ฉบับที่ ๕ เดือนกรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗

ในห้อง 'กระโถนข้างธรรมาสน์' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 8 สิงหาคม 2005.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,022
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ



    ณ. บ้านอนุสาวรีย์ เดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๔ (ต่อ)








    [​IMG]

    ถาม : ............(ฟังไม่ชัด).........
    ตอบ: ตัวนั้นสำคัญที่สุด การพิจารณาตัวเอง คือ กำหนดไว้เลยว่า ยี่สิบสี่ชั่วโมงเราทำดีกับทำไม่ดี อันไหนมันมากน้อยกว่ากัน พยายามให้ส่วนของความดีมีให้มากกว่า จนกระทั่งสามารถที่จะดำรงอยู่ในความดีได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ไม่อย่างนั้นเราจะขาดทุน
    ถาม : มีคนบอกว่าถ้าเราจะรักษาศีลไม่ทานเนื้อสัตว์......(ฟังไม่ชัด)...
    ตอบ: ไม่จำเป็น รักษาศีล กินเนื้อสัตว์ได้เป็นปกติ เพียงแต่ว่าเราอย่าไปสั่งให้เขาฆ่า อย่าลงมือฆ่าเอง ที่เขาขายกันทั่ว ๆ ไป ตามท้องตลาดเราซื้อหรือไม่ซื้อ เขาก็ขายอยู่แล้ว ถ้าพวกนั้นไปถึง ก็ซื้อมาเถอะอย่าไปทุบเอง ฆ่าเองก็แล้วกัน สำหรับพระละเอียดหน่อย พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ถ้าไม่รู้ว่าเขาฆ่าเพื่อเรา ถ้าไม่เห็นเขาฆ่าเพื่อเรา ถ้าไม่รังเกียจว่าเขาฆ่าเพื่อเรา อย่างนี้ถึงจะฉันได้ ถ้ารู้ว่าเขาฆ่าเพื่อเรา เดินเข้าหลังบ้านไปสักพักหนึ่ง ยกแกงออกมาแล้ว อ้าว !เมื่อกี้นี่มันมีเสียงไก่โดนเชือดนี่หว่า นี่รู้ว่าฆ่าเพื่อเราใช่มั้ย ? หรือเห็นว่าเขาฆ่าเพื่อเราต่อหน้าต่อตาเลย แล้วรังเกียจว่าเขาฆ่าเพื่อให้เรากินโดยเฉพาะหรือเปล่า ถ้าอย่างนี้ฉันไม่ได้ สำหรับฆราวาสแล้วถ้าหากว่าไม่ได้สั่งให้เขาฆ่า ไม่ได้ลงมือเองไปซื้อตามท้องตลาดที่เขาทำไว้เรียบร้อยแล้ว ก็ได้เลยก็พระยังฉันได้ ฆราวาสจะไม่ได้ได้ยังไง
    ถาม : ..........(ฟังไม่ชัด).......เขาบอกว่าศีลยังรักษาได้ไม่ครบ อย่างศีลข้อหนึ่ง ก็คือเราไปเบียดเบียนสัตว์
    ตอบ: บอกเขาไปว่าศีลข้อหนึ่ง ห้ามฆ่าสัตว์นะ เรื่องของศีลนั้นตรงไปตรงมา คำว่าเบียดเบียนสัตว์เพิ่มขึ้นกลายเป็นกรรมบทสิบ กรรมบทสิบนี่เขาถือการเบียดเบียนด้วย มันจะละเอียดขึ้น แต่ว่าขณะเดียวกันว่า การกินมังสะวิรัต ถือว่าดีมาก เพราะว่าเป็นการงดเว้นโดยสิ้นเชิง มีจิตประกอบไปด้วยเมตตาต่อสัตว์โลกเป็นปกติ แต่นั้นหมายความว่า ต้องทำเพื่อละจริง ๆ ถ้าทำแล้วไปอวดหรือไปคิดว่าตัวเองดีกว่าเขา ตัวเองปฎิบัติเคร่งครัดกว่าคนอื่นเขา อย่างนั้นนี่...รู้สึกว่ากินเนื้อสัตว์กิเลสจะน้อยกว่าเยอะ สำคัญตรงที่ว่าเราไปยึดถือการปฎิบัติของเรากว่าดีหรือเปล่า เคร่งกว่าหรือเปล่า ถ้าทำอย่างนั้นถึงงดกินเนื้อสัตว์ไปก็เท่านั้นแหละ
    ถาม : เป็นการอวดกิเลส ?
    ตอบ: เป็นการอวดความดีของตัวเอง
    ถาม : .........ฟังไม่ชัด)......เราก็ไม่อยากให้ใครมองไม่อยากให้ใครมารู้ว่า คือ อยากให้เรารู้เองของเรา
    ตอบ: อยู่กับโลกตามปกติ..แต่ว่าเราไปแค่กรอบของศีล คลุกคลีตีโมงกับเขาได้ จะไปเที่ยวไปเตร่ไปเฮไปฮาเราไปได้แต่ถ้าหากว่าเขาพาเราไปฆ่าสัตว์ เราไม่เอา พาเราไปกินเหล้า เราไม่เอา เราจะมีกรอบของเราอยู่ ไปมันแค่นั้น มันไม่ได้ปฎิเสธโลก เราอยู่กับโลกอย่างมีสติเสียด้วยซ้ำไป เพราะเราระวังอยู่เสมอว่าศีลจะขาดหรือเปล่า
    ถาม : ไม่ได้ห้ามฟังเพลง ?
    ตอบ: ไม่ได้ห้ามเลยจ้ะ ศีลห้าข้อไม่ได้ห้าม ว่าได้เต็มที่
    ถาม : มันอยู่ที่จิตของเราใช่มั้ย ถ้าเรารู้อยู่ ว่าเราทำอะไรอยู่ เราอยู่ตรงไหน ?
    ตอบ: รู้อยู่ พอขยับ ก็รู้แล้วว่าศีลจะขาดมั้ย !
    ถาม : เราทำตัวปกติธรรมดา เหมือนคนธรรมดา แต่ใครจะไปรู้ว่าเราทำอะไรอยู่
    ตอบ: ใช่ ตัวนั้นแหละ เพราะว่าการทำนี่ มีหลายคนที่ทำลักษณะอวดคนอื่นเขาลักษณะอย่างนั้นมันจะกลายเป็นอุปกิเลส อุปกิเลสก็คือว่า เเทนที่จะทำโดยเจตนาบริสุทธิ์ในการลด ละ เลิก ซึ่งความไม่ดีในใจของเรา ก็กลายเป็นทำเพื่อให้คนอื่นเขาเห็นว่าเราดี
    ถาม : ชอบเพราะเขาสรรเสริญว่าเราดี
    ตอบ: ก็ยิ่งกลายเป็นอะไร...เขาเรียก สีลัพพัตตุปาทาน คือ การยึดมั่นในศีลพรต คือแนวปฎิบัติของตนเองว่าดี แทนที่ จะลด จะละ จะเลิก ก็กลายเป็นเกาะเพิ้มขึ้นอีก
    ถาม : แล้วคนที่ละวางได้.......(ฟังไม่ชัด).......
    ตอบ: ไม่ใช่ คนที่ละวางมากเท่าไรยิ่งขยันมากกว่าปกติ เพราะรู้ตัวอยู่เสมอว่าเวลามีแค่นี้เท่านั้นหรือว่ามีแค่วันนี้เท่านั้น คนที่มีเวลาแค่วันนี้เท่านั้น ต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุด จะขยันกว่าคนอื่นเยอะเลย หน้าที่การงานอะไรในปกติธรรมดาของตน ทำหน้าที่นั้นจนเต็มที่ เพื่อว่าถึงเวลาแล้วจากไปอย่างสง่างามที่สุด ไม่มีใครนินทาว่าร้ายตามหลังไปได้ ขยันกว่าปกติ ไม่ได้ขี้เกียจ ถ้าปล่อยวาง แล้วขี้เกียจ นั้นไม่ใช่แน่ เลยจ้ะ
    ถาม : อย่างเวลาเขาแข่งกัน เราก็มามองว่า ทำไมเราต้องแข่งกัน ?
    ตอบ: อย่างนั้นมันเป็นเรื่องปกติของเขา เราเองมันไม่อยากในตรงนั้นใช่มัย ? แต่ว่าหน้าที่รับผิดชอบของเรา เราต้องทำให้ดี ทำเต็มความรับผิดชอบของเรา ทำเหมือนกับมีวันนี้วันเดียว</B> ผลงานทุกอย่างต้องให้มันลงตัว คนอื่นเขามาสานต่อจะได้ไม่ต้องลำบาก
    ถาม : มานั่งคิดดู.......(ฟังไม่ชัด)........
    ตอบ: ไม่ใช่ จริง ๆ แล้วก็คือว่า หน้าที่ของเรามีอย่างไรทำอย่างนั้นและทำให้ดีที่สุด มันยิ่งกว่าแข่งนะ เพราะถ้าเราทำเต็มกำลังของเราถึงไม่ต้องแข่ง ประเภทที่เรียกว่าเราทำดีอยู่แล้ว คราวนี้ฒิฬคนที่ทำดีสม่ำเสมอกับคนที่ดีในบางเวลานี่ เขาสู้เราไม่ได้</B> จะดีไปกว่าเขาเสียด้วยซ้ำไปถ้าหากว่าเป็นเจ้านายพิจารณาผลงาน เออ! คนนี้เขาเสมอต้นเสมอปลายดี ผลงานต่าง ๆ จะเป็นของเรา ดีไม่ดีจะเจริญกว่าคนอื่นเขาเยอะ




