ฉบับที่ ๑๑ เดือนมกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๘

ในห้อง 'กระโถนข้างธรรมาสน์' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 8 สิงหาคม 2005.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,020
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ


    เดือนมิถุนายน ๒๕๔๔ (ต่อ)
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ





    [​IMG]

    ถาม : บางทีอย่างเสื้อผ้าเขาใส่ไม่ได้ หนูก็สงสารเด็กคนอื่นหนูก็เอาไปบริจาค
    ตอบ : ถ้าอย่างนั้นก็ทำถูกแล้ว ค่อย ๆ สอนเขา
    ถาม : ตอนนั้นหนูนั่งกรรมฐานเอง เสร็จแล้วไม่ได้อะไรนะ แต่ฝันไปว่า ถ้าจะนั่งกรรมฐานจะต้องมีอาจารย์ค่ะ อย่างนี้เราสมควรทำอย่างไรคะ ?
    ตอบ : ก็พระพุทธเจ้าเป็นอาจารย์ไงโยม ตั้งใจจุดธูปเทียนมีดอกไม้ มีของหอมอะไร บูชาพระรัตนตรัย อธิษฐานได้เลย แต่ถ้าหากว่าเพื่อความแน่นอน ต้องการจะมีครูบาอาจารย์ที่เป็นกัลยาณมิตรของเรา ไม่ว่าจะเป็นพระหรือฆราวาสอะไร อย่างนั้นค่อยว่ากันอีกที แต่ถ้าหากว่าอยากจะทำ เริ่มต้นได้เลย ถือพระพุทธเจ้าเป็นครู ครูใหญ่ที่สุด ไม่มีใครใหญ่กว่านั้นอีกแล้ว
    ถาม : คืออ่านในหนังสือ เห็นหลวงพ่อบอกว่าให้ทำที่บ้านก็ได้ นั่ง ๆ ไป แล้วมีคืนหนึ่งก็ฝันว่า ถ้าจะนั่งต้องมีอาจารย์ไงคะ ต้องทำไง เลยไม่แน่ใจ
    ตอบ : ลองขึ้นครูดูมั่งก็ได้ ถ้าหากว่าขึ้นครูตามแบบของหลวงพ่อ ใช้ธูปสามดอก เทียนหนึ่งเล่ม ดอกไม้สามสี สีละดอก แล้วก็เงินบูชาครูหนึ่้งสลึง
    ถาม : แล้วจะต้องทำยังไงคะ เวลาบูชา ?
    ตอบ : บูชาหน้าหิ้งพระ ตั้งใจว่า กรรมฐานในสิ่งที่หลวงพ่อสอนไว้ โดยเฉพาะมโนมยิทธิทั้งหลายนี้ ลูกขออนุญาตฝึก ขอให้ได้โดยสะดวกและคล่องตัวด้วย ให้ได้ง่าย ๆ ด้วย ไม่งั้นบางคนปล้ำกันตายเลย
    ลงไปใต้งวดนี้ เจอโยมคนหนึ่งฝึกธรรมกายมาแบบทุ่มเทเลย แล้วไม่ได้ เป็นปี ๆ ก็ไม่ได้ บอว่ากระทั่งดวงปฐมมรรคก็ประคองไม่อยู่ พอประคองไม่อยู่ วันนั้นคงประเภทเหนื่อยใจเต็มที่แล้ว ก็เลยบอกว่าได้ไม่ได้ช่างมัน วันนี้นอนแล้ว พอเอนตัวลงก็พอดีโพล๊ะเลย คือเขาทุ่มมากเกินไป มันเลยเป้าที่ต้องการ พอลดกำลังใจลงมา
    ดูแล้วโยมคนนี้ตัวอย่างเหมือนพระอานนท์ ตอนก่อนทำสังคายนาใช่มั้ย ? รุ่งเช้าเป็นวันสังคายนา กลางคืนท่านก็เินจงกรมกันยันสว่างเลย เสร็จแล้วก็เหนื่อยมเต็มที่ ไม่เป็นพระอรหันต์สักที ก็เอ้า ! ช่างมัน เป็นไม่เป็นก็ช่าง นอนแล้ว พอเอนตัวลงไม่ทันจะถึงหมอน เลยบรรลุตรงนั้น กลายเป็นว่าท่านบรรลุในท่าที่แปลกกว่าใครเพื่อนเลย ยืน เดิน นั่ง นอน พร้อมกันเลย จะยืนก็ได้ เพราะว่าเท้าหนึ่งยังแตะพื้นอยู่ จะเรียกว่านั่้งก็ได้เพราะก้นก็แตะเตียงอยู่ จะเรียกว่านอนก็ได้เพราะว่าตัวเอนลงไปแล้ว (หัวเราะ) เป็นพระอรหันต์องค์เดียวที่บรรลุในอิริยาบทที่แปลกไปกว่าเขา ลักษณะเดียวกับโยมคนนั้นแหละ
    แล้วตัวเองที่ปฏิบัติมาในระยะแรกที่ฝึกมาโดยไม่มีครูก็แบบเดียวกัน ภาวนามาใจก็คือว่าปรารถนาจะให้ได้ปฐมฌานอย่างน้อย เพราะว่าฟังคำเทศน์หลวงพ่อท่านบอกว่า กำลังอย่างน้อยถึงปฐมฌานถึงจะตัดกิเลสได้ โดยเฉพาะกิเลสระดับพระโสดาบัน พระสกิทาคามีกำลังของปฐมฌานก็พอแล้ว ก็พยายามจะให้มันได้ ทุ่มเทเวลาปีแล้วปีเล่า สามปีเต็ม ๆ ไม่ได้เลย พอวันทีี่่มันจะได้ขึ้นมา ก็ลักษณะเดียวกับเขาก็คือว่า ทำมาตั้งเยอะตั้งแยะแล้วไม่ได้ซักที ก็เรื่องของมันเหอะ ได้ไม่ได้ก็ช่าง เรามีหน้าที่ทำของเราก็แล้วกัน ลงร่องโป๊ะเลย ถ้าเราลดกำลังลงไปแค่พอดี มันจะได้เดี๋ยวนั้นเลย
    แต่คราวนี้ไอ้พอดี กว่าจะเข้าถึงแต่ละคนมันลำบาก พอเข้าได้ซักทีแล้วต่อไป มันจะง่าย เพราะว่าเราจำอารมณ์ตรงนั้นง่าย
    ลักษณะของโยมคนนั้นแบบเดียวกันเลย โยมคนนั้นอยู่หาดใหญ่ฝึกธรรมกายทุ่มเทมากเลย เป็นลูกศิษย์ของนายอำเภอวิวัฒน์ เรืองมณี เคยได้ยินกันมั้ย ? ท่านนายอำเภออยู่ทางด้านโน้นนี่ท่านสอนสองอย่างเลย สอนทั้งธรรมกาย สอนทั้งมโนมยิทธิ เพราะว่าพอถึงตอนสุดท้ายแล้วเหมือนกัน พอเหมือนกันท่านสอนสองอย่าง โดนคนเขาว่าเพี้ยนบ้าง อะไรบ้าง แต่ท่านสอนลูกศิษย์ลูกหาไปซะเยอะแยะ
    ถาม : กลัวทำอะไรที่ผิดไปโดยที่เราไม่รู้ แล้วเป็นบาปนะคะ ก็ขอกราบขมาอภัย
    ตอบ : จ้ะ....เวลาจะทำอะไร ตั้งใจขอขมาต่อหน้าพระ โดยเฉพาะพระพุทธรูป พระทุกองค์ก็คือศากยบุตร ก็คือลูกของพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นขอขมาตรงต่อท่าน ท่านไม่ถือโกรธเราอยู่แล้ยว แต่ถ้าจะเอาให้พ้นจริง ๆ ต้องขอขมาต่อพระรัตนตรัย โดยมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน
    เพราะฉะนั้นก่อนสวดมนต์ไหว้พระ ก่อนทำกรรมฐานทุกครั้งควรจะกราบขอขมาพระรัตนตรัยก่อน หลวงพ่อท่านสอนให้ปฏิบัติจนชิน จนกระทั่งทุกวันนี้ อาตมากราบพระเมื่อไหร่คนเขาจะเห็นว่ากราบหลายที คือครั้งแรกกราบก่อน หลังจากนั้นขอขมาพระรัตนตรัย ก็กราบอีก สวดมนต์เสร็จก็ค่อยกราบ เพราะฉะนั้นอย่างน้อย ต้องเก้ากราบไปแล้วล่ะโยม โดยเฉพาะนักปฏิบัติ พอเริ่มเข้าเขตอุปจารสมาธิไปแล้ว มารเขารู้ว่าเราจะหนีห่างไปแล้ว เขาจะหาวิธีขวางเราไว้ทุกวิถีทาง วิธีขวางที่ง่ายที่สุด ก็คือทำให้เราเกิดการลังเลสงสัย หรือทำให้เรามีความคิด มีคำพูด มีการกระทำ ที่เป็นการปรามาสในพระรัตนตรัย พอเราเกิดความคิด มีคำพูด หรือมีการกระทำอย่างนั้น อย่าไปเสียอกเสียใจ อย่าไปหนีห่างจากความดีตรงจุดนั้น
    ให้คิดว่า ถ้าสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ขึ้นชื่อว่าสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายเหล่านี้เราไม่ทำอยู่แล้ว แต่ว่าในขณะนี้ด้วยการชักนำของกิเลส ตัณหา ของอุปาทาน ของอกุศลกรรม พาเราไป พาให้เราทำสิ่งที่น่าเกลียดน่าชังเช่นนี้ ถึงไม่ใช่เจตนาโดยตรงของเราก็เถิด แต่เราก็เต็มใจกราบขอขมาพระรัตนตรัย แล้วก็ตั้งใจกราบขอขมาไป พวกนี้เขากลัวคนหน้าด้าน ถ้าเราหน้าด้านตื๊อสู้อยู่ เขาก็ถอย รู้ทันเขาก็ถอย เพราะฉะนั้น ทุกคนที่ปฏิบัติอยู่ต้องผ่านจุดนี้ทั้งนั้น แล้วมารมีตัวตนจริง ๆ เขามาแต่ละทีน่ากลัวมาก
    อาตมาเจอเข้ามาแล้ว ครั้งแรกที่เป็นเด็ก ๆ ท่องอะไรนะ พญามารยกพลมาผจญพระพุทธเจ้า เหมือนยังกับคลื่่นในมหาสมุทร เจอเข้าจริง ๆ ลักษณะนั้นเลย เขามาอย่างชนิดที่ว่า เหมือนกับว่าเราไม่มีทางที่จะต่อต้านเขาได้แม้แต่น้อย แต่ว่าเราถอยไม่ได้ ต้องสู้ เจอเข้าจริง ๆ แต่ไม่ต้องกลัว ให้คิดเสียว่าเขาทำหน้าที่ของเขา เราทำหน้าที่ของเรา มารไม่ใช่ศัตรูแต่เป็นครูที่ขยันที่สุด เพราะเขาทดสอบเราทุกวินาที เขาเป็นผู้มีอุปการะคุณต่อเราอย่างยิ่ง ถ้าเราไม่ผ่านการทดสอบของเขา เราก็ยังคงติดอยู่ที่เดิม แต่ถ้าเหากว่าเราผ่านไป ตรงจุดนั้น เราจะไม่แพ้อีก
    ครูที่ขยันออกข้อสอบขนาดนั้น น่าจะยกขึ้นหิ้งเสียด้วยซ้ำไป คิดเสียว่าเป็นหน้าที่ของเขา เขามีหน้าที่ขวางให้เขาขวางไป เราทำหน้าที่ของเรา ราจะหนีให้พ้น เราก็หนีของเราไป ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง ไม่มีใครผิด ไม่มีใครถูก ไม่มีใครดี ไม่มีใครชั่ว ต่างเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เหมือนกัน แผ่เมตตาอโหสิกรรมให้เขา เขาทำต่อไป ก็ตั้งใจแผ่เมตตาให้เขาต่อไป เราไม่มีทางสู้เขา ไม่ว่าวิธีไหนก็แล้วแต่ ยกเว้นว่าเลิกศุ้ไม่ต่อยกับมันซะอย่า งมันจะมาต่อยเราฝ่ายเดียวก็ให้มันรู้ไป เกือบตายนะ โดนมาทุกวิถีทางเลย
    ไอ้งานนั้น ประมาณสิบกว่าวันไม่ได้กิน ไม่ได้นอน ตามที่อ่านในตำราที่บอกว่า เวลาเขามามีลักษณะตัวดำเป็นนิล มาลักษณะนั้นจริง ๆ โอ้โห ! แล้วเวลาเขามานี่ พลังที่รุมล้อมรอบข้างนี่ เหมือนยังกับไก่ไปเจองูน่ะ เราเองลุ้นไม่ขึ้นเลย มีอย่างเดียวจะยอมหมอบราบคาบแก้วแพ้ซะท่าเดียว
    ยกเว้นกำลังใจสุดท้ายที่คอยเตือนสติว่า ถ้าแพ้เราจะเป็นทาสเขาตลอดไป มันต้องสู้อย่างเดียว แต่ก็อย่างว่าแหละ สู้ไปสู้มา สู้เท่าไหร่ ก็สู้เขาไม่ได้นะ จะใช้ความสามารถพิเศษรบกับเขา เราแพ้ตั้งแต่ยกแรกเลย เพราะว่าสู้ก็คือเกิดโทสะ ก็เสร็จเขา ใช้กำลังใจแผ่เมตตาอย่างเดียวก็สู้เขาไม่ได้เพราะว่ากำลังเขาสูงมาก ขนาดพระพุทธเจ้ายังเอาเขาไม่ได้ ตรงจุดนี้ไม่ใช่ว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่เก่งนะ (หัวเราะ) เก่ง แต่ว่าเนื่องจากว่าให้เท่าไหร่เขาไม่่รับ มีปัญญาให้ไปซิ เราก็แย่อยู่ฝ่ายเดียว ตื๊อกันเข้าไปซิ ฟาดกันอยู่นานเนกาเล คิดว่างานนี้แค่ตาย ปรากฏว่าตื๊อไปตื๊อมา มันอาจพ้นวาระกรรมของเราพอดีก็ได้ ก็ถอยให้ แต่กว่าจะถอย เล่นเอาเราซะงอมพระราม



    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif></TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD></TR></TBODY></TABLE>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • L11_1.jpg
      L11_1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      58.4 KB
      เปิดดู:
      2,836
    • L11_2.jpg
      L11_2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      55.7 KB
      เปิดดู:
      100
    • L11_3.jpg
      L11_3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      59.4 KB
      เปิดดู:
      115
  2. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,020
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD></FONT>

