ฉบับที่ ๒๖ เดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๙

ในห้อง 'กระโถนข้างธรรมาสน์' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 2 เมษายน 2006.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,022
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนเมษายน ๒๕๔๕
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ


    ถาม : คืนนี้ต้องลองนั่งดูบ้าง ?
    ตอบ : ลองดูก็ได้ ตอนหลวงพ่อสอนให้นั่งมันทรมาน หัวเข่าจะขาดออกไป ใครจะนึกว่าต้องเอามาใช้ เพราะว่าช่วงนั้นเวลาวันพระหลวงพ่อจะลงเทศน์ที่ศาลา ๒ ไร่ เมื่อถึงเวลาที่หลวงพ่อเทศน์ ญาติโยมประเคนอาหารพระฉัน หลังจากสวดแล้วหลวงพ่อก็เทศน์ หลวงพ่อเทศน์ไปพระก็ฉันไป หลวงพ่อท่านฉันข้าวต้มมาต่างหากแล้วนี่ พอถึงเวลาหลวงพ่อเทศน์เสร็จท่านก็รับสังฆทานต่อ พระก็กราบลาไปกันเกลี้ยง วันนั้นท่านบอกว่าเมื่อถึงเวลาฉันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้พระนั่งอยู่จนกว่าข้าจะสั่งให้ลุก โอ้โห...ตั้งแต่เจ็ดโมงครึ่งล่อซะบ่ายสี่โมงครึ่ง รู้สึกว่าหัวเข่ามันจะหลุดอกไปน่ะ

    หลังจากนั้นท่านบอกทุกงานให้นั่งอยู่ลักษณะอย่างนี้ เพราะว่าญาติโยมเขามาวัดเขาเห็นพระมาก ๆ แล้วเขาสบายใจ เขาชื่นใจ นั่งอยู่ให้เขาดูหน่อย เราก็อูย...หลังจะขาด ขาจะหลุดแล้ว หลวงพ่อท่านนั่งคุยกับโยมทั้งวันโยกหน้า โยกหลังทั้งวัน แจกของโยมไปด้วย ท่านแย่กว่าเราเท่าไหร่ ? หลังจากนั้นมาแต่ละคนก็อ้างว่ามีงานไม่ลงศาลา เราอ้างไม่ได้เพราะงานของเราก็คือเฝ้าหน้าห้องหลวงพ่อ หลวงพ่ออยู่ไหนต้องอยู่นั่น ก็เดี้ยงคนเดียว จะมีหลวงตาแก่ ๆ อย่างหลวงปู่ทอง เทศ หลวงตาเจริญแล้วก็หลวงตาสมชาย อย่างนี้อยู่ด้วยกัน สงสารคนแก่จริง ๆ ต้องมากลุ้มกับพระลูกพระหลาน ของเราเองบางทีก็ยกมือขอเวลานอกขอไปส้วมหน่อยมันอั้นไม่อยู่จริง ๆ เลยตอนนั้น มันรู้สึกทรมานเหมือนใจจะขาด ไม่รู้ว่าหลวงพ่อจะให้นั่งไปทำไม

    หลังจากที่ออกจากวัดไปแล้วต้องมานั่งตรงนี้ ๑๐ ปีผ่านไปรู้แล้วว่าทำไมถึงต้องหัดนั่งตอนนั้น (หัวเราะ) ทุกอย่างหลวงพ่อท่านสายตายาวไกล ท่านเห็นแจ้งแทงตลอดไปหมด เรามันเห็นไม่ถึง นี่แค่เฉพาะหน้าก็รบกับกิเลสไม่ไหวแล้ว เลยต้องใช้วิธีประเภทที่ว่าถึงเวลาก็แล้วแต่หลวงพ่อจะสงเคราะห์เถิด

    ถาม : งั้นก็แปลว่าต้องมาสายพุทธภูมิก่อน ?
    ตอบ : ถ้าใครตามหลวงพ่อมามันเป็นพุทธภูมิ ตกกระไดพลอยโจนมาทั้งนั้นแหละ ที่คำว่าตกกระไดพลอยโจนก็คือว่ากำลังใจจริง ๆ ไม่ได้คิดอยากจะเป็นพระพุทธเจ้า อธิษฐานตามหลวงพ่อมา หลวงพ่อท่านฟาดซะ ๑๖ อสงไขยกับแสนมหากัป พวกตามระยะแรก ๆ ล่อไป ๑๐ กว่าทั้งนั้นแหละ

    ถ้าตั้งใจเป็นพระพุทธเจ้าเองเลี้ยวไปได้ ๒ รอบแล้วอยากเป็นปัญญาธิกะเลี้ยวตั้งแต่ ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป อยากเป็นศรัทธาธิกะเลี้ยวไปตั้งแต่ ๘ อสงไขยกับแสนมหากัป นี่ประเภทตามอย่างเดียวไปไหนไปด้วยล่อซะ ๑๐ กว่า ตอนขึ้นไปกราบลาพระท่านขอลาพุทธภูมิ ท่านอนุญาตให้ลาได้ แต่ท่านบอกว่างานเก่าให้ทำไปก่อน คือเรื่องของการสงเคราะห์คน งานเก่าก็ต้องทำไปก่อนนะ มันก็เลยกลายเป็นว่าอยู่ในลักษณะ อนุญาตให้ลาได้ถ้าเอ็งแน่จริงก็เข้านิพพานไป ถ้าไม่แน่จริงต้องเหมาต่อ เพราะท่านบอกว่างานเก่าทำไปก่อนนะ พยายามหนีสุดชีวิตเลยร่างกายมันแย่ เขาเรียกว่าพุทธภูมิแบบตกกระไดพลอยโจนไม่ได้เจตนาจะเป็นเลย เขาถีบเอาไปเป็นพระเอกเอง

    ที่มีเรื่่องที่เขาเล่ากันที่เด็กตกน้ำ เสียงร้องช่วยด้วย ๆ เด็กตกน้ำ แล้วมีชายคนหนึ่งพุ่งหลาวลงไปช่วยเด็กขึ้นมา นักข่าวตากล้องก็วิ่งกันมาเต็มไปหมดขอสัมภาษณ์หน่อยครับว่า ท่านคิดยังไงมีอะไรจะพูดกับผู้ชมทางบ้านบ้าง เขาว่าถามหน่อยซิว่าใครถีบกูลงไปวะ ? (หัวเราะ) ไม่ได้เจตนาเขาถีบไปเป็นพระเอกจนได้ ไหน ๆ ลงไปแล้วเลยช่วยเด็กขึ้นมาด้วย มันต้องเจอลักษณะอย่างนั้น

    การปรารถนาพระโพธิญาณนี่จะบอกว่าเป็นเชื้อเก่าฝังอยู่ในใจของพวกเราทุกคน เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้มามากเหลือเกิน ขนาดในบทสวด สัมพุทเธบอกว่า สัมพุทเธ อเนกะ สะตะโกฏะโย เป็นร้อยโกฏิจนไม่สามารถจะนับได้ พระพุทธเจ้าแต่ละองค์ เมื่อตรัสรู้แล้วก็ต้องเสด็จขึ้นไปโปรดพระมารดา อันนี้เขาเรียกว่าเป็นพุทธธรรมเนียม เป็นประเพณี ที่พระพุทธเจ้าท่านต้องปฏิบัติอยู่แล้ว เป็นการสงเคราะห์พ่อแม่หรือญาติ หรือที่เรียกว่า ญาตะกานัญจะ สังคะโห สงเคราะห์ญาติของตน ตอนที่ท่านเสด็จลงจากดาวดึงส์หลังจากโปรดพระพุทธพระมารดา แล้วก็จะเปิดโลกทั้งหมดตั้งแต่นิพพาน ลงไปยันอเวจีให้เห็นถึงกันหมด ตอนนั้น สรรพสัตว์ทุกหมู่ ทุกเหล่า ทุกภพ ทุกภูมิ ทุกจักรวาลก็จะเ็ห็นว่านี่แหละ ผู้ที่เลิศประเสริฐที่สุดไม่มีใครยิ่งไปกว่านี้อีกแล้ว นอกจากจะชื่นชมยินดีแล้ว มันยังมีใจลึก ๆ ว่า เออ...ถ้าเป็นเราบ้างก็ดี ตัวนี้แหละมันเพาะเชื้ออยู่ในใจเรา

    เพราะฉะนั้นต่อให้มดดำ มดแดงอะไร ตอนนั้นอยากจะเชื่อว่าที่ตั้งใจอย่างนั้นเหมือนกัน เพียงแต่ว่าตัวเองทำไปได้ไกลเท่าไหร่ ท่านที่กำลังใจเข้มแข็งมั่นคงจริง ๆ ก็ทำจนกระทั่งสำเร็จไป ท่านที่ไม่เข้มแข็งไม่มั่นคงหนัก ๆ เข้า ไปเจอธรรมะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งเข้า เห็นว่าเออ...ทำอย่างนี้สบายใจกว่าก็เลี้ยวแว๊บหายไป

    อย่างสมัยพุทธกาลพระมหากัจจายนะ ท่านบำเพ็ญพุทธภูมิบารมีมาทางด้านพระโพธิญาณมา จนกระทั่งมีมหาปุริสสลักษณะคล้ายพระพุทธเจ้า พราหมณ์พาวรี ที่เป็นอาจารย์ของมานพ ๑๖ องค์ที่ตอนหลังเป็นพระอรหันต์หมด ท่านมีแค่ ๓ อย่าง แต่ว่าพระมหากัจจายนะนี่ คล้ายพระพุทธเจ้าเลย แล้วพระอานนท์ที่เป็นน้อง (ลูกอา) ก็คล้าย พระนันทะที่เป็นน้องต่างแม่ก็คล้าย ถึงเวลาออกบิณฑบาติไปทางด้านเดียวกัน พระพุทธเจ้าเสด็จ พอถึงยามว่างจากภารกิจ พระอานนท์เสด็จ เดี๋ยวก็พระนันทะไป พระมหากัจจายนะไป คนเขาก็เลยว่า เอ๊ะสมณผู้นี้ทำไมถึงมักมากแท้มาแล้วมาอีกอย่างนี้

    พระมหากัจจายนะท่านเลยอธิษฐานให้ร่างกายท่านอ้วน คนอื่นจะได้จำได้เป็นคนละคนกัน แต่จริง ๆ แล้วท่านเองนี่มีมหาปุริสลักษณะเสียด้วยซ้ำไป แล้วเป็นพระเถระองค์เดียวที่มีความสามารถพิเศษในการขยายหัวข้อ ที่พระพุทธเจ้าย่อไว้ให้เป็นของพิสดารคือ จากของยากให้เป็นของง่ายของละเอียดได้ก็เลย เป็นพระเถระองค์เดียวที่มีพระสูตรบันทึกอยู่ในพระไตรปิฎก เพราะว่าพระอานนท์ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า พระมหากัจจายนะแก้ในข้ออรรถ ข้อธรรมมาในลักษณะอย่างนี้ ๆ พระพุทธเจ้าประทานสาธุการบอกสาธุ ๆ ถ้าเป็นตถาคตก็แก้อย่างนี้เหมือนกัน

    เพราะฉะนั้นพระมหากัจจายนะ เป็นพระอรหันต์องค์เดียวที่มีพระสูตรที่ท่านกล่าวถึงอยู่ในพระไตรปิฎก นอกนั้นจะเป็นคำเทศน์ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น เขาเรียกภัตรเทกะรัตตะสูตร สูตรของผู้มีราตรีอันเจริญ ทำอย่างไรจะเป็นผู้มีสติอยู่ทั้งหลับทั้งตื่น นั่นแหละพระพุทธเจ้าท่านเทศน์เอาไว้สั้น ๆ พระมหากัจจายนะขยายซะยาวยืด แล้วเสร็จแล้วต้องดูลีลาครูบาอาจารย์ ลีลาของพระสมัยนั้น พระมหากัจจายนะนี่บ้านของท่านอยู่แคว้นอวันตี ถ้าเป็นสมัยนี้ก็บ้านนอกสุดกู่คือสุไหงโกลกเลย ถึงเวลากลับไปแต่ละทีมีผู้ศรัทธาเลื่อมใสตามมาบวชทีหนึ่ง ๑๐๐, ๒๐๐, ๕๐๐ พามากราบพระพุทธเจ้า ๆ ท่านก็ประทานสาธุการ สาธุ...กัุจจายนะเธอทำดีแล้ว ๆ ...รายงานว่าปฏิบัติอย่างไรบ้าง ๆ เทศน์อย่างไรบ้าง สอนอย่างไรบ้าง พอเห็นถูกต้องสมบูรณ์ท่านประทานสาธุการให้

    ลองครูบาอาจารย์สมัยนี้ดูบ้างซิเอาแค่ทองผาภูมิก็พอ อาจารย์สมจิตร พระครูสุจิณ บุญกาญจนํ เจ้าคณะตำบลท่าขนุน เขต ๓ บวชพระมาตั้งแต่ ๒๕๓๖ จนป่านนี้เจ้าคณะอำเภอยังไม่ยอมออกใบสุทธิให้สักองค์ เำพราะกลัวว่าถ้าลูกศิษย์ของอาจารย์จิตรมาก ๆ เดี๋ยวจะไปแข่งบุญกับตัวเอง เอากับพ่อซิ แล้วพ่อท่านประกาศไว้เลยว่า เขตของอำเภอทองผาภูมิห้ามคนอื่นนั่งอุปัชฌาย์ ต้องเป็นท่านถึงนั่งได้องค์เดียว

    อาตมาไปถึงครั้งแรกก็กัดกันเขี้ยวบิ่นเลย เพราะว่าเด็กมอญจะบวช ๔ คนก็ไปติดต่อท่านเป็นอุปัชฌาย์ ท่านกำหนดมาเลยว่าค่านั่งอุปัชฌาย์ท่าน อย่างต่ำองค์ละสามพัน ๔ องค์ล่อไปหมื่นกว่าก็เลยเช่ารถพาทั้ง ๔ องค์ไปบวชกับหลวงพ่ออุตตะมะไม่เสียเลยซักตังค์แล้วแต่โยมจะถวาย พระดีทำอย่างหนึ่ง พระดีมาก ๆ ทำอีกอย่างหนึ่งนั่นน่ะเป็นอย่างนั้น
    เพราะฉะนั้นถ้าหากเราดูในพระไตรปิฎก ดูอย่างไรเสียก็จะเห็นตัวมุทิตาจิตอย่างชัดเจนเลย โดยเฉพาะพระผู้ใหญ่มีมุทิตาจิตกับผู้น้อย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามุทิตาต่อภิกษุสามเณรตลอดถึงญาติโยมทั้งหมด

    สมัยนี้มันดีแต่ขัดคอกัน หลวงวิจิตรวาทการท่านว่า อันที่จริงคนเขาอยากเห็นเราดี แต่ถ้าเด่นขึ้นทุกทีเขาหมั่นไส้ จงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย ไม่มีใครเขาอยากเห็นเราเด่นเกิน ขาดตัวมุทิตาจิต
    ตอนฝึกพรหมวิหาร ๔ ใหม่ ๆ นี่สนุกมากเลย พรหมวิหาร ๔ มัน เมตตารักเขาเสมอตัวเอง กรุณา สงสารอยากให้เขาพ้นทุกข์ มุทิตา พลอยยินดีเมื่อเขาอยู่ดีมีสุข อุเบกขาวางเฉย ถ้าหากว่าเป็นกฎของกรรมไม่สามารถจะแก้ไขได้ ที่ปล้ำ ๆ มาในกรรมฐาน ๔๐ นี่ยอมรับว่า อรูปฌาน ๔ กับพรหมวิหาร ๔ นี่สาหัสที่สุด เพราะว่าเป็นเรื่องที่ทำยากจริง ๆ ทำไป ๆ ถึงตัวมุทิตาจิตมันบอกไม่ถูก อธิบายให้เป็นคำ พูดมันยากจริง ๆ เอาแค่เป็นเลา ๆ ก็แล้วกัน

    เดินบิณฑบาตอยู่เสียงรถแล่นพรืดมา โอ้หนอ เขาทำบุญมาดีจริง ๆ เนอะ เกิดมาชาตินี้เขาร่ำ ๆ รวย ๆ มีรถขี่น่ายินดีจังเนอะ มันไปโน่นน่ะ มันยินดีกับเขาไปหมด เห็นหมูหมากาไก่ดีใจกับเขาไปหมด ถึงเวลาเสียงไก่ขันว่า เออหนอขอให้เธอเป็นผู้ที่พ้นจากความทุกข์มีแต่ความสุข ขอให้หากินอิ่มปากอิ่มท้องทุกวันนะ ใจมันไปโน่นน่ะ มันไปของมันเรื่อยเปื่อย

    ตอนที่จะฝึกขอข้าวเทวดากิน หลวงพ่อท่านก็ให้ ทรงพรหมวิหาร ๔ ให้เต็มที่ โดยเฉพาะตัวเมตตาต้องเป็นปกติ ทรงได้ทั้งวันต้องไม่ให้พร่อง ถ้าหากว่าพร่องแม้แต่วินาทีเดียวอด หลวงพ่อท่านก็เลยสอนให้ขอในวัดก่อน ของเราหน้ากุฏิต้นมะม่วงเบ้อเร่อเลย เออ...เอาตรงนี้แหละ ถ้าหากว่าอดขึ้นมาก็โน่น โยมเอี่ยมจ๋า ขอข้าวกินหน่อย โรงครัวเรามีไม่ต้องไปกลัวเสียฟอร์ม ก็มันขอไม่ได้นี่หว่า (หัวเราะ) แต่ว่าหลวงพ่อสพฤกษ์ท่านไม่อย่างนั้นน่ะซิ พอท่านรู้ว่าเรารู้วิธีขอข้าวเทวดา ขออะไรขึ้นมาท่านก็ขอเรียนบ้าง แต่นี่ท่านเผ่นไปบึงลับแลเลย แล้วก็อธิษฐานผิดด้วย ท่านอธิษฐานว่าถ้าไม่ใช่ข้าวที่ตกลงปากบาตรที่คนอื่นใส่มาจริง ๆ จะไม่ฉันอะไรเลย โอ้โห...เราทิ้งนม ทิ้งกาแฟ ทิ้งน้ำหวานไว้ ท่านไม่ฉันเลยจริง ๆ จิตใจเด็ดเดี่ยวมาก ตายเป็นตาย ท่านบอกอีก ๑๕ วันนะน้องแล้วค่อยมาดูพี่ ...เข้าไปเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกปะแง็บ ๆ ไม่มีแรงจะหายใจ เราบังเอิญมียาโด๊ปดีของจีน สกัดมาจากโปรตีนของพืช ลักษณะของพวกถั่วฉันไป ๔ เม็ด ๑๕ นาที ลุกขึ้นมาสะบัดแข้งสะบัดขาได้ เอาล่ะพี่คงรอดตายแล้วล่ะ อีก ๗ วัน ๑๐ วันค่อยมาดูใหม่ เอาใหม่อีกเหมือนเดิม ลักษณะนั้นโทษเขาไม่ได้นะ

    การขอข้าวเทวดากินมี ๒ วิธี ๆ แรกนี่เรากำหนดเจาะจงลงไปเลย ว่าเราจะขอกับต้นไม้ต้นนี้ ต้นไม้ที่มีรุกขเทวดา จะเป็นต้นไม้ ที่มีแก่นสูงตั้งแต่ ๑ ศอกขึ้นไป โบราณว่าสูง ๑ คืบ คืบหนึ่งก็คือฟุตหนึ่ง

    คราวนี้เราก็ไปตั้งใจแผ่เมตตาอยู่ตรงนั้น ฝาบาตรไม่ต้องเปิด ปิดไว้อย่างนั้น เทวดาใส่เขาไม่ห่วงเปิดฝาหรอก ถึงเวลาใส่ทะลุลงไปเลย ถึงเวลาหลับตาแผ่เมตตาอย่างเดียว ถ้าหากว่าซัก ๑๐ นาที ๑๕ นาที ถ้าใส่บาตรเสร็จเขาจะเคาะฝาบาตรเสียงดังตุ๊บ เราก็เก็บบาตรมาได้ เปิดดูข้างในจะมีข้าวเทวดาอยู่สีเหลืองอ่อน ๆ แล้วมีดอกไม้มาดอกหนึ่ง ส่วนใหญ่จะเป็นดอกไม้แปลก ๆ มีกลิ่นหอมมาก หอมชนิดที่แห้งแล้วกลิ่นหอมยังติดจมูกอยู่เลย

    อีกวิธีหนึ่งก็คือ กำหนดระยะทาง คือจากต้นไม้ต้นนี้ ถึงต้นไม้ต้นนั้นเราจะเดิน ถ้าหากว่ามีผู้ใดใส่บาตรเราจะยอมรับ ถ้าไม่มีผู้ใดใส่บาตรเราจะยอมอด ถ้าหากว่าทำลักษณะนี้ถ้าหากว่าเขาตั้งใจสงเคราะห์จะออกมาใส่บาตรให้ออกมาเป็นตัว ๆ เนื้อ ๆ อย่างนี้แหละ
    ถาม : ตาจันทร์แกอดีตมัคทายกวัด ๆ หนึ่ง พระครูวิชาญไชยคุณท่านได้เล่าว่า แกเอาเงินวัดไปปล่อยกู้ออกดอก หลังจากนั้นเมียและลูก ๔ คนก็ค่อย ๆ ตายทีละคน และสุดท้ายเมียก็ตาย แล้วตอนหลังมาแกก็หันมากินอุจจาระตัวเอง แกบอกว่าต้องประหยัดและตอนกลางคืนก็ร้องว่า อย่าทำฉันเลยฉันกลัวแล้ว ด้วยความเจ็บปวด หลังจากนั้นประมาณ ๗ วัน แกก็ตาย อยากเรียนถามท่านว่า การที่ลูกและเมียแกตายเพราะกรรมของบุคคลนั้นหรือว่ากรรมที่เอาเงินวัดไปปล่อยกู้และทำไมแกต้องกินอุจจาระแทนข้าว กลางคืนทำไมต้องร้องเจ็บปวด พระครูวิชาญไชยคุณท่านเป็นใคร ...(ไม่ชัด)...?