    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif></TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD></TR></TBODY></TABLE>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • L5_1.jpg
      L5_1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      76.7 KB
      เปิดดู:
      105
    • pic5.1.jpg
      pic5.1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      125.5 KB
      เปิดดู:
      106
    • pic5.2.jpg
      pic5.2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      99.8 KB
      เปิดดู:
      139
    • pic5.3.jpg
      pic5.3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      86.8 KB
      เปิดดู:
      122
    • pic5.4.jpg
      pic5.4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      106.4 KB
      เปิดดู:
      106
    • pic5.6.jpg
      pic5.6.jpg
      ขนาดไฟล์:
      104.8 KB
      เปิดดู:
      105
    • pic5.7.jpg
      pic5.7.jpg
      ขนาดไฟล์:
      85.7 KB
      เปิดดู:
      775
    • pic5.8.jpg
      pic5.8.jpg
      ขนาดไฟล์:
      66.4 KB
      เปิดดู:
      100
  2. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,022
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : .........(ถามเกี่ยวกับเรื่อง
     
  3. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,022
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : .........(เสียงไม่ชัด ถามเรื่องการสอบ)..............
    ตอบ: การสอบ ถ้าหากว่าเราใช้คาถาสหัสสเนตโตเป็น มันเหมือนกับการลอกข้อสอบดี ๆ นี่เอง แล้วมันเป็นการลอกโดยถูกกฏหมายซะด้วย เพราะเขาจับไม่ได้ ไปดูเอาอยู่ในหนังสือสมบัติพ่อให้ แล้วใช้ตามนั้น อันนี้อาตมายืนยัน นั่งยันนอนยัน เพราะใช้มาด้วยตัวเองวิชาของพระที่เรียนมันไม่มีให้เลือก มันมีแต่จงอธิบาย ๆ สามหน้ากระดาษ ห้าหน้ากระดาษปรากฏว่าเราเรียนไม่ทัน เพราะเจ็บไข้ได้ป่วย แล้วมันออกตรงนั้นพอดี พอมันเกิดความรู้สึกขึ้นตามที่ท่านว่า ก็ว่าของเราไปเรื่อย พอจบแล้วจำคำตอบไปดูมันตรงทุกตัวอักษรเลย ถ้าเขาจับว่าลอกข้อสอบ มันเถียงเขาไม่ได้มันเหมือนทุกคำ ถ้าคุณไม่ได้ลอก คุณเขียนยังไงให้มันเหมือนได้ เขาคงไม่เชื่อแน่ใช่มั้ย ?
    เพราะฉะนั้นไปใช้วิธีนั้น ไม่ยากเลย เรียนอะไรก็ได้ มีคนถามหลวงพ่อท่านว่าในเมื่อมันไม่ใช่ความรู้ของเขาจริง ๆ แล้วเด็กจะไม่โง่หรือ ? หลวงพ่อบอกข้อสอบบอกอะไร เด็กมันก็ตอบได้มันโง่มั้ยล่ะ ? ทำตามแบบนั้น อย่าว่าจะเรียนเอกเลย สองเอกก็ได้ แต่ลำบากหน่อย ปริญญาตรีนี่รู้เท่าอาจารย์บอกก็ใช้ได้ใช่มั้ย ? ปริญญาโทนี่ต้องเกลี้ยกล่อมให้อาจารย์คล้อยตามให้ได้ว่าเรามีความรู้ ส่วนปริญญาเอกนี่ต้องหลอกอาจารย์ให้ได้ (หัวเราะ)
    ถาม : แล้วลำโพงกาสลัก นี่เป็นยังไงค่ะ ?
    ตอบ: ส่วนผสมของยาพระประทาน ก็คือลำโพงกาสลัก คราวนี้พระปลัดนิภัทร ท่านเจตนาดีตั้งใจจะช่วยหลวงพ่อก็ไปหามาให้กลายเป็นลำโพงธรรม ลำโพงธรรมดาชาวบ้านเขาเรียกว่า มะเขือบ้า ต้นมันคล้าย ๆ มะเขือ แล้วก็ลูกเป็นหนาม ๆ หน่อย ดอกมันสีขาว ๆ ถ้าสีม่วงมันจะเป็นลำโพงกาสลัก
    ถาม : แล้วกินได้หรือครับ ?
    ตอบ: ทำยาได้ กินมันก็บ้าพอกันนั้นแหละ เพราะฉะนั้นยาสมุนไพรนี่ถ้าตัวไหนอันตราย ระมัดระวังไว้หน่อย ไม่งั้นจะแย่เอา
    ถาม : ..........( เสียงไม่ชัดถามเรื่องสร้างวัดหนองบัวที่พม่า).........
    ตอบ: สมัยก่อนเขาไปตีบ้านตีเมืองกัน สมัยนี้อาตมาไม่ไปตีหรอกไปซื้อคืน คราวที่แล้วซื้อที่คืนไปผืนหนึ่ง คราวนี้จะเอาอีกผืนหนึ่ง จะขยายวัดให้มันกว้างไปเรื่อย ๆ ให้มันรู้ซะบ้างว่าคนไทยเป็นยังไงญาติโยมแถวนั้นเขาก็ดีนะ ขอซื้อที่ขอซื่ออะไรก็กระตือรือล้น เขาบอกครูบาให้เงินให้คำ ( คำ =ทอง) อย่างเดียวข้าน้อยไม่เอานะ ข้าน้อยจะเอาบุญด้วย แล้วให้ตังค์เขาอย่างเดียวเขาไม่เอาหรอก ถ้าเขาไม่ได้บุญเลยให้ทองเขาไป เสร็จเเล้วค่อย ๆ พูดบอกกับเขาว่าถ้าอยากได้บุญมาก ๆ ก็คืนทองมาบาทนึง (หัวเราะ)
    ถาม : เข้าพม่าทางไหน ?
    ตอบ: ด่านเจดีย์สามองค์ ไม่มีปัญหาเพราะว่า ช่วงเขารบ ๆ กันปิดด่าน เข้าไปสองครั้งแล้ว วัดหนองบัวอยู่ที่เมืองจะอีน รัฐกะเหรี่ยงอยู่ห่างจากด่านเจดีย์สามองค์ ถ้ารถออกวิ่งได้แต่เช้า ๆ ค่ำ ๆ ก็ถึง แต่ถ้าหากว่ารถออกสายหน่อยก็ค้างคืน คืนหนึ่ง ถ้าไปเรือนี่ เรือธรรมดา เรือหางยาวทั่วไปก็ค้างสองคืน ถ้าเป็นไอ้เรือด่วน งวดที่แล้วไปเช่าเรือด่วนมันเป็นเรือใหญ่สี่สูบ ออกตั้งแต่ตีห้าไปถึงหนองบัวสองทุ่ม นึกเอาแล้วกันวิ่งน้ำบานไปทั้งวัน ถ้าวิ่งแบบเมืองไทยสบายมากไม่เกินสี่ชั่วโมง ตรงนั้นตอนนี้เสี่ยฮุกกำลังทำอยู่ เส้นทางตั้งแต่ด่านเจดีย์สามองค์ไปถึงเมืองตันบวยเซียต แต่ว่าพวกทหารในป่าเขาไม่ยอมให้ทำเขาให้เกรดเฉย ๆ เขาบอกว่าถ้าทำดีเกินไปแล้วรถมันวิ่งเร็ว มันเก็บค่าคุ้มครองไม่ทันมันกลัวชาวบ้านวิ่งหนีมันแล้วเสี่ยฮุกเขาก็ไปเคลียร์แต่พวกบรรดานายพลในเมือง พวกที่คุมในพื้นที่อย่างพวกผู้พันผู้กองไม่เคลียร์ด้วยเขาเลยแกล้งเอา
    คราวที่แล้วไปเกรดทางไปเจอเอาระเบิดดักรถถึงสามลูก ถ้าหากรถเกรดไม่ดันก่อนให้รถวิ่งมีสิทธิ์เละ ระเบิดดักรถถึงถ้าน้ำหนักหนึ่งร้อยแปดสิบกิโลกรัมกดทับมันจะระเบิด สมัยอยู่ชายเเดนพอกู้ขึ้นมาไอ้เพื่อนบ้า ๆ มันกระโดดกระทืบ โอ้โห !..ได้เราอยากจะถีบมัน คือมันกะว่าน้ำหนักมันหกสิบกิโล มันโดดกระทืบลงไปก็ไม่เกินร้อย ลองดูว่าจะระเบิดมั้ย มันไม่ยักกะลองตอนเราอยู่ห่าง ๆ มันลองตอนเราอยู่ด้วย บ้าดีกระโดดกระทืบว่าจะระเบิดมั้ย ! เพราะตามตำราเขาว่าน้ำหนักกดทับร้อยแปกสิบกิโลมันถภึงจะระเบิด สามเท่าของตัวคน มันกระโดดกระทืบยังไงก็ไม่ถึงพม่ายังห่างไกลความเจริญอีกมากเหลือเกิน แต่ว่าตอนนี้พอสิ้น นายพลติ่นอูกับนายพลซิตหม่อง แล้วก็คงจะกลับเป็นประชาธิปไตยเร็วขึ้นเพราะนายพลติ่นอูกับนายพลซิตหม่องนี่ เป็นฝ่ายที่คัดค้านการเป็นประชาธิปไตย เป็นลูกน้องของนายพลหม่องเอ ผบ.ทบ. ทางด้านของนายพลซอหม่อง กับ นายพลขิ่นยุ้น ค่อย ๆ ปรับให้เป็นประชาธิปไตยไปงัดกับเขาไม่ไหว เพราะเขาคุมกำลังเยอะกว่า ตัวนายพลซิตหม่องที่เครื่องบินตกตายไปนั้นเป็นแม่ทัพควบคุมภาคตะวันออกเฉียงใต้ที่เมืองมะละแหม่งลงมา (หัวเราะ)
    คราวก่อนที่ไป แล้วไปถ่ายรูปคนขับรถไปมันหนีเลย ไม่ยอมวิ่งให้เราอีก กลัวโดนยิงเป้า เขากลัวว่าเราจะไปหาข่าวแล้วเขาเป็นคนพาเราไปจะมีโทษด้วย ทางด้านโน้นอย่างสถานเบาก็ห้ามวิ่งรถ สถานหนักหน่อยก็ยิงเป้าเลยเราก็บอกเขาบอกเบารถหน่อยจะถ่านรูป กองบัญชาการกองทัพภาคตะวันออกเฉียงใต้ของเขา คนขับรถได้ยินมันตกใจเบรกหยุด ก็เสร็จเราน่ะสิ (หัวเราะ) พอเบรกหยุดเราก็ถ่ายเลยก็กดจิ๊กเดียวแค่นั้น พอตอนเย็นมันบอกว่ารถไม่ดีจะไปซ่อมรถ ไม่ยอมวิ่งให้เราอีกกลัวมากอยู่ที่เมืองพม่านี่เราอาศัยลูกตื้อทำเป็นอ่านหนังไม่ออกมั่ง อ่านออกมั้งไม่ออกมั่งอะไรทำนองนั้น ตรงไหนที่ห้ามไม่ให้ถ่ายรูปก็ถ่ายมันตรงนั้น
    พอไปกับทิดจิตร ตอนนั้นไปที่ กะบาเอ เขามีสอบพระผู้ทรงพระไตรปิฎกปิดป้ายหราว่าห้ามถ่ายรูปก็ถ่ายซะ ตรงไหนห้ามก็ถ่าย ที่เห็นนี่พวกสะพานพวกอะไรนี่เขาห้ามหมดนะ
    มันห้ามอันไหนเราก็ถ่ายอันนั้นแหละ เขาจะกลัวมากเลย อันไหนเกี่ยวกับสถานที่สำคัญอย่างสะพานใหญ่ ๆ สะพานแขวน เขากลัวว่าจะรู้ตำแหน่งแห่งที่ แล้วไปก่อวินาศกรรม อันไหนมันห้ามเราก็ถ่ายอันนั้น ตรงสะพานข้าม สะพานใหญ่ข้ามเมืองพะอาง พอรถวิ่งผ่าน เด็กรถก็จะบอกว่า ห้ามบ้วนน้ำหมาก ห้ามทิ้งขยะ สารพัดจะห้ามจนกระทั่งโดนเด็กวัยรุ่นมันแซว ว่ามองได้มั้ย ? (หัวเราะ) จะมีทหารบล๊อกหัว กลาง ท้าย แล้วก็ข้างล่างตลอดเลย คนจะกล้าถ่ายรูปมันได้ต้องบวม ๆ หน่อย ของเราเราไม่ว่าอะไรหรอก เราก็นึกถึงพระ เสร็จแล้วยืนขึ้นถ่ายหน้าตาเฉยมันบังเอิญถ่ายได้ทุกทีเลย ทำเป็นเล่นไป พม่าเขามีสะพานแขวนเหมือนกับเราเหมือนกันนะ ตอนนี้สบายเลยพวกที่จะไปเมืองพะอางวิ่งตรงได้เลย ไม่งั้นต้องข้ามอ่าวเมาะตะมะ ไปถึงเมืองตะโทงแล้วก็อ้อมขวาเข้าไป ช้าเป็นวันเลย เดี๋ยวนี้จากมะละแหม่งไปถึงพะอางนี่ประมาณสามสี่ชั่วโมงเท่านั้นเอง ไปเช้าเย็นกลับได้
    ถาม : ตอนอาจารย์ไม่ไปโดนจับกันหมด ?
    ตอบ: มันตลก ของเราไปกัน ๕ คน ๑๐ คน ไปกันเมื่อไหร่ก็ไปกันได้ พอไม่อยู่ซะคนเดียว ไปกันกี่คณะโดนจับหมด พวกนี่ถาคาใช้ไม่ได้ (หัวเราะ) หลุดจากมืออาจารย์เมื่อไหร่ก็โดนจับเมื่อนั้น แต่ถ้าไปกับเราไปทั้งโขยงก็ไปได้ ไอ้ของเราหน้ามันโหด ไปถึงก็ยืนจ้องขู่ทหารมันหดหมดเลย เพราะทหารเขาแปลกถ้าหากว่าใครทำกลัว ๆ นี่มันค้นจังเลย ไอ้ของเราไปยืนจ้องหน้ามันหันหนีหมดไม่มีใครกล้าค้น คนไหนนั่งบนโต๊ะลากมันลงมาแล้วเรานั่งแทน มันเป็นฆราวาสจะมานั่งเต๊ะจุ้ยต่อหน้าพระ แล้วให้พระยืนได้ไงไปจนเขาเบื่อขี้หน้าแล้ว ตอนนี้เจ้าหน้าที่สืบราชการลับของเขา เราเอาเป็นเด็กสะพายย่ามเลย
    ถาม : พม่านี่เขาสร้างวัดเยอะนะคะ
    ตอบ: เยอะมาก แล้วเขาใช้วัดคุ้มด้วย เขาสร้างวัดที่ไหนแปลว่าคนในเขตนั้นทั้งหมดก็ลุยกันเข้าวัดไปเลย ไปดู ๆ แล้วบางทีเราก็อายเขาปีแรกที่ไปก็แบบยืดสุดขีดเลย เราเป็นเมืองพุทธศานาใช่มั้ย ? เดี๋ยวมีอะไรเราก็ไปช่วยเขา ที่ไหนได้ไปถึงมันต้องไปเลียนแบบเขา ของเขาเองคนไปวัดไปวามันเหมือนบ้านเราคนไปเดินห้างกัน เหมือนยังกับวัยรุ่นไปเดินเซ็นเตอร์พ้อยต์นะ มันไปกับขนาดนั้น เช้า ๆ ก่อนออกทำงานเขาสวดมนต์ทำวัตร เข้าวัดเข้าวาปฎิบัติเสร็จ