    ถาม : แล้วถ้าเขาไม่ถอยล่ะครับ จะสู้ยังไง ?
    ตอบ : ไม่ต้องไปสู้หรอก สู้เขาไม่ได้แน่ เป็นพวกเดียวไปเลย หรือไม่ก็ต่างคนต่างทำงานไป คืออย่าไปเห็นเขาเป็นศัตรูนะ ต่างคนต่างทำหน้าที่ตัวเอง ให้เป็นพวกเดียวแบบหมอบราบคาบแก้วให้แก่เขา นั่นก็เสร็จเลย แล้วส่วนใหญ่ ถ้าทำไปถึงก็จะโดนเหมือน ๆ กัน เพราะว่าพระส่วนใหญ่ พอปฏิบัติไปแล้วก็จะกลายเป็นหลักของโยมต่อไป ไอ้คนที่เป็นคนนำขบวนหรือเป็นหัวหลักพลอยให้คนอื่นเขายึด เขาจะตีตรงนั้นมาก
    ถาม : แ้ล้วคนช่วยที่อยู่รอบข้าง (ฟังไม่ชัด)
    ตอบ : ตัวช่วยจริง ๆ อยู่รอบข้าง นั่นคือว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเห็น สามารถเป็นครูให้เราได้ทั้งนั้น คนอื่นที่เขานั่งอยู่นะ เขาเจ็บมั้ย ? ป่วยมั้ย ? เมื่อยมั้ย ? ทั้งหมดล้วนแล้วแต่กำลังเป็นไปอยู่ในทุกข์ทั้งสิ้น เขาก็ทุกข์ เราก็ทุกข์
    แต่ขณะเดียวกันไอ้ตัวช่วยรอบข้างนี่แหละ จะกลายเป็นบริวารของมารได้ทุกเวลาเหมือนกัน สิ่งที่เราเห็น สิ่งที่เราได้ยิน ถ้าเรารับเข้ามาในใจ โดยปราศจากการระมัดระวัง มันพร้อมที่จะก่อให้เกิดการกระทบ พอกระทบเมื่อไหร่ เราส่งใจออกไปรับรู้เมื่อไหร่ ก็แปลว่าทุกข์เมื่อนั้น ตัวช่วยอยู่รอบข้างเหมือนกัน แต่ขณะเดียวไอ้ตัวคอยซ้ำอยู่รอบข้างเหมือนกัน ตัวเดียวกันด้วย ที่บอกว่ามารกับความดี หน้าตาเหมือนกันเปี๊ยบเลยนั่นแหละ ก็คือตรงจุดนี้แหละ มันอยู่ที่ใจของเรา ถ้าใจของเราดี รอบข้างดีหมด ถ้าใจของเราไม่ดี รอบข้างก็ไม่ดีไปด้วย
    หลวงปู่ขาว สมัยโน้น...ท่านเล่าให้ฟัง พอท่านผ่านจุดของการต่อสู้ไป จนมั่นใจว่าไม่แพ้แล้ว ขนาดกุฏิเก่า ๆ ทั้งหลัง กราบแล้วกราบอีกไม่เบื่อ กุฏิเก่า ๆ อยู่มาตลอดไม่เคยอมองด้วยซ้ำเลย กลายเป็นครูไปได้ยังไงก็ไม่รู้ ..เอาแค่ทุกข์ตัวเดียวนะ ทุกคนเวลาเกิดความทุกข์ก็จะไปคร่ำครวญอยู่กับมัน ลำบากเหลือเกิน ทุกข์ยากเหลือเกิน แต่ว่าในสายตาของพระปฏิบัติที่ทำไปถึงตรงจุดนั้นแล้ว ทุกข์นั้นมีค่ายิ่งกว่าเพชรกว่าทองอีก เงินเท่าไหร่ก็ซื้อไม่ได้ อดีตโบราณาจารย์หลายลัทธิที่มีความสามารถสูงมาก มีชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือ ปฏิบัติมาตลอดทั้งชีวิต ก็ไม่สามารถจะเห็นอริยสัจที่แท้จริงตัวนี้ได้
    พระพุทธเจ้าของเราบำเพ็ญบารมีอย่างน้อยสี่อสงไขย กับหนึ่งแสนมหากัป ปฏิบัติด้วยความลำบากยากเข็ญถึงหกปีเต็ม ๆ ด้วยปัญญาธิคุณอันล้ำเลิศ พระองค์ท่านจึงตรัสรู้เห็นอริยสัจอันนี้ได้ ไอ้ของที่หาได้ยากเย็นแสนเข็ญขนาดนั้น ปรากฏอยู่เฉพาะหน้าของเราแล้ว เงินทองเท่าไหร่ก็ซื้อไม่ได้ กลายเป็นของที่มีค่าชนิดที่ไม่สามารถจะไปควานหาตรงไหนได้ ของที่เราว่าไม่ดีแท้ ๆ กลายเป็นของมีค่าในสายตาของท่านไป ตามทันมั้ยตรงนี้ ? ตามไม่ทันพูดใหม่ก็ไม่เหมือนเดิม (หัวเราะ)
    เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างมันจะมีมุมมองของมันเอง เมื่อไปถึงตรงจุดนั้นแล้ว จะไม่มีดีไม่มีชั่วนะ ดีชั่วก็เป็นแค่สมมุติ สิ่งที่เห็นคือผู้ที่กำลังเป็นไปตามกรรม กระแสกรรม อันนั้นมีดำกับขาว ฝ่ายขาวพาเราขึ้นสูง ฝ่ายดำพาเราลงต่ำมันอยู่ที่ว่าเรากระโดดไปกระโดดมาอยู่ในสองกระแสนี้ จนกว่าจะเด็ดขาดสิ้นเชิงไป หลุดออกจากแกระแสทั้งคู่เสียก็หลุดพ้น แต่ถ้าหากว่ายังไม่สามารถหลุดพ้นได้ ต้องเกาะกระแสสีขาวเสียก่อน เกาะไว้เหมือนกับเราขึ้นบันไดสูง ๆ ให้เกาะราวบันไดไว้ก่อน เป็นการประกันความเสี่ยงนะ แล้วถึงเวลา ถ้าหากว่าเราขึ้นมา
    สมมุติว่าเป็นห้องนี้ เข้ามาในห้องเราก็ไม่ได้แบกราวบันไดมาด้วย เรากองมันไว้ที่เดิม อันดับแรก เราต้องเกาะก่อน คือเกาะดี แล้วหลังจากนั้นพอถึงที่สุดแล้วมันถึงจะพ้นดี หลวงปู่มหาอำพันที่อาตมาจะทำบุญถวายร้อยปีเกิดของท่าน ท่านใส่บาตรทุกเช้า อาตมาอยู่วัดเทพศิรินทร์กับหลวงปู่สี่ปีเต็ม ๆ คอยดูแลปรนนิบัติท่าน เพราะว่าท่านอายุมากแล้ว มรณภาพตอนแปดสิบแปด ท่านใส่บาตรทุกเช้า พระทุกองค์ท่านบอกว่านิมนต์นะครับ ตอนไปทำวัตรเย็น นิมนต์นะครับ ถ้าท่านใดออกบิณฑบาตรกรุณาผ่านกุฏิผมด้วย ขอเป็นเนื้อนาบุญของผมบ้าง พระทุกองค์เดินผ่าน ท่านจัดเตรียมอาหารอยู่ ท่านก็ใส่บาตรทุกวัน ไอ้ของเรามันก็ตื่นมาช่วยท่านทุกวัน ช่วยไปช่วยมามันขี้สงสัย คือเรารู้ว่าหลวงปู่เป็นพระดีแน่นอน ก็กราบเรียนว่าหลวงปู่ครับ บุญของหลวงปู่ก็กินไม่ไหว ใช้ไม่หมดอยู่แล้ว แล้วหลวงปู่ยังต้องไปทำ ทำอะไรอีก ท่านบอกว่า ไฮ้ ! ....คุณก็ คนเราถ้าหากว่าปีนขึ้นไปบนหน้าผาแล้ว มันก็มีแต่ต้องรีบตะเกียกตะกายไปให้ห่างจากมันให้มากที่สุด
    คือพระที่ท่านเข้าถึงความดีแล้ว ท่านจะทรงความไม่ประมาทอยู่เสมอ ของเราเองนี่ประมาทเต็มตัวเลย ไม่ต้องห่วง ทำดีพอแล้ว ไม่ต้องทำอีกก็ได้ พอกินแล้ว เกิดหาใหม่ไม่ทันก็อดกิน นั่นแหละ ครูบาอาจารย์ แต่ละองค์ ๆ ท่านจะให้ในสิ่งที่เป็นแบอย่างแก่เรา แล้วเราเองเอาสิ่งทั้งหลายนั้นมาประยุกต์ นำส่วนที่พอเหมาะพอสม มาปฏิบัติกับตัวเราให้เกิดคุณกับตัวเราได้ ไม่ใช่ยกมาทั้งแท่ง ไอ้ยกมาทั้งแท่งที่บอกว่าสู้แค่ตาย อาตมาตายฟรีมาแล้วจ้ะ เขาบอกว่าเรียนรู้ตามตำราถือว่าเก่งใช่มั้ย ? ต้องพลิกแพลงใช้งานได้ถึงจะยอด แต่ถ้าเยี่ยมจริง ๆ ให้บัญญัติใหม่ (หัวเราะ) ของเราไม่เก่งขนาดนั้น ต้นบัญญัติจริง ๆ คือพระพุทธเจ้าเท่านั้น อาตมาไม่เอาด้วย
    ถาม : พรรษานี้ผมจะไปอยู่ที่ ...(ฟังไม่ชัด).....
    ตอบ : ที่ไหนก็ได้ สำคัญตรงใจเรา ส่งออกเมื่อไหร่ทุกข์เมื่อนั้น ตอนแรกต้องหยุดมันให้ได้ก่อน โดยเฉพาะหยุดคิด นี่แหละ น้ำผลไม้มันก็แค่น้ำผลไม้ ถ้าเราคิดต่อแช่เย็นซะหน่อยก็เข้าท่าดี ก็ไปซะแล้ว เอ๊ะ !...ถ้าเป็นน้ำส้มก็แจ๋วใช่มั้ย น้ำส้มเคยไปกับสาวแล้วสั่งกินนี่หว่า ไปอีกแล้ว ถ้าหากว่าน้ำส้มเป็นเหล้าก็เคยกินเหมือนกันก็บรรลัยเลย
    เพราะฉะนั้น มันต้องหยุดมาตั้งแต่เหตุให้ได้ ถ้าสติรู้เท่าทัน มองปุ๊บมันรู้เลยว่า ถ้าคิดอย่าไงจะเป็นโทษอยา่งไร มันจะตัดตั้งแต่ตอนนั้น ตอนที่ควานหาสติตัวเองนี่ มันยากเย็นแสนเข็ญ เรียนตำรามาเท่าไหร่ก็ใช้การไม่ได้ แค่เป็นเลา ๆ ให้เราเท่านั้นเอง ตำราทุกอย่างเหมือนกับแผนที่มันเป็นเส้นขีด ๆ เท่านั้น การปฏิบัตินี่มันเดินในภูมิประเทศจริง มันหกล้มหกลุกไปเรื่อย
    ถาม : ...............................
    ตอบ : บอกเอาไว้ว่าธรรมะของพระพุทธเจ้า เกวละปริปุณนัง ปริสุทธัง สมบูรณ์บริบูรณ์แล้ว ตัดก็ขาด เติมก็เกิน ในปัจจุบันนี้มันจะมีประเภทที่เรียกว่า สัทธรรมปฏิรูปมาก พอเข้าไปถึงในระดับหนึ่งก็จะไปทึกทักเอาว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้าคือตรงนั้น
    อันนั้นจะเป็นการเอาทิฏฐิ คือความเห็นของตนเองไปปนกับธรรมะของพระพุทธเจ้าที่เป็นของบริสุทธิ์จริง ๆ เราทำถึงตรงนั้นน่ะดี ถูก แต่มันดีแค่นั้น ถูกแค่นั้น มันยังดีไม่หมด ยังถูกไม่หมด พอเราก้าวข้ามตรงจุดนั้นไปก็จะมีดีตรงนั้น ถูกตรงนั้น ซึ่งจะดีกว่าจุดเดิมอีก เราก็จะไปยึดว่าตรงนี้ดี ตรงนี้ถูกอีก เผลอเมื่อไหร่มันยึดทันที การยึดนี่ไม่ว่าจะยึดดี จะยึดชั่ว มันไปไม่รอดทั้งคู่ ตอนแรกยึดดีไว้ก่อน พอเวลาถึงตอนสุดท้ายมันต้องปล่อยดีด้วย
    ถาม : ............................
    ตอบ : มหาผล คือผลไม้ที่มีขนาดใหญ่เกินมะตูม ถ้าหากว่าคั้นน้ำมาแล้ว ห้ามฉัน ปรับเท่ากับฉันอาหารปรับทุกคำเลย ตอนแรกก็สงสัยว่า ทำไม เพิ่งจะมารู้ระยะหลัง ๆ นี่เอง ไปอ่านเภสัชโภชนา พวกมหาผลนี่ส่วนใหญ่ฮอร์โมนจะเยอะ ฉันเข้าไปเดี๋ยวอยู่ยาก พระพุทธเจ้าท่านห้ามมาตั้งสองพันกว่าปีแล้ว ตำราเพิ่งเรียนทัน โดยเฉพาะน้ำมะพร้าว ยืนยันเลยว่ามากเป็นพิเศษ
    สมัยก่อนนี้เขาห้ามผู้หญิงท้องกินน้ำมะพร้าวใช่มั้ย เดี๋ยวนี้แนะนำให้กินให้เยอะเข้าไว้ เด็กมันจะได้เจริญเติบโตและแข็งแรง ลองทดสอบดูนะ มหาผลอย่างพวกแตงโม สับปะรด ส้มโอ หรือไม่ก็มะพร้าวอย่างนี้ พวกนี้ส่วนใหญ่แล้วน้ำของเขามีฮอร์โมนเยอะ แล้วจะมีสารที่ทำให้ท่อปัสสาวะระคายเคือง พวกนี้พอลงไปเมื่อไหร่ก็ได้เรื่องเท่านั้นแหละ จะทำให้พระอยู่ลำบาก