    ตอบ : เสียดายนะตาจันทร์แกน่าจะอยู่จะได้ถามแกเอง เรื่องของตาจันทร์ ลูกเมียของแกที่ตายไม่เกี่ยวกับแกหรอก เรื่องของกรรมใคร ใครทำใครได้ มันทำแทนกันไม่ได้ คนเราถ้าหากว่าหมดอายุขัยหรืออุปฆาตกรรมเข้ามาก็ต้องตายไปตามเวรตามกรรมที่ตัวเองทำมา แต่ว่าที่ตาจันทร์แกเอาเงินสงฆ์ไปใช้จะเกิดโทษหนักมาก ทีนี้โทษหนักพอถึงเวลาใกล้ตายสติสัมปชัญญะไม่ดีมันก็จะมีอาการเพ้อคลั่ง แสดงอะไรออกมาหลายอย่างตามกรรมที่ตัวเองทำมา อาการหนึ่งที่ตาจันทร์แกเป็นก็คือ แกจะร้องเอะอะโวยวายว่าเหมือนอย่างกับมีใครมาทำร้ายแก จำไว้ให้แม่นเลยคนเราก่อนตาย ๓ วัน ๗ วันนี่ส่วนใหญ่จะเห็นว่าตัวเองจะตาย ตัวเองจะไปไหน ในเมื่อเห็นว่าตัวเองจะตาย ตัวเองจะไปไหน สภาพของตนเองเป็นอย่างไร ตัวเองในเมื่อเอาเงินสงฆ์ของสงฆ์ไปใช้ โทษจะต้องลงอเวจีมหานรก จะต้องทุกข์ทรมานโดนเขาลงโทษตามแบบที่ตัวเองเห็นก็เลยร้องขึ้นมาด้วยความตกใจตามแบบที่ตัวเองเห็น เพราะคิดว่าอันนั้นคือตัวของตัวเองแล้ว แต่จริง ๆ ตัวเองยังไม่ตาย ภาพที่เห็นล่วงหน้าไปภายในระยะเวลาอันสั้นก่อนที่จะสิ้นชีวิตเท่านั้น ประมาณ ๓ วันหรือ ๗ วัน ส่วนใหญ่จะรู้วาระของตัวเอง ถ้าหากว่ายิ่งปฏิบัติในอาณาปานสติจนทรงตัว มีความคล่องตัวนี่สามารถบอกล่วงหน้าได้เป็นปี ๆ กว่าจะตายเมื่อไหร่

    ถาม : แล้วท่านพอจะทราบมั้ยครับว่าพระครูวิชาญไชยคุณท่านเป็นใคร ?
    ตอบ : พระครูวิชาญไชยคุณ ปัจจุบันท่านคือเจ้าคุณพระมงคลชัยสิทธิ์ วัดปากคลองมะขามเฒ่า อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท ก่อนหน้านั้นเคยเป็นคู่เทศน์กับหลวงพ่อมา ตอนนี้ยังอยู่ ๘๐ กว่าใกล้จจะ ๙๐ แล้ว เริ่มได้ยินคนเขาบอกว่าท่านเริ่มหลงแล้วเหมือนกัน อายุุมากแล้วนี่ ก็ต้องมีลืมโน่นลืมนี่บ้าง

    ถาม : การใช้อารมณ์กรรมฐานที่คนมองเห็นภาพพระพุทธเจ้าหรือ พระพุทธรูปอย่างนั้นเป็นอารมณ์ที่คิดเอง หรือเป็นเพราะสมเด็จพระพุทธเจ้าท่านทรงโปรดเสด็จมาครับ ?
    ตอบ : มี ๒ อย่าง ๆ หนึ่งท่านเปล่งฉัพพรรณรังสีมาโปรดเฉพาะหน้าเหมือนกับท่านเสด็จมาเอง อีกอย่างหนึ่งก็คือ จิตของเราเกาะภาพพระเป็นปกติเขาเรียกว่า พุทธนิมิตร ลักษณะเหมือนอย่างกับกสิณ เป็นไปได้ทั้ง ๒ อย่าง

    ถ้าหากว่าท่านตั้งใจจะสงเคราะห์ ก็จะปรากฏขึ้นเฉพาะหน้าเรา เหมือนกับองค์ท่านเองทุกอย่าง แล้วอีกอย่างหนึ่งเราจับภาพพระเป็นปกติ ภาพนั้นก็จะปรากฏขึ้นได้ตามที่เราต้องการ
    ถาม : แล้วเรื่องพระเตมีย์ใบ้ที่ท่านเห็นบิดาตัดสินโทษประหารชีวิตบุคคลอื่นและตนเองต้องยอมเป็นใบ้เพราะมองเห็นว่า ในอดีตตัวเองเคยตกอยู่ในนรกมาแล้ว อยากจะเรียนถามว่าการที่ผู้พิพากษาตัดสินคดีคนมีความผิดและต้องรู้ถึงผลการตัดสิน แล้วจะต้องได้รับผลเช่นเดียวกันนี้หรือไม่ ?


    ตอบ : ต้องดูว่ากำลังใจท่านเกาะอะไร ถ้าหากว่ากำลังใจท่านเกาะในทาน ศีล ภาวนา การตัดสินทุกอย่างเป็นไปโดยยุติธรรม ตามตัวบทกฎหมายไม่ได้คิดจะกลั่นแกล้งใคร ไม่ได้คิดจะลงโทษใครโดยความไม่ชอบมาพากลเฉพาะตัวอย่างนี้ สิ่งที่ท่านทำ ท่านทำเพื่อรักษาความสงบสุขของคนส่วนใหญ่ ถ้าำกำลังใจท่านเกาะในส่วนดีก็ไปดี แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วถ้าหากว่าเป็นอย่างที่พระเตมีย์ท่านว่ามานั่น สมัยนั้นคงจะตัดสินกันด้วยอารมณ์ ตัดสินกันด้วยโทสะ ประเภทแหม ! มันฆ่าคนมา มันลักทรัพย์สินสิ่งของเขามาทำให้เขาต้องเดือดร้อนวุ่นวาย ทำให้กูต้องเดือดร้อนไปด้วย ในเมื่อตัวเองตัดสินในลักษณะนั้นเสร็จแล้ว เวลาก่อนตายกำลังใจเกาะในด้านที่ไม่ดีก็ไปยาวเลย ต้องดูว่าก่อนตายกำลังใจเขาเกาะอะไร แล้วสิ่งที่เขาทำ ๆ ตามหน้าที่โดยสุจริตหรือเปล่า ?

    ถาม : การใส่แหวนพระจริง ๆ แล้วสมควรหรือไม่ เพราะว่าการใส่แหวนพระบางทีท่านก็ไปอยู่ในที่ ๆ ไม่เหมาะสมไม่บังควรเช่น ห้องน้ำ หรือการใช้มือหยิบจับสิ่งต่าง ๆ หรือล้างจานเป็นต้น ?
    ตอบ : จริง ๆ แล้วเราต้องดูว่า เราใส่เพื่ออะไร ถ้าเราใส่เป็นอนุสติมันก็สมควรอยู่แ้แล้ว ขณะเดียวกัน แหวนเขาทำมาลักษณะนั้นมันอยู่กับมือ ต้องทำหน้าที่การงานล้างจาน ซักผ้าถูบ้านหรือว่าหยิบจับสิ่งที่ไม่สะอาดก็เป็นเรื่องปกติ แล้วถึงเวลาเรารีบล้างให้สะอาดก็แล้วกัน ขอให้กำลังใจของเราเกาะพระเป็นปกติใช้ได้ แต่ว่าถ้าหากว่าเราใส่ลักษณะนั้นแล้ว ๆ มัวแต่ไปคิดไปหวาดไประแวงอยู่ทำให้ตัวเองไม่มีความสุขก็เปลี่ยนเป็นวิธีอื่นแทน จะแขวนพระหรือจะใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อแทนก็ได้ ไม่อย่างนั้นมันมัวแต่ระแวงอยู่หาความสุขไม่ได้

    ถาม : ตอนนี้ผมก็ใส่อยู่ครับ แต่ก็คอยระแวงอยู่ แล้วมีผลอย่างอื่นอีกมั้ยครับ ?
    ตอบ : ถ้าหากว่ากำลังใจของเราไม่ดี มันก็มีผล เพราะว่าจิตใจตัวเองไม่ดีแล้วมัวแต่ระวังอยู่ตรงนั้นว่าเป็นโทษแล้ว ใจก็จะเศร้าหมอง
    ถาม : .................................................
    ตอบ : อันนี้ยืนยันนะ เพราะว่าการพุทธาภิเษกทุกอย่างนี่ ตามสายครูบาอาจารย์ท่านสอนมาไม่เคยสอนให้เสกเองเลย เพราะฉะนั้นทุกครั้งจะเป็นเรื่องของการอาราธนาบารมีพระ ส่วนท่านจะให้ใครมานี่อีกเรื่องหนึ่ง อย่างน้อย ๆ จะมีพระอรหันต์องค์ใดองค์หนึ่งได้รับบัญชาให้มา แต่ถ้าหากว่าเป็นเรื่องสำคัญที่จะสงเคราะห์ต่อคนหมู่มาก หรือว่าเรื่องที่ท่านสั่งเองสมเด็จท่านจะเสด็จเอง
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,022
    ถาม : (ถามเกี่ยวกับเรื่องการสร้างพระองค์ที่ ๑๑)

    ตอบ : อันนี้มันเป็นไฟท์บังคับคือไม่ได้เจตนาสร้างพระองค์ที่ ๑๑ เป็นความคิดของคนหลาย ๆ คน เราเองไม่อยากให้ทำเพราะว่าคนที่ไม่รู้จักแล้วไปปรามาสท่านโทษมันเยอะ

    อันนี้คณะของแสงชัยเขาก็ดื้อ ทำขึ้นมา เมื่อดื้อทำขึ้นมาตอนพุทธาภิเษกนี่เหงื่อหยดเลยซี พระองค์ไหนท่านก็ไม่รับทั้งนั้น ใครจะไปเสกรูปพระองค์ที่ ๑๑ ได้ล่ะ ก็ต้องของท่านเองไอ้พวกหอกหลุดนั่นก็ไม่ไปเชิญเองซะด้วย โดนเข้าเองเลยซิ พอท่านเสด็จมามันก็ชักแหง็ก ๆ อยู่ตรงนั้นแหละทำอะไรไม่ถูก ถ้าไม่ลากออกมามันตายไปแล้ว ยังไม่รู้ว่าพระองค์ที่ ๑๑ หรือสมเด็จองค์ปฐม บารมีท่านขนาดไหน เวลาท่านคุมหลวงพ่อนี่ พระวัดท่าซุงก้มหน้าดูดินหมด ถ้าเห็นหลวงพ่อตัวดำปี๋ขึ้นมาเมื่อไหร่ตัวใครตัวมันเถอะ ไม่รู้ว่าจะโดนอะไรบ้าง ?

    ถาม : ของผมนี่รู้สึกว่าท่านใจดีครับ เวลาไหว้พระสวดมนต์ เวลาจุดธูปจุดเทียนมองท่านทีไรนี่เหมือนท่านยิ้มสุดชีวิต ?
    ตอบ : ใจดีของคุณนี่ไม่มีเรื่องให้ระแวงนี่ ของพระนี่เดี๋ยวศีลพร่องมั่ง เดี๋ยวอะไรมั่้ง มันเยอะ...สู้กิเลสไม่ได้ขายขี้หน้าขึ้นไปท่านสับหัวหลุดเลย
    ถาม : เวลาผมขับรถผ่านศาลที่ชาวบ้านตั้งไว้ บางทีมันรู้สึกแปลก ๆ ครับ ผมรู้สึกเหมือนกับเขานั่งไหว้ผม แล้วเหมือนกับมาคอยส่งคอยรับผม ทำไมผมถึงรู้สึกอย่างนั้นล่ะครับ ผมก็เอ้อ! ทำไมผมรู้สึกอย่างนั้นนะ เราก็ยังรู้สึกว่าเรายังไม่มีความดีสู้เขาได้เลย ?

    ตอบ : บางทีของที่ชาวบ้านทำกันเองเขาจะเชิญผีมา พวกผีประเภทสัมภเวสี เปรต อสุรกายอย่างนี้ ถ้าหากว่าตัวเรามั่นคงอยู่ในทาน ศีล ภาวนาเป็นปกติแล้ว กายในของเราไม่กายเทวดาก็กายพรหมอยู่แล้วนี่ ในเมื่อกายเทวดา กายพรหมก็สูงกว่าเขาเยอะ เขาไหว้มันไม่แปลกหรอก ที่แปลกที่สุดก็คือ มีศาลอยู่ศาลหนึ่ง ศาลเจ้าพ่อเขาสามชั้น ตรงทางไปวัด เจ้าพ่อเขาสามชั้นจะอยู่ตรงช่วงที่เป็นภูเขามันขึ้น-ลง แต่เราไม่ค่อยรู้สึกหรอก ศาลนั้นเจอทีไรเราเผลอจะยกมือไหว้ทุกที มารู้ทีหลังว่าท่านเป็นพระอริยเจ้า ดูถูกเจ้าที่ไม่ได้นะ เราก็ว่าเจอว่าเจอศาลที่ไหนก็ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้ มาเจออันนี้เข้าจะยกมือไหว้ทุกที

    ถาม : ผมทำบุญทีไรก็จะอุทิศให้กับสิ่งรอบ ๆ ตัวเลยนะ เขาก็ไปเป็นเทวดาชั้นสูงกันหมดแล้ว ?
    ตอบ : อย่างของหลวงพ่อไง ขึ้นไปบนนิพพานไปเจอบอกเอ็งมาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ ? บอกอ้าวก็หลวงพ่อบอกให้โมทนาบุญไม่ใช่เหรอ ไม่ต้องเสียเวลาของมันเลย โมทนาบุญพระอรหันต์เป็นพระอรหันต์เฉยเลย พวกดวงเฮงอย่างนี้ก็มีด้วย

    ถาม : มีอยู่เรื่องหนึ่งครับ เมื่อเดือนที่แล้วผมไปที่ท่านปู่ท่านย่า ผมก็เอ๊ะ...ทำไมอารมณ์ใจของผมมันคิดแต่เรื่องตายอยู่เรื่อย ๆ ขึ้นไปก็ถาม....(ไม่ชัด)....(เล่าเกี่ยวกับว่าไปถามเรื่องนางฟ้าเทวดากับท่านปู่ ท่านย่าว่าทำไมท่านฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าแล้วทำไมไม่ไปนิพพาน) ?
    ตอบ : กำลังใจยังเข้าไม่ถึง ไปได้ก็ดีซิ ลักษณะของเทวดาจะเป็นอย่างนั้น แต่ว่ามีบางพวกที่ท่านจะจุติมาเพื่อจะสร้างบารมีต่อ แล้วมีหลายคนที่อยากได้ลูกแล้วทำพิธีขอ ตั้งเครื่องบวงสรวงแล้วขอกับท่านปู่พระอินทร์ เทวดาองค์ไหนที่ตั้งใจจะลงมาเกิดเพื่อสร้างบารมีก็ขอให้มาเกิดกับเรา คราวนี้พอได้มาแล้วก็รักษาให้ดีนะ (หัวเราะ)

    ถาม : ตอนตรุษจีนมีอยู่วันหนึ่ง นั่ง ๆ อยู่ก็คิดว่าลองตามไปดูซิว่า สัตว์พวกนี้จะเป็นยังไงบ้าง ก็เลยลองดูไปหาท่านพระยายมราช ถามท่านว่าพวกนี้จะไปไหนกันครับ ? ท่านก็เลยชี้ให้ดูเป็นที่แห่งหนึ่ง เห็นหมูโดนเขาแทงคอตาย พอตายปุ๊บหมูนั่นตายแล้ว ไอ้หมูตัวผู้นั่นเป็นผู้ชายหายแว๊บไป พอเป็นตัวเมียก็เป็นผู้หญิงหายแว๊บไป เสร็จแล้ว่ท่านก็บอกว่านั่นกรรม ๕๐๐ ชาติที่โผล่มาแล้วหายนั่น ๒๐๐ ชาติเต็ม ๆ แล้ว ท่านก็บอกว่าคนสั่งการก็ดี คนฆ่าก็ดีก็ไปที่โน่นก็หายแว๊บไปเลย เสร็จแล้วก็ไปหาท่านนายบัญชีไปขอดูบัญชีท่านก็เปิดให้ดู รายการของผมนี่ยาวเหยียดเลยเป็นแถว เข่าอ่อนเลย ท่านถามว่ากลัวมั้ย ? บอกกลัวครับ ท่านก็ชี้ให้ดูท่านก็บอกว่ามันมีบาปอยู่ตัวนะ บาปตัวนี้บัญชีเขาไม่บันทึกนะ ถ้าเธอคิดว่ามันเป็นบาปเธอก็ลงนรก ตามไปดู ผมก็เลยกลับมา ไม่เอาแล้ว ?