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  4. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,022
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : เมื่อเดือนที่แล้ว ถามว่า เวลาที่คนเรามีเคราะห์ ควรที่จะทำบุญสะเดาะเคราะห์กรรมนั้นมั้ย ก็ตอบว่า ควรที่จะทำบุญ ถ้าหลบ ๆ ได้ก็หลบ ๆ ไปซะ ที่นี้ก็เกิดความสงสัยต่อเนื่องนะเจ้าค่ะ ว่า เอ๊ะ! ถ้าเรา หลบไปเรื่อย ๆ มันไม่เป็นแบบดอกเบี้ยทบต้นเหรอเจ้าคะ ?
    ตอบ: ไม่ทบล่ะจ้ะ บรรดาพระอรหันต์ที่เข้านิพพานไปนี่เขาตามเก็บไม่ได้ดอกเบี้ยอย่างเดียวนะ เงินต้นก็เก็บไม่ได้เหมือนกัน ไม่มีใครใช้หนี้หมดทุกคน ไปนิพพานก่อน ไอ้การหลบมันเหมือนกับการหลบเลี่ยงปัญหาจริง ๆ ไม่ใช่ คนเราควรจะมีปัญญา รู้อยู่ว่าเวลาไหนวาระไหนควรจะหลบจะเลี่ยงอะไร เราดำรงชีวิตอยู่ในลักษณะของความเป็นมนุษย์ ถ้าปล่อยให้กรรมเก่าตามทันมันจะเกิดความทุกข์ยากลำบากมาก แล้วเรื่องของอกุศลกรรมนั้นแปลก ถ้ามันมีโอกาสเข้ามาแทรกได้ครั้งหนึ่งพรรคพวกของมันทีเท่าไหร่มันก็ระดมกันมา จะสังเกตว่าบางทีพอเราอยู่ในลักษณะที่ช่วงอกุศลกรรมเข้า ที่ชาวบ้านเขาใช้คำว่า
     
