ฉบับที่ ๖๐ เดือนกุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๕๒

ในห้อง 'กระโถนข้างธรรมาสน์' ตั้งกระทู้โดย paang, 10 เมษายน 2009.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    ช่วงแรกของเล่ม "หลากรสในพม่า"สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนธันวาคม ๒๕๔๕(ต่อ)
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ




    ถาม: เฉยไปจนถึงที่สุด ?

    ตอบ: ก็เข้านิพพานเหมือนกันจ้ะ เพียงแต่ว่าก่อนจะเข้านิพพานก็จะต้องมีหลักสูตรสุดท้าย ก็คือ ต้องรู้อริยสัจ ต้องเห็นไตรลักษณ์ ต้องเข้ามาทางด้านศาสนาพุทธทั้งหมด เพราะศาสนาอื่นเขารู้ไม่ครบ ถ้าหากว่ารู้ครบเมื่อไหร่ เขาก็ไปได้

    ถาม : เรียนมากลัวไม่มีงานทำ ?

    ตอบ: ที่เรียนมาส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ทำตามที่ตัวเองเรียนซักคนหนึ่งหรอก น้อยคนได้ทำตามสาขาวิชาที่ตัวเองเรียนมา เราต้องการแค่กระดาษแผ่นเดียว เพื่อไปยืนยันว่าเรามีความสามารถ ทั้ง ๆ ที่ความสามารถของเราเหลือเฟือ แต่มันไม่เชื่อ มันเชื่อแค่กระดาษแผ่นนั้น ก็หากระดาษแผ่นนั้นให้มัน แล้วเราก็ไปทำงานของเรา เรียนอะไรก็เรียนไปเถอะ เขาต้องการแค่ใบยืนยันใบเดียว คนซื้อมาเยอะแยะไป มันไม่เห็นว่าซักคำ

    เขาไม่เชื่อคน เขาเชื่อกระดาษแผ่นเดียว อเมริกาเป็นประเทศที่ถ้าคิดจะไปก็ต้องเป็นประเทศสุดท้ายเลย แต่ว่าสิ่งดี ๆ ของเขาก็มีอยู่ อย่างเช่นว่า คนของเขา เขาไม่สนใจว่าจะจบอะไรมา เขาสนใจว่ามีความสามารถหรือเปล่า ? ช่างทำพวกต่อท่อประปา ทำสวน โอ้โห ค่าแรงแพงหูดับเลย คือระดับแรงงานของเขาใกล้เคียงกันหมด ในเมื่อใกล้เคียงกันหมด คนจะเรียนหรือไม่เรียนก็ตาม ขอให้ทำได้ จุดดีของเขาก็มี แต่เปรียบกับที่ไม่ดี ที่ไม่ดีมันเยอะกว่า

    ถาม : ทำทานการศึกษากับมูลนิธิคนตาบอดอานิสงส์ต่างกันอย่างไร ?

    ตอบ: ต่างกันจ้ะ อานิสงส์คือผลได้ ถ้าหากว่าเจตนาของเราบริสุทธิ์ วัตถุทานบริสุทธิ์ ผู้ให้คือตัวเรามีศีลบริสุทธิ์ ผู้รับมีศีลบริสุทธิ์ อันนั้นผลจะเต็ม ๑๐๐ ส่วน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เต็ม ถ้าส่วนไหนส่วนหนึ่งบกพร่องผลนั้นก็จะขาดไป

    อังกุระเทพบุตรตั้งโรงทาน ๘๐ โรง ให้ทานคนทั้งกลางวันกลางคืน ๒๐,๐๐๐ ปี แต่ปรากฏว่าเป็นที่เทวดาที่ศักดานุภาพน้อยที่สุดของดาวดึงส์ เพราะว่าในชาตินั้นเป็นระยะที่โลกว่างจากพระศาสนา คนไม่มีศีลมีธรรม กลายเป็นว่าผู้รับไม่ใช่ผู้บริสุทธิ์ เพราะฉะนั้นก็ดู ทำไปเถอะ อะไรก็ได้ถ้ามันเป็นความดี เราทำเพราะเราต้องการจะตัดความโลภในใจของเรา ให้เรารู้จักสละออก รู้จักเสียสละให้ปันช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น เพราะฉะนั้น ทำไปเถอะ ทำมันให้รอบตัวไปเลย อะไรจะเล็กน้อยขนาดไหน เห็นมีโอกาสทำได้ทำไป เพราะว่าอานิสงส์คือผลได้ จะเล็กน้อยขนาดไหนก็ตาม ถึงวาระถึงเวลามันส่งผล คนอื่นเกิดมาอาจจะรวยมาก ๆ แต่อย่างโบราณเขาบอกว่า เศรษฐียังขาดไฟได้ ของเขาเองอาจจะไม่ได้ทำในจุดเล็กจุดน้อยอย่างเรา ถึงเวลาอาจจะมีที่บกพร่องอยู่ แต่ของเรามีโอกาสทำนิด ๆ หน่อย ๆ เราก็ทำ ถึงเวลาก็เก็บมันให้หมดไปเลย ถ้าได้อะไรมันก็ได้ครบถ้วนสมบูรณ์กว่าเขา