    ตอบ : เรื่องตรุษจีนนี่มีอยู่ปีหนึ่งก็อยากรู้เหมือนกันว่าพวกสัตว์ต้องตายตอนตรุษจีนนี่จะีมีเท่าไหร่ โห!เจ้าประคุณเถอะ กี่ล้านก็ไม่รู้ ที่แปลกก็คือมันมีวัวเยอะ เราก็เอ๊ะ ! คนจีนมันกินวัวด้วยเหรอ ? บอกว่าไม่ มันเอาจริง ๆ
    ถาม : คนจีนไม่เคยกินเนื้อเลยนะ ?
    ตอบ : ประเทศเราไม่มี ประเทศจีนมีแคว้นซินเกียง ใหญ่กว่าประเทศไทยอีก อิสลามเกือบทั้งนั้นเลย ตอนแรกยังทึ่งมากเลย อะไรคนจีนไม่กินเนื้ออยู่แล้ว อิสลามเขาก็กินเนื้อแพะกินแกะ ตอนแรกมึนนึกว่ามีแค่หมู เห็ด เป็ด ไก่ ที่ไหนได้วัวเอาด้วยบานเลย เพราะท่านทำภาพให้ดู เอ้อเหอ ! ปี ๆ มันตายเยอะขนาดนี้เชียวเหรอ

    ถาม : ผมยังติด ๆ เลยนะครับว่าที่เราเลี้ยง ๆ กันไว้นี่ ทำไมมันพอให้เรากินก็ไม่รู้นะครับ คิดแล้วไม่น่าจะพอกินเลยนะครับ แต่ละคนกินกันเยอะ ?
    ตอบ : นั่นยังไม่น่าคิดเท่าไหร่หรอก แต่ที่ตายเท่าไหร่นี่น่าสยดสยองกว่าเยอะ อะไรคนเรามันจะกินเพื่อนร่วมโลกได้เยอะขนาดนั้น ?
    ถาม : ผมยังจำได้เลยครับไปดูโรงเชือดน่ะครับ ผมยังรู้สึกเสียใจอยู่เลยไปดูเสร็จแล้วมันก็แบบ อุ๊ย...เนื้อมันตายใหม่ ๆ มันต้องอร่อยแน่เลย แล้วเพื่อนมันก็เฉือนมาให้กิน พอเอามากินก็ โห...อร่อยจริง ๆ แล้วก็แบบเฮ้ย ! ทำไมอารมณ์เราไปอย่างนั้นได้ มันเฉือนมาให้กินเราก็กิน ?
    ตอบ : ตอนนั้นเขาเรียกว่า อกุศลกรรมมันบันดาล ในเมื่ออกุศลกรรมชักนำไปก็เป็นอย่างนั้นแล เอาเถอะตอนนี้รู้แล้วนี่อย่าไปอร่อยอีกก็แล้วกัน ลักษณะที่ทำได้ประโยชน์ตรงที่ว่าพอถึงเวลาแล้วจะได้ละอายชั่วกลัวบาป เห็น ๆ อยู่แล้วว่าโดนอะไรบ้าง

    ตอนนี้ท่านเอก็สอนพระ เณร ชี อยู่ทุกวันพฤหัส พาไปดูให้ช่ำใจจะได้เข็ด พอหลังทำวัตรเย็นประมาณทุ่้มครึ่งหรือทุ่มสี่สิบห้าก็จะเริ่มกันกว่าจะเลิกก็สามทุ่้ม สี่ทุ่ม

    ถาม : เวลาคุยไปนี่รับสังฆทานใจมันเสมอกันไปเหรอครับ ?
    ตอบ : ดูเอาเองซิ (หัวเราะ) อาการภายนอกมันเป็นน้ำปากบ่อ ลมมาอะไรมามันก็กระเพื่อมไปตาม แต่ข้างในต้องนิ่ง เพราะถ้าหากว่าไม่นิ่งเวลากิเลสเข้ามาเรารู้ไม่ทันมัน ทำให้ได้ถ้าทำได้ถึงตรงนี้แล้วสบาย คนอื่นเขาไม่รู้หรอก เห็นเราเฮฮาไปเรื่อยไม่รู้หรอกว่าเราใส่เกราะไว้เต็มที่เลย
    ถาม : เมื่อกี้เห็นเวลาพูดโทรศัพท์ แล้วเขามาถามผมว่าทำไมเวลาตอนคุยกับตอนรับสังฆทานต่างกัน ?
    ตอบ : มันเหมือนกัน แต่ว่ามันต้องออกอาการเพราะถ้าไม่ออกอาการแล้วคนพวกนี้เขาจะไม่รู้ บางคนก็บอกเอ๊ะ ! ทำไมอยู่ ๆ ดุขึ้นมากระทันหัน ก็ต้องดูว่าเป็นยังไง แต่หมามันรู้หมามันเก่งจริง ๆ มันรู้ เราแกล้งเสียงดังเอ็ดตะโรมัน เปล่า...มันกระดิกหางเลียเราเฉยเลย มันรู้ว่าเราไม่ได้ด่ามันจริง คนนี่ไม่ได้คนนี่ไม่ค่อยรู้ ได้ยินเสียงดังหน่อย เฮ้ย ! โกรธแล้วนี่หว่า
    ถาม : ขอเล่าเรื่องหมาเรื่องหนึ่งนะครับ ที่บ้านเพื่อนผมนี่เขาปฏิบัติกรรมฐาน ทีนี้ละแวกนั้นน่ะมีคนเขาจะมาขโมยของ จะเข้าบ้านใครนี่มันจะเห่ายาว ๆ ยังไงไม่รู้ เขาเลยวางยาเบื่อมันเป็นแถวเลย ตายทั้งซอยเลยครับ

    แล้วยาเบื่อนี่ก็ไปโดนหมาที่บ้านที่ปฏิบัตินี่ด้วย มันก็มีหมาที่ไม่ได้เจตนาเลี้ยง ๒ ตัวแล้วก็หมาที่อยู่ประจำอีก ๒ ตัว ตายเรียบเลย พอกลับมาบ้านหมาตายเขาก็เศร้าใจนิด ๆ เขาปฏิบัติกรรมฐานนี่เขายังวางอารมณ์ไม่ได้ เขาก็ทำอะไรของเขาไปเรื่อย พอใจมันวางจริง ๆ นี่เขาบอกว่าตัวมันนั่งอยู่ชั้น ๒ นะ แต่เอาใจลงไปเดินหน้าบ้าน พอเอาใจเดินไปหน้าบ้านนี่กลางคืนมันสว่างเหมือนกลางวัน เขาก็ขอบอกว่าขอบารมีพระพุทธเจ้าว่า ขอให้หมาของข้าพเจ้าที่ตายไปเมื่อวานนี้นี่มาพบ เขาบอกว่ามีหมาวิ่งมา ๔ ตัว ตัวที่รักมากนี่อยู่ใกล้ ตัวที่เฉย ๆ นี่อยู่ห่างออกไป เห็นเป็นหมาแป๊บหนึ่งแล้วก็เป็นคน เขาก็ชวนคุยต่อว่าตอนที่เธอโดนเบื่อนี่เธอรู้สึกยังไง ? คุยกันอย่างคนคุยกันเลย เขาก็บอกว่ารู้สึกร้อนจะตายแล้ว ๆ รู้สึกว่าต้องวิ่ง ๆๆๆ จนกระทั่งมันหมดแรงล้มลง แล้วก็รู้สึกว่าความร้อนนั้นหายแล้วก็รู้สึกสบาย แล้วเขาก็บอกว่าเขาจะให้ข้าวเธอกินมีเนื้อดี ๆ แล้วก็ข่าวอร่อย ๆ หมูชิ้นใหญ่ ๆ เขาบอกว่าอยากกินมั้ยล่ะ ? เขาบอกว่าอยากกิน พออยากกินปั๊บ เขาบอกว่าเขาเอื้อมมือเข้าไปในบ้านนะหยิบพระพุทธรูปติดมือมา แล้วเขาก็ส่งให้ แล้วบอกว่าเธอว่าตามนะ พุทธัง ธรรมมัง สังฆัง พอว่าตามเสร็จพระพุทธรูปที่อยู่ในมือเขา ลอยเข้าไปครอบที่ตัวเขา แล้วเขาก็บอกว่าผลบุญที่เขาทำมาเขาอุทิศส่วนกุศลให้ก็ไปเป็นเทวดาอยู่ชั้นหนึ่ง ประการที่สำคัญก็คือว่าเทวดาทั้ง ๔ องค์ท่านบอกว่า ๒ ตัวหลังนั่นบอกว่า ตอนที่เราเป็นหมาเรารู้ว่าท่านไม่ชอบ แต่ที่ท่านให้เรากินก็เพราะพรหมวิหาร ๔ ของท่านเราขอขอบคุณก็เลยตรงกับที่บอกว่าหมามันรู้ ?

    ตอบ : หมามันรู้จริง ๆ ไม่มีอะไรเกินหมาแล้ว เจ้าพระคุณเถอะ ของเราดุนี่พระเณรหัวหดหมด หมามันกระดิกหางเฉยเลย มันรู้ว่าไปแต่เสียง มันรู้จริง ๆ สัตว์เดรัจฉานที่อยู่ใกล้มนุษย์นี่กรรมของเดรัจฉานใกล้จะหมดอยู่แล้ว ถ้าใจเกาะคนมันจะเกิดเป็นคน ถ้าใจเกาะพระมันจะเกิดเป็นเทวดา โอกาสที่จะกลับไปเกิดเป็นเดรัจฉานหรือว่าตกลงไปอบายภูมิที่ต่ำกว่านี่ประเภทร้อยละไม่ถึง ๑ หลวงพ่อท่านถึงได้สอนให้เลี้ยงหมาประจำ ให้ใจมันผูกไว้กับเราถึงเวลาก็เอาขนมไป
    ตอนอยู่ที่เกาะก็อาศัยเสียงหลวงพ่อ ปรากฏว่าเสียง ๔ โมงเย็นมันรู้ว่าจะได้กินมันก็วิ่งกรูกันมา จะให้มันเกาะเสียงหลวงพ่อเป็นหลัก พอถึงเวลา...โยโส ภะคะวา มันก็วิ่งพรืดมาแล้วให้ช้าหน่อยก็บ่น (หัวเราะ) โวยวายกันให้ขรมเลย โดยเฉพาะนางแว่น สัตว์เดรัจฉานพอถึงเวลาเขาตายปุ๊บกายในเขาก็เป็นคนเราดี ๆ นี่เอง

    ตอนนั้นท่านใหม่ตายที่วัดท่าซุงเป็นเทวดามาสวยเช้งเลย พระโพธิสัตว์นี่ไม่สวยได้ยังไงใช่มั้ย ? มาหน้าหมามาเลยกลัวเราจำไม่ได้ เราเห็นก็หัวเราะบอกทำไมต้องมาอย่างนี้ ? บอกเดี๋ยวท่านจำไม่ได้ ก็คุยกันก็เหมือนกับคนธรรมดานี่แหละ

    ถาม : มีพระโพธิสัตว์กลุ่มหนึ่งครับท่านมาสอนในสมาธิ สอนไปสอนมาก็มีเทวดามาบอกว่าพระโพธิสัตว์องค์นั้นเขาจะเป็นพระพุทธเจ้า คนพวกนี้เขาจะไปนิพพานในชาตินี้ พระคุณเจ้าปฏิบัติเพื่อจะเป็นครูคนเขาจะทำอย่างพระคุณเจ้าไม่ได้ ท่านก็เลยบอกว่าไม่ต้องทำทั้งหมดให้ทำอารมณ์คล้ายนะ...(ไม่ชัด)...?

    ตอบ : จริง ๆ แล้วพระโพธิสัตว์ถ้าหากว่าปรมัตถบารมีแล้ว ต้องศึกษาเรื่องนิพพานโดยเฉพาะเลย เพราะว่าเขาต้องรู้ให้ละเอียดจนกระทั่งทุกซอกทุกมุม มันมีหลายต่อหลายคนอย่างคณะปัจจุบันที่คุณตือพามานี่ เป็นพระโพธิสัตว์ไม่แตะนิพพานเลยก็อีกนานเลยล่ะพ่อคุณ พระโพธิสัตว์นี่ต้องเกาะนิพพานเป็นปกติ ไปมันให้ช่ำทุกซอกทุกมุมเลย กำลังใจของท่านนี่มันไม่ไ้ด้เป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ก็จริง แต่การปฏิบัติถ้าทำถึงตรงนั้นกำลังใจจะเทียบเท่าพระอริยเจ้าระดับนั้น ๆ ได้ เพียงแต่ว่ามันเหลือภารกิจอยู่ว่าจะต้องไปเกิดใหม่เพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า กำลังใจก็จะล๊อคอยู่นิดเดียวเท่านั้นเอง

    ถาม : เหมือนผมจะคิดไปเองครับว่าต้องพยายามตัดสังโยชน์ให้ได้แล้วก็จะค่อย พัฒนาไปเรื่อย ๆ ?
    ตอบ : เอาเถอะพวกเวลาเยอะ ค่อย ๆ พัฒนาไปเถอะ ระยะหลังเจอพวกเวลาเยอะมากเลย ของเราเองไม่ต้องอะไรหรอกที่หนองบัวนี่ ลงไปนั่งรออยู่ในเรือแล้วนี่ ๑๑ โมงกว่าแล้วแดดก็ร้อนเปรี้ยง ๆ ตากแดดรอมันอยู่เกือบครึ่งชั่วโมงกว่ามันจะมา นั่งไปหัวเราะไป ท่านนาวินจะกางร่มให้ บอกไม่ต้องหรอกครูบา จะรอดูมันว่าพวกเวลาเยอะนี่มันจะใช้เวลาซักเท่าไหร่ ของเราคนไม่มีเวลาเราจะทำอะไรปุ๊บปั๊บแล้วเราก็ไปเลย พวกนี้พอได้ยินว่าจะไปกูค่อยวิ่งไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อนชวน เอ้า ! นั่งคุยอีกพักหนึ่ง ดึงกันไปยื้อกันมา เอ้า ! เดี๋ยวอีกคนหนึ่งรอกูด้วย เขาก็วิ่งไปอาบน้ำ เราก็ตากแดดรอตัวดำปี๋เลย มันตำหนิเขาไม่ได้ เวลาเยอะจริง ๆ ของเรามันคนไม่มีเวลา

    ถาม : นี่ถ้าหากพระพุทธเจ้าท่านเสด็จมาตอนนี้แล้วท่านถาม ปรารถนานิพพานแค่ไหนจะตอบว่าอย่างไร ?
    ตอบ : ถามว่าปรารถนานิพพานแค่ไหน ก็จะตอบว่าไปตอนนี้่ได้เลยก็จะดี (หัวเราะ) ไม่มีอะไรน่าเบื่อไปกว่าร่างกายนี้อีกแล้ว เพียงแต่ว่าในเมื่อเราต้องอยู่กับมัน แล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเราเกิดจากเราทำทังนั้น ในเมื่อเกิดขึ้นจากเราทำ เราก็ต้องยอมรับมัน ๆ ก็ไม่ไปดิ้นรนต่อต้านอะไรเหมือนกับอยู่อย่างมีความสุขใช่ั้มั้ย ? แต่จริง ๆ อยากไปจากมันทุกเวลาเลย ต้องยอมรับมันนะ ปกติของมันเป็นอย่างนั้นค้านไม่ได้เลยล่ะ ค้านเมื่อไหร่มันเล่นตายเลย มันป่วยปะแง็บ ๆ ให้เห็นอยู่นี่

    ถาม : เวลาผมกราบพระ ผมชอบนึกว่าผมอยู่หน้าท่านข้างบนเลย แล้วผมก็จะกราบเหมือนกับว่าผมไม่ได้นั่งอยู่หน้าโต๊ะหมู่บูชา แต่ผมกราบองค์ปฐมบนนิพพาน แต่พอนึกอย่างนั้นแล้วจะรู้สึกว่าอารมณ์มันเย็นมากเลย รู้สึกว่าตัวมันจะไหว ๆ สั่น ๆ ตลอด ?
    ตอบ : น่าจะทำอย่างนั้นมานานแล้ว ของเรากราบทีไรก็ไม่เคยกราบตรงนี้อีกเหมือนกัน กราบทีไรก็บนพระบาทพอดีทุกที
    ถาม : ที่แปลกใจก็คือว่าทำไมอารมณ์ต้องเป็นแบบนี้ ?
    ตอบ : ถ้าหากว่าเราไปปล่อยเผลอใจไปโดยประมาท เราไม่มั่นใจว่าตัวกิเลสมันจะแทรกเข้ามาเมื่อไหร่ ถ้ามันแทรกเข้ามาเมื่อไหร่เราก็เจ๊งเมื่อนั้นแหละ แต่ถ้าหากว่าเราผ่านการฝึกอย่างสาหัสสากรรจ์มาระยะหนึ่งแล้วนะ
    ถาม : พวกใหญ่ ๆ นี่เราทำลายมันหมดแล้ว ๆ จะไปหวั่นไหวอะไำรล่ะครับ ?
    ตอบ : ก็มันประมาทได้ที่ไหนล่ะ ปัดโธ่...ตราบใดก็ตามที่เรายังมีชีวิตอยู่ตราบนั้นเราก็ต้องระวังสุดขีดอยู่นั่นแหละ เกิดเห็นสาวมันสวยขึ้นมาเมื่อไหร่ ตูก็เดี้ยงน่ะสิ
    ถาม : .........................................
    ตอบ : ถึงได้บอกว่าถ้านับตามสายครูบาอาจารย์จริง แล้ว ครูบาอาจารย์ท่านไม่ได้ไปนั่งทะเลาะกันหรอก ถ้าเป็นสายปฏิบัติที่มาถูกทางจริง ๆ ท่านไม่ได้มานั่งทะเลาะกัน แต่ลูกศิษย์มักจะเอากิเลสมาชนกันก็เลยทำให้เกิดสายนั้นสายนี้ ดีไม่ดีทะเลาะกันไปใหญ่โต ทั้ง ๆ ที่ครูบาอาจารย์ท่านไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเลย

    แต่ว่ามีบางสายเหมือนกันที่เขาไม่ชอบหลวงพ่อเรา คือท่านคิดว่าสิ่งที่ท่านทำนั้นดีแล้วถูกแล้วใช่มั้ยล่ะ ? ท่านเองท่านก็เหมาเอาว่าตรงนั้นใช่ แต่ขณะเดียวกันคนอื่นที่ทำไม่เหมือนของท่านต้องไม่ใช่ แล้วก็งับหลวงพ่อประจำเลย เป็นครูบาอาจารย์ใหญ่ ๆ โต ๆ ทั้งนั้นแหละ ปล่อยเขาเถอะ พวกนี้เวลาตายแล้วจะรู้ ลักษณะที่เห็นว่าตัวเองทำดีแล้ว ถูกแล้วนี่ จริง ๆ มันดีเหมือนกันถูกเหมือนกันแต่มันยังดีแค่นั้นยังถูกแค่นั้น กลายเป็นเอาทิฐิคือความเห็นตัวเองไปผสมกับธรรมะของพระพุทธเจ้า กลายเป็นพระพุทธเจ้าสอนแค่นี้ คลำหางอึ่งยังไม่ทันจะติดเลย เหมาเอาพระพุทธเจ้ามีอยู่แค่นี้ แล้วตัวนี้แหละจะทำให้ลำบากทีหลัง เพราะถ้าเขาสามารถก้าวล่วงต่อไปข้างหน้าแล้วมองกลับมา เขาจะเห็นว่าสิ่งที่ดีกว่านี้ถูกกว่านี้มันยังมีอยู่ ที่ตัวเองทำอยู่ตอนนี้น่ะผิด แล้วก็จะไปยึดที่ดีกว่านี้ที่ถูกกว่านี้ แล้วถ้าเกิดก้าวไปอีกก้าวหนึ่ง อ้าว ตรงนี้ผิดอยู่นี่ ที่ดีกว่านี้ยังมีอยู่ ก็จะไปทีละขั้น ๆ อย่างนี้ไปเรื่อย จนกว่าจะแก้สันดานของตัวเองได้ ที่จะไม่เอาตัวเองเป็นที่ตั้งนะ อันนี้เขาเรียกว่า อัตวาทุปาทาน คือถือวาจาของตนเป็นใหญ่

    ถาม : ผมไปอ่านเจอในหนังสือหลวงพ่อท่าน ๆ บอกว่า ท่านนอนเตียงผ้าใบแล้วก็บอกว่าคนที่ทำกรรมมาเยอะนี่ตายชาตินี้ไปไหนครับ (ไม่ชัด) ท่านเห็นภาพหัวกะโหลกเรียงกัน (ไม่ชัด) ถามหลวงพ่อว่าท่านเห็นภาพนี้ท่านรู้สึกอย่างไรครับ ใจท่านว่าเฮ้ย มองเจ้ากรรมนายเวรเอาหางตามองไม่มีความสะทกสะท้าน ไม่มีความหวั่นไหวในกุศลกรรมทั้งปวง รู้สึกว่าท่านนอนกระดิกเท้าด้วย ?

