ชินปันชร ฉบับลายมือหลวงปู่คำ

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย ซาตานคลั่ง, 2 ธันวาคม 2010.

  1. ซาตานคลั่ง

    ซาตานคลั่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    496
    ค่าพลัง:
    +1,449
    โหลดจากเว็บนี้ได้เลย อันที่จริงก็ได้มาจากเพื่อนสมาชิกในเว็บนี้ นานเป็นปีๆแล้ว แต่คิดว่าคงมีหลายๆคนอยากได้ ค้นหา แต่หายากหรือหาไม่เจอ

    แจกเพื่อเป็นธรรมทานครับ ผลบุญจากทานในครั้งนี้ ผมขอทูลเกล้าถวายแด่ในหลวงและอดีตพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักกรีทุกๆพระองค์

    [​IMG]

    [​IMG]
     
  2. kikinlala

    kikinlala เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    4,939
    ค่าพลัง:
    +8,843
    ขอบคุณค่ะ รุ่นนี้น่าจะเป็นรุ่นแรกเลยใช่ไหมคะ
     
  3. sirawasa

    sirawasa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2010
    โพสต์:
    337
    ค่าพลัง:
    +1,191
    ดิฉันสวดตามนี้มาตั้งแต่เด็กๆ แล้วค่ะ ขึ้นต้น "ชิยา สะรา กะตา พุทธา" รวมทั้งตรงที่ "อาสุง อานันทะ ราหุลา" ด้วย ซึ่งไม่ตรงกับที่เผยแพร่อยู่ในยุคปัจจุบัน แต่พี่ชายเล่าว่าสมัยที่ยังบวชอยู่เคยทันพบกับลูกศิษย์ที่เหลืออยู่รุ่นสุดท้ายของหลวงพ่อโต (จริงๆ พี่ชายเคยบอกชื่อแต่ดิฉันจำไม่ได้ ตอนนี้พี่ชายเสียไปแล้ว) เลยเคยได้เห็นเอกสารต้นฉบับ แต่ดิฉันไม่แน่ใจว่าที่พี่ชายเห็นจะเป็นต้นฉบับภาษาบาลีที่จารึกด้วยอักษรไทยหรืออักษรขอมกันแน่บังเอิญไม่ได้ถาม แต่ตัวดิฉันไม่เคยเห็น อาจเป็นฉบับนี้ก็ได้ค่ะ

    ขอบคุณที่นำมาให้ดูนะคะ อนุโมทนาค่ะ
     
  4. นางไพจิตต์

    นางไพจิตต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    320
    ค่าพลัง:
    +956
    อนุโมทนาบุญด้วยค่ะ ขอร่วมบุญนี้ให้เป็นกุศลส่งให้ผู้เผยแพร่บรรลุตามจุดประสงค์ด้วยคะ
     
  5. deelek

    deelek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    6,696
    ค่าพลัง:
    +16,254
    อิติปิโส ภะคะวือ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    <HR align=center width="100%" color=white noShade SIZE=1>
    <SCRIPT type=text/javascript><!--google_ad_client = "pub-2576485761337625";/* 300x250, created 21/07/09 */google_ad_slot = "6922411748";google_ad_width = 300;google_ad_height = 250;//--> </SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20101117/r20101214/show_ads_impl.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/expansion_embed.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><?xml:namespace prefix = v ns = "urn:schemas-microsoft-com:vml" /><v:shapetype id=_x0000_t75 stroked="f" filled="f" path="m@4@5l@4@11@9@11@9@5xe" o:preferrelative="t" o:spt="75" coordsize="21600,21600"><v:stroke joinstyle="miter"></v:stroke><v:formulas><v:f eqn="if lineDrawn pixelLineWidth 0"></v:f><v:f eqn="sum @0 1 0"></v:f><v:f eqn="sum 0 0 @1"></v:f><v:f eqn="prod @2 1 2"></v:f><v:f eqn="prod @3 21600 pixelWidth"></v:f><v:f eqn="prod @3 21600 pixelHeight"></v:f><v:f eqn="sum @0 0 1"></v:f><v:f eqn="prod @6 1 2"></v:f><v:f eqn="prod @7 21600 pixelWidth"></v:f><v:f eqn="sum @8 21600 0"></v:f><v:f eqn="prod @7 21600 pixelHeight"></v:f><v:f eqn="sum @10 21600 0"></v:f></v:formulas><v:path o:connecttype="rect" gradientshapeok="t" o:extrusionok="f"></v:path><o:lock aspectratio="t" v:ext="edit"></o:lock></v:shapetype><v:shape id=_x0000_i1033 style="WIDTH: 217.5pt; HEIGHT: 300pt" alt="" type="#_x0000_t75"><v:imagedata o:href="http://www.dhammajak.net/gallery/albums/userpics/normal_a_put.jpg" src="file:///C:\DOCUME~1\xp\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image001.jpg"></v:imagedata></v:shape>