    ถาม : ไม่สามารถอธิบายเหตุผล

    ตอบ: บอกเขาว่ามันต้องรู้จักเลือกเนื้อนา คำว่าเนื้อนา คือว่า ผู้ที่เราจะให้ ถ้าหากว่านาดี ผลตอบแทนก็สูง ต้องใช้คำว่าดี ทุกอย่างน่ะดี แต่มันยังมีดีกว่า ดีที่สุด (Good, Better, Best)

    ถาม : เขาบอกว่าไม่ทำหวังผล

    ตอบ: ในลักษณะนั้นก็ดีจ้ะ คือว่าปล่อยวางได้ แต่ว่าลักษณะเหมือนกับการทำงาน ถึงเราต้องการหรือไม่ต้องการ ปลูกต้นไม้ลงไป ถึงเวลาดอกผลมันต้องออก พอถึงเวลาดอกผลมันออกมาไม่ดี คนปลูกบอกว่าไม่หวังผล แต่เห็นแล้วอาจจะไม่สบายใจไปเลยก็มี

    เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเราไว้ว่าทำอะไร วัตถุที่เราตั้งใจจะทำ ได้มาโดยถูกต้อง ตัวเรามีศีลบริสุทธิ์ ผู้รับมีศีลบริสุทธิ์ ผลมันเต็ม ๑๐๐ ส่วนอย่างนี้ ก็เลือกทำในสิ่งที่ดี ๆ ดีกว่า พอถึงวาระถึงเวลา ผลที่ได้มามันก็ชื่นใจสมกับที่เรารอคอย

    มีหลายคนที่คิดแบบนี้ อย่างเช่นว่าทำบุญแล้วอธิษฐานขอโน่นขอนี่เป็นการโลภ แบบนี้มันต้องไปเกิดเป็นอานันทะเศรษฐี มันถึงจะเข็ด เขาจะไม่เข้าใจตรงจุดนี้เลย เพราะว่าอธิษฐานบารมีนี่เป็นบารมีที่สำคัญมาก ถ้าบุคคลที่สร้างบารมีมายังไม่ถึงตอนปลาย จะใช้อธิษฐานบารมี ไม่เป็นเลย ผลทุกอย่างไม่ว่าดีหรือชั่วที่เราทำไป ต้องการหรือไม่ต้องการ มันก็เกิดผลแน่นอน ทางวิทยาศาสตร์ยังยืนยันเลยใช่ไหม ว่าทุกอย่างที่ทำไปมันมีผล คราวนี้ถ้าหากว่าผลนั้นมันมาในจังหวะที่เราต้องการมันก็ดี ถ้ามันมาในจังหวะที่เราไม่ต้องการ เราก็จะแย่ไปเลย