    ตอบ : ตอนนั้นของท่านเป็นอย่างนั้นจริง ๆ นี่ถ้าหากว่ายังไม่ถึงตรงนั้นก็สยองเหมือนกัน (หัวเราะ) โอ้...ขนาดนั้นมันตามทวงพร้อม ๆ กันนี่แย่เลย ท่านบอกว่าเฉพาะกะโหลกศีรษะเรียงกันจากวัดท่าซุงไปยันเขาพลอง ชัยนาท สูงเป็นกิโลไม่พอให้ไว้เฉพาะกะโหลกอย่างเดียว จากวัดท่าซุงไปยันเขาพลองนี่มันต่ำกว่า ๒๐ กิโลหรือ ?
    ถาม : แล้วกี่ชาติคะ ?
    ตอบ : เรื่องอย่างนี้ต้องดูเอง บรรยายยาก แบบที่เคยนั่งคิดว่า เอ๊ะ ! เราเคยเป็นหมาหรือเปล่า ? พอนึกปั๊บ โอ้โห..ฝูงเบ้อเริ่มเลย (หัวเราะ) แค่คิดว่าเคยเป็นหรือเปล่าที่ไหนได้มันเป็นซะช่ำเลย
     
  3. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,022
    ถาม : เราอธิษฐานได้มั้ยครับว่า ถ้าเกิดมาชาติไหนขอให้เกิดในพระพุทธศาสนาอย่างเดียว ถ้าหากว่าเรายังไม่เข้านิพพาน ?

    ตอบ : อธิษฐานได้ แต่ถ้าหากว่ากำลังใจมันยังไม่มั่นคงในพุทธานุสสติก็มีสิทธิหลุด แต่ถ้าหากว่ากำลังใจมั่นคงในพุทธานุสสติ ยังไง ๆ ก็ไม่หลุดออกนอกพระพุทธศาสนา
    ถาม : อย่างนี้ถ้าหลุดออกไปก็มีโอกาสซวยสูงเลยซิ ?

    ตอบ : ไม่แน่เหมือนกัน อย่างพระเยซู ท่านไปเกิดที่โน่นก็จริง แต่ท่านสามารถที่จะบรรยายธรรม สอนธรรมคนจนกระทั่งกลายเป็นศาสนาคริสต์ขึ้นมา แบบเดียวกับที่เราอ่านในพระไตรปิฎก ตามชาดกต่าง ๆ ที่พระพุทธเจ้าไปเสวยชาติถึงเวลาก็ต้องบรรยายธรรมะ นั่นน่ะถือว่าในส่วนที่ท่านบำเพ็ญบารมีมาท่านรู้แค่ไหนท่านเอาแค่นั้น นี่ถ้าหากว่าลูกศิษย์สายหลวงพ่อไปยืนยันว่าพระพุทธเจ้าบอกว่าพระเยซูเป็นพระโพธิสัตว์จะไปเกิดเป็นพระพุทธเจ้าในกาลข้างหน้า พวกศาสนาคริสต์กัดตายเลย หาว่าเอาศาสดาของเขามาเล่นซะแล้ว เพราะว่าตอนนี้เขากำลังอยู่ในลักษณะพยายามที่จะประชาสัมพันธ์ว่าพระพุทธเจ้าคือสาวกของพระคริสต์ที่ส่งมาเพื่อประำกาศศาสนาทางตะวันออกเป็นการรอไว้รองรับศาสนาคริสต์ในโอกาสหน้า

    ถาม : .................................................
    ตอบ : อาชีพช่วยสงครามท่านบอกไว้ชัด ๆ เลยว่าเกษตรกรรมดีที่สุด คือขายไม่ได้ก็ยังกินได้ ท่านบอกว่าใครมีที่อยู่ขายได้ถ้าราคาดี แต่อย่าขายหมดให้เหลือไว้เผื่อทำกินบ้าง
    ถาม : ท่านบอวก่าถ้าเป่ายันต์เกราะเพชรแล้วมันจะเลื่อนไม่ใช่เหรอ ?
    ตอบ : ไม่บอกว่าความต้องการของตัวเองก็คืออยากจะให้มันหายไปเลย แต่ว่ามันเป็นไปไม่ได้ ท่านบอกว่าคนเราทำกรรมเอาไว้ถึงเวลาก็ต้องรับไป ถ้าเป็นใจของเราก็เป่าทีหนึ่งให้มันกระเด็นหายไปอย่างกับเป่าฝุ่นได้ยิ่งดี

    ถาม : ตอนนี้ยังขี้เกียจอยู่เลยเวลานั่งมันก็ไม่ยอมนั่งทีไรก็ปวดหัวทุกที ?
    ตอบ : ก็ไม่ต้องนั่งซิ เดินก็ได้ยืนก็ได้ นอนก็ได้ เวลาปวดหัวก็พิจารณาดูซิว่ามันเป็นทุกข์ยังไง ? เกิดมาเมื่อไหร่มันก็ยังมีหัวให้ปวดอยู่อย่างนี้นั่นแหละ เกิดเป็นปูดีกว่าเนอะไม่มีหัวให้ปวด เออ ! ถ้าเกิดเป็นปูไม่ต้องปวดหัว

    ถาม : (ถามเรื่องการตัดขันธ์ ๕ ตัดไม่ได้)
    ตอบ : เอาเป็นอันว่ากำลังยังไม่ถึง คำว่ากำลังยังไม่ถึงก็คือ สติและปัญญายังไม่เพียงพอ พยายามสะสมอีกนิดนึง
    ถาม : พระพุทธเจ้าตอนที่เป็นพระโพธิสัตว์ไปปราบยักษ์ตัวหนึ่งอายุ ๘๐ ปีแล้วเขาบอกว่าถ้าฆ่าเขาตอนนั้น ตอนตรัสรู้จะมีอายุแค่ ๘๐ ทำไมเขามีผลต่อพุทธานุภาพขนาดนั้นด้วยล่ะครับ ?
    ตอบ : เรื่องของกระแสกรรมนี่ถึงวาระถึงเวลาจะให้ผลเป็นช่วง ๆ กรรมที่ให้ผลมีลักษณะให้ผลตามวาระ ให้ผลตามลักษณะก็คือ บีบคั้น หนุนเสริม ตัดรอน ถ้าหากว่าให้ผลตามวาระก็คือ ชาติปัจจุบันนี้ ชาติที่ ๒ ชาติที่ ๓ ไล่ไปเรื่อยจะมีของเขาอยู่จนชาติสุึดท้าย อโหสิกรรมก็คือไม่อาจจะจองกันได้ คราวนี้รากษส ท่านนั้นท่านมีความเป็นทิพย์อยู่ รู้ว่าถ้าเวลาทำอย่างนั้นแล้วถึงเวลาจะเป็นอย่างนั้น จริง ๆ ตัวเองก็กลัวตายเหมือนกันก็ต้องขู่เขาหน่อย

    ถาม : รู้ถึงความเป็นไปถึงชาตินั้น ?
    ตอบ : รู้ถึงขนาดนั้นนะ อย่างว่าแหละ พระพุทธเจ้าท่านเห็นแก่ประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ ตัวเองอายุ ๘๐ ก็ช่างมันเถอะ เหยียบมันคอหักไปเลย
    ถาม : ถ้าตอนนั้นพระอานนท์ท่านนิมนต์ให้อยู่ต่อ พระพุทธเจ้าท่านจะอยู่ต่อมั้ย ?
    ตอบ : อยู่ต่อ แต่คราวนี้ว่าบังเอิญกรรมมันบังอยู่ ในเมื่อกรรมมันบังอยู่ทำยังไง ๆ ก็ไม่ได้ก็ต้องปล่อยไป พระพุทธเจ้าท่านให้นัย ท่านให้นัยยังไง ๆ กรรมมันบัง ท่านเปรียบเทียบว่าถ้ามีเกวียนอยู่คันหนึ่งเก่าคร่ำคร่าเต็มทีแล้ว ถ้าหากว่าถึงเวลาถึงวาระแล้วควรจะเปลียนเกวียนนั้นหรือซ่อมเกวียนขึ้นมาล่ะ ? พระอานนท์บอกว่า ให้เปลี่ยนไปเลย เปลี่ยนไปเลยก็เป็นอันว่าตายดีกว่าเนอะ จะเปลี่ยนเกวียนหรือซ่อมเกวียนดีล่ะ เก่าขนาดนั้นแล้ว กรรมมันบังทำให้พระอานนท์คิดว่าเปลี่ยนเกวียนเลยดีกว่า
    ถาม : ทำไมคนเราต้องอยู่ใต้กฎของกรรม ?
    ตอบ : คุณทำคุณถึงได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณทำไม่ว่าจะดีหรือชั่วก็ตามคุณทำเอง ถ้าหากคุณเลิกทำสามารถหลุดพ้นไปได้ก็ไม่ต้องอยู่ใต้กฎของกรรม อย่างพระอรหันต์ พระปัจเจกพุทธเจ้าหรือพระพุทธเจ้า สิ่งที่เราทำผลมันเกิดอยู่แล้ว ลองเขกหัวตัวเองดูซิ ต้องการเขกหรือไม่เขกมันก็เจ็บ นั่นแหละทำอะไรมันได้อย่างนั้น

    เพราะฉะนั้นมีอยู่ตัวหนึ่งที่น่าเวทนาคนบางคนก็คือ ตัวอธิษฐานบารมี คนเขาทำบุญเสร็จเขานั่งอธิษฐานแล้วอีกคนบอกนี่โลภ ทำบุญแล้วยังขอโีน่นขอนี่ ความจริงการอธิษฐานบารมีนี่เป็นเรื่องของคนฉลาดเป็นการกำหนดเจาะจงในสิ่งที่ตัวเองทำ ๆ แล้วต้องการหรือไม่ต้องการผลนั้นเกิดแน่นอน แต่คนใช้อธิษฐานบารมีเขาฉลาด เขารู้จักเจาะจงว่าจะให้เกิดอย่างไร ? เกิดเมื่อไหร่ ? ขณะเดียวกันว่าอีกคนหนึ่งไม่ยอมอธิษฐาน สมมุติว่าหิวข้าวตอนนี้แต่อีก ๓ วันข้าวค่อยมา ก็ทรมานตัวเองไปก่อน แล้วเรื่องของการอธิษฐานบารมี เหมือนยิงปืน แล้วเล็งเป้าย่อมแม่นยำกว่า ในขณะที่อีกคนหนึ่งยิงขึ้นฟ้าลงดินไปเรื่อย แล้วหวังจะให้ถูกเป้า รอไปก่อนเถอะ

    ถาม : อธิษฐานนี่จำเป็นต้องออกเสียงมั้ยครับ ?
    ตอบ : อธิษฐานแปลว่า ตั้งใจมั่น จะออกเสียงหรือไม่ออกเสียงมันอยู่ที่เรา ขอให้ตั้งใจอย่างนั้นจริง ๆ
    ถาม : อย่างที่หลวงพ่อเคยสอนว่า ถ้าบารมีใกล้เต็มแล้วจริง ๆ นี่ อย่างหลวงปู่ปานนี่ทำบุญทีไรก็จะเปล่งวาจาออกมา ?

    ตอบ : อันนั้นเกี่ยวกับพระโพธิญาณคือ ตั้งใจจะเป็นพระพุทธเจ้า ถ้าทำถึงระดับนั้นเขาไม่อายใครแล้ว ประกาศให้รู้ชัดเจนเลยว่าเราทำอันนี้เพื่อปรารถนาพระโพธิญาณ เหมือนกับคุณก้องเล่นเอาเขาอึ้งกันทั้งโบสถ์ พอญัตติเสร็จเขาประกาศเลยว่า กุศลของการที่บวชครั้งนี้ขอให้ข้าพเจ้าเข้าถึงซึ่งพระโพธิญาณ พระทุกองค์สาธุพร้อมกัน แต่ความรู้สึกในใจบอกว่า มึงไปเถอะกูไม่ไปหรอก แบบนั้นแหละ แต่จริง ๆ มันก็น่าสงสัยนะทำไมต้องอยู่ใต้กฎของกรรมด้วย มันเหมือนอยู่ ๆ เอากฎหมายมาขี่คอบังคับเราใช่มั้ย ? แต่จริง ๆ มันไม่ใช่ เราทำเอง ถ้าเราไม่ทำก็ไม่จำเป็นต้องมี

    อย่างเช่นว่า นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน มนุษย์ เทวดา มาร พรหมตลอดถึงนิพพาน ถ้าหากว่าคนหลุดพ้นหมดหรือว่าเลิกทำดี ทำชั่วทั้งหมดสิ่งเหล่านี้่ก็จะไม่มี สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพื่อรองรับการกระทำของเราเท่านั้น ถ้าหากว่าไม่มีการกระทำสิ่งเหล่านี้ก้ไม่เกิดขึ้น ไม่รู้จะเกิดขึ้นทำไม

    ถาม : ....................................
    ตอบ : ทำดีต้องได้ดี หรือทำดี...ดี ทำชั่วต้องได้ชั่วหรือว่าทำชั่ว...ชั่ว ถ้ายังติดทั้งดีทั้งชั่วไม่หลุดแน่นอน อันนี้เป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง ถ้าคุณทำดีแล้วยังติดดีชาตินี้คุณไปนิพพานไม่ได้ อันนี้กล้ายืนยันเพราะว่า ถ้าถึงระยะสุดท้ายแล้วนักปฏิบัติเขาจะรู้ว่า ถ้าดีก็ทำ ถ้าั่ชั่วก็ละ ไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่ว
    ถาม : ถ้าแข่งขันกันทำความดีเป็นกิเลสมั้ยครับ ?

    ตอบ : เป็น แต่ว่ามันก็ดีกว่ากิเลสอย่างอื่น พอ ๆ กับติดวัตถุมงคล ยังไงดีกว่าติดวัตถุึอัปมงคล เยอะแรก ๆ เราจำเป็นจะต้องเกาะเพราะว่าเป็นเด็กน้อยเดินไม่แข็งแรงไม่เกาะมันจะตะกายไปได้ยังไง แต่พอแข็งแรงดีแล้วถึงสถานที่ ๆ ตัวเองต้องการแล้วมันก็ไม่ต้องเกาะต้องแบกอะไร เดินขึ้นบันไดเกาะราวบันไดเพื่อความมั่นคง มาถึงในห้องแล้วเราจะแบกราวบันไดมาทำไมเล่า ? มันก็ปล่อยตั้งแต่ก่อนจะเดินเข้าห้องแล้ว แต่ช่วงนิดเดียวระหว่างราวบันได้กับประตูห้อง
    คนส่วนใหญ่มันจะนึกไม่ถึงเพราะว่ายังเข้าไม่ถึงจริง ในเมื่อเข้าไม่ถึงจริง ก็เลยคิดว่าทำดีแล้วไม่ติดดีมันจะไปนิพพานได้ยังไง ? ความจริงอันนี้เข้าใจถูกแต่ตัวที่เข้าใจผิดก็ตอนสุดท้ายเขาไม่คิดอะไรแล้ว

    ถาม : คนเขาบอกว่าทำดีชาตินี้ไว้รอชาิติหน้า แล้วอย่างนี้ถ้าชาติหน้าไม่มีแล้วผมก็ทำดีด้วยหรือครับ ?
    ตอบ : ถ้าหากว่าคุณคิดว่าทำดีทำชั่ว สมมุติว่าถ้านรกสวรรค์ไม่มี ชาติหน้าไม่มี คุณตั้งใจทำดีคุณก็เสมอตัว แต่ถ้านรกมี สวรรค์มีชาติหน้ามีคุณตั้งใจทำดีคุณก็กำไร แต่ถ้านรกไม่มีสวรรค์ไม่มี คุณทำชั่วคุณก็เสมอตัว แต่ถ้านรกมีสวรรค์มีชาติหน้ามี คุณทำชั่วคุณก็ขาดทุน เพราะฉะนั้นคุณก็เลือกเอาด้วยปัญญาของคุรเองว่า คุณจะเอาเสมอตัวแล้วกำไรดี หรือว่าเสมอตัวแล้วขาดทุนดี เลือกเอา ๒ ประตู

    ถาม : .........................
    ตอบ : ครับผมสบายใจแล้วครับ ก็บอกว่าคุณสบายใจเรื่องอะไร เขาก็บอกว่าตอนแรกผมตั้งใจว่าถ้าหากว่าคนเราทำความดีแล้วได้ไปสวรรค์ซัก ๓๐-๔๐ % นี่ผมก็จะทำนะ แต่ว่าตอนนี้ผมไปถามหลวงพี่ชาติชายมาแล้ว
    หลวงพี่ชาติชายยกตัวอย่างว่า มีอยู่วันหนึ่งมีคนตายไป ๑,๒๐๐ กว่าคน ปรากฏว่าขึ้นสวรรค์แค่ ๑๐ คนเท่านั้นเอง มันไม่ถึง ๑% ใช่มั้ย เออ เพราะว่าถ้า ๑% มันต้อง ๑๒ คนกว่า ๆ น่าคิดเนอะ ทำความดีไปก็แปลกแยกจากสังคมก็ไม่รู้จะทำไปทำไม (หัวเราะ) วัน ๆ หนึ่งก็มีปัญหาแบบนี้มาอยู่เรื่อย ๆ ล่ะ บางทีก็อยากปล่อยให้มันไปตามทิศตามทางซะ มันก็อดสงสารไม่ได้ มีปัญหาแล้วถามนั่นถือว่าดี ถ้ามีแล้วเก็บไว้ไม่ยอมถามน่ะบางทีมันจะเอาความเข้าใจผิดเก็บไปเรื่อย ๆ ที่ถามพิลึกพิลั่นกว่าคุณน่ะมีเยอะเลย ของคุณน่ะเป็นคำถามพื้น ๆ เท่านั้นเอง คนเรานะถ้าหากว่าขาดความมั่นใจในตัวเองไม่ว่าจะอยู่ในสถานะการณ์ไหนมันก็ค่อนข้างจะแย่ สมมุติว่าขึ้นเวทีจะชกมวย ขาดความมั่นใจมันแพ้ตั้งแต่ยังไม่ชกแล้ว มันก็เลยต้องหาวิธีไหนที่สร้างความมั่นใจให้แก่เขา พวกคาถามันก็เป็นการสร้างสมาธิอย่างนึง พอสมาธิทรงตัว ความมั่นใจมันก็มี

    ถาม : เราจะพูดยังไงให้เขาเมตตาเรา ?
    ตอบ : มันสำคัญอยู่ที่ว่าเราสามารถแก้ตัวให้เขาเชื่อได้มั้ย ? แต่ถ้าไม่ได้มันก็มีวิธีอยู่เหมือนกัน อันนี้ต้องเอาคาถาไปนั่งท่อง มีคาถาที่หลวงพ่อให้ไว้ว่า พระอรหัง สุคโต ภควา นะ เมตตาจิต ต้องการให้ใครเขารักเราเมตตาเราให้ภาวนานึกถึงหน้าเขา เอาให้กำลังใจมั่นคงแล้วไปหาเถอะรับรองว่ารักเราทุกคน แต่คราวนี้ว่ารักเราในลักษณะนี้มันจะไม่ยืนนาน เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเราทำดีปฏิบัติดีกับเขา อย่างพระพุทธเจ้าท่านบอกให้มีสังคหวัตถุ ๔ คือ

