    ช่วงเวลา “แป๊บเดียว” สำหรับหมอ ดูเหมือนทบทวนสิ่งที่ผ่านมาตั้งแต่สมัยเป็นเด็กจนถึงปัจจุบัน และคล้ายกับหักลบกลบหนี้ไปแล้ว ผลออกมาไม่ต้องห่วงอะไรแล้ว


    หมอเชื่อว่า พวกเราหลายคนคงจะเจออะไรคล้ายแบบนี้มา บางคนอาจจะน่ากลัว แต่ทั้งหมดทั้งหลายเหล่านี้ น่าจะเป็นเครื่องเตือนใจว่า สิ่งที่ทำมาตลอดนั้น ไม่ได้หายไปไหน และควรจะตอกย้ำพวกเราทุกคนว่า เราจะจากไปเมื่อไหร่ก็ได้ และบุญกรรมที่มาจากการกระทำของตนเอง ของตัวเอง ไม่ว่าโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ชั่วชีวิตจะปรากฏขึ้นให้เห็น

    ชีวิตที่คงอยู่ขณะนี้ ทรัพย์สินเงินทองที่มีอยู่ขณะนี้ ถึงเวลานั้น ไม่ได้ช่วยอะไร เอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ ช่วยคน ที่ไม่สามารถมีโอกาสที่ดีอย่างที่เรามี เป็นสิ่งที่เราควรต้องทำทุกคน

    รักและเป็นห่วงทุกคนครับ.

    หมอดื้อ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤษภาคม 2022
  4. ann

    ann เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    246
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +2,291
    4A8A6721-1024x683.jpg
    ชีวิตหมอกับประสบการณ์วิญญาณ (ตอนที่ 4)

    หมอดื้อ
    15 พ.ค. 2565 06:20 น.

    บันทึก

    ตอนนี้เป็นเรื่อง : เซนไดในฝัน เป็นเรื่องที่เจอเป็นหมู่ ในคณะที่เดินทางไปเที่ยวที่ญี่ปุ่น ที่เคยไปด้วยกันหลายครั้งกับทัวร์ เวิลด์โปร ทัวร์ที่คุ้นเคยกันมาตลอด

    ญี่ปุ่นเป็นดินแดนในฝันของหลายๆคน ที่อยากจะไปเยือน อยากสัมผัสอากาศ อยากเห็นธรรมชาติ และหิมะที่บ้านเราไม่เคยมี คราวนี้พวกเราเลยเลือกไปเซนได

    ทริปนี้เดินทางวันที่ 7–12 ก.พ.2018 ของคืนวันที่ 7 สายการบิน TG8120 ถึงท่าอากาศยานเซนไดในเช้าวันที่ 8 ก.พ. ผู้ร่วมทริปประมาณ 15–20 ท่าน หมอไปกับภรรยา

    ในทริปนี้ กลุ่มของเราเที่ยวกันอย่างสนุกสนานเป็นกันเอง ตามโปรแกรมที่ทางทัวร์จัดไปตามโปรแกรมต่างๆจนถึงคืนของวันที่ 9 ก.พ.2018 ทัวร์ได้นำเข้าที่พัก Hoshino Resort Aomori Hotel หมอและภรรยาได้ห้องพักอยู่ชั้น 7 ชั้นเดียวกับครอบครัวของคุณจุ๋ม

    ต่อไปนี้ เป็นรายละเอียดที่คุณจุ๋มจะเล่านะครับ...โดยครอบครัวนอนกัน 3 คน เป็นห้องใหญ่สไตล์ญี่ปุ่น ตื่นตาตื่นใจกับความสวยของห้องนอนที่เราทั้ง 3 คนได้เข้าพัก คือ เรา (คุณจุ๋ม) คุณแม่ และคุณอา ที่โรงแรมนี้สวยมากค่ะ กิจกรรมของครอบครัวเราก็ดำเนินไปตามปกติ เมื่อเข้าที่พักก็ผลัดกันอาบน้ำ พอถึงช่วงเวลาที่จะนอน เราสามคนได้เลือกที่นอน คุณแม่นอนริมหน้าต่าง ตัวเรานอนตรงกลาง คุณอานอนถัดจากเราไป นอนเรียงกันสามคน ดึกแค่ไหนไม่มีใครทราบ เนื่องจากเราหลับกันไปแล้ว จากการเดินทางตลอดวัน พวกเราต้องรีบเข้านอนเพราะดึกมากแล้ว เราต้องตื่นกัน 06.00 น. ตามเวลานัดหมาย