    อย่างเช่นว่า อานันทะเศรษฐี เคยเป็นมหาเศรษฐี แล้วก็รักษาทรัพย์สมบัติเอาไว้ไม่ได้ กลายเป็นคหบดี คือทรัพย์ลดน้อยลงมา จนในที่สุดกลายเป็นขอทาน พระพุทธเจ้าไปเจอขอทานอยู่หน้าประตูเมืองอาฬวี ท่านก็ยิ้ม พระอานนท์ถามว่าทรงแย้มพระโอษฐ์ด้วยเหตุใด ? พระพุทธเจ้าบอกอานันทะ ดูก่อนอานนท์ เธอเห็นอาฬวีเศรษฐีมั้ย ? พระอานนท์บอกไม่เห็นเจ้าข้า เห็นมีแต่ขอทาน ท่านบอกขอทานนั่นแหละ คืออาฬวีเศรษฐี สมัยที่ท่านเป็นเศรษฐี ถ้าฟังธรรมจากตถาคตจะได้เป็นพระอนาคามี ตอนที่ทรัพย์ลดลงมาเป็นคหบดี ถ้าฟังธรรมจะได้เป็นพระโสดาบัน แต่ตอนนี้เธอกลายเป็นขอทาน จิตมัวแต่หมกมุ่นกังวลอยู่กับการทำมาหากิน ถึงฟังธรรมไปก็ไม่มีโอกาสบรรลุมรรคผล คราวนี้พระอานนท์ท่านจำแม่น ท่านบอกว่าพระพุทธเจ้าตรัสอะไรไม่เป็นสอง พระพุทธเจ้าเคยตรัสเอาไว้ว่าบุคคลถ้ามีวิสัยจะได้มรรคผล อย่างไรก็ไม่เสื่อมจากวิสัยอันนั้น ทำไมอาฬวีเศรษฐี หรืออานันทะเศรษฐีคนนี้ถึงได้เสื่อม ? พระพุทธเจ้าตรัสว่าอานันทะเศรษฐีขาดอธิษฐานบารมี

    อธิษฐานบารมีเหมือนกับยิงปืนแล้วเราเล็งเป้า อย่างไร ๆ ให้มันถูกเป้าแน่อนดีกว่า ไม่ใช่ยิงส่งเดช โอกาสมันจะถูกมันก็น้อย เพราะฉะนั้น คนที่จะใช้อธิษฐานบารมีก็คือ เราทำอะไรต้องการหรือไม่ต้องการก็ตาม ถึงวาระผลนั้นจะเกิด การอธิษฐานเป็นการเจาะจงว่าให้ผลนั้นเกิดอย่างไร เกิดเมื่อไหร่ เพื่อที่มันจะได้พอเหมาะพอดี พอควรกับความต้องการของเรา ไม่ใช่หิวข้าวตอนนี้ อีก ๓ วัน ข้าวค่อยมาก็อดแย่เลย เพราะฉะนั้นอธิษฐานบารมีเป็นเรื่องสำคัญมาก คนที่ไม่เข้าใจมักจะคิดว่าทำบุญแล้วยังขอโน่นขอนี่เป็นการโลภ เข้าใจผิดมากเลย

    ถาม : ตั้งใจมาเกิด ?

    ตอบ: มีทั้งที่ตั้งใจมาเกิด และทั้งที่มาตามวาระบุญวาระกรรมของตนเอง ที่ตั้งใจมาเกิดก็จะมีงานเฉพาะของตัวเอง เขามักจะตั้งใจอยู่ในลักษณะที่ว่า “เรามาเพื่ออะไร?” พวกนี้จะมีกฎกติกายุ่ง ๆ หน่อย พูดไปแล้วบางคนหาว่าอาตมารู้มากเกินมนุษย์ จะมีบุคคลประเภทหนึ่งที่แซงคิวเขามาเกิด โบราณบางทีด่าเจ็บ ๆ ว่าชิงหมาเกิด ที่แซงคิวเขามาเกิดส่วนใหญ่จะเป็นเทวดาเป็นพรหมอยู่ข้างบน คราวนี้รู้ว่าวาระอีกไม่นานตัวเองจะหมดอายุแล้ว ถ้าหากรอให้หมดอายุไปตามกรรมของตัวเอง อาจจะไม่ดีก็ได้ ก็จะดูว่าจุดไหนที่เหมาะสมที่ตัวเองจะลงไปเกิด แล้วมีโอกาสได้ปฏิบัติในทาน ศีล ภาวนา เพื่อสร้างสมบุญบารมีให้ดีกว่าเดิม ก็จะตั้งใจว่าลงไปเพื่อทำงานอย่างนั้น ๆ เมื่อถึงวาระถึงเวลาจะได้ปฏิบัติธรรม แล้วกลับขึ้นมาให้ดีกว่าเดิม ถ้าอย่างนี้ต้องหาเทวดาผู้ใหญ่ท่านคอยรับรองให้ ถ้าเทวดาผู้ใหญ่ที่คอยรับรอง พวกนี้จะเรียกว่า เกิดมาแล้วพยายามชั่วก็ชั่วไม่สำเร็จ เพราะมีคนคอยคุมคอยกระหนาบอยู่ตลอดเวลา