    อิติปิโส ภะคะวือ
    โดย หลวงพ่อพุธ ฐานิโย


    นึกถึงนิทานย่อๆ ที่ครูบาอาจารย์ท่านเคยเล่าให้ฟังเสมอ หลวงตาพรอาจารย์ของหลวงพ่อนักธรรมตรีก็ไม่ได้ สอนลูกศิษย์ลูกหาก็ไม่มีปฏิภาณโวหาร แต่ว่าลูกศิษย์สอบได้นักธรรมตรี โท เอก ท่านกลัวว่าลูกศิษย์จะลบหลู่ดูหมิ่นท่านหรืออย่างไรก็ไม่รู้ล่ะ แต่ท่านก็เล่านิทานอันนี้ให้ฟังอยู่บ่อยๆ ท่านบอกว่า

    มีครูบาอาจารย์สำนักหนึ่งสอนลูกศิษย์ให้ภาวนา อิติปิโส ภะคะวือ แล้วลูกศิษย์ที่ยังไม่มีความรู้กว้างขวาง ก็ปฏิบัติตามครูบาอาจารย์อย่างคนว่าง่าย แต่มาภายหลังลูกศิษย์เหล่านั้นมีโอกาสได้ไปศึกษาเล่าเรียนในต่างสำนัก บางท่านก็ได้เป็นมหาเปรียญกลับมา ทีนี้บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลาย ก็ไปค้นคว้าตำรับตำราหาคำว่า อิติปิโส ภะคะวือ ไม่มีเลย

    ทีนี้พอกลับมาแล้ว ก็มาปรึกษาหารือว่าอาจารย์ของเรานี้ เข้าใจผิดซะแล้วล่ะ พวกเราต้องมาช่วยกันแก้ทิฏฐิของอาจารย์ มีอย่างที่ไหน อิติปิโส ภะคะวือ มาสอนกัน มันไม่มีในตำราสักหน่อยหนึ่งเลย พอกลับมาก็เข้าไปกราบอาจารย์ "อาจารย์ๆ สอนพวกเราว่า อิติปิโส ภะคะวือ นี้สอนผิดซะแล้วล่ะ ควรแก้ใหม่ พวกเราไปค้นตำรับตำรากันหมดพระไตรปิฎกแล้ว ไม่เจอคำว่า อิติปิโส ภะคะวือ กันสักแห่งเลย อาจารย์เอาที่ไหนมาว่าก็ไม่รู้ล่ะ"

    ทีนี้อาจารย์ท่านก็บอกว่า "เราก็ ปฏิบัติของเรามาอย่างนี้ ของพวกท่าน อิติปิโส ภะคะวา ก็คืออิติปิโส ภะคะวา ไปซิ จะมาให้ผมเลิก อิติปิโส ภะคะวือ นี้มันเป็นไปไม่ได้หรอกเพราะผมปฏิบัติมานานแล้ว" ลงผลสุดท้ายอาจารย์กับลูกศิษย์เถียงกันไม่ตก ก็เลยต้องแยกทางกัน อาจารย์บอกว่า "เออ ! ถ้า อิติปิโส ภะคะวา ของท่านทั้งหลายถูกต้อง พวกท่านพากันอยู่วัดเสีย ผมจะไปภาวนา อิติปิโส ภะคะวือ ของผมบนภูเขาโน้น" ว่าแล้วท่านก็เตรียมบริขารของท่านไปอยู่บนเขา

    ฝ่ายลูกศิษย์อยู่ทางวัด ข้อวัตรปฏิบัติก็ย่อหย่อน แล้วประชาชนทั้งหลายก็เสื่อมศรัทธาไม่มีความเลื่อมใส เพราะว่าพระภิกษุไม่สำรวมในสิกขาบทวินัย ไม่เคร่งครัดในข้อวัตรปฏิบัติ เขาไม่มีศรัทธา ไม่มีใครทำบุญก็พากันอดอยากเกิดความเดือดร้อน แล้วก็พากันคิดถึงครูบาอาจารย์ ก็มาปรึกษาตกลงกันว่า เราจะไปอาราธนาอาจารย์ของเรากลับคืนมา ว่าแล้วก็พากันไป ขึ้นไปบนภูเขาที่อาจารย์ท่านพักอยู่ พอไปถึงก็พากันไปกราบอาจารย์ อาจารย์ก็เดินจงกรมเฉย