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,020
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : เวลาที่ผมป่วย (ฟังไม่ชัด
    ตอบ : เริ่มเข้าถูกทางแล้ว (หัวเราะ) ธรรมดาของการเกิด เป็นทุกข์อย่างนี้ ธรรมดาของการเจ็บไข้ได้ป่วยบีบคั้นอย่างนี้ สาเหตุที่แท้จริงของมันก็คือ เกิดมามีร่างกายนี้ ขึ้นชื่อว่าเกิดมามีร่างกายเ่ช่นนี้อย่ามีอีกเลย ไปนิพพานดีกว่า หลุดง่ายนิดเดียว
    ถาม : ....................งง
    ตอบ : ตรงจุดที่่ว่าพระเทวทัตโดนธรณีสูบ ท่านมาแล้วจะเกิดสังฆเภทขึ้น มีคนเขาสงสัยมากว่าพระพุทธเจ้าเป็นสัพพัญญูรู้อยู่ว่า เพราะเทวทัตเข้ามาแล้วจะเกิดเหตุอย่างนี้แล้วทำไมถึงไม่ป้องกัน ปัญหานี้ น่าคิดมั้ย ? ไอ้พวกปัญญามากน่ะ เขาคิดกัน (หัวเราะ) จริง ๆ แล้ว คือว่า พระเทวทัตนี่ เขาอธิษฐานจองเวรพระพุทธเจ้ามาจนนับชาติไม่ได้แล้ว ประเภทกอบทรายขึ้นมาบอกว่าจะตามจองล้างจองผลาญพระพุทธเจ้าเท่าจำนวนเม็ดทรายในกอบนี้ พระพุทธเจ้ารู้อยู่ว่าพระเทวทัตมา แล้วถ้าหากว่าเข้ามาในพระพุทธศาสนาให้ปั่นป่วน จะทำให้เกิดสังฆเภท คือยุสงฆ์ให้แตกกัน
    แต่ว่าท่านก็รับเข้ามาเพราะว่าในขั้นต้นเมื่อฝึกให้ท่านทรงความดีได้ระดับหนึ่ง มันก็เหมือนกับว่าตุนต้นทุนฝ่ายดีเข้าไว้ส่วนหนึ่ง พอถึงเวลาถึงท่านจะเข้ามาหรือไม่เข้ามา ความชั่วชนิดนี้ท่านทำแน่ ๆ ได้ตุนความดีเข้ามาฝ่ายหนึ่งมันก็เลยบรรเทาลง กลายเป็นว่าแทนที่จะลงอเวจีเป็นกัปก็ลงแค่ห้าพันปีท่านก็จะพ้นขึ้นมา ถ้าไม่ได้กุศลตัวนี้ช่วยท่านก็จมหนักไปเลย
    ถาม : ก็แค่ห้าพันปีก็ไม่นาน
    ตอบ : โห ! .....ไม่นาน คือไม่นานสำหรับอเวจี แต่ถ้าเปรียบกับเราถือว่านานจังเลย
    ถาม : คือถ้าเทียบเป็นกัปน่ะ นานมาก
    ตอบ : ตรงจุดนี้แหละคือของท่านเอง ท่านคิดในด้านสงเคราะห์อย่างเดียว มีโอกาสช่วยให้เขาดีเท่าไหร่ก็ต้องช่วยไว้ก่อน แล้วหลังจากนั้นเขาจะทำอะไร ก็ถือว่าเป็นกรรมของเขาเอง เพราะฉะนั้นคนจำนวนมากเลยไอ้พวกช่างคิด เขาจะคิดกัน ว่าพระพุทธเจ้ารู้อยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ป้องกันเอาไว้ก่อน
    ถาม : อย่างนี้ขอขมา ไม่ได้ไปกล่าวขอขมาต่อหน้าพระพุทธเจ้าแล้วก็สมัยเรานี้ไปทำพลาด
    ตอบ : เราขอขมาหน้าหิ้งพระได้ คือว่าในสมัยนั้นท่านตั้งใจจะไป ยังไปไม่ถึง ถ้าหากว่าท่านกล่าวขอขมาตรงนั้นเลย คงเบาไปเยอะแล้ว แล้วอีกอย่างหนึ่งว่าในสมัยนั้นพระพุทธเจ้าทรงพระชมม์ชีพอยู่ ใคร ๆ ก็ยึดพระพุทธเจ้าเป็นหลัก ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วต้องไปให้ถึง
    ถาม : แล้วคำว่าอัพยกฤต นี่หมายความว่ายังไงครับ ?
    ตอบ : อัพยกฤต ก็คือความเป็นกลางอย่างยิ่ง หมายถึงอารมณ์ใจที่ไม่รับทั้งสุขทั้งทุกข์ อยู่ตรงกลางไปเลย
    ถาม : อย่างปุถุชน ทำได้มั้ยครับ ?
    ตอบ : ได้ มันได้แบบปุถุชน พระโสดาบันได้แบบพระโสดาบัน พระสกิทาคามีได้แบบพระสกิทาคามี พระอรหันต์ได้แบบพระอรหันต์ คือว่า มันมีสิทธิทำกันได้ทุกคน แต่ว่าความสูงต่ำ แล้วแต่อารมณ์ตัวเอง ว่าจะได้ขนาดไหน
    ถาม : ความเป้นกลางหรือคะ ?
    ตอบ : จ้ะ อารมณ์ที่เป็นกลาง ถ้าหากว่าจะเปรียบไปแล้วก็คือว่า พ้นดีพ้ันชั่วน่ะ อยู่ตรงกลางเป๊ะเลย
    ถาม : พ้นดีของปุถุชนนี่เป็นไงครับ ?
    ตอบ : ก็บางทีของท่านน่ะ อารมณ์ใจบางช่วงมันจะไม่เกาะทั้งดี ทั้งชั่ว เป็นอารมณ์ที่ปล่อยวางลงล็อกพอดี แต่ว่่ายังเป็นแบบปุถุชนอยู่ แต่ว่าถ้าเป็นแบบพระอริเจ้านี่ ท่านจะปล่อยวางด้วยปัญญาของท่าน ระดับที่ไม่เท่ากัน ของปุถุชนนี่อาจเป็นความบังเอิญ แต่พระอริยเจ้านี่เป็นของแท้แน่นอนไม่ใช่บังเอิญ
    ถาม : อย่างพระนี่ตัดสังโยชน์ข้อสี่ที่เข้ามาเนี่ย จะทำยังไง จะต้องพ้นอย่างไร ?
    ตอบ : อันดับแรกพยายามแยกก่อนว่า รัก โลภ โกรธ หลง เป็นสมบัติของร่างกาย ไม่ใช่สมบัติของเรา ในเมื่อเป็นสมบัติของร่างกาย ธรรมดาของมัน อารมณ์ทั้งหลายเหล่านี้ต้องมีอยู่แล้ว ในเมื่อต้องมีอยู่แล้ว อยากมีก็มีไปเถิด เราไม่สนใจเจ้าหรอก อย่าไปให้ความสนใจกับมัน มันเกิดอะไรขึ้นก็อย่าไปนึกคิดปรุงแต่งเพิ่มเติม ตาเห็นก็สักแต่ว่าเห็น มันไม่ต้องคิดต่อว่ารวยว่าสวย หูได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน ไม่ต้องไปคิดต่อว่าเพราะหรือไม่เพราะ จมูกได้กลิ่นไม่ต้องไปสนใจ ว่ามันจะหอมหรือมันจะเหม็น มันจะชอบหรือไม่ชอบ ลิ้นรับรสก็สักแต่ได้รส มันจะอร่อยหรือไม่อร่อยก็ช่างมัน กายสัมผัสก็สักแต่ว่าสัมผัส จะเย็นร้อนอ่อนแข็งชอบใจหรือว่าไม่ชอบใจอย่างไรเรื่้องของมัน กั้นมันเอาไว้อย่าให้มันเข้ามาในใจ
    คราวนี้ตรงสติและปัญญาที่จะรู้เท่าทัน ที่จะกั้นมันไม่ให้เข้ามาอยู่ในใจนี่แหละสำคัญที่สุด ต้องรู้ให้ทันมัน ถ้าหากว่าตัวนี้ทำได้ก็สบายเลย แยกมันออกให้ได้ว่าจิตกับกาย มันคนละเรื่องกัน เพราะฉะนั้นเรื่องของกายมันอยากจะเป็นก็ให้มันเป็นไป จิตเราไม่ไปปรุงแต่งกับมัน พอเราไม่ไปสนับสนุนมัน มันไม่มีกำลังพอ มันก็จะเฉาจะตายของมันเอง สักแต่ว่ารู้
    ถาม : ถึงแม้ว่าจะได้ยิน จะได้เห็น อะไรก็ตาม
    ตอบ : ถ้าเราไปปรุงแต่งเมื่อไหร่ มันจะมีแรงมีกำลังขึ้นมา ถ้าเราไม่ปรุงไม่แต่ง ไม่ยุ่งกับมัน ก็ตายในเวลาอันใกล้
    ถาม : ที่มันทุกข์เพราะการปรุงแต่งใช่มั้ย ?
    ตอบ : ใช่ ทุกอย่าง ถึงได้บอกว่าคนเราทุกข์เพราะความคิดตัวเอง ไอ้ตัวปรุงแต่งก็คือจิตสังขาร ก็คือความคิดแท้ ๆ เลย ฟังแล้วไม่ยาก (หัวเราะ) ทำจ้ะ ทำ อย่าท้อการเดินทางไปสู่นิพพานมันยาก เพราะว่าระยะทางนอกจากจะไกลแล้ว ยังเป็นการทวนกระแส เพราะฉะนั้นเราต้องมุ่งมั่นไม่ท้อถอย ค่อย ๆ ไปทีละนิดทีละหน่อย
    ก้าวหนึ่งก็คือ ใกล้เข้าไป ลมหายใจเข้าออกทีหนึ่ง ก็คือใกล้เข้าไปเรื่อย ถ้าเรานับมาได้ ระยะไกลเหลือเกินแล้ว เพียงแต่ว่ามันยังไม่ถึงจุดหมาย เราก็รู้สึกว่ามันเหน็ดเหนื่อยจนกระทั่งอยากจะท้อถอย แต่ถ้าลองมองไปข้างหลังดูซิ
    ถ้าสมมุติว่าเราขี่จักรยานอยู่อย่างนี้ เราอย่าไปมองคนขับรถสปอร์ต หรือขี่เครื่องบินอยู่ข้างหน้าเรา นั่นน่ะไม่ไหวหรอก เขาไปไกลแล้ว เรามองกลับไปข้างหลังดู คนที่เดินเท้าก็มี อาจขี่เกวียนก็มี อาจไม่ได้เดินเลย นั่งจุ้มปุ๊กอยู่กับที่ก็ตั้งเยอะตั้งแยะ เรามาขนาดนี้ก็น่าพอใจแล้ว แล้วถ้าหากว่ามองไปข้างหน้า ก็มองไประยะใกล้ ๆ มองจุดหมายใกล้ ๆ อย่างเช่นเราตั้งเป้าว่าเราจะละกิเลส คือสังโยชน์สามให้ได้ ก็มองแค่นี้ก่อน อย่าไปมองถึงสิบ แต่ว่าเป้าหมายของเราก็คือถึงสิบ ต้องทวนไว้บ่อย ๆ แต่ว่าตรงหน้านี่สามให้ได้ พอเรามองระยะใกล้มันก็จะเห็น ตอนนี้เรามีความก้าวหน้าแค่ไหน เราใกล้เป้าหมายเข้าไปเรื่อย เข้าไปเรื่อย
    เหมือนกับว่าเวลาเดินทางจะไปเชียงใหม่ก็ตั้งเป้าว่า เดี๋ยวแค่อยุธยาก่อน แป๊บเดียวก็ถึงอยุธยา เออ !..... ก็มีกำลังใจ ไปต่ออีกหน่อยก็อ่างทอง สิงห์บุรี ชัยนาท ไล่ขึ้นไปเรื่อยใช่มั้ย พอไปถึงนครสวรรค์ อ้าว !..... ได้ครึ่งทางแล้วใช่มั้ย มีกำลังใจ แต่ถ้าเราไปมองที่จุดหมายทีเดียว ถ้ากำลังใจไม่เข้มแข็งจริง บางทีมันท้อเหมือนกัน ท้อได้แต่ห้ามถอย เกียร์ถอยเขาถอดทิ้งไปแล้ว (หัวเราะ) ต้องขึ้นหน้าอย่างเดียว