    ท่านทั้งหลายเหล่านี้ถึงเวลาก็เลือกลงมา บางทีก็ลงมาในสถานที่ที่ไม่น่าจะลง อย่างครอบครัวลำบากยากจน แต่ถึงวาระอายุระดับหนึ่งก็จะมีโอกาสได้พบธรรมะของพระพุทธเจ้า มีโอกาสได้ปฏิบัติเพื่อความเจริญก้าวหน้ายิ่งกว่าเดิมของตน เขาจะพากเพียรพยายามทำไป จนในที่สุดก็กลับไปที่เดิมหรือที่ดีกว่าเดิม

    ส่วนอีกประเภทหนึ่งนั้น เกิดจากหมดกรรมหรือหมดบุญลงไปเกิด พวกนี้ก็แล้วแต่ว่าเศษบุญเก่ากรรมเก่ามีเท่าไร ถ้าเศษกรรมมีมากก็เกิดในที่ลำบากหน่อย ถ้าหากว่าเศษบุญมีมากก็เกิดในที่สบายหน่อย คือมีทั้งที่ตั้งใจมาเกิดและวาระของเขาพอดีที่จะได้เกิด

    อย่าไปเจอที่เจ้าของหวงนะ ถึงเวลาเอาของกูคืนมา เคยมีคนเล่าให้ฟังว่า มีคนหนึ่งซื้อเสื้อมาใส่ แล้วกลางคืนฝันร้ายมีแต่คนมาทวงตลอด ก็แปลกใจไปถามคนขาย ไล่ไปไล่มา มันไปเอาของเก่าที่เจ้าของโดนรถชนตายมาขาย เจ้าของมาตามทวงเสื้อคืน คือเขาตายก่อนหมดอายุ ในเมื่อตายก่อนหมดอายุเขาเรียกอุปฆาตกรรม โบราณเรียกว่า ตายโหง ยังไม่ถึงอายุแล้วตายไปรับบุญรับบาปไม่ได้ ก็ต้องล่องลอยวนเวียนอยู่ เป็นพวกเร่ร่อนที่เขาเรียกว่า สัมภเวสี พวกนี้ส่วนใหญ่ ถ้าหากว่าไม่มีที่ไปก็กลับบ้าน รอญาติโยมตัวเองทำบุญให้ ถ้าหากว่าญาติรู้จักทำบุญให้ดีก็มีความสบายคล้ายเทวดา ไม่อย่างนั้นก็ต้องลำบากเร่ร่อนไปเรื่อย ๆ พูดง่าย ๆ ถ้าหากว่ามีอำนาจมากหน่อย ได้รับผลบุญก็จะสบายไปเลย แต่ถ้าหากว่าไม่ได้รับตรงจุดนั้นก็ลำบาก ถ้าหมดอายุขัยเมื่อไรไปทันที

    คราวนี้อายุของมนุษย์กับอายุของเขาต่างกันเหลือเกิน ในเขตของสัมภเวสีเขา ๑ วันเท่ากับ ๕๐ ปีของเรา มันจะแป๊บเดียวของเขา แต่ว่ามันประมาณ ๒๐ ปีของเรา คือถ้าสมมติว่า ของเขา ๑ วันเท่ากับ ๕๐ ปีของเรา ก็เท่ากับ ๒๐ ปี เขารอไม่ถึงครึ่งวันดี นั่นเท่ากับว่าไวกว่าเรามาก

    ไม่มีจ้ะ อยู่ที่จังหวะนั้นวาระนั้น ผลกรรมประเภทไหนส่งผลพอดี เพราะว่าคนเราไม่ได้ทำดีต่อเนื่องยาวนาน มันมีดีมีชั่วสลับกันไป อันไหนที่แรงกว่าให้ผลมากกว่าก็จะมาก่อน อันที่กำลังน้อย ถึงวาระถึงเวลา ผลกรรมแรง ๆ มันหมดแล้วถึงจะมา เหมือนกับว่าเกวียนวิ่งมาก่อน ๑ วัน รถยนต์วิ่งแซงพรวดไปแล้ว ถ้าหากว่ารถยนต์ไปหมดแล้ว มอเตอร์ไซด์ไปแล้ว จักรยานไปแล้ว เดี๋ยวเกวียนมันมาเองโดนจนได้ล่ะจ้ะ


    ถาม : .............................................