    ทีนี้ลูกศิษย์ก็กราบเรียนท่าน ท่านก็หันหน้ามา ลูกศิษย์องค์หัวหน้าก็กราบเรียนท่านว่า "พวกเรามาขอพักกับอาจารย์สักคืนหนึ่ง" "เออ ! ที่พักที่นี้กุฏิก็ไม่มี มีแต่ร่มไม้กับพลาญหิน เสื่อหมอนก็ไม่มี มีแต่ก้อนหินกับใบไม้นั้นแหละ พวกท่านต้องการที่ไหนเป็นที่สบายก็นิมนต์จัดหาเอาเอง" พอเสร็จแล้วพระทั้งหลายก็พากันจัดที่พักผ่อนหลับนอนตามอัธยาศัย

    พอตื่นเช้าขึ้นมา อาจารย์ก็เดินจงกรมเฉย จนกระทั่ง ๑๑ โมง มันเพลแล้วยังไม่พาบิณฑบาตเลย "อาจารย์เมื่อไหร่จะพาออกบิณฑบาตซักที" "ฮือ ! หิวแล้วหรือ" "หิวแล้วล่ะ" "อ้าว ! ถ้าหิวก็เก็บก้อนหินใส่บาตร" พอเก็บก้อนหินใส่บาตรมา มาประเคนอาจารย์ อาจารย์ก็นั่งหลับตาลง ก็เพ่งลงในบาตร แล้วท่านก็สวด อิติปิโส ภะคะวือ อิติปิโส ภะคะวือ ก้อนหินที่อยู่ในบาตรกลายเป็นข้าวมธุปายาส อันหอมตลบไปทั่วทุกทิศทุกทาง พอเสร็จแล้วก็ยื่นมาให้พวกลูกศิษย์ "อ้าว ! เอาไปฉันซะ" ทีนี้พระทั้งหลายก็พากันฉัน ฉันเสร็จแล้วก็พักผ่อนตามอัธยาศัย

    พอวันหลังมาลูกศิษย์ก็พากันไปกราบอาจารย์ "อาจารย์ๆ วันนี้พวกเราขอทดลองดูหน่อยนะ" "เออ ! ตามใจ" พอเสร็จแล้วต่างคนก็ต่างเก็บก้อนหินใส่เข้าไปในบาตรแล้วก็ไปนั่งบริกรรม ภาวนา อิติปิโส ภะคะวือๆๆ จิตมันก็ไม่เป็นสมาธิสักที อิติปิโส ภะคะวือ นึกขึ้นมาเมื่อไหร่มันก็ไม่เป็นสมาธิสักที ลืมตาขึ้นมาก้อนหินก็คงเป็นก้อนหินโค่โร่อยู่อย่างเก่า ผลสุดท้าย ๑๑ โมงถึงเวลาฉัน ยอมจำนนเข้าไปกราบอาจารย์ "โอ๊ย ! อาจารย์ไม่ไหวแล้ว ท่องมาจนเมื่อยแล้วไม่เห็นเป็นข้าวมธุปายาสสักที" "หือ ! อ้าว ! เอาบาตรมาตั้งเรียงกัน" ตอนนี้อาจารย์แสดงปาฏิหาริย์ใหญ่เลย เอามือไปแตะบาตรเท่านั้นแหละ ในบาตรควันตลบขึ้นมากลายเป็นข้าวมธุปายาส

    ทีนี้พอตกตอนเย็นมา อาจารย์ก็เรียกมาประชุมกัน ท่านก็เทศน์ให้ฟัง ท่านบอกว่า อิติปิโส ภะคะวือ หรือ อิติปิโส ภะคะวา นี่นะมันเป็นแต่เพียงคำบริกรรมภาวนาเท่านั้นเองแหละ เมื่อก่อนนี้ผมก็ภาวนาอิติปิโส ภะคะวา เหมือนกัน พอภาวนาไป ภาวนาไป จิตมันเคลิ้มๆ ลงไปสักหน่อยหนึ่งคำว่า อิติปิโส ภะคะวือ มันก็โผล่ขึ้นมา ผมก็เลยจับเป็นอารมณ์ภาวนาเรื่อยมา จนกระทั่งได้สมาธิ ได้ญาณ สามารถเสกก้อนหินเป็นข้าวกินได้