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  4. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,020
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : แต่ข้อสี่นี่มันจะลำบากหน่อย
    ตอบ : ทุกคนของเรา เราอาจลำบากเพราะตัวนี้ผจญเรา แต่คนอื่นจะไปลำบากเพราะตัวอื่นน่ะ มันไม่แน่หรอก มันแล้วแต่จริตนิสัยของแต่ละคน ของใครคนนั้นก็หนักอย่างนั้น ไอ้ของเรา โอ้ย ! .... เอ็งจะโกรธไปทำไม ไม่เห็นน่าโกรธเลย เราใจเย้น เย็นใช่มั้ย ? แต่ปรากฏว่าของเขาไม่เย็นด้วยกระทบนิดหนึ่งเขาระเบิดตูมเลยอย่างนี้ มันคนละอย่างกัน อีกคนหนึ่งมันไม่ค่อยจะโกรธเลย รักก็ไม่ค่อยจะรักแต่ถือตัวเป็นบ้าเลย ใครว่าอะไรนิดหน่อยก็ไม่ได้อย่างนี้ คนละอย่างกัน
    ถาม : คนละตัวใช่มั้ยคะ ที่ติดกันคนละตัว ?
    ตอบ : ใครกำลังติดอยู่ตรงไหนจุดนั้นก็จะเป็นจุดหนักสำหรับเขา เพราะฉะนั้นเราเอาตัวเราเป็นบรรทัดฐานวัดความดีชั่วคนอื่นไม่ได้
    ถาม : เราต้องเราที่ตัวเอง แก้ที่ตัวเอง
    ตอบ : ดูที่ตัว แก้ที่ตัว ดูที่คนอื่นเมื่อไหร่ก็ผิด เพราะมันส่งใจออกนอก ดูที่ตัวเมื่อไหร่ใจมันก็ยังอยู่ข้างใน ถึงมันจะวางลงไปไม่ได้ ก็ยังควบคุมมันอยู่ภายในได้
    ถาม : ถ้าเราปฏิบัติไปแล้ว การปฏิบัติสมาธิส่งผลถึงวันรุ่งขึ้นหรือเปล่า เมื่อเราปฏิบัติเสร็จจะต้องรู้สึกดี สดชื่น
    ตอบ : ไม่จำเป็น เพราะว่าแต่ละวันกำลังใจของเราไม่เท่ากันนะ ร่างกายของเราถ้าหากว่าัมันหิว มันเหนื่อย มันเจ็บไข้ได้ป่วย ร้อน หนาว อะไรเหล่านี้ มันจะมีผลกระทบต่อการปฏิบัติทางใจทั้งหมด แต่ว่าเราตัองรู้จักวางอุเบกขาในการปฏิบัติ คือได้มากเอามาก ได้น้อยเอาน้อย ไม่มีคำว่าขาดทุน วันนี้อาจได้เป็นหมื่นเป็นแสน พรุ่งนี้อาจเหลือเป็นสามพันห้าบาท มันก็จะเเหลือเป็นแสนหนึ่งกับห้าบาท แสนหนึ่งกับสามบาท เป็นต้น ต้องรู้จักพอใจแค่นั้น ถ้าเราไม่พอใจ ประเภทไปเร่งมาก ๆ ขณะที่นี่เร่งไม่ขึ้น เดี๋ยวมันจะเครียด พอเครียดแล้วผลมันจะเสียยาวไปเลย
    เพราะฉะนั้นแต่ละวันมันจะไม่เท่ากันหรอก วันนี้อาจประเภทใจเย้นใจเย็น ยิ้มให้กับหมู หมา กา ไก่ ได้ พรุ่งอาจเอะอะ เอ็ดตะโรวิ่งไล่เตะไปทั้งสำนักงานก็ได้ เป็นไปได้ทั้งนั้น แต่ว่าในแต่ละวันยี่สิบสี่ชั่วโมง อย่าให้มันขาดทุนเยอะ ให้มันอยู่ในส่วนของความดีอยู่บ้าง ถ้ามันเคยชั่วอยู่ยี่สิบสี่ชั่วโมง ก็เอาสักยี่สิบสามชั่วโมง ให้มันมีเวลาดีอยู่บ้าง ถือว่ากำไรแล้ว แล้วถ้ายิ่งทำได้มากเท่าไหร่มันก็กำไรมากเท่านั้น
    ถาม : ........................
    ตอบ : เขาว่าวันนั้นนี่สวรรค์ร้างเลยนะ ข้างบนนี่เทวดาที่เป็นผู้ใหญ่นี่ไม่เหลือเลย เขาเชิญไปหมด คนที่สามารถทำขนาดนั้นได้ จะต้องรู้จักเทวดาอย่างชนิดลึกซึ้งยังไม่เพียงพอนะ ยังต้องเป็นที่เกรงใจอย่างยิ่งด้วยเพราะฉะนั้น ไม่เจ๋งจริงทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก ชนิดไปจนสวรรค์ร้างนี่เห็นชัด ๆ ก็ตอนที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ สมเด็จองค์ปฐมไง
    ตอนที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุสมเด็จพระองค์ปฐมนี่ขนาดพระอรหันต์ยังไม่ได้ใกล้เลย พระพุทธเจ้าท่านอยู่วงในซะจนประเภทมองออกไปไม่เห็นพระอรหันต์เลย (หัวเราะ) ก็ลองนึกเอาแล้วกันว่า ท่านที่สามารถทำให้เทวดาเกรงใจชนิดไปจนเกือบเกลี้ยงสวรรค์นั่นเป็นใคร อยากจะรู้เหมือนกัน
    ถาม : ไม่ใช่นายกใช่มั้ยครับ ไม่ใช่น้าชาติใช่มั้ยครับ ?
    ตอบ : ผู้ที่ทำหน้าที่บวงสรวงด้านหน้า น่าจะเป็นพระสงฆ์หรือพราหมณ์อะไรยังงั้นล่ะ ถ้าเก่งขนาดนั้น ก็น่าจะเชื่อว่าท่านจะต้องมีดีทีเดียวล่ะ
    ถาม : อยากจะทราบว่าเวลาฝึกสมาธิน่ะค่ะ แล้วสร้างพลังในตัว ให้สามารถนำไปใช้เป็นญานที่สามารถช่วยคนอื่นได้ ?
    ตอบ : ไปช่วยคนอื่นได้ก็เอาอภิญญา ๕ เป็นอย่างน้อยล่ะลูก
    ถาม : ต้องทำยังไงเจ้าคะ ?
    ตอบ : เริ่มด้วยกสิณกองใดกองหนึ่ง รู้จักกสิณมั้ยจ้ะ ? มี ๑๐ กอง จะมีที่เป็นธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นสี ๔ อย่าง คือ ขาว เขียว แดง เหลือง แล้วก็เป็นอากาศกสิณ คือ ความว่าง กับ อาโลกกสิณ คือ แสงสว่าง รวมแล้ว ๑๐ กอง เราชอบอันไหนอันหนึ่งจับอันนั้นขึ้นมาฝึกให้ได้ก่อน
    กสิณทั้ง ๑๐ กองจะยากอยู่เฉพาะกองแรกเท่านั้น พอได้กองแรกแล้วกองอื่นกำลังเท่ากัน เพียงแต่ว่าเปลี่ยนนิมิตเท่านั้นเอง เปลี่ยนสิ่งที่มาเป็นนิมิต เช่นว่าจากดินก็ไปเพ่งน้ำแทน จากน้ำก็ไปเพ่งลมแทน จากลมไปเพ่งไฟแทน เหล่านี้เป้นต้น พอได้อันดับแรกแล้วอันอื่นง่ายหมด ยากอันดับแรกอันเดียว พอได้ขึ้นมาพอครบกสิณ ๑๐ พยายามฝึกให้คล่อง อธิษฐานใช้ให้คล่อง คราวนี้จะช่วยคนอย่างไรก็เชิญจ้ะ ชนิดตายแล้วจะให้กลับเป็นใหม่ก็ยังไหว
    ถาม : แล้วจะได้กองแรกต้องทำยังไงเจ้าคะ ?
    ตอบ : หาคู่มือปฏิบัติกรรมฐานของหลวงพ่อวัดท่าซุงดีกว่า ตั้งใจบูชาหน้าหิ้งพระแล้วก็อธิษฐานว่ากสิณกองใดที่ข้าพเจ้าเคยได้มาในชาติก่อน ขอให้อ่านแล้วชอบกองนั้นมากที่สุด ถ้าชอบหลายกองให้อธิษฐานใหม่อีกรอบหนึ่งว่า ถ้าหากว่ากองไหนที่ทำแล้วจะได้ง่ายและคล่องตัวมากที่สุดขอให้ชอบกองนั้นมากกว่าใคร
    เสร็จแล้วก็เริ่มหาอุปกรณ์มาทำ อุปกรณ์ของกสิณอย่างเช่นว่า ถ้าเป็นกสิณดินก็ต้องหาดินมาเลย โบราณท่านเรียกว่าดินสีอรุณ คือสีออกค่อนข้างจะเป็นเหลืองอ่อนหรือสีออกสีส้ม เอามาในขนาดที่เราเรียกว่าใช้จับภาพได้ง่าย จะปั้นเป็นก้อนกลมหรือจะทำเป็นสี่เหลี่ยม ๆ ก็ได้ แต่ว่าโบราณท่านใช้ผ้าขึงแล้วก็เอาดินละเลงเป็นวงกลมกว้างประมาณ ๒ คืบขึ้นไป คือให้เห็นชัด ๆ เสร็จแล้วเวลาจะภาวนาก็นั่งให้ห่างในระยะที่เห็นก้อนดินได้พอดี ๆ หรือว่าเห็นดวงกสิณนั้นได้ ไม่ก้มเกินไป ไม่เงยเกินไป อยู่ในลักษณะที่ไม่ใหญ่เกินไป ไม่เล็กเกิน แล้วก็ลืมตาจำภาพกสิณพร้อมกับภาวนา หลับตาลงนึกถึงภาพนั้นไว้พร้อมกับคำภาวนา
    พอภาพหายไปลืมตาดูใหม่ แล้วหลับตาลงจำเอาไว้พร้อมกับคำภาวนา หายไปลืมตาดูใหม่ ทำแบบนี้เป็นหมื่นเป็นแสนครั้ง แล้วภาพนั้นก็จะเริ่มติดตาไปนาน คือ ตอนแรกพอเรามองแล้วหลับตาลงจะนึกได้แป๊บหนึ่ง แล้วพอหายไปก็ลืมตาดูภาพใหม่ แล้วก็หลับตานึกถึงอีกพร้อมกับคำภาวนา คำภาวนาแต่ละกอง ใช้ไม่เหมือนกัน อย่างเช่นว่าเพ่งดินก็ใช้ปฐวีกสิณัง ปฐวีกสิณังพร้อมกับลมหายใจเข้า
     
  5. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,020
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : เกิดเหตุขึ้นเจ้าค่ะ คือ ในช่วงที่เราไปช่้วยดูให้กับบุคคลหนึ่ง แล้วพอเห็นภาพเขาล่วงหน้าว่าเขาจะมีรถพุ่งเข้ามาชน มีอุบัติเหตุรถชน เราก็บอกเขาล่วงหน้าว่าจะเกิดเหตุการณ์อุบัติเหตุรถชนนะ แล้ว....
    ตอบ : พอเกิดก็เราเองจ้ะ อันนี้โทษใครไม่ได้ เพราะเราไม่ได้ดูว่ากรรมเก่าของเขาทำไว้อย่างไร แล้วจะต้องรับผลนั้นอย่างไร เราไปดูตรงผลนั้นเลย ถ้าเรารู้ว่าเขาเคยทำไว้เขาจำเป็นต้องรับนี่ บางทีรู้ ๑๐๐ พูดได้แค่ ๑๐ เท่านั้นเอง หรือไม่ก็พูดได้ลักษณะหนึ่งเดียวคือ บอกใบ้ให้เขารู้ตัว ถ้าหากว่าเขาไม่อาจจะรู้็ตัวแสดงว่ากรรมนั้นหนักเขาจำเป็นต้องรับ มันเหมือนยังกับว่าเขากำลังยิงเป้าคือคน ๆ หนึ่ง แล้วเราเองไปยืนขวางคน ๆ นั้นไว้ กระสุนจะโดนใครจ๊ะ ? เออ ! โดนเรา เพราะฉะนั้นเราทำก็รับซะหน่อย
    ถาม : แล้วเราทำบุญหนีไม่ได้หรือครับ ?
    ตอบ : ก็ลองดู (หัวเราะ) พระพุทธเจ้าบอกว่า หนีกรรม....ไม่ว่าจะไปซ่อนอยู่ใต้เม็ดทรายก้นมหาสมุทร หรือซ่อนอยู่ในกลีบเมฆ อยู่ในซอกเขา หรืออยู่ก้นเหวลึก ยังไงก็หนีไม่พ้น กรรมมันเก่งมันหาเจอพวกนี้ น่าจะไปเปิดบริษัทตามคนหาย
    ถาม : ทีนี้พอหลังจากนั้นเขาก็ยังโดนนะคะ
    ตอบ : จ้ะ ก็กรรมของเขา เขาก็ต้องรับอยู่แล้ว
    ถาม : เขาโดนทีนี้พอเขาโดนปุ๊บเขามีความรู้สึกว่าเราดูเขาได้ถูกต้อง เขาก็พาคนมาตรึมเลยเจ้าค่ะ
    ตอบ : อาตมาก็โดนอย่างนี้แหละจ้ะ
    ถาม : แล้วทำยังไงดีเจ้าคะ ?
    ตอบ : จะทำยังไงดี... หลีกได้ก็หลีก หนีได้ก็หนี รีบชิ่งซะตั้งแต่แรกก่อนที่คนจะรู้มากกว่านี้
    ถาม : ชิ่งยังไงเจ้าคะ ?
    ตอบ : ย้ายบ้านหนีเลย (หัวเราะ)
    ถาม : เขาไปนั่งรออยู่หน้าบ้านเลยล่ะเจ้าค่ะ
    ตอบ : จ้ะ ....ก็ธรรมดานี่ ถึงเวลาที่สมควรจะดังแล้วมั้ง
    ถาม : แต่ว่ามันเหนื่อย พอเหนื่อย ...(ไม่ชัด)....
    ตอบ : เหนื่อยจ้ะ กำหนดเป็นเวลาดีกว่านะ อย่างเช่นว่า วันหนึ่งดูให้ชั่วโมงเดียวแล้วก็จำกัดให้ถามได้คนละไม่เกิน ๕ ข้อ และรับดูแค่ไม่เกิน ๑๐ คน อะไรเหล่านี้เป็นต้น ต้องตั้งกติกาของเราขึ้นมา ไม่งั้นตายจ้ะ โดยเฉพาะการที่เขาซักถามกันเฉพาะตรงหน้าเลยนั่นน่ะ ระวังไว้โอกาสผิดมันมีสูงมากเพราะว่าในช่วงนั้นตัว รัก โลภ โกรธ หลง อาจจะเกิดกับเราได้ง่าย แหม...ไอ้ยายนี่ มันถามไม่รู้จบ...กลายเป็นว่า โทสะมันผสมเข้าไปทิพจักขุญาณมันมีโอกาสผิดพลาดได้
    ถาม : ต้องพยายาม พระพุทธองค์วางไว้บนมือเลย แล้วให้ท่านช่วยเป็นคนตอบให้เจ้าค่ะ
    ตอบ : จ้ะ แต่คราวนี้ถ้าหากหาผู้จัดการมาสักคนหนึ่งนะ เอาผู้จัดการมา ตัวเราหลบอยู่ในห้องพระ ให้เขาเขียนคำถามมาไม่เกิน ๕ ข้อ แล้วเราตอบไป ถือว่าสิ้นสุดไม่ต้องซักถามอะไรทั้งนั้น พอเขาเขียนมา ผู้จัดการเอามาส่งเราก็เขียนตอบไปเลย ถือว่าจบแค่นั้นนะ คิดมันข้อละ ๑๐๐ ก็ได้ มันจะได้เข็ด ไม่อย่างนั้นแล้วมากันเยอะ
    ถาม : พอหลังจากวันนั้นนะเจ้าคะ มันเหนื่อยมากจนกระทั่งมีความรู้สึกว่าฌานทุกอย่างมันเงียบหายหมดเลยเจ้าค่ะ
    ตอบ : นั่นแหละ พอเหนื่อยเกินไป หิวเกินไป เจ็บไข้ได้ป่วยมาก ๆ นี่ฌานมันจะเสื่อม ไอ้ตัวกำลังไม่มีญาณก็เจ๊งไปด้ว ยเพราะญาณนี้เป็นผลของฌาน กำลังฌานไม่มีญาณทุกอย่างมันก็จ๋อย (หัวเราะ)
    ถาม : แล้วทำยังไงถึงจะฟื้นได้เป็นปกติ ?
    ตอบ : เริ่มภาวนาให้อารมณ์ทรงตัวเท่าเดิมใหม่ อย่าไปอยากให้มันได้เท่าเดิม เรามีหน้าที่ภาวนาเราภาวนาของเราไป มันจะเป็นฌานขึ้นมาเมื่อไหร่ ญานเครื่องรู้มันจะเกิดเมื่อไหร่เรื่องของมัน ถ้าทำใจสบายอย่างนี้ได้ มันจะเกิดเร็ว แต่ถ้าภาวนาแล้วอยากให้เกิด มันจะไม่เป็นอย่างนั้นอีก แล้วก็รีบป้องกันตัวเอาไว้ หาผู้จัดการส่วนตัวได้แล้วนะนี่
    หมอเอก็เตือนไปหลายทีแล้วว่าอย่าให้เขาซักถามซึ่งหน้า คนถามมันจะไม่รู้จักพอเหมือนกับตรงนี้ ถ้าหากว่ากำลังใจของเราไม่ใช่มั่นคงทรงตัวริง ๆ ประเภทรบทั้งวันเจ๊งเอาง่าย ๆ
    ถาม : อันนี้ขอพลังจากพระพุทธองค์ช่วยเสริมด้วยได้ไหมเจ้าคะ ?
    ตอบ : ช่วงนั้นน่ะท่านช่วยตลอดอยู่แล้ว ไม่ช่วยไม่คล่องขนาดนั้นหรอก แต่พอถึงเวลาแล้วเหลือแต่เราจริง ๆ ลองคิดดูสิ มันเหมือนกับเครื่องยนต์ที่เติมหัวเชื้อน้ำมันเข้าไป พอหัวเชื้อหมดแล้วเป็นยังไงล่ะ ?.....เดี้ยง ! นั่นแหละ ถ้าท่านไม่ช่วยมันเดี้ยงตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เรื่องของพระ ของพรหม ของเทวดา ถ้าไม่เกินวิสัยท่านเต็มใจที่จะช่วยอยู่เสมออยู่แล้ว ยิ่งเราขออยู่ตลอดเวลาท่านก็ยังพร้อมที่จะช่วย แต่ว่าตอนท่านช่วยน่ะ เราไม่รู้สึกอะไรหรอก สงเคราะห์เขาได้ตลอดพอเลิกแล้วเมื่อไหร่ก็หงายผลึ่งล่ะจ้ะ...
    ถาม : ท่านเจ้าขา เป็นอย่างนั้นเจ้าค่ะ
    ตอบ : จ้ะ คราวนี้เชื่อหรือยังว่าท่านช่วยได้จริง ๆ ลำพัง กำลังของเรานี่เสร็จตั้งแต่ยกแรกแล้ว
    ถาม : ทำบ่อย ๆ แล้วไม่คล่องเหรอครับ ?
    ตอบ : คล่องอยู่ แต่ก่อนที่จะคล่องมันจะพิการซะก่อนน่ะสิ (หัวเราะ) เหมือนกับต่อยมวย พอต่อยบ่อย ๆ ประสบการณ์เยอะ แต่คราวนี้ถ้าไม่เป็นขึ้นเวทีไปเลยโดนเขาอัดเดี้ยงตั้งแต่งานแรก ไม่ได้อาศัยเป็นอาชีพแล้ว
    ถาม : อย่างนี้ถ้าทำแบบพอสมควร สะสมไปเรื่อย ๆ ...
    ตอบ : ทุกอย่างมันต้องพอเหมาะพอดี ถึงได้ว่ามันต้องกำหนดกฎเกณฑ์กติกาเหมือนกัน แล้วคนไหนมันฝืนกฎกติกาก็ถือว่าคนไม่รู้ กฎเกณฑ์มารยาทเราไม่คบด้วยไม่ต้องเกรงใจจ้ะ วันก่อนนี่ไล่ตะเพิดไป ๒ ราย รายหนึ่งมาถามปัญหาบอกวิธีแก้มันไม่ฟังเลย มันว่าปัญหาต่อไปยาวไปเลย เราก็เลยหยุดนั่งฟังเงียบไปเรื่อย จนกระทั่งพอได้จังหวะก็บอกเขาว่าอาตมาพูดทีเดียว ถ้าบอกไปแล้วไม่ฟังก็จบ
    ส่วนอีกรายหนึ่ง เอาลูกมาจะพึ่งคนไหนได้ บอกเรื่องถามปัญหาโดยเฉพาะเกี่ยวกับลูก แล้วถามว่าพึ่งคนไหนได้ ต่อไปอย่าได้มาให้เห็นเชียว พอถ้าตอบไปปุ๊บก็จะรักคนหนึ่งเกลียดคนหนึ่ง โดยเฉพาะบางคนลูกยังไม่ทันจะเกิดเลย เลยไปให้หมอดูว่าพึ่งได้ไหม พอหมอบอกว่าพึ่งไม่ได้อยู่ในท้องก็อยากจะรีดทิ้งแล้ว
    เพราะฉะนั้น โดยเฉพาะหมอดูที่ท่านรู้มารยาท ถ้าเด็กอายุยังไม่ถึง ๑๕ จะไม่ทำนายอนาคตเด็กให้ใคร นะจำไว้แม่น ๆ ถ้าเด็กมาถาม ถามว่าหนูอายุถึง ๑๕ หรือยัง ถ้ายังรีบ ๆ ไปทำบัตรซะก่อน (หัวเราะ) ถ้ายังไม่ทำบัตรนี่ไม่ทายให้ เพราะว่าผลกระทบมันจะเยอะ แล้วเด็กที่อายุน้อย ๆ พอได้รับผลกระทบไปก็จะกลายว่ามองผู้ปกครองในแง่ไม่ดี ดีไม่ดีสภาพจิตใจของตัวเองเสียไป โตขึ้นกลายเป็นผู้ที่มีปัญหาต่อสังคมไปเลย ความจริงโทษเด็กไม่ได้ต้องโทษผู้ใหญ่ วันนั้นแหละเจ้าดาเขาเพิ่งจะรู้ ไม่งั้นเจ้าดาเขาถามอยู่เรื่อย ใคร ๆ ว่าหลวงพ่อดุ เห็นใจดีจะตาย มันเพิ่งเห็นว้ากคนไปเต็ม ๆ เหี่ยวไปด้วย