    ๑. ทาน รู้จักให้เขา สงเคราะห์เขา
    ๒. ปิยะวาจา พูดดีกับเขาตลอดไป
    ๓. อัตถจริยา ยังประโยชน์ของเขาให้สำเร็จ
    ๔. สมานัตตตา ทำดีอย่างนี้เสมอต้นเสมอปลาย ท่านบอกว่า ถ้าทำอย่างนี้คนจะรักเราแน่นแฟ้นตลอดไป เพราะฉะนั้นตอนนี้เอา ๒ อย่างพร้อมกันคือว่า ถ้าหากว่ามันพลาดมาเราก็นั่งท่องคาถาไปก่อนแล้ว ก็ตั้งใจทำดีกับเขา ๆ จะได้รักเราตลอด

    ถาม : วันนี้ไม่รู้ว่ามีอะไรมาบังค่ะ กุญแจหาไม่เจอ แล้วพอเราดูมันวางอยู่จะทิ่มลูกตาอยู่แต่มันไม่เห็น มันเหมือนอะไรมาบังก็ไม่รู้ ?
    ตอบ : ไม่ใช่เหมือน มันมีการทดสอบเหมือนกัน ของพรรค์นี้ต้องเรียกว่า กรรมมาบัง ไม่แปลกหรอกเจอบ่อย เอาพรุ่งนี้นั่งว่าคาถานี้ไปตั้งแต่ตื่นจนไปถึงที่ทำงานนึกถึงหน้าเขาไว้ เดี๋ยวถ้าเขารักเราผิดปกติก็อย่าไปแปลกใจแล้วกัน แต่จำไว้นะว่ามันไม่ยั่งยืน ถ้าจะให้ยั่งยืนต้องเป็นความประพฤติตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอน

    ถาม : กรรมที่ให้ผลแล้วเนี่ย จะกลับมาให้ผลอีกไหมครับ ?
    ตอบ : ที่เ่ขาให้ผลไปแล้ว ถ้าหากว่ามันยังไม่หมด ถึงวาระถึงเวลาของมัน มันก็จะคืนมาอีก แต่ถ้าหากว่าให้ผลแล้วกันไปแล้ว ก็เป็นอันว่าผ่านไปเลย กรรมมันมีบางประเภทที่ให้ผลปุ๊บปั๊บฉับพลันได้นะ
    อย่างที่เขาเรียกว่า ครุกรรมทั้งฝ่ายกุศล อกุศล อย่างครุกรรมฝ่ายอกุศล ก็คือฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้าถึงห้อพระโลหิต ทำสังฆเภท อย่างนี้ ก็จะเห็นผลทันตาในปัจจุบัน ตายเมื่อไหร่คุณลงอเวจีมหานรกเลย ขณะเดียวกัน ครุกรรมฝ่ายกุศล คือฝ่ายดี ที่คุณทำเอาไว้อย่างเช่นว่า ได้ฌาน ๔ ได้สมาบัติ ๘ ถึงเวลาคุณก็ไปเป็นพรหมหรืออรูปพรหมไปเลย หรือว่าถ้าหากว่ามีโอกาสได้ทำบุญกับพระอริยเจ้าที่ออกนิโรธสมาบัติมาก ก็กลายเป็นเศรษฐีในวันนั้นเลย
    ฉะนั้นพวกนี้ให้ผลฉับพลัน แต่ว่าให้แล้วให้เลย จบกันไปเลย เหมือนยังกับเราปลูกผักปลูกหญ้าให้ผลเร็วมากไม่กี่วันก็เก็บกินได้แล้วใช่ไหม ? แต่ว่ามันได้แล้วได้เลย แต่ว่ากรรมบางอย่างมันให้ผลช้ามาก อย่างเช่นว่า พวกอปราปรเวทนียกรรม อุปัชชเวทนียกรรม ให้ผลในชาติที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ไปเรื่อย ๆ อย่างนี้ เหมือนกับปลูกไม้ผล ให้ผลช้ามากเหมือนยังกับตามไม่ทัน ประเภทสิบล้อ สิบล้อมันวิ่งช้าใช่ไหม ? แต่ถึงเวลาถ้ามันชนเราได้ แล้วเป็นอย่างไรล่ะ มันก็หนัก
    ฉะนั้น กรรมพวกนี้จะให้ผลต่อเนื่อง ยาวนาน ลักษณะเหมือนยังกับปลูกไม้ผล ถึงเวลา ถ้าหากว่า ๕ ปีขึ้นไป เริ่มให้ผล ก็ให้ไปเรื่อย ๆ กรรมเขามีทั้งให้ผลตามกาล ให้ผลตามลักษณะ บางอย่างก็มาหนุนเสริม บางอย่างก็มาบีบคั้น บางอย่างก็มาตัดรอน ให้ผลตามกาลนี่ก็ให้ช้า ให้เร็ว ก่อน หลัง กันไปรวม ๆ แล้วว่า กรรมน่ากลัวมาก ตามทันเมื่ือไหร่ มันเอาเมื่อนั้นที่คุณปริวัฒน์ เขาบอกว่า เวรกรรมมันมีจริงนั้นน่ะ เริ่มเห็นตรงจุดนี้ถึงได้พูดออกมาอย่างนั้น ถ้าไม่เห็นตรงจุดนี้ยังพูดไม่เป็นหรอก

    ถาม : ....................................
    ตอบ : อย่าเกเรมากนักนะ เกเรมาก จิ้มเขาไว้เยอะ ถึงเวลามันเอาคืนแย่เหมือนกัน ของพรรค์นี้ก็ว่าไม่ได้ซะด้วย เป็นไงสมัยสามก๊ก มีใครเกิดบ้างหว่า ? ผลจากการสู้รบครั้งนั้นเราดังภายในชั่วข้ามคืนเท่านั้นเอง เหลือเชื่อเหมือนกันนะ คนเราประมาทหน่อยเดียวแพ้ยับเยินเลย คือถ้าเขาไม่ประมาทนี่เราคงลุ้นเขาไม่ขึ้น

    ฉะนั้น เรื่องของการทำความดี ความชั่ว ก็เหมือนกัน ประมาทเมื่อไหร่ก็เจ๊ง ปมาโท มัจจุโน ปทัง อปมาโท อมตัง ปทัง ความประมาทเป็นหนทางแ่ห่งความตาย ความไม่ประมาทเป็นหนทางที่ไม่ตาย พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ชัดเลยไง คะยะวะยะ ธัมมา สังขารา อัปมาเทนะ สัมปาเทถาติ เขาเรียก ปัจฉิมโอวาท ครั้งสุดท้ายท่านก็บอกให้ทุกคนให้ยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม ถามว่า ยังไงถึงยังประมาทอยู่ ถ้าไม่ตั้งใจปฏิบัติดี ก็ยังประมาทอยู่ทั้งนั้น
    วิชาการสมัยก่อนที่สาบสูญไปเยอะต่อเยอะด้วยกัน เกิดจากว่า ยุคหนึ่งต่อลงไปอีกยุคหนึ่ง มันจะเสื่อมลงไปเรื่อย ๆ ๆ เพราะไม่ได้รับการถ่ายทอดเคล็ดวิชามาครบถ้วน สมัยก่อนเขาจะก็มีประเภทที่เรียกว่าเก็บเอาความรู้ขั้นสุดท้ายเอาไว้เพื่อให้คนที่ไว้ใจจริง ๆ อย่างเช่นว่า อาจจะเป็นลูกหลานของตัวเอง หรือว่าลูกศิษย์ที่รักมาก แต่ว่าบางทีก็ถ่ายทอดไม่ทัน ตายไปกับตัวเองก็มี หรือไม่ก็เห็นว่าพวกลูกศิษย์ลูกหาไม่สามารถรับวิชานี้เอาไว้ได้ ก็ตายไปกับตัวเลยก็เยอะ

    สมัยก่อนต้องไปอยู่ไปกินไปคลุกคลีอยู่กับครูบาอาจารย์กันทีหลาย ๆ ปี ครูเขาจะดูออกว่าคนประเภทนี้ สมควรจะได้วิชาการไป หรือไม่ได้ไป แล้วมายิ่งรุ่นหลังมากขึ้นเท่าไร ความอดทนที่จะฝึกฝนพวกวิชาการที่จะเรียนรู้ศึกษาวิชาการต่าง ๆ มันก็น้อยลงไปเรื่อย ๆ มันก็กลายเป็นว่า สาบสูญไปบ้าง อะไรไปบ้าง กลายเป็นไม้ตายก้นหีบบ้าง กลายเป็นของที่คนรุ่นหลัง ๆ ต่อไม่ติดแล้วว่าอะไรเป็นอะไร

    อย่างตัวอย่าง ปืนใหญ่หน้ากระทรวงกลาโหมที่ว่าเมื่อกี้ โลหะศาสตร์สมัยใหม่นี่ทำสแตนเลสยังเป็นสนิมน่ะ แต่อันนั้นดูว่าตากแดดตากฝนมากี่ร้อยปีแล้ว นั่นน่ะไม่เห็นจะเป็นเขียวปัดอยู่อย่างนั้น หลวงพ่อท่านเรียกเหล็กแข็ง เพราะว่าพวกเครื่องตัดเหล็ก เครื่องทำลายเหล็กอย่างโลหะสมัยใหม่ ๆ นี่ ยังทำเขาได้ยาก อีกอย่างเป็นเหล็กเหนียว ไอ้เหล็กเหนียวนี่สมัยก่อนเรียกเหล็กกำพล เหล็กกำพล คือเหล็กในลักษณะเหมือนกับผ้า ถ้าตีเป็นดาบนี่ เคียนรอบเอวเป็นเข็มขัดได้เลย สมัยนี้ก็ไม่เห็น นี่ตัวนี้เขาเรียกว่า เบี้ยแก้ เป็นวิชาโบราณอย่างหนึ่ง ที่จะสาบสูญไปเหมือนกัน

    ถาม : ..................................
    ตอบ : ก็ตั้งแต่ต้นเดือนที่แล้ว เพราะว่างานมันต่อเนื่องกันเรื่อย ๆ ตั้งแต่งานประจำปีของวัด ได้พักวันเดียวก็ลงยาวมาที่นี่เลย เสร็จแล้วก็มาเลเรียมันชอบฉวยโอกาสซ้ำ อีงวดนี้มันเป็นหนักขนาดฉี่เป็นเลือด ไอ้ฉี่เป็นเลือดนี่มันโทรมเร็ว ตายเร็ว รอดมาได้ ก็ยังไม่รู้เหมือนกัน ว่ามันทำไมถึงรอดมา
    ถาม : ผมมีคำถามครับ คือค่อนข้างแปลกใจเรื่องของเพื่อนครับ ?
    ตอบ : ทำไม ?
    ถาม : ไม่รู้ว่าเป็นกรรม หรือเป็นอะไร ยังไง ?
    ตอบ : แล้วทำไมไม่ถามตัวเขาล่ะ ทำไม มันเกี่ยวกับจุดไหนล่ะ ?
    ถาม : คือดูเขาเครียดไปหมดทุกอย่าง เขาไม่กล้ามา ?
    ตอบ : คนตั้งใจเอาจริงเอาจัง มันก็อย่างนั้นแหละ พอตั้งใจเอาจริงเอาจังแล้วทำไม่ได้อย่างที่ตัวเองตั้งใจ บางคนมีลักษณะเหมือนกับว่าลงโทษตัวเอง แล้วอะไรก็โทษตัวเอง กลายเป็นว่าไม่กล้าสู้หน้าคนอื่นไปเลยก็มี ลำบากนะ

    เรื่องนี้จะว่าไปแล้ว ก็เป็นการดลใจของมารอย่างหนึ่งให้เราเสียเวล่ำเวลาไปพะวงไปกังวลอยู่กับสิ่งที่ไม่ควรจะเป็น ทำให้การที่จะหนีห่างจากมันก็เสียเวลาไปเลย
    ถาม : แล้วตอนนี้ก็นอนก็นอนไม่ค่อยหลับครับ เพราะว่า คือเขาบอกว่านอนแล้วเขาจะผวาตื่น ผวาตื่น พอนอนไม่หลับมาก ๆ เข้ามันก็มีอาการประสาทเข้ามาด้วย มันก็...?
    ตอบ : เรื่องอย่างนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก เขาพยายามทุกวิถีทางที่จะขวางกำลังใจยิ่งเข้มแข็ง การขัดขวางยิ่งรุนแรง
    ถาม : พอจะมีทางที่จะช่วยแก้ได้ไหมครับ ?

    ตอบ : ช่วยแก้ได้ไหม ? จับรดน้ำมนต์ซะดีไหม ไอ้ปุ๊ยพาพี่น้องไปจับรดซะเปียกมะล่อกมะแล่กไปเลย รดจริง ๆ เลยนะ ประ้เภทตักกันเยอะ ๆ ราดโครมไปเลย จริง ๆ แล้วเขาไม่ได้เป็นอะไรเลย แต่เขาไประแวงกันเอง ผู้หญิงกับผู้ชาย มันก็น้ำมันกับไฟ ใกล้กันได้เมื่อไหร่ล่ะ ยิ่งไปเจอผู้ชายปากหวาน ๆ เข้า มันก็หลงเข้าหัวทิ่มหัวตำ ก็ไปเที่ยวว่าเขาทำเสน่ห์ ไม่ต้องทำเสน่ห์หรอก ทำแบบพระพุทธเจ้าว่า ทาน การให้รู้จักแบ่งปันกัน ปิยวาจา พูดดีกับเขาเอาไว้ ปากหวานซะอย่าง อัตถจริยา ทำตนให้เป็นประโยชน์กับคนอื่นเขา สมานัตตตา มีความเสมอต้นเสมอปลาย วิธีทำเสน่ห์ที่ไม่ต้องไปเสียเวลานั่งเสกคาถา ก็ในเมื่อมันอยากให้รด ก็รดมันซะจนเปียกโชกไปเลย ป่วย ๆ ไม่สบาย ๆ อยู่ มันยังแห่ไปเต็มกุฏิ คนโน้น ก็บอกให้พักผ่อนมาก ๆ คนนี้ก็บอกให้พักผ่อนมาก ๆ แต่มันไม่ยอมกลับซะที

    ถาม : ไม่ยอมหรอกครับ เพราะว่าผมเคยคุยแล้วเนี่ย เขาคือ ถ้าเกิดว่าเจอหลวงพี่ปุ๊บเนี่ย เขาก็จะแบบมีตำหนิหลวงพี่ในใจ เขาจะกลัวมาก ?
    ตอบ : ไอ้นั่นมันเรื่องปกติของเขาอยู่แล้ว เพราะว่า ยังไงล่ะ เอาแค่การปฏิบัติภาวนาได้อุปจารสมาธิหน่อยเดียวเท่านั้นเอง มารเขาก็รู้แล้ว่าเราจะพ้นมือเขา เขาก็จะพยายามดลจิตดลใจให้เราปรามาสพระรัตนตรัยทุกเรื่องราวไปเลย ในเมื่อปรามาสพระรัตนตรัย ถ้าหากว่าแก้ปัญหาตรงจุดนี้ไม่ตก มันก็จะกลายเป็นปัญหาคาใจของตัวเองไป และจะทำให้การเข้าถึงมรรคผลจุดที่ต้องการมันก็จะยาก มันทำทุกคนแหละ ไม่ได้ทำแต่เขาคนเดียวหรอก

    ถาม : ผมก็โดนหลายทีแล้วครับ ?
    ตอบ : แล้วก็คิดดูแล้วกันว่าเราเองผ่านมาได้แล้ว เห็นคนอื่นแล้วมันรู้สึกยังไง มันสงสารก็สงสาร เรื่องไอ้พรรค์อย่างนี้มันบอกกันไม่ได้จนกว่าจะแก้ตกไปเอง เพราะว่าเราบอกให้เขาขอขมาพระรัตนตรัย ถ้าเขาไม่ตั้งใจขอขมาเองก็ไม่รู้จะช่วยยังไง
    ถาม : เพราะเขาเป็นที่ขี้กังวลมากเกินไป ?
    ตอบ : บอกแล้ว มันเป็นคนคิดคนเดียว คนคิดคนเดียว คนคิดมากไม่มากหรอก คิดคนเดียว คิดไม่ค่อยจะยอมเลิก
    ถาม : แล้วเราทำยังไงดีล่ะครับ อยู่เฉย ๆ ?
    ตอบ : ทำยังไงดี แนะนำให้เขาหน้าด้าน ขอขมาพระรัตนตรัยทุกวัน ทำความดียังต้องหน้าด้านเลย ไม่งั้นมันทำไม่ทน ทำไม่นาน
    ถาม : .................................
    ตอบ : ไม่ได้ขาด จริง ๆ เขามั่นคง แต่เพียงแต่ว่าเวลาเจอข้อสอบก็รวนเหมือนกัน ข้อสอบพวกนี้เวลามา เขาทดสอบเรา จะเป็นจุดอ่อนของเราทั้งนั้น เพราะฉะนั้น แน่แค่ไหน มันก็รวนทั้งนั้นแหละ ยกเว้นเจอกันมาเยอะ ๆ จนอ่านเชิงกันออก ก็จะรู้ว่าจะแก้ไขวิธีไหน มันถึงได้ง่ายที่สุด
    ลักษณะของกำลังใจตก ที่เขาเรียก จิตตก สมาธิตก มันเหมือนกับคนหกล้ม สมมุติว่า คน ๒ คนหกล้มพร้อมกัน คนหนึ่งลุกแล้วเดินไปเลย ขณะอีกคนหนึ่ง นั่งลงคร่ำครวญ โอ๊ย เจ็บเหลือเกิน ปวดเหลือเกิน ไม่น่าเลย เดินมาตั้งนานแล้วล้มซะได้ ใครมันจะได้ระยะทางเยอะกว่ากัน มันก็ต้องล้มแล้วลุกเลยใช่มั๊ย ?

    เพราะฉะนั้น เรื่องของการทำความดีเหมือนกัน ถ้าเวลาผิดพลาดอะไรไป เช่นว่าละเมิดศีลไป กำลังใจตก สมาธิคลายตัว ตั้งหน้าทำใหม่แป๊บเดียว มันก็ได้เหมือนเดิม ถ้ายิ่งไปนั่งคร่ำครวญนานเท่าไหร่ ก็คือสิ่งที่เขาต้องการ เพราะเขาอยากจะให้เราเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว
    ถาม : จะตัดสินใจทำงานต่อ กำลังสับสนว่า จะทำงานหรือไม่ทำงาน ?
    ตอบ : อันนี้จับฉลากได้ ถึงเวลาจับฉลาก (หัวเราะ) พูดเล่นนะ เปรียบเทียบข้อดี ข้อเสียของมันสิ ถ้าหากว่าเราทำสิ่งนี้มันมีผลดีอะไรบ้าง ก็ลิสต์เป็นรายการออกมา ๑ ๒ ๓ ๔ ถ้าหากว่าไม่ทำแล้วมันมีผลเสียอะไรบ้างก็ ๑ ๒ ๓ ๔ แล้วเปรียบเทียบดู ถ้าผลดีมันมากกว่าก็ทำไป วิธีง่ายนิดเดียว
    ถาม : คือ ทีนี้มัน วิธีนี้มันก็จะง่ายสำหรับคนที่แบบว่าเคลียร์ว่า นี่คือสิ่งเรานึก แต่บางคนเีนี่ย อย่างเพื่อนหนูเนี่ย เขาก็จะสับสนว่าแล้วหนูจะไม่ใช่ แล้วหนูจะยังไง คือมันยังสับสนอยู่ค่้ะ ?
    ตอบ : ช่วยเขาตัดสินใจหน่อยแล้วกัน ถ้ายังสับสนอยู่ก็ช่วยโขกหัวมันหน่อย
    ถาม : บางทีมันกระทบเรื่องการทำงานด้วยครับ ?
    ตอบ : เสียเหมือนกันนะ มัวแต่นั่งเหม่อคิดอยู่
    ถาม : ตอนนี้ ก็วัน ๆ อย่างช่วงนี้ดีขึ้นนะครับ ช่วงก่อนหน้านี้ทำงานก็ไม่ได้ คุยงานนี่ คุยงานไป ร้องไห้ไปครับ ?
    ตอบ : เครียด
    ถาม : ไม่รู้จะทำยังไง ผมก็พูดไปเรื่อย ๆ น้ำตาเธอจะไหล เราก็ปล่อย ?
    ตอบ : ปล่อยไป มันร้องไห้จนน้ำตาหมด มันก็เลิกร้องเอง ตัวก็ใหญ่ ใจนิดเดียว
    ถาม : ถ้าเราทำอย่างที่แนะนำบ่อย ๆ คือแนะนำชี้ว่า อันนี้ดี อันนี้ไม่ดี ให้เขาลองลิสต์นี่ จะช่วยได้ไหมคะ ทำซ้ำ ๆ อาจจะต้องวน ๆ อย่างนี้ค่ะ ?