    ตอบ: เรื่องของยันต์เกราะเพชร ถ้าหากว่าเป็นแอลกอฮอล์ทั่ว ๆ ไป คนเคยกิน ปฏิกิริยาจะน้อยหรือไม่มีเลย แต่ถ้าเป่ายันต์ไปนี่เจอแอลกอฮอล์เข้าไปจะร้อนฉ่าไปทั้งตัว บอกให้ชัด ๆ เลยตอนนี้ไปแล้ว อาการจะมีชัดเลย
    ถาม : (ไม่ชัด)

    ตอบ: ทำยังไงก็ได้จ้ะ ไม่มีใครว่าอะไร จะจุดบูชาพระก็ได้ แต่น่าเสียดาย เพราะว่าของมีคุณค่ามากกว่านั้น พูดง่าย ๆ ก็คือ พระท่านสอนให้เราอยู่อย่างมีสติ เพราะฉะนั้นอย่าไปเผลอ เผลอเมื่อไหร่ไปเมื่อนั้น

    ถาม : ก็ไม่รู้

    ตอบ: จ้ะ ก็เจ้าน้ำไง เขาบอกว่าไปกินบาร์บีคิว แล้วรู้สึกมันร้อนวูบวาบไปทั้งตัว ก็เลยคิดว่าตัวเองคงหิวมาก จึงมีปฏิกิริยาอย่างนั้น กินไปกินมาพักหนึ่ง เพื่อนข้าง ๆ บอกมึน เขาใส่เหล้าเยอะจัง ก็เลยเพิ่งจะรู้

    ถาม : เขากินน้ำ คิดว่าเพื่อนใส่

    ตอบ: ไอ้นี่ไม่ใช่ เขาเอาประเภทแช่...หมักกับเหล้า แล้วเอามาเสียบย่าง ปรากฏว่าล่อแอลกอฮอล์ไปเต็ม ๆ

    ที่ท่านอนุญาตให้มีอย่างเดียว ก็คือยาที่ผสมตามสูตร อาจจะผสมยาน้อยเหล้าเยอะยังไงก็ได้ แต่ว่าต้องกินตามนั้นจริง ๆ อย่างเช่นว่า ถ้ากินครั้งละถ้วยตะไล ก็ไม่ใช่เราไปฟาดครั้งละ ๓ แก้วรวด มันต้องรักษาตามที่กำหนดมา ถ้าเป็นยาไม่ว่ากัน

    ถาม : ถ้าไม่รู้ ?

    ตอบ: พูดง่าย ๆ ว่ากินยาพิษไม่รู้ก็ตาย ไม่ต้องอ้าง เริ่มต้นกันใหม่ ถึงได้แจกผ้ายันต์เกราะเพชรไป ติดตัวอยู่อาจเผลอทำหายได้ แต่ว่าถ้าหากเผลอไปกินเหล้า ถึงเวลาเรามาตั้งใจสวดมนต์ขอท่านคุ้มครองใหม่ได้ ยันต์เกราะเพชรติดตัวอยู่ยังไงก็ไม่หาย แต่ถ้าเผลอกินเหล้าไป ได้คนละอย่าง

    เดี๋ยวนี้ก็แย่ อาหารก็ใส่เหล้ากันมาก ช็อกโกแลตก็มีไส้บรั่นดี ไอศกรีมรสรัม มีอยู่เที่ยวหนึ่งยายแดงกินแล้วมันสะใจมาก ระวังนะจ๊ะรัมเหล้าแท้ ๆ เลย มีช่วงหนึ่งที่ประเทศสหรัฐฯ มีการจับเหล้าเถื่อน พวกขนเหล้าเถื่อนเขาเลยเรียกว่า “rum runner” พวกวิ่งเหล้ารัม ถึงเวลาก็ขนเข้าทางทะเล มีการจับกัน ทุบทำลายซะ