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  6. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,020
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : ตัวเองนี่มีจิตใจแบ่งเป็น ๔ ส่วน แล้วแต่ละส่วนทำหน้าที่ไม่เหมือนกัน ทีนี้เวลาเราช่วยคนอื่นเขาดู จิตใจในแต่ละส่วนเสียงที่พูดออกมาแตกต่างกันทุกเสียง โดยเฉพาะจิตที่ ๔ .....ไม่ชัด......
    ตอบ : รวมความรู้สึกให้อยู่จุดเดียวนะ กำลังใจของเราถ้าเราคล่องตัวมันอาจจะเป็นเพราะว่าคล่องมาในอดีตก็ตาม หรือว่าคล่องในปัจจุบันนี้ก็ตาม มันสามารถแยกจิตเพื่อรู้งานหลาย ๆ อย่างได้ สามารถทำหน้าที่หลายอย่างได้ในเวลาเดียวกัน เพราะฉะนั้นสมาธิทั้งหมดต้องจดจ่ออยู่เฉพาะหน้าเลย รวบรวมกำลังความรู้สึกทั้งหมดให้อยู่เฉพาะตรงหน้า ถ้าอย่างนั้นก็จะเหลือความรู้สึกเดียวแล้วเราก็จะมั่นคงอยู่ตลอด
    แต่ถ้าหากว่าเรายังกระจายความรู้สึกไปด้วย ความคล่องตัวที่ไม่เคยฝึกหรือว่าฝึกมาในชาติก่อนหรือว่าเคยฝึกในชาตินี้ก็ตาม ถ้าอย่างนั้นมันจะแยกออกเป็นหลายอย่าง แล้วบางทีเราอาจจะกลายเป็นคนหลายบุคลิกโดยไม่รู้ตัว
    ถาม : ตอนนี้หลายบุคลิกแล้วเจ้าค่ะ
    ตอบ : จ้ะ
    ถาม : ทำยังไงดีเจ้าคะ ?
    ตอบ : ก็นั่นล่ะจ้ะ คราวหน้าแทนที่เราจะฝึกการแยกจิตแยกกายทำอะไรหลาย ๆ อย่างก็ทำอย่างเดียว โดยเฉพาะจับอานาปานสติให้อารมณ์ใจทรงตัวเป็นหนึ่งเดียว ก่อนที่จะออกไปดูให้ใครก็ว่าซะจนกระทั่งอารมณ์ใจทรงตัวนิ่งซะก่อน แล้วก็จับอารมณ์นั้นไว้อย่าให้คลาย มันก็จะเป็นหนึ่งเดียวไปตลอด แต่ถ้าคลายอารมณ์ออกเดี๋ยวมันจะแล่บออกไปทางอื่นอีก
    พวกนี้ตอนแรกฝึกมันจะสนุกมากเหมือนกับว่า เราเก่งมันทำได้หลายอย่างพร้อม ๆ กัน แต่มันจะไปมีปัญหาตอนที่ว่า บางทีภาวนาอยู่มันไปฟุ้งซ่านซะอีกใจหนึ่ง มันทำของมันได้ด้วยเก่งมากเลย ถ้าเราดึงมันกลับมาอยู่กับลมหายใจเข้าออกเฉพาะหน้าไม่ได้ บางทีก็กลุ้มใจ บางคนเครียดไปเลยก็มี เคยภาวนาแล้วอารมณ์ใจทรงตัวเป็นหนึ่งเดียว ตอนนี้ทำไมอันโน้นมันคิด อันนี้มันทำโน่น อันนี้มันทำนี่ กลายเป็นกระจัดกระจายไปคนละทิศ
    ถาม : เวลาคนเราเกิดอาการเจ็บป่วยขึ้นนี่ค่ะ บางคนนี่เขาจะมีเจ้ากรรมนายเวรหรือบางคนเขาจะมีกรรมของเขาในปัจจุบัน ตรงนี้เราจะช่วยความเจ็บปวดเขาให้ทุเลาลงได้ยังไงคะ ?
    ตอบ : จริง ๆ แล้ว ในเรื่องของความเจ็บไข้ได้ป่วยมันเกิดจากเศษกรรมของปาณาติบาตในอดีตทั้งสิ้น มันมาส่งผลในชาติปัจจุบันนี้ เศษกรรมนะ ต้นทุนเราใช้เขาแล้ว ดีไม่ดีลงนรกมาเรียบร้อยแล้ว เศษกรรมส่งผลให้เจ็บไข้ได้ป่วยบ่อย
    สมัยก่อนหลวงพ่อท่านแนะนำให้ปล่อยชีวิตสัตว์ที่เขาจะฆ่าเป็นประจำ อย่างเช่นว่า ปล่อยปลาสักเดือนละตัวสองตัวต่อเนื่องกันไปเรื่อย ๆ กรรมเหล่านี้จะคลายตัวลงนะ ปล่อยปลาที่เขาขายเพื่อให้ฆ่านะจ๊ะ อย่างในตลาดอย่างนี้ ไม่ใช่เขาขายให้ปล่อย ถ้าขายให้ปล่อยเราได้แต่เมตตาบารมี แต่ถ้าหากที่เขาขายเพื่อให้ฆ่านี่จะเป็นการตัดกรรมตัวนี้ได้เยอะ ทำให้การเจ็บไข้ได้ป่วยลดน้อยลง ถ้าเป็นอุปฆาตกรรมเข้ามาก็ต่ออายุได้อีกต่างหาก
    ถาม : เห็นแม่ค้าเขากำลังจะทุบหัวปลา เราไปช่วยตรงนั้นเลย ?
    ตอบ : ไม่ต้องไอ้ตัวที่ทุบหรอก ทั้งหมดนั่นเลยแหละ เขาขายไปให้ฆ่าแน่ ๆ อยู่แล้ว
    ถาม : แล้วฝากไปปล่อยได้ไหมคะ ?
    ตอบ : ได้จ้ะ เรามีส่วนอยู่แล้ว เพราะว่าปัจจัยเป็นของเราเงินทองเป็นของเรา ปล่อยได้ด้วยตัวเองยิ่งดี ที่หน้าวัดท่าซุงที่เต็มไปหมด น่ะมันเกิดจากฝีมือของอาตมาเริ่มไว้ก่อน ตอนแรกก็ซื้อไปปล่อยแต่บ่อที่อยู่ข้างร้านป้ากิมกีเขา ...(ร้านอาหาร) ปล่อยไปปล่อยมาหลวงพ่อบอกแกดูบ้างหรือเปล่า ว่าปลามันจะไม่มีที่หายใจอยู่แล้ว ? เราก็เพิ่งจะรู้ (หัวเราะ) พอเอาอาหารไปโยน เออ...ใช่ มันขึ้นมาคลั่กไปหมด ก็เลยไปซื้อปล่อยที่แม่น้ำข้างหน้า
    คราวนี้ปกติจะซื้อแต่ปลาดุก เพราะเป็นปลาที่อดทนทรหดมาก แต่ปรากฏว่ามันเป็นปลาดุกเลี้ยง พอปล่อยลงแม่น้ำแล้ว นอกจากมันหากินไม่เป็นยังไม่ว่า มันยังเอาตัวไม่รอดอีกต่างหาก มันโดนปลากระแหทึ้งหนวดซะเกลี้ยงเลย มันดึงหนวดไปกินน่ะ ปลากระแห ปลาตะเพียนที่มีครบแดง ๆ เขาเรียกว่าตะเพียนแดงก็มี กระแหแดงก็มี พวกนี้มันไวมาก
    ถาม : ตัวเล็ก ๆ หรือเปล่าครับ ?
    ตอบ : มันโตสักฝ่ามือนี่ มาถึงมันก็โฉบคว้าหนวดเขาไปกินเลย ไอ้เจ้านั่นโดนถอนหนวดไปสด ๆ ร้อน ๆ ก็เจ็บตายชักเลย หนีกันมาออกันอยู่ริมฝั่งหมด พอเจอเข้้าไปงานเดียวก็เข็ดต่อไปก็ เอ๊...พื้นดิมแถวนี้มันมีปลาอะไรมั่ง ? จะไปถามซื้อพวกปลากระแหไม่มี เพราะว่าปลาพวกนี้มันใจเสาะ เขาว่ามันแค่เห็นตะวันมันก็ตาย เห็นท้องฟ้ามันก็ตาย ความจริงไม่ใช่หรอก มันพ้นน้ำขึ้นมาไม่มีอากาศหายใจมันตายง่ายกว่า มันไม่อึดก็ไปสืบหาจนกระทั่งได้ความว่าปลาของพื้นบ้านที่นี่มีพวกปลาเสือ พวกปลาแรด แล้วก็ปลาสวาย ปลาสวายหาง่ายที่สุด เลยตั้งใจซื้อปลาสวายปล่อย
    คราวนี้จะซื้ออย่างที่หลวงพ่อบอก คือ ตัวสองตัว พอไปเจอมันตาปริบ ๆ ทั้งกาละมังก็ต้องยกกาละมัง มีเท่าไหร่ก็ต้องเอาเท่านั้น ปล่อยไปปล่อยมาก็ไม่ทราบเหมือนกันว่ามันไปแตกลูกแตกหลานหรือไปชวนใครมาอยู่มันถึงได้เยอะขนาดนั้น เยอะขนาดนั้นเกิดจากการริเริ่มของอาตมาเอง ๗-๘ ปี เท่านั้นเอง มันไม่นานหรอก
    ถาม : เราปล่อยปลาชนิดไหน เขาห้ามกินปลาชนิดนั้น ?
    ตอบ : เขาห้ามกินปลาตัวนั้น ไม่ใช่ห้ามกินชนิดนั้น เขาบอกว่าห้ามกินชนิดนั้นเพื่อให้มันพ้นไปเลย ต่อไปก็ปล่อยอย่างที่เราไม่ชอบเข้าไว้ ปล่อยอย่างที่เราชอบจะได้ไม่ต้องกินมัน อย่างปล่อยปลาปั๊กกะเป้าอย่างนี้ มีคนเอามาขายหรือเปล่า ?
    ถาม : ทำไมเวลาเรามาปฏิบัติธรรมหรือนั่งสมาธิกับคนเยอะ ๆ แล้วเขาพร้อมใจกันปฏิบัติธรรมรู้สึกว่าสมาธิมันนิ่ง นิ่งกว่าตอนที่เรานั่งทำเอง ?
    ตอบ : เหตุที่เป็นดังนี้เพราะว่ากำลังของคนที่ตั้งใจในบุญนั้น กระแสจิตของเขาไปในด้านเดียวกัน มันเหมือนกับน้ำที่ไหลไปทางเดียวกัน เมื่อน้ำที่ไหลไปทางเดีวกันสิ่งใดก็ตามที่อยู่ในกระแสนั้นก็ไหลตามกันไปเลยง่ายกว่า แต่เวลาเราทำอยู่คนเดียวนี่ ถ้าสมมุติว่าเป็นที่บ้านเราคนรอบข้างก็ดี อาจจะประเภทที่ว่ารอบทั้งหมู่บ้านก็ดี เขามีกระแสไปในทางรัก โลภ โกรธ หลง ขณะที่เราไปฝืนกระแสอยู่คนเดียวมันก็จะยากกว่า