    ตอบ : จริง ๆ มันอยู่ที่ใจของเขาเลย ถ้าเขาสามารถตัดสินใจได้มันก็หมดปัญหาไปเลย เรารู้อยู่แล้วสิ่งนี้เป็นมารทีจะมาขวางการกระทำของเรา เราเองก็ให้ตั้งใจไว้เลยว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ จริง ๆ แล้วไม่ใช่เจตนาแท้ที่เราเป็นคนทำ ในการล่วงละเมิดสิ่งนั้นไม่ว่าจะการคิด การพูด การทำ ในเมื่อตัวเเราเองไม่ได้เป็นคนทำ เป็นการชักนำของกิเลส ตัณหา อุปาทานและอกุศลกรรม แต่ว่าในเมื่อมันชักนำผ่านการคิด การพูด การทำของเรา เราก็ตั้งใจขอขมาพระรัตนตรัย ให้คิดว่าถ้าขณะจิตใด ที่สติสัมปชัญญะเราสมบูรณ์ เรื่องของสิ่งที่ไม่ดีเหล่านี้ เราไม่คิดไม่พูด ไม่ทำแน่นอน แต่ในเมื่อมันคิด มันพูด มันทำไปแล้ว เราก็ตั้งใจขอขมาซะ

    บอกได้เลยว่าเรื่องของพระรัตนตรัย ไม่มีมาถือโทษโกรธเคืองใครหรอก ทุกสิ่งทุกอย่างใครทำใครได้ ในเมื่อเราทำ เราตั้งใจ ขอขมา ปลดจิตออกจากกรรมตรงจุดนั้น แล้วตั้งหน้าทำดีต่อไป ถ้าเขาติดสินใจตามนี้ได้ ก็จะผ่านไปได้ในระยะเวลาอันไม่นาน เรื่องของมารนี่ เขากลัวคนรู้ทัน ถ้ารู้เท่าทัน แล้วเราประเภทตื้อ หน้าด้าน ขอขมาไปเรื่อย มันรู้ว่า ท่านี้ใช้กับเราไม่ได้ มันก็เลิกไปหาท่าอื่นต่อเดี๋ยวก็มีปัญหามาให้แก้ต่อไปอีก แปลกไหม ทำความดียังต้องหน้าด้านเลยนะ หน้าไม่ด้าน ทำไม่ทน อยู่รอบ ๆ ข้าง ก็ช่วยกันพอเขาเห็นว่า เราเป็นตัวช่วยที่ดี เขาก็เล่นเราด้วย (หัวเราะ)

    ทุกสิ่งทุึกอย่างรอบตัวเรา มารเขาสามารถใช้เป็นเครื่องมือได้ทั้งนั้น แม้กระทั่งเพื่อนที่รักกันมากที่สุด เขาก็จะทำให้เราคิดว่า คาดว่ามันน่าจะเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ จนกระทั่งเข้าใจผิดกันไปได้ ทั้ง ๆ ที่ถ้าหากถามแค่ประโยคเดียว เรื่องก็อาจจะคลายใจไปได้ เก็บเอาไปโกรธมันซะ ๓ วัน ๗ วัน กว่าจะเคลียร์กันได้ บางที ประเภทที่ไม่มองหน้ากันไปตลอดชีวิตก็มี ข้องใจนี่ ต่อยถามเลย จำไว้ สมัยทหารนี่เขาต่อยถามสมัยนี้เอาแค่ไต่ถาม

    ถาม : อยากจะฟังเทศน์เกี่ยวกับเรื่องของธรรมชาติของจิต ?
    ตอบ : ธรรมชาติของจิต ?
    ถาม : แบ่งประเภท แบ่งอะไรกันยังไงครับ ?
    ตอบ : โอ๊ย ตาย ๆ ๆ ๆ จริง ๆ แล้วมันเรื่องไม่เป็นเรื่อง ดูเอาแค่ว่ามันมีความดีไหม ? ถ้าไม่มีทำมันขึ้นมา มีอยู่แล้วก็ทำให้มันดียิ่ง ๆ ขึ้นไป ดูมันว่ามันมีความชั่วอยู่ไหม ? ถ้ามีก็ไล่มันออกไประวังอย่าให้มันเข้ามาแค่นั้น ไปแบ่งประเภทมันมาก ๆ เดี๋ยวประสาทกิน ถ้าเป็นไปตามตำราที่เขาว่า จิตของเรามีเป็นร้อย ๆ ดวง บ้ากันไปข้างหนึ่ง

    ถาม : แล้วเรื่องของจริตนี่มันไม่ใช่ลักษณะ ประเภทของจิต ?
    ตอบ : จริต นี่มันเป็นรากเหง้านิสัยของเราที่ฝังลึกมา ใช้คำว่า สันดานแทนก็ได้ จะเป็นการรัก ชอบ เกลียด ชัง เป็นการส่วนตัวของเราไปเลย จริง ๆ แล้วจริต ๖ ประการนั่น มีครบทุกคน แต่เพียงแต่ว่าตัวใดตัวหนึ่งมันจะเด่นอกมา ก็จะเป็นลักษณะจริตอย่างนั้น เป็นคนขี้โมโห จะเป็นทางโทสะจริต เป็นคนที่เด่นออกมาทางรักสวยรักงาม ก็เป็นราคะจริต เป็นประเภทขี้วิตกกังวล ตัดสินใจไม่เด็ดขาดก็จะเป็นโมหะจริต วิตกจริต อะไรพวกนี้ ทุกอย่างมีแต่ว่าอย่างไหนมันจะมากก็จัดเป็นจริตนั้น ๆ

    ถาม : แล้วก็มีแค่ ๖ หรือเปล่าครับ ?
    ตอบ : มีเยอะกว่านั้น อย่างพวกวิกลจริต อะไรอย่างเนี่ยนะ แต่พระพุทธเจ้าไม่ได้จัดเอาไว้
    ถาม : คือผมสงสัย อย่างสมมุติว่า คนที่รักสันโดษนี่เราจะรู้ว่าเขาเป็นคนจริตอย่างไร จากอะไรครับ ?
    ตอบ : จริง ๆ ตรงนี้เราไม่จำเป็นจะต้องไปรู้เขาก็ได้นี่ แล้วที่รู้นี่ เพื่อให้ง่ายต่อการศึกษาและปฏิบัติในความดีของเขา ตัวของเขา เขาต้องมีความเข้าใจเองว่าเขามีจริตอะไร เพื่อเลือกกรรมฐานให้เหมาะกับตัวเองได้ ของเราจะไปรู้เขา ไปเสียเวลาทำไม มันตัองรู้ตัวเอง อยากรู้ก็ฝึกเจโตปริยญาณ
    ถาม : มีวิธีเดียวหรือเปล่าครับ ? คือที่ผมสงสัยน่ะครับ ?
    ตอบ : จะมีลักษณะการสังเกตหยาบ ๆ อยู่เหมือนกัน อย่างเช่นว่า โทสะจริตกับพุทธิจริต อาการแสดงออกเหมือน ๆ กันหมด คือ ทำอะไรทำแรง ทำเร็ว แต่ขณะเดียกวันอย่างเช่นว่า ถ้าหากให้กวาดบ้าน พวกโทสะจริต พุทธจริต มันก็ลากโครม ๆ ไม่กี่ที ฝุ่นตลบไปทั้งบ้าน ไม่กวาดซะยังจะดีกว่าอย่างนั้น เวลาเดินก็ลงส้นโครม ๆ ไปเลยอย่างนั้น

    แต่ว่าจะไปต่างกันตรงจุดสุดท้าย พุทธจริตจะประกอบไปด้วยปัญญามากกว่า เวลาทำอะไรก็รู้สึกว่ามันมีเหตุมีผล มันเหมาะมันสมไปหมด แต่ว่าโทสะจริตนี่ ของเขาจะไม่มีตัวนี้ จะเป็นประเภทขี้โมโห แล้วก็โง่ดักดาน (หัวเราะ) มันต่างกัน อาการภายนอกมันคล้ายคลึงกัน แต่ก็มีจุดแยกให้เราเลือกได้ ให้เราคิดได้

    อย่างพวกโมหะจริต กับ วิตกจริต ก็คล้ายคลึงกัน แต่ว่าอันหนึ่งมันก็อาจจะติดประเภทโง่ เซ่อ เซื่องซึมไปเลย อีกอันหนึ่งก็อยู่แค่ว่า ตัดสินใจอะไรไม่เด็ดขาด มัวแต่เงอะงะอยุ่นั่นเอง อาการมันใกล้เคียงกันมันมี แต่ว่าก็มีจุดแยกให้ ซึ่งเป็นส่วนหยาบ โอกาสผิดมีเยอะ ขนาดพระสารีบุตรยังให้กรรมฐานผิดเลย นั่นอัครสาวกเบื้องขวานะ กระทั่งไปเจอพระพุทธเจ้า ท่านถึงได้ว่า พระลูกนายช่างทอง จริง ๆ แล้วเป็นโทสะจริต ก็ให้ไปฝึกสิณสีแดงแทน แล้วก็เป็นพระอรหันต์ภายในที่นั่งเดียว เสียเวลาไปพรรษาหนึ่งเต็ม ๆ

    ถาม : พระสารีบุตรท่านใช้เจโตปริยญาณ หรือท่านใช้อะไรครับ ?
    ตอบ : อันนี้ไม่ทราบเหมือนกัน เพียงแต่ว่าท่านให้ผิด ท่านเห็นว่าเป็นคนหนุ่มรูปหล่อด้วย พ่อรวยด้วย สาวเยอะด้วย น่าจะหนักไปทางราคะจริต ก็เน้นพวกอสุภกรรมฐานแทน ล่อไปหนึ่งพรรษา ไม่ได้ผล ออกพรรษาไปกราบพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าขึ้นชื่ิอว่ากุลบุตรที่ประกอบไปด้วยศรัทธาแล้ว ตถาคตจะสงเคราะห์ไม่ได้นั้นไม่มี อย่าลืมคำว่าประกอบด้วยศรัทธานะ ถ้าไม่มีศรัทธาท่านก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร ในเมื่อเขามีศรัทธาขนาดเป็นลูกเศรษฐี ทิ้งบ้านทิ้งทรัพย์สมบัติมาบวช ท่านก็ลองสงเคราะห์ดู พิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นโทสะจริต ก็ให้ไปเพ่งดอกบัวสีแดงแทน เป็นยังไง ห่วงเพื่อน ห่วงตัวเองด้วยนะ ถึงตัวเองจะมีเพื่อนดี ๆ อย่างนี้ไหมหนอ มาคอยช่วย

    ถาม : มีอะไรแนะนำไหมคะ ?
    ตอบ : ไม่มี อยากจะแนะนำเหมือนกันว่า ตั้งหน้าตั้งตาทำ เข้านิพพานไปเลยก็ได้ เวลายิ่งเยอะโอกาสจะโดนเขาเล่นงานมันยิ่งมาก
    ถาม : ทำไมเขาทำวิชา ของต่าง ๆ นี่เขาต้องเข้าองค์ฌานหรือเปล่าครับ ?
    ตอบ : ก็จำเป็นต้องใช้สมาธิระดับสูงเหมือนกัน แต่คราวนี้ของเขาเนื่องจากว่าเขาใช้สมาธิเพื่อเบียดเบียนคนอื่นเขา มันก็เลยกลายเป็น มิจฉาสมาธิ
    ถาม : ในเมื่อเขาไม่มีศีลบริสุทธิ์ เขาจะเข้า-ออกฌานได้ ?
    ตอบ : อย่าลืมว่า ตอนที่เขากำลังทำสมาธิอยู่ศีลเขาไม่บกพร่องนะ เรื่องของโลกียอภิญญารวบรวมกำลังใจแป๊บเดียวมันก็ได้ พอไปทำผิดทำพลาดก็เสื่อมไป พอรวบรวมกำลังใจใหม่ ก็ทำได้อีก มันขึ้น ๆ ลง ๆ
    ถาม : อย่างสมมุติ เขาทำเสน่ห์ยาแฝดอย่างนี้ เขาเอาเส้นผมของคนมา เอาขี้ไคลมา เป็นของที่ทิ้งแล้ว มันไม่น่าจะมีผล ?
    ตอบ : มันมีผลก็เพราะว่า เขาสามารถที่จะโยงถึงตัวคนได้ง่ายกว่าปกติ ถ้าหากว่ากำหนดใจอย่างเดียวมันไม่มีอะไรเป็นวัตถุส่งผ่าน ของใช้ทุกอย่างที่ผ่านมือของเรา กระทั่งหนังสือเล่มหนึ่ง พอจับปุ๊บจะมีพลังงานของเราตกค้างอยู่ อย่าว่าแต่ไอ้นั่นมันเป็นสิ่งที่ออกจากตัวเราไป ยิ่งง่ายใหญ่เลย

    ถาม : แต่อย่างเส้นผมเราลงไป เรายังรังเกียจตัวเราเองเลย ?
    ตอบ : แต่คราวนี้อย่าลืมว่า พลังงานตกค้าง ยังไง ๆ มันก็ยังมีของมันอยู่
    ถาม : ..................
    ตอบ : (หนังสือโอวาทหลวงพ่อ) เล่ม ๑๖ เปิดหน้า ๒๒๕ จ๊ะ วรรคที่ ๒ บรรทัดที่ ๘ กับ ๑๐ อ่านจนจำได้ทุกหน้าเลย ๒๒๕ ย่อหน้าที่ ๒ บรรทัดที่ ๘ กับบรรทัดที่ ๑๐ นั่นแหละ คาถากันปืน สัตถา ธะนุง อากัตถิตุง อะเทสะยิ เป็นไง อ่านหนังสือให้มันจำหน้าจำบรรทัดอย่างนี้บ้าง ทำได้ไหม (หัวเราะ) ไหวไหมโยม ไอ้บางที ฉันอ้างหนังสือ อ้างตำรา บอกหน้านั่น บรรทัดนี้ คนมันไม่เชื่อหรอก มันต้องเปิดพิสูจน์อย่างนี้ หนังสือเพิ่งหยิบมา มันต้องอ่านแล้วจำไ้ด้ให้ได้ขนาดนี้ แล้วจำได้อย่างเดียวไม่ได้ ต้องเอาไปทำด้วย

    ถ้าเราฟังเทปหรืออ่านหนังสือหลวงพ่อท่านจะย้ำเสมอว่า ฟังแล้วจำ จำแล้วคิด คิดแล้วเอาไปปฏิบัติด้วย ฉะนั้น ถ้าหากว่าเราสมาธิดี ความจำมันเป็นเรื่องเล็ก จำง่ายมาก นั่นแหละลูก ไอ้ตัวเล็ก เอาไปท่องประจำ ๆ ต่อไปใครยิงเรานะยืนยิ้มเลย ไม่ต้องกลัวมัน
    ถาม : ถ้าเราห้อยพระ ห้อยอะไรอย่างนี้ กันได้ไหมครับ ?
    ตอบ : ถ้าไม่ได้อาราธนาก็ช่วยไม่ได้เหมือนกัน จะต้องมีการอาราธนา ขอให้ท่านช่วยอยู่ทุกวัน เรื่องของเทวดาเขายอมรับกฎของกรรม ถ้าหากว่าเราไม่เรียกให้ท่านช่วย ท่านก็นั่งมองเหมือนกัน
    ถาม : พี่ชายเสียแล้วค่ะ เขาเห็นสังฆทานยาวสุดลุกหูลูกตานี่ เลยอยากจะทราบว่าจะไปถึงไหนเจ้าค่ะ ?
     
  4. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,022
    ถาม : บุญสังฆทานนี่ ประเภทที่เรียกว่าเกิดใหม่หลายชาติก็ใช้ไม่หมด ถ้าเขาโมทนาได้นี่สบายมากเลย คนตายนี่ บางทีถ้าหากว่าคนหลังรู้จักทำบุญให้เป็นนี่โชคดีซะมากกว่า บางทีเรายังอิจฉาเขาเลย
    .....ท่องได้หรือยัง ? อ่านเที่ยวเดียว น่าจะจำได้แล้ว สัตถา ธะนุง อากัตถิตุง อะเทสะยิ แปลเป็นไทยง่าย ๆ ว่า ง้างได้ แต่ยิงไม่ได้ เพราะว่า อะไรล่ะ พรานกุกุตมิตร พรานกุกุตมิตร จะยิงพระพุทธเจ้า วันนั้นออกล่าสัตว์ทั้งวัน ล่าไม่ได้เลยซักตัว เดินไปเจอพระพุทธเจ้าเข้า อ๋อ ตัวกาลกิณีนี่แน่ ๆ เลย ยิงมันทิ้งซะเหอะ ก็ง้างธนูยิงไม่ได้ พระพุทธเจ้าอธิษฐานไว้ อธิษฐานบทนี้ บอกให้ง้างได้แต่ยิงไม่ออก

    คราวนี้ลูกชายเห็นพ่อหายไปนานก็ไปตาม ลูกตั้ง ๗ คนไปถึงเจอเข้าก็คิดแบบเดียวกันนี่ศัตรูของพ่อแน่เลย พ่อทำท่าจะยิง ก็จะไปยิงบ้าง พระพุทธเจ้าก็อธิษฐานแบบเนี่ย ยืนเป็นตอไม้ไป ๘ คน จนกระทั่งภรรยาพราหมณ์กุกุตมิตรตอนเย็นสงสัยว่าสามีและลูกหายไปไหนหมด ก็ไปตาม เจอกำลังทำท่าจะรุมยิ่งพระพุทธเจ้าอยู่ พระพุทธเจ้าท่านนั่งเฉย ๆ พวกนั้นก็ยืนง้างคาอย่างนั้นแหละ ก็ตกใจ บอกว่า อย่าทำพ่อฉัน บอกลูก ๆ บอกว่าตาของเรานะ เด็กก็คิดว่า เออ น่าจะใช่ กำลังใจก็คลายตัวจากการเป็นศัตรู พระพุทธเจ้าท่านก็อธิษฐานคลายฤทธิ์ ปล่อยให้เขาเป็นปกติได้ ก็นั่งกราบกัน ภรรยาพราหมณ์กุกุตมิตร ท่านเป็นพระโสดาบัน พระอริยเจ้าถือว่าพระพุทธเจ้าเป็นพ่อทั้งนั้น พระพุทธเจ้าท่านก็เลยเทศน์โปรดพรหมณ์กุกุตมิตรกับลูกชาย กลายเป็นพระอริยเจ้าไปด้วยกัน เลิกล่าสัตว์ได้แล้ว