  5. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,022
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : สงสัยเกี่ยวกับเรื่องพวกสัตว์เดียรัจฉานว่าสามารถที่จะทำบุญได้กุศล ผลบุญจากการกระทำ ?
    ตอบ: ได้จ้ะได้ เต็มที่เลยยิ่งกว่าเราอีกอย่างเช่นว่า เอราวัณเทพบุตร ก็เป็นช้างเขาใช้ในการชักลากไม้เพื่อช่วยในการก่อสร้างสาธารณประโยชน์ พอตายแล้วท่านไปเป็นเทวดาอยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ โฆษกเทพบุตร ช่วยนำทางให้กับพระปัจเจกพุทธเจ้า ช่วยเห่าระวังป้องกันสัตว์ร้ายให้ เมื่อถึงเวลาตายก็ไปเกิดเป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เหมือนกัน สัตว์เดียรัจฉานสามารถทำบุญได้ขณะเดียวกัน สิ่งที่เขาทำบาปนั้นโอกาสแทบจะไม่มี โดยเฉพาะสัตว์เดียรัจฉานที่เกิดใกล้คน ใกล้พระก็ดีพวกเหล่านี้ถ้ามีโอกาสอยู่ใกล้มนุษย์ กรรมของการเป็นเดียรัจฉานของเขาจวนหมดแล้ว ถ้าจิตเกาะคนก็เกิดเป็นคน ถ้าจิตเกาะพระหรือเกาะความดีก็เกิดเป็นเทวดาไปเลย โอกาสทำชั่วของเขาน้อยมาก นาน ๆ จะมีเดียรัจฉานลงสู่อบายภูมิที่ต่ำกว่าการเป็นเดียรัจฉาน ส่วนใหญ่ไม่เสมอตัวก็มีแต่ก้าวหน้าขึ้นไป
    ถาม : ทำไมเป็นอย่างนั้นเจ้าคะ ?
    ตอบ: มันคล้าย ๆ กับโอกาสที่เขาทำผิดมันน้อยแล้ว มันไม่เหมือนของเรา
    ถาม : เวลาที่เขาบอกว่าบำเพ็ญบารมีมาเท่านั้นเท่านี้อสงไขยน่ะค่ะ นับแต่เฉพาะที่เกิดเป็นมนุษย์ แต่ก็มีบางชาติที่เกิดเป็นพรหมหรือว่าอยู่ในธรรมชาติอย่างเกิดเป็นกระต่ายหรือว่า....?
    ตอบ: เป็นทุกอย่าง นับรวมกัน แต่ว่าการบำเพ็ญบารมีในขณะนั้นจัดอยู่ในระดับไหน ที่เขานับน่ะ เขาไม่ได้นับอยู่แต่มนุษย์หรอก ถ้านับแต่มนุษย์นี่ตายเลย ! ไปแทรกอยู่ในนรกบ้าง เปรตบ้าง อสุรกายบ้าง สัตว์เดียรัจฉานบ้าง พรหมบ้าง ถ้านับแต่มนุษย์นี่พอดีแหละ แค่หนึ่งอสงไขยกับแสนมหากัปก็ตายแหงแล้ว มันเกิดน้อยเหลือเกิน มันเกิดเป็นอย่างอื่นซะมากกว่า
    ถาม : จากสัตว์เดียรัจฉานไปถึงพวกแมลง พวกสัตว์ที่มีระดับต่ำกว่าแมลงนี่เขาทำกรรมอะไรนักหนา....ดวงวิญญาณเขาถึงได้ลงไปถึงขนาดนั้น ?
    ตอบ: แหม! แค่สัตว์เดียรัจฉาน เขาบอกขนาดนั้น แล้วสัตว์นรกเอย เปรตเอย อสุรกายเอย มันหนักหนากว่าสัตว์เดียรัจฉานหลายเท่าเลย สัตว์เดียรัจฉานนี่มันเป็นตอนท้าย ๆ ของกรรมแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าดูในอเวจีแล้ว ทำไมมันถึงขนาดนั้น ปรากฏว่าโลกันต์หนักกว่าอีกสี่เท่าของอเวจี สัตว์เดียรัจฉานนี่ถือว่ากรรมเบามากแล้วจ้ะ
    ถาม : มันจะมีอาชีพบางอาชีพน่ะค่ะ อย่างพวกเพชฌฆาตพวกแม่ค้าปลาที่ต้องฆ่าสัตว์ พวกนี้เขามีกรรมมั้ยคะ ?
    ตอบ: มีร้อยเปอร์เซ็นต์เลย (หัวเรอะ) แล้วทำไมล่ะ ?
    ถาม : ก็เลยสงสัยว่า อาชีพเหล่านี้ เขาทำเพื่อยังชีพ เขาจะมีกรรมติดตัวไป
    ตอบ: มีเต็มที่เลย จะฆ่ากี่ตัวก็โทษเท่านั้นแหละ ส่วนใหญ่แล้วพวกนี้จะลงอเวจีมหานรก เพราะว่าทำเป็นประจำ การที่เราทำเป็นประจำเรียกว่าอาจิณกรรม ส่วนใหญ่จะลงอเวจีมหานรก โทษหนักมากจะอ้างว่าเลี้ยงชีพไม่ได้ เพราะว่าการเลี้ยงชีพ อาชีพอื่นมีมากมายทำไมคุณถึงไม่ทำ จริงไหมเอ่ย ?
    ถาม : แล้วอยากจะถามว่า สัมมาอาชีพ การประกอบอาชีพเป็นส่วนใหญ่ที่ทำให้เป็นมงคลต่อชีวิตนี่
    ตอบ: ก็เป็นอาชีพที่ไม่ผิดศีล และไม่ผิดกฏหมายบ้านเมือง ถึงได้เรียกว่าสัมมาอาชีวะ อะไรก็ได้ แต่ว่าต้องไม่ผิดศีล คือไม่ล่วงในศีลห้า กรรมบทสิบอย่างหนึ่ง แล้วก็ไม่ล่วงกฎหมายบ้านเมืองอย่างหนึ่ง
    ถาม : อย่างนี้ผู้พิพากษา เขาตัดสินประหารชีวิตจะบาปมั้ยครับ ?
    ตอบ: จะเรียกว่าบาปก็ไม่ได้ เพราะว่ายิ่งถ้าหากเขาคิดเป็นตัดตอนเป็นนี่ โทษไม่มีเสียด้วยซ้ำไป ทำตามหน้าที่ เพื่อรักษาความสุขความสงบให้กับส่วนรวม เขาเป็นแค่ผู้ตัดสินแต่เขาไม่ได้บอกว่าเขาไปลงมือฆ่าและโดยเฉพาะว่าเจตนาการโกรธเคืองกันไม่มี เป็นการลงโทษเพื่อสุขสงบของสังคม จะเรียกว่าไม่มีโทษเลยก็ไม่ได้ แต่ว่าโทษมันน้อยมาก ขณะเดียวกันถ้าเขาตัดตอนของอารมณ์ใจของเขาได้ด้วยยิ่งสบายเลย ไม่มีโทษเสียด้วยซ้ำไป การตัดตอน ก็คือว่า เราทำหน้าที่ของเรา เราทำแค่นี้ ส่วนอื่นเขาจะไปตายเพราะมือใครไม่เกี่ยวกับเราเลย
    ถาม : แล้วอย่างนี้เจ้าของโรงฆ่าสัตว์ ถ้าเกิดเขาคิด เขาก็ไม่บาป ?
    ตอบ: จะไม่บาปได้ไง สั่งให้ฆ่า เจตนาแรก ของมันก็เต็มที่แล้ว ตั้งใจสร้างขึ้นมาเพื่อให้เขาฆ่า ใช่มั้ย ?..หนักเลย
    ถาม : แล้วอย่างหมอ คนป่วย ป่วยหนักเลยไม่อยากอยู่แล้ว ขอให้ฆ่าตัวเองอย่างนี้เป็นกรรมมั้ยคะ ?
    ตอบ: เป็นจ้ะเป็น เราไม่มีสิทธิ์ที่จะไปตัดสินชีวิตใคร นอกจากกฎของกรรมให้เป็นไปเท่านั้นเป็นเหมือนกัน แต่ว่าเขาไม่ได้ทำโดยมุ่งร้ายจิตใจไม่ได้ประกอบไปด้วยโทสะ จะเป็นเมตตาซะด้วยซ้ำไปโทษมันก็เลยไม่โดนเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะว่าการที่เราฆ่าคนอื่น ส่วนใหญ่มันเกิดจากโทสะ เรารู้ว่าสัตว์นั้นมีชีวิตอยู่หนึ่ง สัตว์นั้นมีชีวิตอยู่หนึ่ง เราตั้งใจฆ่าหนึ่ง เราลงมือฆ่าหนึ่ง เราฆ่าสำเร็จหนึ่ง ถ้าประกอบด้วยห้าส่วนนี้โทษเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ อันโน้นของเขาหลุดไปหลายส่วนโดยเฉพาะเจตนาฆ่าให้ตายไม่มี
    ถาม : ถ้าเอาเครื่องช่วยหายใจออก ?
    ตอบ: ตั้งใจให้เขาตายหรือเปล่า ? ( หัวเราะ) เดี๋ยวกลายเป็นยายชลลดา โทรมาจะให้ช่วยให้แม่ตายเร็ว ๆ อาตมาล่ะกลุ้มใจ จะให้พระไปฆ่าคน
    ถาม : ถ้าเกิดว่าไม่ได้ใช้เครื่องช่วยหายใจ ก็ตาย
    ตอบ: ตอนที่ใช้ช่วย ...ก็ช่วยมันไปก่อนเหอะ แต่มันมีอยู่อย่างหนึ่งบางทีที่อยู่ในห้องไอซียูนี่ จิตมันออกจากร่างไปนานแล้ว ถ้าอย่างนั้นเอาออกมันก็ไม่ได้ฆ่าใครหรอก ไอ้รถมันอยู่ได้เพราะว่าเติมน้ำมันไปเรื่อยเขาแค่หยุดเติมน้ำมันเท่านั้นเองไอ้คนขับเปิดไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ แต่อันนั้นมันต้องรู้จริง ถ้าไม่รู้จริงนี่อย่าไปเสี่ยงเลยกลายเป็นตกนรกตั้งใจฆ่าคนเสียเปล่า ๆ
    ถาม : แล้วอย่างคนที่เข้าไอซียู เพราะเกิดอุบัติเหตุ เพื่อนฝูงรอบข้างเห็นเขาไปหาทุกคนเลย
    ตอบ: ประเภทนั้นแหละคือว่าเขาไปแล้วล่ะจ้ะ เพียงแต่ว่าที่อยู่นั้น สภาพร่างกายมันยังมีเชื่อเพลิง มันก็ทำงานไปตามวาระ เหมือนยังกับว่าขับรถมาแล้วเราดับเครื่องแล้วแต่ว่ารถมันยังไม่มีแรงเฉื่อยมันยังไหลไปได้ระยะหนึ่งอย่างนั้นแหละถ้าไม่เบรกอาจชนเขา ของเขาก็เหมือนกันจิตมันออกไปแล้ว แต่ว่ามันยังเป็นสภาพร่างกายยังทำงานอยู่ด้วยเครื่องมือหมอบ้าง หรือว่ามันยังเป็นสภาพที่ยังไม่แตกดับอย่างแท้จริงบ้าง มันก็เลยว่า ตัวเขาเองโน่นตะลอนตะลอนไปหาเพื่อนฝูงซะทั่วประเทศแล้ว
    ถาม : แล้วอย่างนี้ ถ้าเกิดว่าลูกช่วยแม่ เป็นอนันตริยกรรมมั้ยครับ ?
    ตอบ: ก็มีสิทธิ์เลยล่ะจ้ะ
    ถาม : ถ้าตังค์หมดจะทำยังไง ?
    ตอบ: ก็แล้วแต่หมอ อย่าไปสั่งหมอให้เอาออกแล้วกัน