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  7. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,020
    ถาม : แล้วจะทำยังไงให้สมาธิเหมือนกับที่เรานั่งรวมกับคนอื่น
    ตอบ : ต้องทำจนกระทั่งกำลังใจทรงตัวเป็นฌานเป็นอย่างน้อย ระวังไว้อย่าให้ฌานเสื่อม ถ้ากำลังทรงเป็นฌานเป็นอย่างน้อยนี่มันจะช่วยระงับตัวนิวรณ์ ๕ ได้ ก็จะกดตัวรัก โลภ โกรธ หลงลงได้ชั่วคราว ถ้ากำลังอย่างนั้นจะมั่นคง รอบข้างเขาไหลไปเราก็เหมือนกับหินกลางกระแสน้ำ ต้านกระแสน้ำนั้นได้อยู่ แต่ว่ามันก็ยังไม่พ้นกระแสอยู่ดีนะ
    ถาม : อย่างนี้ถ้าเราอยู่กับคนที่เขาสมาธิจิตดีหรือว่าสุขภาพจิตดีแล้วคิดในทางที่ดี
    ตอบ : ก็จะสบายไปด้วยล่ะจ้ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากว่าอยู่ในเขตที่มีพระอริยเจ้ามาก ๆ ยิ่งสบายหนัก
    ถาม : ทีนี้มันเกิดปัญหาที่ทำงานน่ะเจ้าค่ะ คนในที่ทำงานทะเลาะเบาะแว้งกันเกือบทุกวันเลย แต่ละคนรู้สึกว่าเขาไม่รักกันเลย พอเราเข้าไปตอนแรก ๆ สภาพจิตของเราก็นิ่ง ๆ พอเข้าไปในนั้นเราก็กระทบจิตตรงนั้น จิตเราก็วุ่นวายไปด้วย
    ตอบ : อันนั้นต้องรักษาของเราให้เข้มแข็งพอ เพราะถ้ายังเข้มแข็งไม่พอก็พังง่าย?ๆ คนที่อยู่ต่างจังหวัดถ้าเป็นนักปฏิบัติ เวลาเข้ากรุงเทพฯ จะสังเกตได้ง่ายมาก เพราะว่ากระแสส่วนใหญ่ของคนในกรุงเทพฯ ก็คือ รัก โลภ โกรธ หลง เรามานี่จะโดนเบียดเอียงไม่เป็นท่าเลย ไม่รีบตั้งท่า ภาวนาสู้เอาไว้บางทีพังเอาง่าย ๆ
    ถาม : ต้องทำยังไงเจ้าคะถึงจะไม่เป็นลักษณะอย่างนั้น ๆ
    ตอบ : อย่าให้หลุดจากลมหายใจเข้าออก หลุดเมื่อไหร่เป็นเรื่องเมื่อนั้น (หัวเราะ) ฟังแล้วเหนื่อยใช่มั้ย ? ถ้าจะไม่ให้เหนื่อยก็ต้องทำจนชินจนกระทั่งว่ามันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเรา จิตใจของเราไม่รับเรื่องภายนอกเป็นปกติ ถ้าอย่างนั้นก็จะสบาย แต่ถ้าหากว่ามันยังรับอยู่ก็ต้องทรงฌาน คือรู้ลมหายใจเข้าออกเอาไว้เป็นปกติ
    ถาม : แล้วเราจะช่วยคนที่อยู่ในสถานที่ทำงานเราให้เขารักใคร่ปรองดองกันยังไงเจ้าคะ ?
    ตอบ : อันดับแรกก็ทำตัวเราก่อน ตัวเราต้องพ้นจากกระแสก่อน มีความเข้มเข็งพอ เมื่อขึ้นสู่ฝั่งแล้วจะช่วยใครก็ได้ แต่ถ้าเรายังไม่พ้นกระแสยังลอยคออยู่ด้วยกัน ไปเที่ยวช่วยเขาเดี๋ยวเขากอดจมตายไปด้วย เพราะฉะนั้น ตอนนี้ต้องเร่งปฏิบัติของตัวเองให้มันเข้มแข็งเข้าไว้ โดยเฉพาะแผ่เมตตาให้เขาบ่อย ๆ กระแสเมตตาที่เราสงเคราะห์ต่อเขา จะเป็นกระแสเย็น เมื่อเป็นกระแสเย็นถ้าหากว่าเขาได้รับได้อะไรคนที่เขาอยู่ใกล้เขารู้สึกเย็นอกเย็นใจเดี๋ยวเขาก็คล้อยตามมาเอง
    ถาม : เห็นผีเต็มที่ทำงานเลยเจ้าค่ะ
    ตอบ : ก็ปกติของเขาไม่ใช่เฉพาะที่ทำงานที่อื่นก็เยอะ อย่าลืมว่าผีรัก ผีโกรธ ผีโลภ ผีหลง มันน่ากลัวมากที่สุด ถ้าหากว่าที่ไหนก็ตามที่กำลังใจของคนมันไม่ดี พวกนี้เขาก็จะช่วยซ้ำ ต้องระวังเอาไว้หน่อย
    ถาม : พูดถึงผี ผีที่เข้าสิงคนนี่เข้าสิงได้ในจุดไหนของคนหรือเจ้าคะ ?
    ตอบ : เขาไม่ได้เข้าในร่างกาย ผีที่เข้าสิงหรือเทวดาที่เข้าทรงอะไรก็ตามที่เราคิด เขาจะอยู่ด้านนอกแล้วใช้อำนาจจิตของเขาบังคับให้บุคคลนั้นทำสิ่งต่าง ๆ แบบที่เขาต้องการ เขาบังคับจากภายนอก ไม่ได้เข้าไปข้างในโดยเฉพาะเทวดาไม่เข้าไปหรอก เหม็นขี้ ! (หัวเราะ)
    ถาม : เวลาเราจะสร้างเสน่ห์ให้คนเขารักเรานี่ ทำยังไงบ้างเจ้าคะ ?
    ตอบ : อ๋อ...วิธีทำเสน่ห์ง่ายมาก เขาเรียกว่า สังคหวัตถุ ๔ อย่าง ประกอบไปด้วย ทาน มีการเสียสละให้ปันเจือจานแก่ผู้อื่นเป็นปกติ อันดับที่สอง ปิจวาจา พูดแต่สิ่งที่ดีที่ไพเราะพูดวาจาที่เป็นประโยชน์แก่เขา อันดับที่สาม อัตถจริยา ช่วยเหลือการงานของคนอื่นเขาเท่าที่เราจะทำได้ อันดับที่สี่ สมานัตตา มีความสม่ำเสมอในกิจที่เราทำ
    อย่างเช่นว่า เคยให้ก็ให้ เคยพูดดีก็พูดดี เคยช่วยก็ช่วยตลอดไป ถ้าทำอย่างนี้แล้ว บวกกับตัวเมตตาที่เราตั้งใจแผ่ให้คนอื่นเขาอยู่เสมอ ๆ จะกลายเป็นคนมีเสน่ห์จ้ะ ทำเสน่ห์ใครคนนั้นก็เสร็จเราหมด พระพุทธเจ้าสอนวิธีทำเสน่ห์ไว้ อาจารย์ใหญ่สอนเองเพราะฉะน้นลูกศิษย์ต้องทำให้ได้
    ถาม : พอดีที่ำทำงานเขาทำงานแข่งกับเราแล้วงานเขาไม่เสร็จ งานเราเสร็จ พองานเราเสร็จนี่เราโดนแกล้งโดยไม่รู้ตัว ........(ไม่ชัด)........... การที่จะไม่ให้คนแกล้งเราเลยได้ไหมเจ้าคะ ?
    ตอบ : ไม่ได้หรอกจ้ะ เพราะว่าเราเองก็ทำบุญทำบาปอยู่ตลอด ไม่ได้ทำดีมาอย่างเดียว ในเมื่อเราไม่ได้ทำดีมาอย่างเดียว โอกาสที่อกุศลกรรมต่าง ๆ มันจะให้ผลแม้เพียงเล็กน้อยมันก็จะมีอยู่บ้าง ดังนั้น โอกาสที่จะไม่ให้เขาแกล้งเลยมันมีอยู่ก็คือไปนิพพานซะ แต่มันก็จะลำบากหน่อย ลำบากตรงปฏิบัติ จะไม่ให้แกล้งเลยก้ไปนิพพานไม่มีใครตามไปแกล้งหรอก อยู่ที่โน่นเขาดีด้วยกันทั้งหมด
    ถาม : ให้เขาคิดว่าเราเป็นมิตรเขาไม่ได้เหรอ ?
    ตอบ : อันนั้นได้อยู่จ้ะ แต่ว่ากำลังของเราต้องสูงพอ สูงพอขนาดที่เขาเข้าใกล้เราปุ๊บสามารถเปลี่ยนจิตใจเปลี่ยนความคิดของเขาได้เลย ด้วยกำลังความดีของเรา ถ้าอย่างนั้นอย่างน้อยที่สุดเราต้องเป็นพระโสดาบัน อันนี้กล้าพูดไ้ด้เต็มปากเต็มคำ ผู้ที่เป็นพระโสดาบันที่ท่านเปรียบไว้ว่ามีกำลังถึง ๗ ช้างสารก็คือกำลังของความดี
    คนที่เข้าใกล้ ถ้าหากพระโสดาบันท่านตั้งใจใช้กำลังความดีของท่านในการที่จะเปลี่ยนแปลง หรือว่าแก้ไขบุคคลที่กระทำไม่ดีให้กลับมาทำดีคนอื่นจะต้านกำลังของท่านไม่ได้ แต่ว่าจริง ๆ แล้วท่านก็ยอมรับกฎของกรรม ดังนั้นสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันก็เลยกลายเป็นว่าท่านไม่คิดจะทำ แต่ว่าอยากจะทำต้องขนาดนั้นนะ
    ถาม : ไม่ทราบว่าตัวเองเป็นคนทำด้วยหรือเปล่าเจ้าค่ะ ?
    ตอบ : ทำแหง ๆ ล่ะจ้ะ กรรมมันเป็นคำรวมแปลว่าการกระทำ
    ถาม : มีขี้เหล้ามาอยู่แถว ๆ บ้าน แล้วเขาก็จะมาปาขวดหน้าบ้านในบ้านเป็นระยะ ๆ เจ้าค่ะ
    ตอบ : เราก็มีหน้าที่เก็บเป็นระยะ ๆ
    ถาม : เราก็เก็บเป็นระยะ ๆ เหมือนกัน เก็บไปก็บอกเขาบ้าง ....ขอให้เขามีอันเป็นไปน่ะเจ้าค่ะ
    ตอบ : อ้าว !
    ถาม : แล้วเขาก็เลยเด๊ดไปแล้วเจ้าค่ะ
    ตอบ : ก็เสร็จสิคะ
    ถาม : ทำยังไงดีเจ้าคะ ?
    ตอบ : อันนั้นไม่ต้องไปทำล่ะจ้ะ ตายไปเรียบร้อยแล้ว คือว่า บุคคลที่ทรงความดีถึงระดับหนึ่ง ตัวอธิษฐานบารมีมันจะเห็นผลไว เพราะฉะนั้นพอไปถึงระดับนั้นแ้ล้วพูดอะไรก็จะเป็นอย่างนั้น ดังนั้นต้องระมัดระวังตัวเองให้ดีจ้ะ เราเองน่ะไม่ได้ทำอะไรเขาหรอก แต่ว่าผลกรรมที่เขาทำมันจะสนองเขาเร็วมาก เพราะฉะนั้นต่อไปต้องรักษาใจให้ดีจ้ะ อย่าไปคิดแช่งใครอีก เดี๋ยวเขาจะแย่กันหมด (หัวเราะ)
    ตัวอย่าง ก็คุณแสงชัย เขาไปเจอทีเด็ดหมอผีมา เขาไปแช่งหมอผีจะตายแหงไปเลย แบบเดียวกัน ....ถ้าคนเราทำความดีจนทรงตัวในระดับหนึ่ง แล้วต้องระวังตัวเองโดยเฉพาะหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่าพูดเมื่อไหร่ มันจะเป็นอย่างนั้น...สงสารเขา...
    ถาม : ไม่ตั้งใจก็เป็น ?
    ตอบ : จ้ะ รู้ว่าไม่ตั้งใจ
     