    เพราะฉะนั้น พวกท่านจะไปสำคัญมั่นหมายอะไรกับคำบริกรรมภาวนา ท่านจะเอาคำไหนมาบริกรรมภาวนาก็ได้ทั้งนั้น ขอแต่ว่าให้เราจริงใจอดทน พากเพียรพยายามเท่านั้นเป็นพอ

    ทีนี้ถ้าจะพิจารณาตามนิทานย่อๆ นี้ เราก็ไม่น่าจะไปสงสัยข้องใจกับคำบริกรรมภาวนา ภาวนาพุทโธไม่หยุด จิตมันก็เป็นสมาธิได้ สัมมา อรหัง ไม่หยุด จิตมันก็เป็นสมาธิได้ ยุบหนอ พองหนอ ไม่หยุด จิตมันก็เป็นสมาธิได้ เพราะฉะนั้นญาติโยมทั้งหลายอย่าไปข้องใจสงสัยในเรื่องคำภาวนา หรืออารมณ์จิตในการภาวนา





    คัดลอกมาจาก
    http://www.geocities.com/thaniyo/phraputto0545_2.html<o:p></o:p>

    __________________
    http://www.wimutti.net
    "
    จิตที่ส่งออกนอก เป็นสมุทัย
    ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอก เป็นทุกข์
    จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นมรรค
    ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิต เป็นนิโรธ"
    หลวงปู่ดุลย์ อตุโล <o:p></o:p>
     
  6. ซาตานคลั่ง

    ซาตานคลั่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    496
    ค่าพลัง:
    +1,449

    ก็ขอโมทนาด้วยครับที่คุณได้ใช้แบบต้นฉบับมาก่อนผมจะเจอเสียอีก ฉบับที่แพร่หลายในปัจจุบัน ไม่ได้เพี้ยนเฉพาะใส่ที่คุณกล่าวไว้เท่านั้น เพราะผมได้เช็คดูอย่างละเอียดทุกตัวอักษรแล้วว่า เพี้ยนไปหลายจุดแม้แต่บรรทัดสุดท้ายที่ปัจจุบันจะใช้ว่า "สัทธัมมา"

    แต่ไฟล์ที่ผมแนบมาในโพสท์นี้บอกว่า "สทุธัมมา" ที่น่าจะอ่านว่า สะ-ทุ-ทำ-มา ต่างหาก

    ส่วนต้นฉบับจริงจะเป็นอักษรไทยหรือบาลีผมก็ไม่รู้ครับ :)
     
  7. ซาตานคลั่ง

    ซาตานคลั่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    496
    ค่าพลัง:
    +1,449
    ในคาถาเดียวกัน การออกเสียงของแต่ละวัฒนธรรมทางภาษาย่อมจะมีความแตกต่างกันบ้างเป็นเรื่องธรรมดา โดยที่ถึงแม้ว่าการออกเสียงจะต่างกันแต่ในใจก็นึกถึงคำๆนั้นอยู่ก็ถือว่าอนุโลมกัน
    เช่น "เวรมณี" บางสำเนียงจะออกเสียงเป็น"เว-ระ-มะ-นอย"

    แต่ถ้าไม่ได้ให้ความสำคัญกับเนื้อหาของคาถา ก็ต้องดูกันที่ระดับฌาณของผู้ใช้กันแล้ว
    เช่น หลวงพ่อเนียมวัดน้อยท่านสอนคาถาสมานแผลกับรักษาแผลงูกัดให้กับหลวงพ่อปานวัดบางนมโค ว่า
    "ในเจ็ดตำนานนั่นแหละ บทไหน ส่วนไหนก็ได้ หยิบมาใช้ได้หมด"

    นั่นเป็นเรื่องของกำลังจิตระดับผู้ทรงอภิญญากันแล้ว แล้วธรรมดาสามัญชนล่ะ จะเก่งกล้าสามารถทำได้ขนาดนั้นเลยหรือ
     
  8. amarpinky

    amarpinky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    423
    ค่าพลัง:
    +522
    อนุโมทนาบุญด้วยค่ะ ขอร่วมบุญนี้ให้เป็นกุศลส่งให้ผู้เผยแพร่บรรลุตามจุดประสงค์ด้วยคะ<!-- google_ad_section_end -->
     
  9. granddonut

    granddonut สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +2
    อนุโมทนาครับ



    มิทราบว่าท่านในนั้นตก "วิชิตา ชินะสาวะกา เอเตสีติ มะหาเถรา" ไปรึเปล่าครับ หรือยังไง
     

แชร์หน้านี้

Loading...