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  6. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,022
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : มีคนที่มีประสบการณ์ เขาเคยมานั่งสมาธิแล้วพอเขานั่งปุ๊ปจะเกิดอาการว่าฟุ้งซ่าน มีเจ้ากรรมนายเวรเข้ามาหา คราวนี้เราจะช่วยเขายังไงคะ ?
    ตอบ: มันต้องให้เขาช่วยตัวเอง เราช่วยเขาไม่ได้ ตั้งใจแผ่เมตตาให้กับเขาไป ถ้าหากว่าเขาไม่ยอมไปจริง ๆ ก็ตั้งใจถามว่ามาต้องการอะไร จะให้เราแก้ไขในลักษณะไหนถึงจะยอมอโหสิกรรมให้อย่างนั้นเป็นต้น ในเมื่อรู้เห็นสามารถติดต่อได้ ถามตรงเขาได้เลย ตัวเราเองไม่ต้องไปช่วยเขาหรอก มันต้องเขาช่วยตัวเขาเอง
    ถาม : แล้วบางคน ทำไมเวลานั่งแล้วหลับล่ะเจ้าคะ ?
    ตอบ: (หัวเราะ) สองอย่างจ้ะ ถ้าไม่ใช่เพลียจนเกินไปก็ตัว ถีนมิทธะนิวรณ์มันกินเข้าไปเต็มที่เลย
    ถาม : ความฝัน ทำไมบางทีมันเกิดการฝันที่ตรงกัน พร้อม ๆ กันหลายคน ความฝันอย่างงี้เกิดขึ้นได้ยังไงเหรอเจ้าคะ ?
    ตอบ: อันนี้น่าจะเป็นเทพสังหรณ์ คือเทวดาเขาสงเคราะห์อันดับแรกคนทั้งหลายเหล่านั้นมีกรรมที่เนื่องกัน มานะ อันดับที่สองเทวดาเขากลัวเราจะไม่เชื่อ เลยหาพยานเพื่อให้เป็นข้อยืนยันแก่เราด้วย แต่อันนั้นต้องหมายความว่าวาระนั้น เวลานั้น บุญของเราต้องเสริมด้วย ไม่มีกรรมหนักมาขวาง เขาถึงสงเคราะห์ได้ขนาดนั้น ไม่อย่างนั้นแล้วใบ้แบบตายเราเองยังไม่เข้าใจเลย
    ถาม : ขอถามเรื่องที่เกิดกับตัวเองแล้วไม่รู้จะแก้กรรมยังไงน่ะเจ้าค่ะ คือว่าตัวเองขับรถแล้วชอบหลงทิศน่ะเจ้าค่ะ ขับรถแล้วหลงตลอดเลย
    ตอบ: อ๋อ! ไม่ต้องแก้ เพียงแต่ตั้งใจจำก็พอ
    ถาม : ตั้งใจมันก็หลงได้นะเจ้าคะ ไม่รู้ทำไมหลงประจำเลย
    ตอบ: ต่อไปพยายามใช้คำภาวนาใหม่จ้ะ ภาวนาว่า วิวี พุทธโธ อิติ จะได้แก้หลงทางได้ วิวี พุทธโธ อิติ ถ้าอยู่ในป่าเวลาหลงทาง ให้หาต้นไม้ใหญ่ที่มีแก่น หันหลังพิงต้นไม้ ตั้งใจขอให้เทวดาท่านสงเคราะห์ชี้ทางให้ แล้วภาวนาคาถานี้ ถ้าได้ทิพจักขุญาณเห็นเทวดาชี้บอกทางให้หรือบอกทางไปไหนให้ไปทางนั้น ถ้าไม่ได้ทิพจักขุญาณ รู้สึกอยากไปทางไหนให้ไปทางนั้น จะไม่หลงทาง ของเรามันขี้หลง ขับรถไปภาวนาไป วิวี พุทธโธ อิติ น่ะ สั้น ๆ
    ถาม : ท่องได้เรื่อย ๆ เลยใช่มั้ยเจ้าคะ ?
    ตอบ: ได้เรื่อย ๆ เลย กลัวหลงก็ท่องให้มากไว้
    ถาม : รวมทั้งขึ้นรถด้วยเปล่าคะ ?
    ตอบ: ขึ้นรถก็หลงเหรอ ใช้ได้เลย อาตมานี้เป็นทึ่งต้องใช้ภาษาอังกฤษปนไทยว่าเป็นทึ่ง วันก่อนไปหาเจ้าเกด มันบอกว่าอยู่ตรงนั้น ๆ ไอ้เราไปถึงก็นั่งมอเตอร์ไซค์บอกทางมันเสร็จสรรพ หัดทำให้มันได้ ไอ้สัญชาติญาณในการหาทาง ขนาดนั่งรถเมล์ยังหลงได้ (หัวเราะ) ไม่เชื่อความรู้สึกตัวเอง ถ้าจำแม่นไม่หลงลืมจริง ๆ ก็ใช้คาถาท่านปู่พระอินทร์ สหัสสเนตโต เทวินโท ทิพจักขุง วิโสทายิ สหัสสเนตโต ตาโต ๆ พันดวง เทวินโท คือ เทวดาผู้เป็นใหญ่ ทิพจักขุง ก็คือ ตาทิพย์ ความรู้สึกเหมือนมีตาทิพย์ วิโสทายิ แค่นั้น ใช่บ่อย ๆ ความจำจะดี ขณะเดียวกันถ้าหากว่าใครจะสอบอะไรก็ใช้ได้มันจะคล่องตัวเหมือนยังกับลอกข้อสอบเลย
    ถาม : ต้องตั้ง นะโม สามจบก่อนหรือเปล่า ?
    ตอบ: ตั้งซะก่อนนะดี ตั้งใจขอบารมี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พรหมเทวดาทั้งหมด มีท่านปู่พระอินทร์เป็นที่สุด ขอให้เขาช่วยสงเคราะห์

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  7. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,022
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : (ถามเรื่องอานิสงส์การบริจากโลหิต)
    ตอบ: เพราะฉะนั้นการสละเลือดของตัวเอง สละอวัยวะภายนอกภายในของตัวเองให้แก่คนอื่นเพื่อต่อชีวิตเขาเรียกว่าทานตัดชีวิต ทานตัดชีวิตนี่ อานิสงค์ต่ำสุด คือ ดาวดึงส์ขึ้นไป ต่ำสุดดาวดึงส์นะ มีแต่จะสูงกว่านั้น
    ถาม : ทำไมเวลาเรานั่งสมาธิกับคนที่ ....(ฟังไม่ชัด).....เวลานั่งแล้วนี่ ทำไมสมาธิเราถึงดีกว่า ?
    ตอบ: มันเหมือนกับเด็ก ๆ ผู้ใหญ่จูงมันก็มั่นคงกว่าใช่มั้ย ถ้าเดินเองก็หกล้มหกลุก กำลังเขาสูงกว่า เราอยู่ในเขตนั้น กระแสของเขาชักนำได้ แล้วขณะเดียวกันไม่ใช่แต่ความดีของเขาที่ชักนำ ความชั่วมันชักนำเหมือนกัน โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ กระแสของความชั่ว รัก
     