  8. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,020
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : เรื่องอธิษฐานเจ้าค่ะ เรามีคู่ในปัจจุบันชาตินี้เจ้าค่ะ แล้วเราเคยอธิษฐานว่าเราจะไม่เป็นคู่กับอีกคนหนึ่ง แล้วเราจะหยุดอธิษฐานนั้น ...คือมันต่อเนื่องมาหลายภพหลายชาติแล้ว
    ตอบ : คำอธิษฐานเปลี่ยนได้จ้ะ อธิษฐานแปลว่าความตั้งใจ ถ้าเราเปลี่ยนความตั้งใจเสียมันก็เป็นอันว่าจบกัน
    ถาม : ทีนี้ถ้าเราเปลี่ยนว่าเรายกเลิกว่าคำอธิษฐานที่จะไม่เป็นคู่กับอีกคนหนึ่ง เราจะมีปัญหากับคนปัจจุบัน
    ตอบ : อ๋อ....ของเราเองมันเกิดมาก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะเจอแต่คนเดิมตลอดไปหรอกจ้ะ เพราะว่าเราเกิดมาหลายชาติ แต่ละชาติถ้าทำความดีความชั่วไม่ได้เสมอกัน มันก็จะต้องมีว่าเราเกิดบ้างเขาเกิดบ้างสลับกันไป ช่วงที่ไม่ได้เกิดพร้อมกันก็ไปเจอคนอื่น ถ้าเกิดพร้อมกันแต่ว่าเจอคนที่เกิดมากกว่าเราก็จะไปกับคนที่เกิดด้วยกันมากกว่า บางชาติคนที่เราเกิดร่วมกันไม่ได้ผลมสักคนหนึ่งเลยก็จะไปเจอที่เกื้อกูลกันในปัจจุบันชาตินั้นขึ้นมาอีก ดังนั้นมันก็จะมีมากขึ้นไปเรื่อย ๆ
    เพราะฉะนั้น เราจะสังเกตอารมณ์ใจตัวเราเองว่า บางทีเราเองแต่งงานกับคนนี้แท้ ๆ แต่พอไปเจอกับอีกคนหนึ่ง ทำไมรู้สึกรักรู้สึกชอบเขาเหมือนกัน นั่นก็อาจจะเคยติดตามกันมาแต่ว่าเราต้องอยู่ในขอบเขตของศีลของธรรม เพราะฉะนั้นสิ่งใดก็ตามถ้าอยู่ในเขตของศีลของธรรม มันจะอธิษฐานอย่างไรมันจะยกเลิกอย่างไรก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยอย่าให้ศีล ๕ มันขาด คำอธิษฐานมีผลแต่เพียงว่าถ้าหากว่าเรายกเลิกแล้ว อธิษฐานใหม่ มันก็จะเป็นไปตามของใหม่
    ถาม : ยกเลิกได้ใช่ไหมเจ้าคะ ?
    ตอบ : ได้จ้ะ แค่เปลี่ยนความตั้งใจเท่านั้นเอง อันนี้เหมือนยักกับนอกตำราเลย จริง ๆ ไม่ใช่นอกตำรานะ คำอธิษฐานเปลี่ยนกันได้ ความตั้งใจของเราให้มันตั้งมั่นจริง ๆ เท่านั้น
    ถาม : คำอธิษฐานนี่ข้ามชาติได้ ?
    ตอบ : จ้ะ มันให้ผลข้ามชาติเยอะเลย
    ถาม : แล้วอย่างที่แบบว่าชาตินี้เขาเคยเป็นบิดามารดาและลูกอย่างนี้ พอชาติถัดไปเขาก็เปลี่ยนความสัมพันธ์ แล้วเวลาเราจะ...ยังไง ?
    ตอบ : กรรมมันเนื่องกันไปเนื่องกันมา แต่ละคนมันสามารถเปลี่ยนสัมพันธ์เปลี่ยนตำแหน่งเปลี่ยนอะไรไปได้อยู่ตลอด ชาตินี้คนเขาเป็นพ่อเป็นแม่เรา ชาติต่อไปอาจจะเกิดมาเป็นลูกเราหรือคนใช้เราก็ได้ ชาตินี้เป็นสามีเราชาติต่อไปอาจจะเป็นพ่อเราก็ได้
    ถาม : ถ้าสมมุติว่า คนที่เขาเคยเกิดเป็นพ่อเราแล้ว มาเกิดเป็นลูกเรานี่เราจะทำยังไงเขาคะ ?
    ตอบ : ไม่ต้องทำล่ะจ้ะ ทำหน้าที่ของเราตอนนั้นให้ดีที่สุดเท่านั้น อย่างเช่นว่าเราเป็นแม่เราก็ทำหน้าที่ของแม่ให้ดีที่สุด นับในปัจจุบันอย่าไปคิดเอาอดีต ถ้าหากว่าคิดเอาอดีตนี่ยุ่งมากเลย
    ถาม : ............(ไม่ชัด)...............
    ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วนักปฏิบัติจะต้องเอาปัจจุบันเป็นใหญ่ ไม่ใช่ส่วนใหญ่ต้องใช้คำว่า ทั้งหมด นักปฏิบัติทั้งหมดต้องเอาปัจจุบันเป็นใหญ่ อดีตรู้ไว้เป็นบทเรียนเท่านั้น รู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้วก็วาง เพราะว่าทุกชาติมันก็ทุกข์เหมือนกันนะ ปัจจุบันทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด อนาคตจะเป็นอย่างไรไม่ต้องนึกถึง แค่นั้นก็พอ เขาเป็นพ่อแม่ก็ให้เป็นพ่อแม่ไป
    ถาม : ที่พูดเมื่อกี้นี้ว่าเราทำปัจจุบันของเราให้ดีที่สุด ทีนี้เรามีความรู้สึกว่าเราทำแล้วเราไม่ดีที่สุด
    ตอบ : คำว่าดีที่สุดมันไม่ได้หมายความว่าจะดีเท่าคุณทักษิณ ชินวัตร แต่มันหมายความว่าดีเต็มกำลังที่เราทำได้
    ถาม : แม้กระทั่งคนอื่นมองว่าเราทำน้อย ?
    ตอบ : จ้ะ นั่นแหละ คือมันเต็มที่กำลังกาย กำลังสติปัญญา กำลังคน กำลังทรัพย์ ของเราแล้ว ทำได้ดีที่สุดแค่ไหนนั้นก็คือแค่นั้นของเรา แต่ว่าคนที่กำลังกาย กำลังสติปัญญา กำลังคน กำลังทรัพย์ เขาเหนือกว่าเราเขาจะทำได้ดีกว่าเรา เพราะฉะนั้นได้ดีที่สุดมันไม่มีมาตรฐานซะด้วยว่าต้อง ๑๐๐ % เป๊ะ ไม่มี มันเต็มกำลังของเรา ของเราเต็มที่แค่ไหนก็แค่นั้น
    ถาม : เศรษฐกิจของชาติเราจะดีขึ้นไหม ?
    ตอบ : เริ่มดีแล้วจ้ะ ปีหน้าถ้าไม่ไปสะดุดตีนแขกร่วงซะก่อน (หัวเราะ) ขออภัยที่ใช้คำพูดตรงไปหน่อย
    ถาม : จะเกิดสงครามโลกเหรอเจ้าคะ ?
    ตอบ : ไม่ถึงกับสงครามโลกหรอกแต่ใหญ่หน่อย สงครามมันต้องแบ่งครึ่งกันเหลือแค่ ๒ ฝ่ายเท่านั้น แต่อันนี้มันประเภทว่าต่างคนต่างมีผู้ช่วย อาจจะมีฝ่ายหนึ่งรวมตัวกันตีอีกฝ่ายหนึ่ง แต่มันกระจายออกกว้าง แต่มันไม่ถึงขนาดไปทั้งโลก เราเองก็อาจจะทำมาหากินเซ็งลี้ฮ้อไปเลย.....ปัญหานี้พอจะออกไปไกลมากเดี๋ยวมันจะร้อน เอาปัญหาเย็น ๆ ดีกว่า
    ถาม : พอดีตัวเองนี่ฝึกธรรมกายด้วย แล้วกำหนดดวงแก้ว แล้วฝึกจักกระ มันจะตีกันไหมเจ้าคะ ?
    ตอบ : ไม่ตีกันหรอกจ้ะ ยิ่งง่ายใหญ่เลย กี่จักกระก็เท่านั้นดวงแก้ว
    ถาม : เราจะกำหนดยังไงให้เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างจักกระกับดวงแก้วให้เชื่อมเป็นหนึ่ง ?
    ตอบ : จุดไหนที่เป็นจักกระที่เรากำหนดก็เอาดวงแก้วไว้ตรงจุดนั้นนั่นแหละแล้วก็สามารถกำหนดได้ โดยเฉพาะตอนที่เราจะให้พลังหมุนเวียนไปทางด้านไหนก็แค่กำหนดจิตแค่นั้นเอง มันก็ลักษณะของมโนยิทธิดี ๆ นี่เองเอาจิตไปไว้ตรงจุดไหน
    ทุกอย่างที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ไม่ขัดกันหรอกจ้ะ ถ้าทำถึงแล้วมันสามารถประยุกต์เข้ามาได้ ดีไม่ดีเอาหัวไปต่อที่เท้าอะไรอย่างนี้...ฟังรู้เรื่องมั้ย ? ฝึกธรรมกายด้วยแล้วขณะเดียวกันก็ฝึกพวกพลังต่าง ๆ ที่เขาเรียกกันว่าจักกระด้วย พวกโยคีเขาชอบใช้กัน อันนั้นจริง ๆ แล้วมันสำหรับช่วยเหลือคนอื่นแล้วยก็ช่วยเหลือตัวเอง มันจะทำให้เข้าถึงมรรคผลช้า เพราะมัวแต่ไปสนุกกับมันอยู่
    พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ได้สอนแต่่าถ้าเราเห็นว่ามันเป็นประโยชน์สามารถช่วยคนได้ เพราะว่าตัวเราเองยังอยากเกิดอีกมันจำเป็นต้องช่วยคนอีกเยอะ เขาฝึกมันก็เป็นประโยชน์แก่คนหมู่มาก ของเราเองถ้าหากว่าต้องการจะไม่เกิดก็ตั้งหน้าตั้งตาเกาะนิพพานเอาไว้ บางอย่างถ้าฟังไม่รู้เรื่องอนุญาตให้ยกมือประท้วงได้จ้ะ (หัวเราะ)

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  9. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,020
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : แล้วอย่างเดวิด คอปเปอร์ฟิล ที่ตัดตัวเองขาเดินไปก่อนแล้วตัวตาม...สุดยอด !
    ตอบ : นั่นมันตัดอีกกี่ท่อนมันก็เดินได้ ของเขานั้นมันไม่ใช่เล่นกลนะ อันนั้นของจริง แต่ว่าคนทั่ว ๆ ไปคิดว่าเป็นการเล่นกล เล่นกลมันต้องอาศัยแสง สี เหลี่ยม มุม อะไรต่าง ๆ แล้วก็ระยะเวลาเพื่อที่จะยังตาให้คนเห็นตามที่เขาต้องการ แต่อันนันของเขาจะให้เห็นอย่างไรเมื่อไหร่ก็ได้
    ถาม : เขาทำได้ยังไงคะ ?
    ตอบ : นั่นน่ะอภิญญา เขาบอกว่าเขาฝึกกับพระมา เพราะฉะนั้นฝรั่งที่ได้อภิญญาชัดที่สุดก็ต้องคอปเปอร์ฟิลนั่นแหละ
    ถาม : เราจะทำได้อย่างนั้นไหมคะ ?
    ตอบ : ได้จ้ะ ถ้าทำกสิณ ๑๐ ได้เก่งกว่าเขาอีก
    ถาม : เขาได้กองไหนครับถึงได้เก่งขนาดนี้ ?
    ตอบ : อันนั้นต้องถามเขาเองจ้ะ
    ถาม : ความจริงถ้าได้ก็เปิดแสดง (หัวเราะ)
    ตอบ : เล่นได้เลย คนเขาก็จะคิดว่าเป็นเล่นกลเหมือนกันใช่มั้ย ? อย่างเช่นว่าใช้นีลกสิณอย่า่งนี้ พอถึงเวลาก็เอาผ้าคลุมจัมโบ้เจ็ทเอาไว้สักลำหนึ่ง อธิษฐานนีลกสิณว่าใ้หมันมืดมองไม่เห็นแล้วก็ดึงผ้าออก มันก็หายไปแล้ว
    ถาม : จะช่วยกันถามก็ได้ค่ะ อยากรู้ปัญหาของคนอื่นบ้าง
    ตอบ : บางทีการที่หลาย ๆ คนถามกระแสมันไม่ต่อเนื่องกัน อาตมาเองไม่เป็นไร แต่ว่าคนฟังบางทีอารมณ์ใจมันจะสะดุดมันไม่ต่อเนื่องกันจ้ะ เขาเองจะเหมือนยังกับว่าวิ่งไปตามถนนที่เป็นหลุมเป็นร่องไปเรื่อย มันจะไม่ลื่น
    อาตมาเองไม่เป็นไรหรอก ขึ้นได้ลงได้จ้ะ โหนรถเมล์บ่อย แต่คนอื่นเขาบางทีเขาขึ้นไปแล้ว เขาลงไม่เป็น พอลงไม่เป็นต้องลงปัญหาที่มันต่ำจะรู้สึกหนักและเหนื่อย บางคนของเราฟังปัญาหาของคนอื่นแล้วรู้สึกว่าเหนื่อยใจ ให้รู้ำไว้เลยนะไอ้นั่นของเราขึ้นสูงกว่าของเขาดึงต่ำลงไปเราจะเหน่อย อาตมาโหนรถเมล์บ่อยก็เลยไม่ค่อยเหนื่อย
    ถาม : ถ้าเกิดสมมุติว่า เวลาเราเดินเข้ามานี่เราเห็นว่า เออ...คนนี้จะถูกแทง แล้วเราบอกเขาบอกว่าคุณจะถูกแทงนะให้ไปทำ...?
    ตอบ : บอกตรงไม่ได้จ้ะ
    ถาม : พอบอกไปแล้วเขาก็โดนแทงอยู่ดี
    ตอบ : มันก็โดนอยู่ดีเพราะเขาไม่เชื่อ แต่ขณะเดียวกันเราเองก็จะมีโทษด้วยเพราะบอกตรงเกินไป ใช้ในลักษณะที่ว่าหลอกถามเขาก็ได้ จับมือเขาขึ้นมา เอ๊ะ ! ลายมือคุณบอกว่าจะมีเคราะห์ให้ระวังหน่อยนะ อาจถึงเลือดตกยางออก ถ้ายังไงก็ไปถวายสังฆทานหรือปล่อยชีวิตสัตว์ซะหน่อย ...อะไรอย่างนี้ ตัวอย่างนี้คนเขาจะเชื่อมากกว่าเพราะมันเป็นวิทยาศาสตร์หน่อย ไอ้ที่เราอยู่ ๆ ไปถึงบอกคุณจะถูกแทงนะเดี๋ยวเขาก็ว่าเราไม่สบาย มันต้องมีศิลปะจ้ะ
     
  10. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,020
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : แล้วมนุษย์ต่างดาวนี่ไม่ใช่แบบหัวโต ๆ ตัวเล็ก ๆ แบบที่ในโทรทัศน์ ?
    ตอบ : ถ้าหากว่าคุณใส่หมวกกันน็อคไปให้เขาเห็น เขาจะว่าคุณหัวกลมเหม่งแล้วก็มีลูกตากลม ๆ ใหญ่ ๆ อันเดียว...เครื่องแต่งกายของเขาจ้ะ เราเองเห็นบางทีมันก็ว่าไม่ตรงเหมือนกัน ลักษณะหน้าตารูปร่างของเขาคล้ายของเรา ส่วนใหญ่จะสวยกว่าทั้งนั้น ชุดท่องอวกาศของเขานี่แหละที่เราเห็นนั่นน่ะ
    ถาม : แล้วชาวโลกแท้หน้าตาเป็นยังไงครับ ?
    ตอบ : ชาวโลกแท้มีเขาจ้ะ (หัวเราะ) จำได้ไหม ...โฆษณา
     