    ถาม : ที่บ้านยังมีอยู่หนึ่งเลยค่ะ คนโตค่ะ ยังไม่ยอมเลิกเลยเจ้าค่ะ ?
    ตอบ : ไม่เป็นไรจ๊ะ เดี๋ยวถึงวาระ ถึงเวลา เขาก็เลิกของเขาเอง ของพรรค์นี้ถ้าหากว่ามันไม่ถึงเวลาเราเตือนเท่าไหร่เขาไม่ฟังหรอก ตัวอย่างอาตมาเอง ไป ทองผาภูมิ ใหม่ ๆ นี่ อาจารย์เขาพาลูกศิษย์มาฝึกลูกเสือ ๓๐๐- ๔๐๐ คน เขากินเหล้าไปคุยกับพระไป กินไปกินมาทนไม่ไหว เขาก็ถามว่า อาจารย์จะไม่ห้ามผมจริง ๆ เหรอ ก็บอก เงินของมึง ตัวของมึงก็กินไปสิ เราเสียเงินกับเขาเสียเมื่อไหร่ สุขภาพเราก็ไม่ได้เสีย อยากกินให้มันกินไป เขาก็แปลกใจ เขาบอกว่า ปกติขอเพียงพระรู้ว่าผมกินเหล้าเขาก็ห้ามแล้วครับ แล้วนี่อาจารย์นั่งดูผมกิน

    ถาม : ....................
    ตอบ : โยเร คล้าย ๆ กับ พลังจักรวาล มันเป็นการสั่งพลังที่ได้รับการฝึกมาดีแล้ว จากคนหนึ่งไปอีกคนหนึ่ง ซึ่งถ้าหากว่า คน ๆ นั้นเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยการขาด เขาจะเติมให้เต็ม อาการป่วยนั้นจะหายได้ แต่ว่าเรื่องของพลังจักรวาลหรือโยเรนี้ คนที่เป็นผู้รักษา หรือผู้ทำให้นี่ จำเป็นที่จะต้องตั้งอยู่ในศีลในธรรม ตั้งอยู่ในความบริสุทธิ์อยู่พอสมควร เพราะว่าการส่งผ่านลักษณะนั้นมันจะมีสิ่งที่พึงปรารถนาอยู่ อย่างหนึ่งว่า ถ้าหากว่าเราไม่ใช่ผู้มีกิเลส ในส่วน รักโลภ โกรธ หลง ที่ไม่ดีของเรา จะไปเพิ่มเติมให้กับคนอื่นเขาได้ เพราะฉะนั้นบางคนอาจไปรักษาโรค แต่ได้กิเลสเพิ่มมา มันไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่มันก็มีส่วนเหมือนกัน เพราะว่า เราจะสังเกตว่าบุคคลที่ตั้งเป็นหมอรักษาโรคเพื่อสงเคราะห์คนอื่นก็ดี อะไรก็ดี บางทีเขาก็จะไม่เรียกผลประโยชน์จากใคร พยายามตั้งอยู่ในศีลในธรรมให้มากที่สุด เพราะเขารู้ว่ามันมีสิ่งบกพร่องอยู่ตรงจุดนี้ ก็พยามยามหาที่หาที่แน่นอนหน่อยก็แล้วกัน ไม่เช่นนั้นแล้วจะได้ของแถมมาด้วย

    ถาม : แล้วทำไมเขาต้องมีพระ ที่ต้องท่องด้วยคะ ?
    ตอบ : อันนั้นเป็นสัญลักษณ์ของเขา
    ถาม : แล้วไม่มีผลอะไรใช่ไหมคะ ?
    ตอบ : มีจ๊ะ อย่างน้อยได้พระเพิ่มมาองค์หนึ่ง ความจริงมันอยู่ที่เราจะตัดสินใจ เพราะว่าทำแล้วมันดีแก่เรา ก็ทำต่อไป ถ้าทำแล้วไม่ดีก็หยุดได้จ๊ะ
    ถาม : แล้วมันจะเปลี่ยน....(ไม่ชัด).......?

    ตอบ : มันจะทำให้เราเปลี่ยนได้อย่างไร ถ้าเรายังยืดมั่นในพระรัตนตรัยอยู่ เขาอยากทำอะไร เราก็ไปสนุกร่วมกับเขาด้วย ได้เปิดหู เปิดตา เห็นอะไรมากขึ้นอีกต่างหาก ไปแถวไหนจ๊ะ ถ้าสำนักงานใหญ่เขาอยู่ใกล้ ๆ นี้ แถวซอยอารีย์นี่เอง แรก ๆ ที่เขาตั้งโน้น ตั้งแต่สมัยอาตมาเด็ก ๆ ๓๐ กว่าปีที่แล้ว ในฐานะที่เรายังเป็นวัยสะรุ่นอยู่ มันชอบลอง สำนักไหนเขามีอะไรดี ชอบไปดูให้ได้ คือของเขา เขาอยากได้สมาชิกก็พยายามช่วยเรา เพื่อให้เราเป็นสมาชิกของเขา จะว่าไปแล้วเจตนาเขาก็ดีนะ เป็นการเผยแพร่ลัทธิของเขาอย่างหนึ่ง แต่ว่าลัทธิบางลัทธิมันมีข้อผูกมัดอะไรเยอะ อย่างเช่นว่าพอเข้าเป็นสมาชิกแล้ว ต้องทำบุญประจำเดือนละเท่านั้นเท่านี้ ถ้าหากว่าเรารู้สึกว่ามันพอเสียทีเราก็เลิกได้ คือถ้าเราไม่ไปเขาก็เอาโซ่มาลากเราไม่ได้หรอก ของพรรค์นี้มันอยู่ที่เรา สติสัมปชัญญะเรามี ปัญญาก็มี เราก็ดูอยู่แล้ว อะไรที่เรารู้สึกว่ามันมันมากเกินไปเราก็เลิกจะลา มันก็อยู่ที่เรา เป็นการทดสสอบกำลังใจอย่างหนึ่งว่า เราใจถึงจริงหรือเปล่า

    ถาม : โดนเขาหลอกหรือเปล่า ?
    ตอบ : เราเต็มใจจะให้เขาเองไม่ใช่หรือ ? โยมไปพูดอย่างนั้นเดี๋ยวเขาแจ้งข้อหาหมิ่นประมาทนะ หลวงปู่ธรรมชัย ท่านบอกไว้ว่า โรคบางอย่างต้องรักษาถึงหาย ถ้าไม่รักษาจะตาย โรคบางอย่างรักษาหรือไม่รักษาก็หาย โรคบางอย่างรักษาหรือไม่รักษาก็ตาย เพราะฉะนั้นถ้าหากว่า เราไปเจอประเภทสุดท้าย รักษาหรือไม่รักษาก็ตายเขามาช่วยกันโยเรกันหมดสำนักก็ไม่เหลือหรอก
    ถาม : แล้วอย่างที่เขาตายก่อนอายุขัยนี่ ....?
    ตอบ : อย่างนี้โชคดีจ๊ะ จริง ๆ เราอาจเห็นว่าเขาตายไม่ดี ความจริงไม่ใช่ คนที่ตายก่อนหมดอายุขัยนี่ ถ้าหากว่าเราทำความดีไปเท่าไรเขารับได้หมด สบายเขามากกว่า
    ถาม : คือญาติผมเพิ่งตายจะทำบุญอะไรให้เขาครับ ?

    ตอบ : อะไรก็ได้ สังฆทาน วิหารทาน ธรรมทาน ผีเอาทั้งนั้นแหละ เจอผีไม่กี่รายหรอกที่ทำให้แล้วไม่เอา มีรายหนึ่งหลวงพ่อท่านบอกขอให้บวชเณร บอกจะบวชพระอยู่แล้ว ให้โมทนาบุญไปเขาไม่เอา จะเอาบุญบวชเณร เอากับมันซิ เขาบอกบุญบวชพระเขาได้แล้ว จะเอาบุญบวชเณร อีกรายหนึ่งไปเจอกลางป่า รายนี้เรียกว่านางฟ้าหน้าหงิก คือเดินธุดงค์จนค่ำแล้วไปพักตรงตะเคียนยอดด้วน อยู่ตรงทางห้วยสามแพร่งพอดี เราเห็นว่าใต้ต้นเขามันน่านอน ปลายห้วยมันเป็นทรายสะอาดแล้วอยู่ไต้ต้นไม้ด้วยกันน้ำค้างได้ พอมุดเข้าไปใต้ต้น แม่เจ้าพระคุณร่วงลงมา คือเขาอยู่สูงกว่าพระไม่ได้ พอเห็นอย่างนั้นก็ดูวิมานเขา วิมานเขาประเภทเอียงกระเท่เร่ ลักษณะที่จะหมดบุญอยู่แล้ว ก็บอกเขาว่า ผลบุญที่เราทำมา ขอให้เขาโมทนา เขาบอกว่าท่านไม่ต้องยุ่ง คือพูดง่าย ๆ รีบไปให้พ้นยิ่งดี ยังดีที่เขาไม่ได้พูดอย่างนั้น ให้มันก็ไม่เอานั่งหน้าหงิกอยู่ครึ่งค่อนคืน เพราะฉะนั้นว่า ความดีความชั่วมันประมาทกันไม่ได้ ขนาดอยู่ในภพภูมิที่ดีอย่างนั้น ยังเป็นมิจฉาทิฐิได้

    ถาม : เคยเจอกลิ่นธูปนี้แรงมากเลยคะ ?
    ตอบ : อย่างนั้นสบาย แสดงว่ากำลังใจเขาทรงญาน ลักษณะของกลิ่นธูป กลิ่นกำยาน ดีไม่ดีเป็นพรหม ถ้าหากว่าเทวดากลิ่นหอมเหมือนดอกไม้ แต่เป็นดอกไม้ที่หาไม่ได้ กลิ่นหอมแปลก ๆ ชนิดที่โบราณเขาเรียกหอมจนลืมตายเลย มันก็มีบางทีเหมือนกับวิธีพิเศษเราเองก็ไม่มั่นใจความรู้ตัวเอง มีผีตัวหนึ่ง อันนี้ต้องเป็นผีที่วิเศษมากเลย เขาตายแล้ว เขาบอกว่าเขาไปนิพพานแล้ว เราก็เออ...มีอะไรเป็นข้อพิสูจน์ได้ล่ะ ก็เอานี้แล้วกัน ก่อนนอนถ้าได้เงินร้อยหนึ่ง จะถือว่าไปนิพพานจริง
    เวลาเจริญกรรมฐานภาคค่ำ ทุ่มครึ่งแล้ว ปรากฏว่าพอเสียงกริ่ง กริ๊ก ๆ หมดเวลา ลืมตาขึ้นมา มีโยมคนหนึ่งเอาเงินมายัดใส่กระเป๋าให้ร้อยหนึ่ง เออจริง... แสดงว่าต้องไปนิพพานแน่ ๆ เลย (หัวเราะ) ขอน้อยไปหน่อย รู้งี้เอาเยอะกว่านี้หน่อย ของเราเองบางทีนึกอะไรไม่ออก ก็คือมันแบบนี้แหละ ประเภทนั่งนับเงินอยู่ จุดมุ่งหมายมันก็อยู่กับเงิน ลืมเรื่องอื่นไป งกมากไปหน่อย โยมคนนั้นก็เหลือเกินไม่ได้รู้จัมมักจี่กันมาก่อน อันนี้ยังดีนะ พวกร่วมบุญกันโดยอัตโนมัตินี่เดือนก่อนไปไหว้พระแก้ว เพราะมากรุงเทพต้องไปไหวพระแก้วทุกเดือน เราก็กราบไหว้ อธิษฐานของเราสบายใจ ก็คงนานน่าดูแหละ พอลืมตาลุกปุ๊บ หันมามีเสียงนิมนต์คะ เราก็ว่าอะไรวะ ถวายอาหารมา แล้วจะทำยังไง ก็หิ้วไปทั้งข้าวทั้งกับนั่นแหละ คนก็มองกันตาเดียว เออ..พระองค์นี้คงงกน่าดู ขนาดไปไหนยังเตรียมอาหารไปด้วย เขาถวายไม่รับก็ไม่ได้ กลางโบสถ์เลย คนไม่ได้ดูตาม้าตาเรือนี่เยอะเหมือนกันนะ

    แล้วก็อีกทีหนึ่งตอนนั้นอยู่ที่ วัดเทพศิรินทร์ ปกติอยู่วัดนี้เดินบิณฑบาตประมาณสองเสาไฟฟ้าอาหารก็ล้นบาตรแล้ว วันนั้นก็คิดแผลง ๆ ขึ้นมาตั้งใจอธิษฐานว่า วันนี้ใครที่ใส่บาตรก็ตาม ขอให้เป็นคนที่ร่วมบุญกันมาแต่อดีตเท่านั้น ปัจจุบันนี้เราไม่เอา ตั้งใจว่าจะกินของเก่าแล้ว ปรากฏว่าวันนั้นมีใส่แค่สองคน เดินทั่ว ตลาดโบ้เบ้ แล้ว (หัวเราะ) น่าอดตายนะ โยมที่เคยใส่บาตรเคยนิมนต์ยืนเฉยกันหมด ก็ต้องเดินเลยไป คราวหน้าอย่าไปลองนะ ที่ซึ่งเราไม่มั่นใจจะอดตายเอา เรื่องประเภทนอกทุ่งนอกท่าของพระนี้เยอะ แต่ละคนนี่ซนทั้งนั้น หลวงพ่อท่านบอกว่าเวลาได้ใหม่นี่ ซนทุกราย สมัยที่ท่านอยู่ก็ หลวงพ่อลิงขาว กับ หลวงพ่อลิงเล็ก ซนเสียไม่มี แกล้งโยมบ้างอะไรบ้าง จน หลวงปู่ปาน ท่านให้เข้าป่าไป ของเราก็มีเชื้อสายอยู่หน่อย ๆ ถึงเวลาก็อดไม่ได้ บางทีการปฏิบัติธรรมนี้ต้องรื่นเริงในธรรม จะเครียดไม่ได้ จำไว้นะ ถ้า เครียดเมื่อไรก็เสียผลเมื่อนั้นเลย ต้องรื่นเริงในธรรม ได้แค่ไหนก็พอใจแค่นั้น

    ถาม : แล้วการตั้งเป้าหมายการปฏิบัติล่ะคะ ?
    ตอบ : ตั้งเอาไว้ แล้วก็ไปช้า ๆ แต่ชัวร์ เราตั้งเป้าหมายสูงสุดอยู่แล้วนี่ อย่างนี้คือสมาร์ทบอมม์ ยิงแล้วก็ล็อคเป้าเอาไว้
    ถาม : (ถามเรื่องวิธีพิจารณา)

    ตอบ : ทุกอย่างมันเกี่ยวกัน พอพิจารณาไป มันจะเกิดเป็นตัวนิพพิทาญาณ จะเห็นว่ามันน่าเบื่อหน่าย ไม่ว่าตัวเราตัวเขาตลอดโลกนี้ไม่มีอะไรน่ายินดีน่ารักใคร่เลย เสร็จแล้วก็ในเมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ มันยังต้องอาศัยอยู่กับมัน ถ้าหากว่าเราตายครั้งนี้แล้วเราไปนิพพาน พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด การดำรงชีวิตอยู่ของเราก็เท่ากับแป๊บเดียวเท่านั้น ทำไมเราจะอยู่กับมันไม่ได้ มันก็จะกลายเป็น สังขารุเปกขาญาณ เห็นปกติธรรมดาของโลกได้ ในเมื่อธรรมดาของมันเป็นอย่างนั้นก็ทนอยู่กันมัน พ้นจากมันเมื่อไร เราก็สบาย... ทำแล้ว ทำอีก ย้ำแล้วย้ำอีก จนกระทั่งเราบอกว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา แล้วมันไม่เถียงเรา ถ้ามันยังเถียงอยู่ก็ดูต่อไป ซ้อมบ่อย ๆ ทำไปเรื่อย แรก ๆ มันเหมือนกับว่าตีอวนจะเอาปลาทั้งทะเล แต่พอพิจารณาไป ๆ รวบเข้ามา มันจะเหลือแค่นิดเดียว พอบอกว่าร่างกายไม่ใช่ของเรา มันไม่เถียงก็ใช้ได้ แต่ถ้ามันเถียงก็แยกธาตุแยกชิ้นส่วนมันต่อไป

    ถาม : (เรื่องตัดห่วงในครอบครัว )

    ตอบ : ให้เรายึดว่าท่านเป็นพ่อเป็นแม่เป็นลูกตามปกติก็ได้ เราทำหน้าที่ของเราไปให้ดีที่สุด เห็นว่าปกติธรรมดาของการมีครอบครัว เรามีหน้าที่อะไรเราทำหน้าที่นั้น เราเป็นลูกเราทำหน้าที่ต่อพ่อแม่ให้ดีที่สุด เราเป็นภรรยาเราทำหน้าที่ต่อสามีให้ดีที่สุด เราเป็นพ่อแม่ เราทำหน้าที่ต่อลูกให้ดีที่สุด เพียงแต่ว่าถ้าถึงวาระถึงเวลาที่ต้องตาย เราไม่ต้องไปกังวลตรงนั้น เพราะว่าเราทำหน้าที่ของเราดีอยู่แล้ว เราปลดจิตของเราออกมาตรงจุดนี้เลยก็ได้ ไม่ต้องไปพิจารณาอย่างนั้น เพราะว่าลูกเรา เราก็รัก จะไปคิดว่าให้เขาเน่าอย่างไร มันนึกไม่ออก ใช้วิธีนี้ก็ได้ เราก็กอดเขาอยู่แค่นี้แหละ เดี๋ยวพอจากกันไปก็ต่างคนต่างไปแล้ว
     
  5. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,022
    ถาม : (ถามเรื่องวิธีปฏิบัติ)

    ตอบ : ตัวนี้แหละที่เขาเรียกว่า นิพพิทาญาณ มันน่าเบื่อจริง ๆ แล้ว ขณะเดียวกัน ก็ต้องคิดย้อนกลับไปด้วย ในเมื่อยังอยู่สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เราก็ต้องเจอกับมันอยู่แล้ว ทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นในชีวิตเรา เนื่องจากเราทำมาก่อนในอดีต ในเมื่อเราเป็นคนทำมา เราต้องเผชิญหน้ากับสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ก็สมควรอยู่ โบราณท่านว่า ปลูกถั่วได้ถั่ว ปลูกงาได้งา ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ในเมื่อเราทำแต่ในสิ่งที่ไม่ค่อยดี ก็เจอแต่สิ่งที่ไม่ค่อยดีก็ยุติธรรมสมควรกันอยู่แล้ว เราทำเอง ทำไมเราจะรับมันไม่ได้ ถ้ากำลังใจเห็นธรรมดาว่า ในเมื่อเราทำมาเอง ถ้ามันเป็นอย่างนี้ก็เอา แต่ขึ้นชื่อว่าเรื่องอย่างนี้ก็ขอมีแค่ชาตินี้ชาติเดียว ชาติต่อไปไม่มีอีกแล้ว พยายามย้อนทวนย้ำไว้บ่อย ตอกหัวตะปูไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวมันก็มิดไปเอง

    ถาม : หลวงพ่อบอกว่า ให้จิตมีอธิจิตคืออะไร ?
    ตอบ : อธิจิต คือการที่เราสร้างกำลังใจเราให้ตั้งมั่น อย่างน้อยต้องได้เป็น ฌาณ ๔ ถ้าหากว่าไม่ถึงตรงนั้นแล้ว โอกาสที่ต่อสู่กับกิเลสมันก็ยาก จริง ๆ แล้วเอาแค่ ปฐมฌาณ ก็พอ ปฐมฌานนี่ถ้าเราตั้งใจทำจริง ๆ เป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามีได้ แต่ถ้าจะเอาอธิกันจริง ๆ ต่ำสุดต้องได้ฌาณ ๔ อธิจิต คือจิตที่ยิ่งกว่า อธิปัญญา คือปัญญาที่ยิ่งไปกว่า

    ถาม : หนูว่าพวกนี้ถ้าอาศัยกำลังใจของเราไม่พอ ?
    ตอบ : ตั้งใจเอาไว้ซิว่า สิ่งใดก็ตามที่เราทำเพื่อพระศาสนา เพื่อแบ่งเบาภาระหลวงพ่อ เพื่อมรรคผลนิพพานของเรา ให้เราทำสิ่งนั้นลุล่วงโดยง่ายดาย ขอให้เราเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยกำลังกาย กำลังใจ กำลังสติปัญญา กำลังคน กำลังทรัพย์ ก็อธิษฐานไป ไม่มีใครเขาว่านี่ งัดของเก่ามาใช้ บุญเก่าทำมาเยอะแล้ว ถึงเวลาก็อธิษฐานขอกำลังบุญเก่ามาช่วยมั่งซิ แต่อย่าเอาอย่าง หลวงตาวัชรชัย สมัยหนุ่ม ๆ คือบวชใหม่ ๆ หลวงตาท่านยังไม่แก่มากใช่ไหม ?