  8. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,022
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : พญานาคนี่มีจริงมั้ยคะ ?
    ตอบ: มีจ้ะ มีทั้งนาคจริงแล้วนาคปลอมด้วย รู้จักนาคปลอมมั้ย ?
    ถาม : เป็นยังไงเจ้าค่ะ ?
    ตอบ: ไม่เคยเห็นตามบันไดโบสถ์บ้างเหรอ (หัวเราะ) อันนั้นพูดเล่นจ้ะ นาคปลอมคือเทวดาที่ท่านเป็นบริวารของท้าววิรูปักษ์ พวกนี้เรียกว่านาคปลอม เพราะว่าเวลาออกปฎิบัติงานส่วนใหญ่จะไปในลักษณะของงูใหญ่ ความจริงท่านเป็นเทวดาแต่เวลาออกปฎิบัติงานไปในลักษณะงูใหญ่ ถ้าเป็นบริวารของท้าววิรุฬหก ก็ไปในลักษณะของกุมภัณฑ์ บริวารท้าวเวสสุวรรณ ไปในลักษณะของยักษ์ บริวารของท้าวธตรฐ ไปในลักษณะของคนธรรพ์ ความจริงท่านเป็นเทวดาสวย ๆ ทั้งนั้น นั้นเป็นเครื่องแบบของท่านเวลาทำงาน เพราะฉะนั้นบริวารของท้าววิรูปักษ์ก็เลยเป็นนาคปลอมเพราะว่าเป็นเทวดาจำเเลงขึ้นมา
    ส่วนนาคจริง ๆ เป็นเดียรัจฉานกึ่งทิพย์ที่มีฤทธิ์ พวกนี้ท่านได้ทำบุญใหญ่ แต่ว่ากรรมเก่าก็มากหรือว่าอาจสร้างกรรมดีมาแล้วมีความผิดเสริมไปด้วยก็เลยกลายเป็นสัตว์เดียรัจฉานกึ่งทิพย์ไป ที่จิตใจใฝ่บุญกุศลก็มี ที่ประเภทไม่เอาไหนเลยก็มี พวกที่ใฝ่บุญใฝ่กุศลส่วนใหญ่ก็จะหนุ่นเสริมพระภิกษุในพระพุทธศาสนา หรือไม่ก็ช่วยเหลืองานต่าง ๆ เพราะว่าเขาสามารถจำแลงเป็นคนได้มีทั้งจริงทั้งปลอม
    ถาม : ที่อัฟกานิสสถาน ที่ทำลายพระพุทธรูปอยู่นี่ ซวยมั้ยครับ ?
    ตอบ: ก็ปล่อยเขาสิ โทษทำลายพระพุทธรูปนี่อเวจีทีเดียว อย่าไปกังวลแทนเขา
    ถาม : ใครไปสร้างไว้ที่นั้น ?
    ตอบ: สมัยนั้นพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาก ราว ๆ พ.ศ. ๓๐๐ กว่า ๆ สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ไง พระเจ้าอโศกมหาราชนี่ท่านเล่นครองชมพูทวีปเลย พระเจ้าอโศกมหาราชเป็นกษัตริย์ที่มีบุญญาธิการมากเกือบจะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิอยู่แล้ว แต่ของท่านไม่มีจักรแก้ว นางแก้ว ท่านก็มี พระขรรค์แก้ว ท่านก็มี ช้างแก้ว ม้าแก้ว อะไรท่านก็มี เพียงแต่ว่าขาดจักรแก้วในการประกาศตนเป็นจักรพรรดิเท่านั้น
    ท่านอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาถึงขนาดว่ามีพระบรมสารีริกธาตุอยู่ที่ไหนไปขุดอัญเชิญมาหมด แล้วตั้งใจสร้างเจดีย์ถึงแปดหมื่นสี่ฟันองค์ เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุเป็นพุทธบูชา เท่านั้นยังไม่พอ ท่านจัดงานฉลองเจ็ดปี เจ็ดเดือน เจ็ดวัน เลี้ยงพระทุกวันเลย ไม่รวยจริงทำไม่ได้ แล้วก็ยังไม่พอใจท่านอีก ท่านเอาสำลีพันตัว แช่น้ำมันแล้วก็จุดเป็นพุทธบูชา ยืนพนมมืออยู่ แล้วตาจ้องอยู่ที่เจดีย์ที่ท่านสร้าง ถวายเป็นพุทธบูชา ตั้งใจว่าถึงไฟมันไหม้ให้เราตายไปก็ขอถวายชีวิตเป็นพุทธบูชา แต่เผอิญกำลังใจท่านมั่นคงมาก ไฟก็เลยทำอันตรายไม่ได้
    ถาม : อย่างนี้ก็ไปไม่สมความตั้งใจสิครับ ?
    ตอบ: ท่านตั้งใจอยู่ว่าท่านจะถวายชีวิตเป็นพุทธบูชา ในเมื่อจุดไฟจนกระทั่งมันมอดไป เป็นอันว่าจบแล้วมันจะไม่สมความตั้งใจได้อย่างไร เพียงแต่ท่านตั้งใจว่าถ้าตัวท่านตายก็ช่าง พระเจ้าอโศกมหาราชเมื่อปกครองในชุมพูทวีป ในช่วงนั้นเขตของอัฟกานิสสถานเฉพาะเมืองที่สร้างพระพุทธรูป เป็นเขตของพระพุทธศาสนา มีวัดวาอารามมากในเมื่อมีความเลื่อมใสมากก็สามารถสร้างขึ้นมาได้ โดยเฉพาะพระพุทธรูปยืนองค์ที่เขาถือว่าที่สุดในโลกแกะสลักหน้าผาเป็นรูปพระพุทธรูปแกะภูเขาเป็นพระเลยนะ
    ถาม : แล้วที่เมืองจีน ?
    ตอบ: ที่เมืองจีนพระนั่ง นั่งห้อยพระบาทที่มุมของแม่น้ำแยงซีเกียงที่มันท่วมประจำทุกปี แล้วก็เกิดอุบัติเหตุล้มตายกันเป็นประจำที่อะไร ? เล่อซาน
    ถาม : ขี่พายุทะลุฟ้า ?
    ตอบ: (หัวเราะ) ขี่พายุทะลุฟ้า เออใช่ ! ไอ้ที่มันไปดวลกันหน้าตักพระ ไอ้พวกไม่รู้ที่ต่ำที่สูง (หัวเราะ) น้ำท้วมถึงพระชานุ อัคคีคุ คั่งถ้ำเทียมเมฆ สำนวนจีนเขา มันเป็นปริศนาโบราณไม่มีใครรู้... น้ำท่วมถึงเข่าพระ พระพุทธรูปองค์นั้น สูง ๙๑ เมตร เข่าสูงแค่ไหน ? ถ้าน้ำท้วมถึงเข่าพระก็แย่ คราวนี้เข่าพระมีถ้ำใหญ่มีกิเลนไฟอยู่ ถ้าน้ำท่วมมันอยู่ไม่ได้มันออกมาก็อาละวาด นั่นน่ะปริศนาออกนอกเรื่องไปเยอะ....เลี้ยวกลับมาใหม่ เดี๋ยวไปไกล...จากอัฟกานิสสถานโดดทีเดียวไปจีนเลย

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  9. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,022
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : พระเจ้าอโศกนี่เป็นฝรั่งเหรอครับ ? รูปปั้นเหมือนฝรั่งเลย
    ตอบ: ท่านมีเชื้อสายกรีกอยู่อย่าลืมว่ากรีกนี่ครองอันเดียเป็นระยะเวลายาวนาน ตั้งแต่อเล็กซานเดอร์มหาราช แล้วมา เมนันเดอร์...เมนันเดอร์ นี่ บาลีเรียกว่ามิลินทร์ มิลินทะ พระยามิลินทร์ ที่โต้ปัญหากับพระนาคเสน คราวนี้มีจารึกพระเจ้าอโศกมหาราชที่เป็นคำทำนายของพระโมคคัลลาน์ติสสะเถระเจ้า ท่านทำนายว่าหลังกึ่งพุทธกาลไปแล้ว พระมหาเถระโพธิสัตว์ผู้ยิ่งด้วยบารมีจะนำพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองคล้ายกับสมัยพุทธกาลอีกวาระหนึ่ง นั่นแหละ ธรรมกายเขาถึงได้คิดว่าเป็นอาจารย์ของเขา ความจริงการเจริญรุ่งเรืองไม่ใช่เจริญด้วยวัตถุ แต่เป็นเพระว่ามีพระอริยเจ้ามาก ต้องเน้นผล ไม่ใช้เน้นวัตถุ
    ภายหลังอิสลามสามารถที่จะครองพื้นที่ตรงนั้น ทั่ว ๆ ไปเขาก็ไม่ยุ่งด้วย เพราะอิสลามถือว่าการเข้าไปยังศาสนสถานของศาสนาอื่นนี่ จะทำให้ตกนรก เขาก็ปล่อยมายาวนานตั้งเป็นพันปี ก็ตั้งแต่ พ.ศ. ๓๐๐ กว่า ๆ มาสองพันกว่าปีแล้วซะด้วยซ้ำไปเขาก็ปล่อยยาวมาเรื่อย มาถึงชุดนี้คงเกะกะลูกกะตาเต็มทีก็เลยถล่มทิ้งซะ รู้สึกอยู่ข้างบนมันเย็นไปอยู่อเวจีมันท่าจะอุ่นหน่อย โทษการทำลายพระพุทธรูปไม่ว่าองค์ใหญ่องค์เล็ก ก็ตาม โทษลงอเวจีมหานรกไว้ก่อน ยิ่งองค์ใหญ่ต้องใช้กำลังใจในการทำลายสูงมาก โทษยิ่งหนัก
    ถาม : แล้วอย่างนี้ พระเครื่ององค์เล็ก ๆ ก็โดน ?
    ตอบ: โดนแน่
    ถาม : & แล้วมีวิธีแก้มั้ยครับ ?
    ตอบ: บรรจุไว้ในพระองค์ใหญ่ ตั้งใจขอขมาพระรัตนตรัย บูชาท่านต่อไป ไม่ใช่เอาไปตำแล้วทำเป็นผง
    ถาม : ถ้าทิ้งไปแล้วล่ะครับ ?
    ตอบ: ก็โน่นเลย ตั้งใจขอขมาเช้า กลางวัน เย็นเลย (หัวเราะ)
    ถาม : ของพ่อตาผมครับ พอดีเขาไปหาคนทรง แล้วคนทรงหยิบยังไงไม่รู้ออกจากปากมาเป็นพระให้ เขาก็สงสัย กลับบ้านก็เอาฆ้อนตำเลย
    ตอบ: แหม.. น่ารักมาก ความจริงมันน่าจะอมไว้ในปากแล้วเอาฆ้อนตีหัวตัวเอง มันจะได้เป็นการพิสูจน์อย่างแท้จริง น่าเสียดายของที่ได้มาแบบนั้นไม่ใช่หาได้ง่าย ๆ นะ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่วัดท่าซุง มีร่างทรงทรงสมเด็จพระเจ้าตากสิน ท่านเคี้ยวหมากไปเรื่อย คายออกมาก็พระองค์หนึ่ง คายออกมาก็พระองค์หนึ่ง ใครอยู่ตรงนั้นก็ได้กันไปคนละองค์ คนละองค์ส่วนใหญ่เป็นพระยอดธง เคี้ยวหมากแท้ ๆ ไม่เห็นท่านอมเอาไว้เลย
    ถาม : เมื่อไหร่ จะเคี้ยวหมากครับ ?
    ตอบ: ปฎิเสธหลวงพ่อไปแล้ว มีอยู่วันหนึ่งตั้งใจภาวนาอยู่ เพราะว่าอยู่บนรถทัวร์เมื่อขึ้นรถเมื่อไหร่ จะตั้งใจภาวนาทันที เพราะไม่ทราบว่าจะเกิดอุบัติเหตุหรือเปล่าเราอาจถึงชีวิตก็ได้ ภาวนาไป ภาวนาไป ได้ยินเสียงเป่ายานัตถุ์ปึ้ด กลิ่นหอมตลบไปเลย พอได้กลิ่นมันอยากจนน้ำลายยืด
    ถาม : ยานัตถุ์ หรือว่าหมาก ?
    ตอบ: กลิ่นยานัตถุ์ เลยบอกหลวงพ่อครับยานัตถุ์ก็ไม่เอา หมากก็ไม่เอา แว่นตาก็ไม่เอานะครับ เสียงท่านถามบอกว่าแล้วไม้เท้าจะเอามั้ย ? อีตอนนั้นขืนตอบนี่โง่มาก เอาหรือไม่เอานี่โดนแน่เงียบไว้ก่อน เพราะฉะนั้นจะมารอเรื่องพระนี่เดี๋ยวแจกให้ไม่ต้องเสียเวลาเคี้ยว แจกทุกเดือน
    ถาม : แล้วการซ่อมแซมพระนี่....(ฟังไม่ชัด)...
    ตอบ: อานิสงส์ของการซ่อมแซมพระ ถ้าหากว่าเกิดใหม่จะมีหน้าตาที่สวยงามมากกว่าผู้อื่นเขา โดยเฉพาะเรื่องของเบญกัลยาณี ถ้าเป็นผู้ชายมันน่าจะเป็นอาโนลด์ น่ะ...ชายงามจักรวาล ๓ ปีซ้อน (หัวเราะ) อีตาอาโนลด์นี่ ถ้าไม่สละสิทธิ์ไม่มีใครแย่งได้จริง ๆ ลักษณะของเขามันสมบูรณ์สมส่วนไปทุกส่วนไง ถ้าดูมันยืนคนเดียวนี่ตัวมันใหญ่กว่าควายอีก แต่ถ้าไปยืนกับฝรั่งด้วยกัน เออมันก็ไม่ใหญ่เท่าไหร่หรอก อานิสงส์ให้ให้เกิดใหม่สวยเป็นพิเศษ
    ถาม : ถามเกี่ยวกับเรื่องทำลายพระครับ ถ้าเกิดว่าอย่างบางครั้ง เราไม่ตั้งใจแล้วบังเอิญมือปัดไปโดน ?
    ตอบ: อย่างนั้นเจตนาไม่มี เราก็ซ่อมสิขอขมาแล้วก็ซ่อมซะ ติดกาวได้ก็ติดซ่อมใหม่ถ้าปิดทองได้ ให้งามไปเลยได้ยิ่งดี วันนี้ส่งให้คุณอรพินทร์ไป ๓ องค์ องค์หนึ่งเศียรหัก คอพอดีเลย องค์หนึ่งพระหัตถ์ท่านพาดอยู่บนเข่าลักษณะนี้ นิ้วพระหัตถ์หายไปสี่นิ้ว ส่วนอีกองค์หนึ่งฐานแตก (หัวเราะ) ส่งไปให้เขาซ่อมแล้วปิดทองอีก
    ถาม : แล้วภาพที่เป็นกระดาษ ?
    ตอบ: ภาพพระ ก่อนหน้าก็เคยเก็บ เก็บไปเก็บมามันเยอะ เลยขอขมาท่าน ขออนุญาตประชุมเพลิงถวายจ้ะ ต้องขอขมาก่อนนะ อย่าไปเผาส่งเดช
    ถาม : การกราบขอขมานี่ ต้องเตรียมดอกไม้ ?
    ตอบ: ถ้ามีดอกไม้ธูปเทียน ก็ว่าให้ครบชุดไป ถ้าหากว่าไม่มีก็สิบนิ้ววันทาจ้ะ
    ถาม : แล้วถ้าเกิดตั้งใจเอาพระผงรูปเดิมมาบดเป็นผง แล้วผสมใหม่ ?
    ตอบ: นั่นแหละ ชัดเลย ทำลายพระพุทธรูป
    ถาม : ถ้าของที่เข้าพิธีปลุกพระเสกแล้วก็ทิ้งไป
    ตอบ: อันนั้นถ้าไม่ใช่รูปพระก็ไม่ว่ากันแต่ที่ทิ้งน่าเสียดายเพราะของที่พุทธาภิเษกถูกต้องตามพิธีกรรมแล้วอานุภาพไม่ได้สูญไปไหนถึงแตกทำลายแล้วก็ยังมีอานุภาพอยู่
    ถาม : ก็เก็บที่แตก ๆ ไว้
    ตอบ: จ๊ะ ยกเว้นอธิษฐานว่าถ้าแตกแล้วให้หมดอานุภาพ