    ความน่ากลัวของค่ำคืนนี้ได้เริ่มจากคุณแม่นอนร้องเหมือนคนฝันร้าย คุณอาปลุกเราให้เราปลุกคุณแม่ เราก็ค่อยๆเขย่าแขนให้คุณแม่ตื่น คุณแม่ร้องแล้วสะดุ้งตื่น เราถามคุณแม่ว่า “ฝันร้ายเหรอ” คุณแม่บอกแบบเหนื่อยๆว่า “อืม”

    4DQpjUtzLUwmJZZSB062ICiRGseqvXUwEcmkhUSQMPf5.jpg

    พวกเราก็นอนต่อ...นานเท่าไหร่ไม่ทราบได้ เราฝัน...ในความฝันนั้น...เราเดินอยู่ในอาคารแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นเหมือนตึกร้าง ในความฝันมืดมากไม่มีไฟ เห็นรางๆในความมืด รู้สึกหนาวมากๆ มีหมอกหนาๆ เราเดินเข้าไป...ในความมืด มีเสียงใครต่อใครมากมาย ซึ่งเราฟังไม่ได้ศัพท์ เราฟังพวกเค้าไม่รู้ความ เค้าเหล่านั้นไม่ใช่คนไทย มีความวุ่นวาย มีเสียงร้องไห้ หลายคนตื่นกลัว เหมือนทุกคนกำลังเกิดปัญหาอะไรสักอย่างซึ่งเราไม่เข้าใจ แต่ที่เรากลัวคือ มีหลายคนวิ่งเข้ามาหาเรา พวกเค้ามาจับตัวเรา เหมือนคนจะจมน้ำแล้วไขว่คว้าหาที่ยึดจับ ซึ่งนั่นก็คือตัวเราที่เค้าเหล่านั้นไขว่คว้าจับเรา ดึงเรา และที่สำคัญพวกเค้าไม่ใส่เสื้อผ้า พวกเค้าตัวเปียก ผมเปียก มือเย็น และตัวซีดขาวมาก เรารู้สึกกลัวคนเหล่านั้นมากๆ จนเราร้อง และคุณอาเราปลุกให้ตื่นขึ้นมาจากฝันนั้น...

    พอรู้สึกตัวคุณแม่กับคุณอาบอกว่า กว่าเราจะรู้สึกตัวเรียกตั้งนาน คุณอากลัวเรา คิดว่าเราผีเข้า เพราะตอนคุณอาปลุกให้เรารู้สึกตัว เราทำตาขวางใส่คุณอาเหมือนคนไม่พอใจ เหมือนคนโกรธมาก แต่เราไม่รู้ตัวเองว่าเราทำตาขวาง ถ้าคุณอาไม่เล่าให้ฟัง

    ดูนาฬิกาเวลาตี 3 พวกเรานอนต่อ...และแล้วเราก็ฝันอีกรอบเรื่องเดิม สถานที่เดิม คือในตึกร้างนั้นแหละ ตึกที่มืดมาก หนาวมากๆ มีความวุ่นวายเหมือนเดิม แต่เพิ่มเติมตรงที่มีเด็กฝรั่งเป็นผู้ชาย หัวล้าน ตาโต ไม่ใส่เสื้อผ้า ตัวซีดขาวและตัวเย็น เด็กคนนั้นคลานมาเกาะตัวเรา และยืนขึ้นมา ในฝันเรารู้สึกกลัวมาก กลัวเด็กฝรั่งคนนั้น เค้าร้องไห้ เค้าดึงเรา เหมือนขอให้เราอุ้ม ในฝันเรากลัวคนเหล่านั้น รวมทั้งเด็กฝรั่งที่มาเกาะเรา เราร้องอีกครั้ง ร้องออกในขณะที่เรากำลังหลับ...