    สมัยหนุ่ม ๆ เวลาขัดใจ หลวงตาจุดธูปปักฉับ ชี้ฟ้าเลย พี่น้องข้างบนฟังให้ดีผมลำบากจะตายห่าอยู่แล้ว สมัยเมื่อก่อนก็ตกลงกันว่าจะช่วย ๆ แล้วตอนนี้ไม่ช่วยหมายความว่าไงว่ะ ? (หัวเราะ) อย่าไปทำอย่างนั้นนะ อย่างนั้น สำหรับคนที่เขาเกินร้อยจ้ะ ของเราเอาแค่แปดสิบเก้าสิบก็พอ จะลองดูบ้างไหมด่าทีได้ที สไตล์เดียวกับ พระแสงชัย พระแสงชัยด่าเทวดาที ฝนหยุดเลยไม่งั้นเดินธุดงค์ตั้งแต่ตีสามยันบ่ายสามโมงฝนตกตลอด หนาวจนตัวเขียวไปหมด โมโหขึ้นมา ชี้ฟ้าด่าเลย จะตกหาโคตรพ่อโครตแม่มึงหรือไง (หัวเราะ) ทางอิสานเขาร้อนจะตายโหงไม่ไปตก กูไม่ต้องการมันยังตกอยู่ได้ ด่าเสร็จฝนหยุดเดี๋ยวนั้น ฟ้าเปิดเลย แหม....น่าจะด่าตั้งแต่ตีสามนะ มิฉะนั้นก็ลำบากกันต่อ ประเภทเกินร้อยนี่เราอย่าไปเลียนแบบนะ มันไม่ดีหรอก กำลังใจเราสู้เขาไม่ได้ ฟัง ๆ แล้ว เรายังรู้สึกกลัวแทนถ้าเกิดมันเปลี่ยนจากฝนตกเป็นฟ้าฝ่าแล้วมันจะเป็นไงก็ไม่รู้ (หัวเราะ)

    ถาม : ญาณธรรมของเราไม่สมบูรณ์หรือคะ มันถึงทำให้เรา...?
    ตอบ : อย่าใช้คำยากจ๊ะ สติกับปัญญามันไม่สมบูรณ์พร้อม ถ้าสติปัญญาสมบูรณ์พร้อมเมื่อไร มันก็จะสามารถที่จะเห็นช่องทางที่ ลด ละ เลิก จนกระทั่งไม่ข้องแวะกับกิเลสได้อีก ถ้าหากว่าสติมากเกินไป มันก็จด ๆ จ่อ ๆ ไม่กล้าตัดสินใจ กลัวผิดกลัวพลาด ปัญญามากเกินไป เราก็บุ่มบ่ามโฉ่งฉ่าง สติกับปัญญาเราต้องไปพร้อม ๆ กัน

    ถาม : หลวงพ่อคะ เวลาที่เราทำความดีแล้วแผ่จิตไปอย่างนี้แต่ไม่ได้ทำสมาธิ จะทำให้เราพร่องไหมคะ ?
    ตอบ : ก็ได้ไม่เต็มที่ แรงส่งมันไม่ค่อยจะพอ ถึงเวลาเราทำความดีทุกอย่างเช่นว่า สวดมนต์ทำวัตร เจริญกรรมฐานอะไรอย่างนี้ ถึงเวลาก็รวบยอดไปด้วย ผลบุญทั้งหมดที่เราทำมาตั้งแต่ต้นจนถึงบัดนี้ ขอผลบุญนี้จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าเข้าถึงพระนิพพาน เราเอาหมดเลยไม่ได้เอาเฉพาะครั้งนี้ แล้วที่เหลือก็จะอธิษฐานยังไงต่อก็ว่าต่อไป ถ้ายังไม่ถึงซึ่งพระนิพพานเพียงใด ขอความข้องขัดใด ๆ อย่าได้มีในการดำรงชีวิตของข้าพเจ้าเลย ขอให้เป็นผู้มีความเป็นอยู่คล่องตัว มีความปรารถนาที่สมหวังทุกประการ ขอให้เข้าถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ ก็ว่าไปเลยจ๊ะ ประเภทที่ขอน้อยแล้วมันไม่ตรงกำลังใจ ก็ขอให้มาก ๆ เอาให้เหนี่อยลิ้นห้อยไปเลย

    ถาม : ขอทุกวันเลย เป็นเพราะเราทำได้ไม่ดี ขอแต่ท่าน ?
    ตอบ : ไม่ใช่จ๊ะ อันนี้เป็นการตอกย้ำตัวอธิษฐานบารมี คือความตั้งใจของเรา ยิ่งตอกย้ำมั่นคงเท่าไร ถึงเวลาผลของมันก็จะมั่นคงแค่นั้น
    ถาม : (ถามเรื่องแยกจิต)
    ตอบ : ดูว่าเราต้องการอันไหน ถ้าหากว่าเรารู้เรื่องได้ทั้งสองอันได้ก็ยิ่งดีเพราะว่า จิตของเรานี่ เราสามารถแยกมันทำงานหลาย ๆ อย่างพร้อมกันได้ ตัวนอกอาจพูดอย่างนี้ แต่ตัวในอาจว่าอีกอย่างหนึ่งมันไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ว่า ถ้าหากว่ากลัวจะยุ่งก็เลือกเอาสักอันหนึ่งถ้ามันไม่ยุ่งก็ว่าไปพร้อมกันเลย คนอื่นเขาทำไม่ได้ เราทำได้ สนุกดี
    ถาม : (ถามเรื่องการหน้าที่)
    ตอบ : จริง ๆ การเกิดมาของเราก็คือ หนึ่งเพื่อพระศาสนา สองเพื่อแบ่งเบาภาระของหลวงพ่อท่าน สามเพื่อมรรคผลนิพพานของตัวเราเอง ถ้าหากว่าเราทำให้จบกิจเสีย ก็คือว่าเราทำเพื่อพระศาสนา เราทำให้จบกิจก็คือเราทำเพื่อหลวงพ่อท่าน มันก็เลยสำคัญที่สุดว่าทำตัวเราให้จบให้ได้เร็วที่สุด ไม่มีใครทำแทนกันได้ ต่างคนต่างทำ ใครทำใครได้ ทำแทนกันไม่ได้
    ถาม : (ถามเรื่องบนพระ)
    ตอบ : การบนกรมหลวงชุมพร ถ้าใช้หัวหมูได้ก็ใช้ ถ้าใช้หัวหมูไม่ได้ ใช้หมูต้มชิ้นหนึ่ง ไม่ต่ำกว่าครึ่งกิโล ไก่ต้มตัวหนึ่ง ข้าวปากหม้อหนึ่งถ้วย คือข้าวที่เราหุงสุกแล้วตักขึ้นมาก่อนที่เราจะกิน ทองหยิบ ฝอยทอง แล้วก็ ขนมจีนน้ำพริก ของทั้งหมดนี้ วางบนผ้าขาวที่ปูกลางแจ้ง หาโต๊ะมาตั้งปูผ้าขาวแล้ววางลง จัดดอกไม้ธูปเทียนตามแต่เราชอบใจ เวลาบนบอกท่าน ถ้าหากว่าเป็น ตอนเช้า คือเวลา เจ็ดโมงเช้าห้าสิบนาที คือเตรียมของไว้ทุกอย่าง พอเจ็ดโมงห้าสิบก็จุดธูปบอกท่านเลย เวลาบ่าย ก็คือ บ่ายสองห้าสิบนาที วันหนึ่งได้สองเวลานี้เท่านั้น ถ้าพลาดไปแล้วท่านไม่ได้รับหรอก

    คราวนี้อธิษฐานให้ท่านช่วยตาม อัธยาศัย ถ้าสำเร็จแล้วจัดแบบนี้ถวายท่านอีกชุดหนึ่ง ถ้าใครมีลูก มีหลานหายหัวไปไหน ขอให้ท่านตามได้ เพราะท่านถนัดเรื่องตามคนมากเลย เรื่องการปกครองบริวาร อธิษฐานขอท่านหาที่เราปกครองได้ ไม่เอาประเภทที่มาเป็นเจ้านายเรา... เตรียมแจกันไปด้วยก็ได้ ท่านชอบ กุหลาบสีชมพูแต่ว่าท่านไม่ได้ขอนะ ก่อนหน้าที่จะมีประเภทสาโท แล้วก็ปลาหมึกปิ้ง แต่สมัยนี้ไม่ต้องใช้แล้วจ๊ะ เพราะว่านั่นเป็นสัญลักษณ์ของท่าน ขอไปขอมาเกิดพอท่านเลื่อนไปเป็นท้าวมหาราช ปัจจุบันท่านก็คือ ท้าววิรุฬหก ท้าวมหาราชท่านบอกว่าให้เลิกเรื่องนี้เสีย มิฉะนั้นคนจะตำหนิเอา เป็นเทวดาผู้ใหญ่แล้วยังจะกินเหล้าอีกเหรอ จริง ๆ ไม่ใช่หรอก มันเป็นแค่สัญลักษณ์บูชาท่านเท่านั้น

    ถาม : สมมุติว่าเราไปบนไว้ พอถึงเวลาแล้วยังไม่ได้ทำ ?
    ตอบ : เรื่องของบนนี่ มันสำคัญที่ต้องตรงไปตรงมาถึงเวลาแล้วมัวแต่ไปผลัดไปผ่อนอยู่บางทีวาระที่มันเหมาะสมมันเลยไปแล้ว เกิดโทษอะไรขึ้นกับเรา ก็กลายเป็นว่าไปโทษเขาอีก ให้พรรคพวกทางโน้นไหมล่ะ ถ้ามีก็โทรบอกเขา โอนเงินให้เขาไปถวายแทนได้แล้วก็จุดธูปอธิษฐานบอก อันนี้ได้ มันก็คือเราทำนั่นเองแหละ เพียงแต่ว่าอาศัยมือเขา ตัวเขาได้ประโยชน์ด้วย คือ เขาได้ เวยยาวัจจมัย คือได้ผลบุญตรงช่วยให้ผลกุศลของเราสำเร็จลง ขณะเดียวกันก็ได้ใน ปัตตานุโมทนามัย คือยินดีในผลบุญของเรา ถ้าไม่ยินดีเขาก็ไม่ทำให้อยู่แล้วเอาเลย รีบ ๆ เลย อย่าช้า เรื่องบนนี่น่ากลัวมาก ๆ จริง ๆ แล้วพระนี่ท่านไม่ได้มาให้โทษให้คุณอะไรเราหรอก เทวาดาหรือพรหมก็ไม่เอา แต่บริวารท่านมี อย่างเทวดาแต่ละองค์ บางทีพวกสัมภเวสี เปรต อสุรกาย ภายใต้ปกครองท่านเยอะ พวกนี้ทำงานแทนเจ้านายนี่ยุ่งเลย เจ้านายไม่ได้เอ่ยปาก หมั่นไส้ เล่นแทนเสียแล้ว

    ถาม : ถ้าไม่ได้กำหนดว่าเมื่อไร แต่ว่าทำทุกปี ?
    ตอบ : ได้ ไม่เป็นไร คือคำว่าทุกปีนี่ไม่กำหนดว่าเมื่อไร แต่ขอให้ในภายในปีนั้น ก็รีบ ๆ ว่าเสียแต่ต้นปีจะได้หมดเรื่องไป จะได้ไม่ต้องมากังวลอยู่ หลวงพ่อแช่ม ไปทำเล่นกับท่านไม่ได้เลย หลวงปู่ปาน ก็ได้ความรู้จากหลวงพ่อแช่มมาหลายอย่าง

    ถาม : นี่แสดงว่าการบน ที่ให้โทษนี่ คือบริวารใช่ไหมคะ ?
    ตอบ : ส่วนใหญ่ที่ให้โทษก็คือบริวาร แล้วอีกอย่างหนึ่ง เขาจะให้โทษได้ก็ตอนช่วงอกุศลกรรมของเรามันเข้าพอดี เหมือนกับเปิดประตูไว้แล้วโจรเข้ามา จังหวะนั้นโทษโจรไม่ได้ เพราะเราเผลอเอง ความดีของเรามันขาดช่วงลง
    ถาม : แต่ถ้าเราทำสม่ำเสมอ ?
    ตอบ : ทำสม่ำเสมอก็หนีมันไปเรื่อย ๆ
    ถาม : เรื่องแก้บน มันจะมีวิธีอื่นอีกไหม ?
    ตอบ : มีวิธีแก้บนรวมที่หลวงพ่อท่านบอกไว้ มีหนังสือ สมบัติพ่อให้ ของทาง วัดท่าซุงเขาจะมีวิธีแก้บนรวมอยู่ในนั้น ลองไปเปิดดู อาตมาจำของไม่หมดว่าจะมีอะไรบ้าง แล้วต้องตั้งโต๊ะ ตั้งบายศรีกับเลยล่ะ หลวงพ่อท่านถึงได้เตือนบอกว่า ตอนที่บนก็ตั้งหน้าตั้งตาบน ต่อไปให้จดเอาไว้มั่ง ไม่ฉะนั้นเดี๋ยวจะลืม

    ถาม : (เรื่องฟังเทปหลวงพ่อ)... ที่หลวงพ่อบอกว่า ฟัง ๆ แล้วหลับนี่แสดงว่าจิตเข้าฌานตลอด แล้วเป็นทุกคนไหมคะ ?
    ตอบ : ถ้าหากว่าไม่ถึงปฐมฌานหยาบ จะไม่หลับ อย่างน้อยถึงตรงนั้น ถึงได้หลับ แล้วบางคนพอทำไป ๆ ทำไปคล่องตัวมากเลยเพิ่งจะได้ยินเสียง หลับไปแล้ว
    ถาม : มันเป็นความพอใจด้วยค่ะ แล้วหลับสนิทเลย ?

    ตอบ : อันนั้นดี ให้เราตั้งใจไว้แล้วกันว่า ตอนนี้เราฟังเสียงหลวงพ่ออยู่ เหมือนกับหลวงพ่อเทศน์อยู่บนนิพพาน สิ่งที่หลวงพ่อเทศน์มาก็คือคำสอนของพระพุทธเจ้านั่นเอง นึกถึงภาพของพระพุทธรูปองค์หนึ่ง ที่เรารักเราชอบมากที่สุด นึกให้เห็นเป็นภาพของดอกมะลิแก้ว ลอยจากพระพุทธรูปนั้นผ่านองค์หลวงพ่อ จากองค์หลวงพ่อก็มาที่ตัวเราให้มาในลักษณะนี้ คิดว่าถ้าเราตายตอนนี้ขอไปอยู่กับหลวงพ่อ ขอไปอยู่กับพระท่าน ถ้ามันหลับตายไปเลย มันไปจริง ๆ ถ้าทำอย่างนั้นเป็น ระดับพุทธานุสติ ธรรมนุสติ สังฆานุสติ

    ถาม : อย่างหนูฟังอย่างเดียว โดยไม่ได้คิดอะไร ?
    ตอบ : อย่างนั้นเหลือเฟือแล้ว อย่าลืมว่างูเหลือมฟังธรรม ค้างคาวฟังธรรม นั่นเขาไม่รู้ว่าเป็นพระ แต่ฟังแล้วเขาชอบใจ แต่บังเอิญเขาฟังเสียงของพระ กำลังใจเขาเกาะเสียงแค่นั้นเอง พอเขาตายไปเป็นเทวดาเลย เสร็จแล้วมาเกิดชาติใหม่ก็กลายเป็นพระอรหันต์กันไปตาม ๆ กัน ค้างคาว ๕๐๐ นั้น มาเกิดชาติใหม่เป็นลูกชาวประมง กลายเป็นลูกศิษย์พระสารีบุตร เทศน์อภิธรรม กลายเป็นพระอรหันต์ไปหมด งูเหลือมนั้นเกิดชาติใหม่กลายเป็น อเจลก ได้ทิพจักขุญาณอย่างนี้ไปเจอพระอรหันต์เข้า กลายเป็นพระอรหันต์ไปเหมือนกัน

    อย่าคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยซิ เพราะว่าในเรื่องของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แล้ว ท่านใช้คำว่า พุทธโธอัปปมาโณ ธัมโมอัปปมาโณ สังโฆอัปปมาโณ ขึ้นชื่อว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แล้ว ย่อมไม่มีประมาณ อย่างพระจุลปันถก ชาติหนึ่งท่านเกิดเป็นพระราชา เสด็จเลียบพระนคร เหงื่อไหลก็เอาผ้าเช็ดหน้าเช็ด ปรากฏว่าผ้าขาวมันสกปรก ก็เกิดความรู้สึกขึ้นมาเองว่า ร่างกายของเรามันสกปรกขนาดนี้เลยหนอ แค่นี้เอง เกิดมาชาตินี้เป็นพระจุลปันถก พระพุทธเจ้าให้ผ้าขาวไป เอามือลูบผ้าขาวไปภาวนาไป ผ้าขาวสกปรกขึ้นมา ก็นึกขึ้นว่าร่างกายเราสกปรกขนาดนี้คนอื่นก็สกปรกเหมือนกัน ขึ้นชื่อว่าร่างกายของคนและสัตว์มีสภาพเช่นนี้ทั้งหมด คิดไป ปลงไป กลายเป็นพระอรหันต์เหมือนกัน เพราะฉะนั้นอย่าคิดว่าความดีเพียงเล็กน้อยแม้ชั่วช้างกระดิกหูงูแลบลิ้น ก็เป็นปัจจัยส่งผลต่อไปภายหน้าให้เราได้ผลดีในการปฏิบัติ ทุกสิ่งที่ทุกอย่างที่เราทำอยู่ไม่ว่าจะใหญ่จะเล็กขนาดไหนก็ตาม ท้ายสุดมันให้ผลทั้งสิ้น

    ถาม : (ถามเรื่องการรักษาศีล - การแต่งตัว)
    ตอบ : การที่เราแต่งหน้าแต่งตานั้น ถ้าหากว่าศีลมันจะขาด ก็เพราะตั้งใจจะไปยั่วกิเลสเพศตรงข้าม ถ้าหากว่าเราแต่ประเภทที่ออกสังคม ก็ตามปกติแต่งไปเหอะ เราอย่าคิดว่าเราแต่งไปเพื่อให้สวยให้งาม แต่ให้คนอื่นเอาเห็น แต่เพื่อป้องกันกันเก้อเขิน เพื่อสังคมทำไปเถอะจ๊ะ ให้เรารู้สึกเอาเองแล้วกัน ว่าหน้าตาเราจริง ๆ มันเฮงซวยห่วยแตก ขนาดต้องมานั่งแต่งให้มันสวย ในเมื่อมันไม่ดีจริงก็ช่างหัวมัน ทำเพื่อการงานเพื่อสังคมทำได้จ๊ะ อย่าไปทำเพื่อยั่วคนอื่นเขาแล้วกัน

    [​IMG]
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...