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  10. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,022
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    เล่าเรื่องเมืองพม่า
    จระเข้ตัวนี้ก็เลยได้ชื่อเป็นแม่น้ำสายใหญ่ที่เมืองย่างกุ้งเหมือนกันจะแยกออกจากตรงปากน้ำย่างกุ้ง เรียกว่าปากน้ำ
     
  11. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,022
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> เรื่องของพระบรมธาตุอินแขวน ก็เป็นเรื่องอัศจรรย์จริง ๆ แล้วหินก้อนนั้นน่ะ ไม่ได้ติดกันอะไรเลย จับโยกได้แต่อย่าโยกแรงนะ หล่นลงไปนี่เขาจับหักคอเราแน่เลย (หัวเราะ) ครั้งแรกที่ไปถึงที่นั้นก็ตั้งใจกราบถวายบูชา พอนึกถึงพระท่านเห็นมาเขียวปี๋เลย เอ๊ะ!ทำไมพระมาสีนี้กลายเป็นท่านปู่พระอินทร์ เลยกราบถามท่านว่า ท่านปู่เอาก้อนหินก้อนนี้แขวนไว้จริง ๆ หรือครับ ท่านบอกว่าปล่อยให้เขาเชื่อไปอย่างนั้นเถอะลูก แต่ตอนนี้เขาสร้างเจดีย์มีพระธาตุมีอะไรบรรจุอยู่เทวดาต้องรักษาอยู่แล้วใช่มั้ย ? ตอนแรก ๆ ไปแหงนมองดู เอ๊ ! ทำไมฝีมือมันหยาบ ๆ พอไปจับก้อนหินมันโยกได้ ถ้าเราทำก็หยาบกว่านั้นอีก.. กลัวตกยิ่งกว่ามันอีกว่างั้น
    ไปติเขาอยู่หลายปี ปีนี้เล่นปิดซ่อมทำใหม่ ถอดแผ่นทองที่หุ้มออกมาหมดเลย ที่หุ้มเจดีย์เขาตีเป็นแผ่นทองโตประมาณแค่นี้...( สองผ่ามือ) แล้วก็เล่นเย็บสี่มุมน่ะ ใช้น็อตไขเข้าไป คราวนี้เขาถอดออกมาทั้งหมด ปั้นองค์เจดีย์ใหม่ ติดลวดลายปูนปั้น เช้งวับเลยคราวนี้ ที่ไปเล็ง ๆ ดู ชอบอยู่อย่างเดียวแหละ เขาถอดเจดีย์ลงมา ถอดฉัตรยอดเจดีย์ลงมา บนยอดฉัตรมันมีนกหมุนอยู่ตัวหนึ่ง ไอ้นกหมุนตัวนั้นมันคาบทับทิมเม็ดแค่เนี้ยะ (หัวแม่มือ) เขาเจียรไนเป็นรูปหยดน้ำ สีมันเห็นแล้ว เจ้าพระคุณเถอะ ถ้าไม่ได้ใส่ไว้ในตู้นิรภัยอย่างนั้นแล้วก็คงไม่เหลือหรอก รู้สึกว่า พลโท ขิ่นยุ้นจะไปเป็นประธานยกฉัตร เดี๋ยววันอังคารก็ตียาวไปยกฉัตรประมาณพฤหัสก็วันพระ วันพระพม่าเขาก่อนของเราวันหนึ่ง ยกฉัตรเสร็จก็จะไปตรวจงานที่หนองบัวต่อ คงกลับประมาณวันที่ยี่สิบมีนา ระยะนี้ไปพม่าเป็นว่าเล่นเลย เดือนที่แล้วไปสองครั้ง เดือนนี้ไปครั้งหนึ่ง แต่นานหน่อย งานก่อสร้างยิ่งเร่งรัดเท่าไหร่ก็ยิ่งไปบ่อยเท่านั้น บาตรสองใบที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุก็จะไปบรรจุไว้ที่นั้น เพราะว่าวันที่ยี่สิบเก้ามิถุนานี้จะวางศิลาฤกษ์โบสถ์และก็วิหารพร้อมกัน โบสถ์กับวิหารจริง ๆ แล้วคืออันเดียวกันแต่ทางพม่าจะไม่ให้ผู้หญิงเข้าในโบสถ์ ผู้หญิงไม่มีโอกาสเข้าไปในเขตเสมา เราก็เลยสร้างขึ้นมาอีกหลังหนึ่ง เหมือนกันทุกอย่างเลยเพียงแต่ไม่ผูกพัทธสีมาเท่านั้น ให้ผู้หญิงเข้าไปไหว้ได้ จะได้ไม่มาน้อยใจ เดี๋ยวเขาเข้าไม่ได้น้อยใจขึ้นมาเขาไม่หุงข้าวให้กิน ก็เลยทำให้เหมือนกันทุกอย่างตั้งใจจะรื้อพร้อมกัน
    ถ้าโบสถ์กับวิหารเสร็จก็เหลือแต่ศาลาหอพระหลังใหญ่ศาลาหอพระหลังใหญ่นี่ ด้านบนแบ่งออกได้ยี่สิบสี่ห้อง ด้านล่างแบ่งได้ยี่สิบหกห้อง ด้างล่างมันมีติ่งห้อยออกมาหน่อย รวมแล้วห้าสิบห้อง ถ้าใครจะเป็นเจ้าภาพติดป้ายชื่อให้คิดห้องละหมื่น แล้วขณะดียวกันมีห้องน้ำใหม่อีกห้าห้อง ตอนนี้เขาจองไปสามแล้วจ้ะ เหลืออีกสองคิดห้องละหมื่นเหมือนกัน น่าเกลียดมาก ..ก..(หัวเราะ) ห้องน้ำห้องละหมื่น ห้องบนศาลาห้องละหมื่น ตอนแรกครูบาน้อยเจ้าอาวาส พอได้ยินเขาก็โวยว่าทำไมทางวัดท่าซุงคิดห้าหมื่นของอาจารย์คิดสามหมื่น แล้วของผมคิดหมื่นเดียวอยากเศรษฐกิจไม่ดีถ้าคิดมากโยมเขาไม่มีกำลังทำกับเราหรอก