    หมอเพชร เป็นหมอฟัน- เพชรไพฑูรย์ บอกว่าหลวงพี่ครับ ผมตั้งใจภาวนาตั้งแต่ตอนบวงสรวง ๗ โมงครึ่ง อาการก็เหมือนกับเป่ายันต์ทุกอย่าง ก็บอกอ้าว! อันนั้นก็พระท่านทำนี่ ในเมื่อพระท่านทำ ถ้าเราตั้งใจรับ อาการก็เหมือนกันนั่นแหละ เพราะว่ายันต์เกราะเพชรก็คือพุทธานุภาพอยู่แล้ว ส่วนตาเก้าวิ่งมาจากญี่ปุ่น มาถึงเมื่อวานนี้ บอกว่า เมื่อวานตอนเช้ายังอยู่ญี่ปุ่นเลย บอกว่าเขามีงานประชุมพุทธศาสนิกสัมพันธ์โลกที่จุฬาฯ นักวิชาการจากญี่ปุ่นมาเยอะมาก สมเด็จพระเทพฯ ที่เป็นองค์ประธานก็เลยขอให้เขามาเป็นล่าม เขาบอกว่าเขากับพรรรคพวกรวบรวมกันรับตอนอยู่ที่ญี่ปุ่น บอกว่ามีอาการประเภทที่ว่าชัดเลย แสดงว่าได้จริง ๆ ตั้งใจรับด้วยความเคารพ

    ถาม : อาการสงเคราะห์คนตาย ทำอย่างไร ?

    ตอบ: ก็ต้องถามว่าเขาไปอยู่ที่ไหนบ้าง ? การสงเคราะห์คนตายถ้าจะให้ได้ผล เขาอย่างต่ำสุดต้องเป็นปรทัตตูปชีวีเปรต เป็นอสุรกาย ๔ จำพวกเป็นสัมภเวสี คือผู้ที่ตายโดยยังไม่หมดอายุขัย เป็นเทวดาทุกภูมิ เป็นพรหม ตลอดจนถึงพระบนนิพพานอย่างนี้ เราทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ เขาโมทนาได้ เขาจะได้รับไป ถ้าต่ำกว่านั้นคือ ตั้งแต่เปรตอีก ๑๑ จำพวกกับสัตว์นรกทั้งหมด สงเคราะห์ยังไงก็ไม่ได้ ใครทำให้ก็คือคนนั้นสงเคราะห์ให้ แต่ต้องหมายความว่าเขาอยู่ในเขตที่โมทนาได้ อยู่ในนรกก็ดี อยู่ในแดนเปรตก็ดี กรรมมันหนักเหมือนกับคนโดนเขาไล่ยิง ไล่ฟันอยู่แล้ว แล้วยื่นน้ำยื่นขนมไปให้ บอกกินซะ ใครจะมีอารมณ์กิน ก็วิ่งหนีไว้ก่อน

    หลวงพ่อท่านสอนว่า ถ้าหากว่าเป็นพระเรื่องเงินสำคัญมาก ทุกบาททุกสตางค์รับมาจากใคร ใช้ไปในเรื่องอะไร ต้องลงบัญชีให้ชัดเจน ถ้าใครตรวจสอบจะได้ชี้แจงเขาได้ โดยเฉพาะการซื้อของ ถ้าเป็นไปได้ให้ขอใบเสร็จไว้ทุกครั้ง ก็เลยเป็นนักสะสมใบเสร็จ ไปอยู่ที่วัดท่าขนุน ๑ ปี ได้ใบเสร็จมา ๑ ตู้เต็ม ๆ เพราะว่าค่าใช้จ่ายการก่อสร้าง มีทั้งวัดหนองบัว วัดถ้ำทะลุ วัดห้วยสมจิตร วัดพุทธบริษัท และวัดท่าขนุน ๔-๕ วัดด้วยกัน ใบเสร็จทุกใบอยู่กับเราหมด เลยกลายเป็นนักสะสมใบเสร็จ

    ถาม : กี่ปีถึงทำลายได้

    ตอบ: ไม่แน่ใจเหมือนกัน ของเราถ้าไม่มีที่เก็บก็โละไปเผาหนึ่งครั้ง แต่ของหลวงพ่อท่านจะจัดตู้ใบใหญ่เอาไว้เลย จะมีแฟ้มเรียงเป็นตับอยู่ แต่ละปีจะแยกอยู่ ตอนแรกก็ไม่รู้ มีอยู่วันหนึ่ง หลวงพ่อท่านทนการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคไม่ไหวแล้ว เมื่อทนไม่ไหวว่าเก็บค่าไฟแพงเหลือเกิน ถ้าเป็นปกติ วัดไม่มีงานประมาณเดือนละ ๑ แสนเศษ ถ้าหากว่ามีงานอย่างเป่ายันต์เกราะเพชร หรือกฐิน ประมาณ ๒ แสนเศษ ไม่มีการลดหย่อน ทั้ง ๆ ที่วัดเป็นสถานที่สมควรได้รับการลดหย่อนให้