    4DQpjUtzLUwmJZZSB062ICiRGseqvXUy2cca9fk7k3E8.jpg

    คุณอาก็ปลุกเราอีกครั้งเช่นกัน เรารู้สึกตัวขึ้นมา เห็นคุณแม่กับคุณอา เรารู้สึกสติแตกบอกได้เลยว่า เราอยากจะร้องไห้ ใจเสีย กลัวมาก ดูนาฬิกาอีกรอบ เวลาเกือบตี 5 บอกกับตัวเองว่า เรานอนไม่ได้แล้ว เราไม่กล้าที่จะนอนต่อ เรากลัว...ทุกคนตื่นมาอาบน้ำ พวกเราไม่กล้านอนแล้ว เก็บกระเป๋านั่งรอเวลา...

    เช้าที่ไม่สดใสของเราทั้งสาม นั่งรอเพื่อนร่วมทริปบนรถทัวร์คุณหมอหน่อง (หมอดื้อเอง...ชื่อเล่น) เดินขึ้นมาบนรถแล้วพูดคำว่า “เมื่อคืนไม่ได้นอนเลย ฝัน...” เรารู้สึกตื่นเต้นคำว่า “ฝัน” ฟังที่คุณหมอหน่อง เล่าความฝัน เมื่อคืน...จะเป็นไปได้อย่างไร เรากับคุณหมอฝันคล้ายกันมาก เรื่องราวไม่ได้ต่างกันเลย ฝันเรื่องเดิมตลอดทั้งคืน

    และต่อไปนี้คือสิ่งที่หมอได้ประสบในคืนเดียวกัน ในฝันนั้นเหมือนกับหมอเดินไปกับหมอรุ่นน้องที่เป็นแพทย์ประจำบ้านทางสมองเหมือนกับเวลาเราไปดูคนป่วยในโรงพยาบาล เป็นห้องค่อนข้างมืดแต่ตรงที่มีแสงสว่างเป็นเตียงคนป่วย บนเตียงมีคนป่วยไม่ใส่เสื้อผ้า แขนขาผูกมัดติดกับเตียงเพื่อไม่ให้มีการอาละวาด หน้าเหมือนคนญี่ปุ่น ผมดูเป็นผมที่ย้อมเป็นสีอื่น ในฝันนั้นเราก็ได้ปรึกษากันว่าจะช่วยเหลือเยียวยาได้อย่างไร และก็ตกใจตื่นขึ้น เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วยังดูไปรอบๆห้อง พยายามไม่นึกถึงอะไรและเข้าห้องน้ำและกลับเข้ามานอน

    จากนั้นมีฝันอีก เป็นสถานที่มืดๆ มีเด็กตัวเล็กๆคลานอยู่ที่พื้นหลายคน ส่งเสียงแต่ฟังไม่รู้เรื่อง และพยายามคลานเข้ามาหาหมอเข้ามาจับขา คล้ายจะให้ช่วย จำไม่ได้ว่าขณะนั้นกลัวมากแค่ไหน แต่อีกใจหนึ่งอยากจะช่วยและตกใจตื่นเวลาประมาณตีห้า และก็ไม่ได้นอนต่ออีกเลย

    หลังจากที่เล่าเรื่องที่ฝันให้กันและกันแล้ว อธิบายไม่ได้ว่าเกิดจากเหตุอะไรที่ทำให้ฝันได้คล้ายกันและในเวลาไล่เลี่ยกัน และรูปแบบลักษณะของการฝันเหมือนกัน แต่ที่แน่นอนคือ เราและทางคณะที่เดินทางได้พยายามแผ่บุญกุศล และกลับมาประเทศไทยก็ได้ทำบุญต่อ

    เรื่องเหล่านี้จะเชื่อหรือไม่เชื่อแต่ประการใดก็แล้วแต่ครับ และจะไปเกี่ยวข้องกับสึนามิครั้งใหญ่ที่ญี่ปุ่นที่ตรงกับเซนไดหรือไม่อย่างไร คงพูดไม่ได้ชัดเจน หรือผู้ที่เสียชีวิตยังไม่ได้ไปที่ไหนเลย.

    หมอดื้อ
     

แชร์หน้านี้

Loading...