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  12. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,022
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    ธุดงค์พบจงอางยักษ์


    จงอางในป่าใหญ่จริง ๆ โยม ตอนนี้ที่หน้าวัดมีลงมาตัวหนึ่งกัดควายตายไปตัวหนึ่ง วัวตายไปตัวหนึ่งรอบเขี้ยวมันห่างกันแค่นี้ ( ประมาณ ๓-๔ นิ้วฟุต) ไม่ใหญ่เท่าไหร่หรอก ปี ๓๗ ชาวบ้านเขายิงตายไป เส้นผ่าศูนย์กลางลำตัวมันแปดนิ้ว งูเหลือมใหญ่ ๆ ยังหายากเลย แต่ตัวนั้นเป็นจงอาง คราวนี้เด็กคนงานที่หน่วยต้นน้ำ เอาหางมันมาท่อนหนึ่งใหญ่ประมาณฝ่ามือบอกว่าจะมาทำเข็มขัด บอกว่าเอ็งรีบเอาไปทิ้งโดยด่วนจี๋ให้ไกล ๆ เลย งูใหญ่ ๆ ส่วนใหญ่จะมีคู่ เดี๋ยวถ้าคู่ตามมาได้ตายกันยกหน่วย แค่นั้นเอง

    ปรากฏว่ามันตามมาช้าไปหน่อย มันมาปีที่แล้วนี่ ตอนนนี้กำลังซุ่ม ๆ อยู่แถวนั้นแหละ ชาวบ้านเขาไปเลี้ยงวัวเลี้ยงควายอะไร เดี๋ยวก็เสร็จมันอีก มันกัดตายไปสองตัวแล้ว รอบเขี้ยวมันห่างกันแค่นี้ แล้วลองนึกดู หัวมันยังงี้แล้วตัวมันจะยังไงเอ่ย ก็คงไม่หนีไอ้ตัวที่แล้ว มีแต่จะใหญ่กว่าด้วยซ้ำไป ไม่ใช่อนาคอนด้านะ บ้านเราไม่มี อันนี้จงอางจริง ๆ เลย จงอางในป่ามีใหญ่มาก ที่แน่ ๆ ก็คือว่า ไอ้เรื่องวาระบุญวาระกรรมมันมีอยู่ เขาโตมาได้ถึงขนาดนั้นแล้วอยู่ ๆ มาตายเอาดื้อ ๆ วันนั้นเขาออกหากินแล้วก็เลื้อยกลับโพรง
    หัวหน้าคนงานคุณมานิตย์ วรรณะโพธิ์ เจอเขาพอดี มันเป็นจงอางบนหลังลายที่เป็นบั้ง ๆ ใครเคยเห็นบ้างมั้ย ? แล้วมันก็ไปเลื้อยไอ้ตอนที่ฝนตกใหม่ ๆ แล้วเขาเพิ่งเผาป่าก็ติดเอาขี้เถ้ากระมอมกระแมมมาด้วย แล้วเขาเห็นใหญ่ขนาดนั้นเขาก็บอกลูกน้องว่า เฮ้ย ! กูเจองูเหลือมมันเลื้อยเข้าไปในโพรงมึงไปยิงมากินที
    ไอ้ลูกน้องก็นำปืนแก๊ปอัดปืนไป คราวนี้งูใหญ่และมีพิษจะไม่กลัวอะไรง่าย ๆ พอได้ยินเสียงคนเดินก็โผล่หน้าจากโพรงมาดู ไอ้ลูกน้องก็เอาปากลำกล้องทิ่มใส่จมูกแล้วก็ยิงเลย โชคดีมากที่ตาย ไม่อย่างนั้นสงสัยได้ตายกันยกหมู่บ้าน ปรากฏว่าพอมันดิ้นป่าแตกหลุดออกมาได้ คนยิงก็กองอยู่ตรงนั้นแหละเข่าอ่อนไปไหนไม่เป็น ถ้ามันรู้ว่าเป็นจงอางและใหญ่ขนาดนั้น คิดว่าเอารางวัลที่หนึ่งให้มันซักคู่หนึ่งเข้าไปมันก็ไม่กล้าหรอก อีคราวนี้ลูกพี่ แหม! บอกซะอย่างดีเลยว่าเป็นงูเหลือม มันก็เชื่อลูกพี่มัน ลากออกมาตัวยาวสิบฟุตกว่า สิบฟุตกว่า ๆ ก็สามเมตรเศษ ๆ อย่างกับงูเหลือม ดี ๆ นี่เอง ตัวยักษ์เลยขนาดเขาลากมา คนเห็นยังใจคอไม่ดี ไอ้ตอนเป็น ๆ น่ากลัวขนาดไหนไม่รู้
    อีกทีหนึ่งไปอยู่ป่า ตอนกลางคืนได้ยินเสียงมันเลื้อยมา ตัวประมาณขวดน้ำใบโน้นน่ะ ส่องไฟไป แหม! ตามันเป็นประกายสะท้อนแสงเสว่างขึ้นมาก็เลยเกว่งไฟฉายให้มันรู้ว่าทางนี้มีคนมันจะได้ไม่เลื้อยเข้ามาก็ไม่รู้จะหนีไปไหน อยู่ริมบึงหนีไปก็ตกน้ำ งูเขาก็ว่ายน้ำเก่งกว่าเรา แกว่ง ๆ ไฟฉายให้เขารู้ว่าด้านนี้มีคนเขาก็เบนหัวไปทางอื่น ส่วนอีกทีหนึ่งนั้นอยู่ที่บ้านกะเหรี่ยง ไอ้ตัวนั้นใหญ่หน่อยน่าจะประมาณนี้ได้ ( ทำมือเท่ากระติกน้ำ) ตอนกลางคืนประมาณห้าทุ่มตื่นขึ้นมาไปปัสสาวะนอกถ้ำ กลับออกเข้ามานอน ทำกุฎิเล็ก ๆ ไว้ในถ้ำเลยเป็นไม้ใผ่ ความรู้สึกบอกว่าให้ปิดประตูซะเดี๋ยวงูใหญ่จะมา ไอ้เราเองก็ หือ ง่วงก็ง่วง จะไปเสียเวลาปิดเปิดอะไร นอนมันดีกว่า มุดเข้ากลดได้ก็นอนสักพักเดียวเท่านั้นแหละ มุงกลดไหวยวบ ๆ แล้วมันก็มุดตามเข้ามาตัวเย็นเจี๊ยบเลย มาถึงมันก็วน หนึ่งรอบ สองรอบ สามรอบ ไอ้ตัวเราคนนอนอยู่น่ะความสูงตั้ง ๑๗๐ กว่าเซ็นต์ มันวนสามรอบแล้วหางมันยังอยู่นอกกุฎิเลย
    แล้วมันก็แลบลิ้นมาเลียหน้าเหมือนกับลองชิมดูหน่อยว่าอร่อยหรือเปล่า ? ตอนแรกว่าเป็นคนไม่กลัวอะไรนะ แต่มาเจอสภาพแบบนั้นนี่ แหม! มันนอนแข็งทื่อไม่กล้ากระดิกเลย ได้แต่บอกมันว่าไม่อร่อยหรอกอย่าลองเลยกินเลย เขาลองชิม ๆ ดู ท่าทางจะไม่อร่อยจริงล่ะมั้งเลยคลายออกแล้วก็เลื้อยไปตรงหน้าถ่ำ ไปส่งเสียงร้องพักหนึ่ง เสียงมันร้องวี๊ด วี๊ด ยังไงบอกไม่ถูก เสียงสะเทือนแก้วหูมาก แสบแก้วหูเลย ร้องอยู่ประมาณสิบว่านาทีก็เลื้อยออกไปหากิน ตอนหลังพระรุ่นน้ององค์หนึ่ง คือท่านชาติชาย ถามทางขึ้นไปตรงนั้น ก็บอกกับเขาว่าถ้าขึ้นไปถ้ำนั้นระวังให้ดีมันมีงูใหญ่อยู่ คุณชาติชายก็ย้ายไปนอนอีกถ้ำหนึ่งอยู่ใกล้ ๆ กัน มันจะมีช่องแตกเดินทะลุกันได้ เขาเลี่ยงไอ้ถ้ำนี้ซะ เขาบอกว่านอนอยู่ประมาณห้าทุ่มเหมือนกัน อยู่ ๆ แผ่นดินมันก็ไหวยวบยาบ ยวบยาบ แล้วก็หล่นพลั๊กลงมา อุตส่าห์ย้ายหนีแล้วไปนอนบนตัวมันเลย (หัวเราะ) ไอ้เราตามไปดู มันเป็นแอ่งหินเกือบ ๆ จะกลมเลย ไอ้เจ้านั้นก็ขดเต็มแอ่งหินอยู่แอ่งพอดี รายนี้ไปถึงคลำ ๆ เออมันเรียบพอแล้วก็นอนเลย ไม่ได้ส่องไฟดู ไม่ได้ดูตาม้าตาเรือเลย เขาบอกว่าผมอุตส่าห์หนีมันแล้วนะ ไปนอนบนตัวมันไม่รู้เรื่องเลย ต่างคนต่างโง่พอดีกัน (หัวเราะ) คือ ไอ้งูมันก็คงคิดว่าอะไรว่ะมาถึงก็มานอนเลย ส่วนไอ้คนก็ไม่นึกกว่าเป็นงูก็เลยไม่กลัวพอ ๆ กัน

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...