    อีกอย่างหนึ่งคือว่า ถ้าหากว่าครบหนึ่งร้อย เพิ่ม ๑๕ เปอร์เซ็นต์ เสมอ แล้วลองคิดดูหนึ่งแสน เสียฟรี ๑๕,๐๐๐ บาท หลวงพ่อท่านก็เลยดำริว่า เดี๋ยวเราซื้อเครื่องปั่นไฟกันเองดีกว่า วันนั้นท่านก็กำลังทำงานอยู่ เฮ่ย...เล็กช่วยพ่อหน่อยวะ ค้นดูซิ ใบเสร็จรับเงินของประมาณปี ๒๕๑๖ พ่อซื้อเครื่องไฟไว้ จะลองเปรียบเทียบดูว่ามันขึ้นราคาไปกี่เปอร์เซ็นต์ เราก็นั่งกุมกบาล กูตายแน่แล้วงานนี้ ๒๕๑๖ ตู้ใบขนาดนี้จะเจอมั้ยนี่ ? ปรากฏว่าพอเปิดออกมาสบายใจมาก หลวงพ่อท่านใส่แฟ้มเอาไว้เรียงเป็นปี ๆ ไว้ แต่ละปี จะเขียนที่สันปกไว้ว่าเป็นบิลของปีไหน เราแค่หยิบแฟ้มปี ๒๕๑๖ มาเปิดหาบิลเครื่องไฟฟ้าแค่นั้น ดูความเรียบร้อยของพ่อ ของที่ไม่มีคนเห็นแท้ ๆ ท่านทำเรียบร้อยขนาดนั้น แล้วท่านก็มานั่งเปรียบนั่งคำนวณดู

    เออ...ราคามันขึ้นไม่มาก ท่านก็ซื้อเครื่องปั่นไฟ ๗๕ กิโลวัตต์ ๑ เครื่อง ๑๐๐ กิโลวัตต์ ๑ เครื่อง ๒๐๐ กิโลวัตต์ ๓ เครื่อง เครื่อง ๒๐๐ กิโลวัตต์จำไม่ได้ว่าราคาเท่าไร แต่ว่าพอเอามาเดินเครื่องเดือนแรก กินค่าน้ำมัน ๔๐,๐๐๐ บาท แล้วคิดดูว่า ๔๐,๐๐๐ บาท เปรียบกับ ๑๒๐,๐๐๐ บาท ประหยัดไป ๘๐,๐๐๐ บาท ท่านบอกว่าประมาณ ๑๐ เดือน ท่านได้เครื่องใหม่ ๑ เครื่อง ก็เลยตกลงว่าใช้ ๓ เครื่อง หมุนวนกัน เครื่องละ ๘ ชั่วโมง เปิดสลับกันไปเรื่อย แล้วเครื่องเล็ก ๑๐๐ กิโลวัตต์ กับ ๗๕ กิโลวัตต์ สำรองเอาไว้สำหรับจุดสำคัญ อย่างเช่น ตึกรับแขก ๑ เครื่อง วิหารร้อยเมตร ๑ เครื่อง ที่วิหารร้อยเมตร เวลามีงานพุทธาภิเษก เขาเปิดโคมแก้วเจียระไนทุกดวงจะกินไฟมาก ท่านก็เปิดตัวเล็ก อัดเครื่องเดียวไปเลย จะได้ไม่ต้องไปดึงจากที่อื่นมา เครื่องไฟทุกเครื่อง หลวงพ่อท่านซื้ออะไหล่เตรียมไว้หมดเลย กะว่าถ้าหากมันพังทั้งเครื่องก็สามารถยกใหม่ได้เลย แต่แปลกมาก หลวงพ่อมรณภาพได้ ๑๐ ปี ได้ยินว่าทางวัดกลับไปต่อไฟหลวงใช้ต่อแล้ว ปั่นเองประหยัดกว่าหลายเท่าเลย ไม่ทราบว่าพระครูท่านคิดยังไง ไฟหลวงพ่อแพงสาหัสจริง ๆ





    [​IMG]
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...