  11. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,020
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : ระหว่างที่หลับไปก็ไม่รู้สึกตัวอะไรเลยเหรอครับ ?
    ตอบ : เขาเองกำลังใจมันดำเนินอยู่ในฌานของเขาอยู่ หรือไม่ก็อาจจะหลับยาวก็ได้ มันแล้วแต่ว่าเขาจะรู้ไหม ถ้ากำลังสมาธิกำลังฌานของเขาสูงก็รู้ตัวอยู่ ถ้ากำลังต่ำหยาบไปหน่อยก็อาจจะไม่รู้ต้วก็ได้
    ถาม : .....(ไม่ชัด)...........
    ตอบ : พญากาฬนาคราชนี่พระพุทธเจ้า ๔ องค์ผ่านไปแล้วเขารู้ตลอด รู้แค่ว่าตอนถาดลอยไปถึงหน้าถ้ำ อ้าว...มาองค์หนึ่งแล้ว ยังไม่ทันไรเลย หลับยังไม่ทันจะเต็มอิ่มเลย เอ้า ! อีกองค์หนึ่งแล้ว แหม....พ่อหลับได้ยาวจริง ๆ น่าอิจฉา
    ถาม : แล้วที่ทหารอเมริกาเขาจับได้นั่นไม่ใช่เหรอครับ ?
    ตอบ : นั่นมันปลา ไม่ใช่พญานาค ปลาทะเลลึก ๆ หลายอย่างมีลักษณะรูปกายยาว ๆ เหมือนยังกับงู คราวนี้บางอย่างมันอาจจะมีพิษของมันอยู่ คนที่โดนไปตอนนั้นอาจจะยังไม่เป็นไร แต่ว่าพอพิษมันแทรกซึมเข้าไปถึงระดับหนึ่งมันก็อาจจะตายได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นถ้าหากบอกว่าคณะนั้นเขาไปด้วยอำนาจของพญานาคมันก็ใช่นาคในความคิดของเขา
    ถาม : เคยไปสวรรค์ของพวกที่เป็น....(ไม่ชัด)....เคยเห็นเขาเป็นแบบเวิ้งไม่แบ่งเป็นชั้นเหมือนเรา แล้วก็มีองค์พระเจ้านี้อยู่กันประมาณ แล้วก็มีสาวกทั้งใกล้และไกล ก็เลยสงสัยน่ะเจ้าค่ะว่าทำไมของเขาไม่แบ่งเป็นชั้นเหมือนทางพุทธน่ะเจ้าค่ะ ?
    ตอบ : เราขาดเฉลียวไปนิดหนึ่ง ฉลาดพอที่จะได้เจอ ขาดเฉลียวไปนิดหนึ่งก็คือแค่ตั้งใจอธิษฐานว่าเราขอเห็นตามสภาพความเป็นจริง ก็ได้เห็นแล้วจ้ะ นรก สวรรค์ ไม่ว่าชาติไหน ภาษาไหนก็ตามที่เดียวกันทั้งหมด แต่ที่เห็นแตกต่างกันไปนั่นเป็นไปตามความยึดถือของเขา
    อย่างเช่นว่าเป็นเทวดาฝรั่ง ถ้าไม่มาในลักษณะมีผ้าขาวรุ่มร่าม ๆ มีปีกซะหน่อย มีวงบนหัว คนฝรั่งจะไม่รู้ว่าเขาเป็นเทวดา ในเมื่อความเชื่อถือที่เขาสืบ ๆ มาอย่างนั้นเขาก็จำเป็นต้องแสดงออกให้เห็นอย่างนั้น แต่ว่าุถ้าเราถามเขาให้บอกสภาพความเป็นจริงเป็นยังไงเขาจะแสดงให้เห็นเต็มอัตราเต็มบุญที่เขาทำได้ คราวหน้าบอกเขาบอกขอดูตามความเป็นจริงนะ แล้วจะเห็นไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเขาก็ทำให้เห็นอย่างนั้นอีก
    ถาม : ก็เลยสงสัยต่อไปทางฮินดูด้วย
    ตอบ : แบบเดียวกันหมดเลยจ้ะ
    ถาม : เจ้าค่ะ แต่เจออิสลาม
    ตอบ : อิสลามจริง ๆ แล้วที่ขึ้นสวรรค์เหมือนยังกับเทข้าวสารมากระสอบหนึ่งแล้วหาข้าวเปลือกให้เจอ เพราะว่าคำสอนของเขาผิดตั้งแต่ต้น ประเภทว่าฆ่าเพื่อปลดปล่อยเขาไปสวรรค์ พอคนอื่นจะปลดปล่อยตัวเองดันหนีซะนี่
    ศาสนาของเขาค้านกับสภาพของธรรมชาติที่ทุกคนเป็นอยู่แล้ว ดังนั้นเป็นคำสอนที่ผิด ในเมื่อเป็นคำสอนที่ผิดโอกาสที่จะรอดขึ้นไปข้างบนก็น้อยมาก ยกเว้นว่ามีหลายรายที่ถึงแก่ชีวิตในลักษณะอุปฆาตกรรมแล้วยังอยู่ในเขตของบุญของกุศล อย่างเช่นว่า อยู่ในเขตของประเทศไทย อย่างนี้เป็นต้น ก็รู้ว่าที่ไหนมีบุญก็ไปขอโมทนากับเขาอย่างนั้นโอกาสขึ้นข้างบนก็มี
    อาตมาค้นมาก่อนจ้ะ ไปตระเวนหาเลยล่ะ จนกระทั่งสรุปได้ว่าคนอิสลามที่ขึ้นข้างบนนั้นเหมือนกับเทข้าวสารมากระสอบหนึ่งแล้วหาข้าวเปลือกให้เจอ ยังดีลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุงยังเก่งอยู่ ยังหาเจอหลายคน มีเหมือนกันแต่น้อยหน่อย เพราะฉะนั้นมันก็ไม่สามารถที่จะแสดงให้เห็นได้ว่าฉันอยู่นี่จ้า....
    เพราะส่วนใหญ่อาศัยบุญคนอื่นเขาไป เมื่ออาศัยบุญคนอื่นเขาไปศักดานุภาพก็น้อย เขาจะแสดงเขตเฉพาะของเขาให้เห็นก็ไม่สามารถจะทำได้เต็มที่ แล้วก็อย่าไปบอกเขานะเดี๋ยวเขาตีตาย ความพอดีมันต้องมีนะ เอาไว้ให้แม่น ๆ ไม่ใช่ได้แล้วเพลิดเพลินเจริญใจรู้อะไรพูดหมด เดี๋ยวจะเฉาตายในเวลาอันรวดเร็ว
    ถาม : แล้วอย่างนี้คนที่เขาไม่ได้ขึ้นไปข้างบนนี่เขาเปรียบเหมือนข้าวสารทั้งหลายเหล่านั้นนี่ไปอยู่ที่ไหนล่ะคะ อยู่ในแดนมนุษย์หรือว่าอยู่ต่ำกว่าเรา ?
    ตอบ : ส่วนใหญ่ก็อยู่ในนรก ใช้กรรมของตนเองเอาสวรรค์ทั้งหมด พรหมทั้งหมด บกกับโลกมนุษย์และเดรัจฉานเข้าด้วยกน ยังไม่ได้เท่ากับในนรกเลย ข้างล่างมันรอเกิดอีกมากนัก
    ถาม : ตอนนั้นเจออยู่คนหนึ่งเจ้าค่ะ เขาหนีมาจากนรกน่ะค่ะ คือเขาไม่ทำบุญทำกุศลแล้วเขายังมาพูดจาดูถูกธรรมในพระสงฆ์อีก แล้วพอเขาเข้ามาเราก็เห็นยมทูตเดินตามมา่มี ๔ องค์นะเจ้าคะ ทีนี้พอเราบอกเตือนเขาไปว่าให้เขาเข้าวัดเข้าวาบ้าง รักษาศีลบ้าง เขาก็ว่าใส่กลับมาว่า เขาไม่สนใจแล้วก็มาพูดอะไรให้เขาฟังก็ไม่รู้ เราก็ไปเตือนเพื่อนเขาช่วยทำบุญให้ด้วย ให้เขาด้วยอย่างนี้เขาจะได้รับไหมคะ ?
    ตอบ : เพื่อนทำเพื่อนได้จ้ะ ถ้าเขายินดีเขาได้ด้วย ถ้าไม่ยินดีก็อดเหมือนเดิม ส่วนใหญ่แล้วคนเหล่านี้กำลังใจเขามืดบอดมาก คำว่าบุญเขาจะไม่เข้าใจซะด้วยซ้ำไป อุตส่าห์หลุดออกมาได้นั่นถือว่าฟลุคมากแล้ว แต่ว่าก็คงจะต้องกลับไปในระยะเวลาอันใกล้
    ถาม : ทีนี้พอหลังจากนั้นนี่คะ เดือนเดียว เขาก็ขับรถคว่ำปอดทิ่มทะลุ คือยมพูตท่านมาเอาไปน่ะค่ะ พอหลังเข้าห้อง ICU ยังไม่ทันจะเสียชีวิต คือเขาประคองเอาไว้ เจ้าคนที่นอนอยู่น่ะค่ะ ไปหาเพื่อนทุกคนเลย
    ตอบ : อันนั้นคือจริง ๆ เขาตายแล้ว แต่ว่าร่ายกายเหมือนกับรถทียังมีเชื้อเพลิงอยู่ หรือว่ารถที่วิ่งมาแล้วเครื่องดับแต่ว่าแรงเฉื่อยยังมีอยู่ก็ทำงานไป แต่่ว่าคนขับน่ะลงจากรถไปแล้ว
    ถาม : แสดงว่าเขาเสียชีวิตไปแล้วอย่างนั้นใช่ไหมคะ ?
    ตอบ : ถ้าหากว่าในเรื่องของทางธรรมก็คือตายไปแล้ว เพราะจิตออกจากร่างไปแล้ว แต่ว่าในเรื่องของทางโลกนี่ถ้าหากว่ายังหายใจอยู่ คลื่นสมองยังทำงานอยู่ หัวใจยังเต้นอยู่ ก็ถือว่ายังไม่ตาย แต่ความจริงอันนั้นเป็นแรงเฉื่อยหรือว่าเชื้อเพลิงที่ยังเหลืออยู่ทำหน้าที่ไป
    ถาม : พอหลังจากนั้นเผาศพไปก็เรียบร้อย....
    ตอบ : เรียบร้อยจ้ะ พวกนี้ไม่้ตัองตัดสินมาก กลับไปที่เดิม
    ถาม : อ้าว ! แล้วอย่างนี้ไม่ใช่อุปฆาตกรรมเหรอครับ อุปฆาตเขาไม่ลอยอยู่...ทำบุญให้ไม่ได้เหรอครับ
    ตอบ : อันนี้ของเขาหนีคุกมา ถึงเวลาออกมาจะอ้างว่าศาลยังไม่ตัดสินไม่ได้
    ถาม : อ๋อ....แล้วมันหนีีกันได้ด้วยเหรอครับ ?
    ตอบ : บางทีก็มีเหมือนกัน

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  12. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,020
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : มันพลาดได้อย่างไงครับ ?
    ตอบ : ต้องลงไปถามเขาเอง (หัวเราะ) อาตมาลงไปกลัวเขาจะเอาไปอยู่เลย แล้วบอกลองหนีดูเถอะ (หัวเราะ) ร้อยถี่มีหนึ่งห่าง ถี่ลอดตาช้างห่างลอดตาเล็น โบราณเขาว่าเอาไว้ มันก็มีเหมือนกันคือบางทีที่เรียกว่าควบคุมตัวไป ไปเอาอีกคน ไอ้นี่ย่องไปซะแล้ว เป็นยมทูตก็ลำบากเหมือนกันนะ ถึงว่า ....ที่ได้เจอหลวงพ่อส่วนใหญ่ขอโมทนาบุญไป ๆ ดีกว่าอยู่ตรงนั้นลำบากเต็มที ความจริงยมทูตนั่นน่ะท่านเป็นเทวดา
    แต่ว่านายนิรยบาลต่างหากล่ะเป็นยมทูตในความหมายของเรา นายนิรยบาลนี่พิลึกมาก ทำบุญกับบาปมาเท่ากันเป๊ะเลย ไม่สามารถที่จะลงนรกรับความชั่วไป แต่ก็สามารถขึ้นข้างบนได้ ก็เลยต้องทำหน้าที่ทรมานสัตว์นรกตัวเองไม่ต้องเดือดร้อนเพราะไฟ มีหน้าที่อย่างนั้น ไฟก็เลยไม่ทำอันตรายอะไรตนแต่ก็ต้องเหน็ดเหนื่อยกับการทรมานสัตว์นรกอยู่ น่าเบื่อหน่ายที่สุด
    ถาม : ยังดีกว่าตกนรก
    ตอบ : ต่อไปทำบุญอะไรทำบาปอะไรก็ให้มันหนัก ๆ ไปซะข้างหนึ่งมันได้ไป ๆ ซะให้หมดเรื่องลงไปก็คือ ลง ขึ้นก็คือขึ้น ทำพอดีเป๊ะอย่างนั้นลำบาก
    ถาม : แล้วไม่มีโอกาสหลุดหรือครับ ?
    ตอบ : มีเหมือนกัน ยังไม่ทราบลืมถามเขาไปว่าอายุงานของยมทูตเขากี่ปี เกษียณ ๖๐ หรือเปล่า ?
    ถาม : บางทียังไม่ทันพูดเขาก็รู้แล้วว่าจะตอบอะไร
    ตอบ : รู้ อาตมาหาเรื่องชกเทวดาเตะไม่สำเร็จสักทีหนึ่ง แค่คิดเขารู้แล้ว....เขาชอบแกล้งเราเรื่อย นอนภาวนายังมาข้างหลังเดินตึกไหวยวบ ๆ มาตามจังหวะเดินของเขาเลย เราก็กะ ๆ ไว้ แกล้งดีนักเดี๋ยวจะเอาให้เข็ด กะว่าพอเขาเดินมาถึงรัศมีเท้าเราเหวี่ยงถึงแน่ เราก็พลิกตัวกลับเตะโครมเข้าให้...ไม่เคยได้กินหรอก เขารู้...เขารู้ตั้งแต่แรกแล้ว แหม...ประเภทกระโดดข้ามอย่างนิ่มนวลเย เสียเวลาเตะลมเปล่า ความจริงไม่ต้องหลบเราเองก็เตะเขาไม่ถูกอยู่แล้ว แต่เขาก็หลบซะหน่อยให้กำลังใจไม่เสียแรงที่เตะ
    ถาม : คือว่ากลัวผีน่ะค่ะ คือมีความรู้สึกว่า ...ยกตัวอย่างเช่น หนูกลัว หนูก็พยายามไม่คิด แต่มันยิ่งชัด ๆ จนหนูเริ่มหวั่นไหวเลย จะทำยังไงดีคะ ?
    ตอบ : ความจริงคนที่ไม่ชัดเจนน่ะจำไว้ว่าต้องทำอย่างนั้น คือ อย่าพยายามให้ความสนใจกับภาพที่เราเห็น ถ้าเราให้ความสนใจภาพนั้นจะมัวไปหรือว่าถ้าเราตั้งใจใช้สายตาเพ่ิงจะไม่เห็นเลย เพราะว่าการที่เราไปอยู่้ตรงนั้นเราถึงจะเห็นภาพนั้น เวลาเราใช้สายตาเพ่งเราต้องนึกถึงตาของเรามันเ่ท่ากับเราดึงจิตกลับ ดึงจิตกลับตรงนั้นภาพจะหายไปเลยนะ ถ้าให้ความในใจมากบางทีภาพก็ไม่ชัดเจน ดังนั้นว่าตัวอย่างของเขานั่นน่ะ ถ้าหากว่าไม่ให้ความสนใจคือไม่พยายามสนใจ ภาพจะชัดมากแล้วอยู่นานเป็นพิเศษ
    ถาม : ใช่ค่ะ หนูกลัวหนูไม่สนใจ หนูจะไม่สนใจแต่มันยิ่งชัดเจน
    ตอบ : (หัวเราะ) จ้า...วิธีแก้ก็คือว่า พิจารณาให้เห็นว่าไม่ว่าเราว่าเขาในที่สุดก็เสื่อมสลายตายพังเหมือนกัน จำไว้ว่าการกลัวทุกชนิดมีพื่้นฐานมาจากการกลัวตายทั้งสิ้น อันนี้เคยตามพิจารณาดูใจตัวเองเป็นปี ๆ อยู่ในป่ากลัวเสือกัด เสือกัดแล้วเป็นยังไง ? ตายจ้ะ กลัวงูจะมารัด งูรัดแล้วเป็นยังไง ? ตายเหมือนกัน กลัวผีจะมาหลอก เดี๋ยวมันบีบคอเราแล้วเป็นยังไง ? ตายเหมือนกัน
    สรุปแล้วทั้งหมดไม่ว่าจะอ้อมโลกไปไกลขนาดไหนก็ตามมันจะลงตรงว่าเรากลัวตายเหมือนกันทั้งหมด ต้องพิจารณาให้เห็นว่าความตายเป็นปกติธรรมดาของเราเป็นปกติธรรมดาของสัตว์โลกทุกอย่าง สัตว์โลกเกิดเท่าไหร่ตายหมดเท่านั้น พระพุทธเจ้าท่านยืนยันเอาไว้ ถ้าเราเห็นจริงว่าเราเกิดมาแล้วต้องตายเป็นปกติเป็นธรรมดา ถ้าเราทำความดีไว้ตายเราก็ไปสบาย ความตายก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว ในเมื่อเราไม่กลัวแล้วต่อไปก็จะเห็นได้ชัดยิ่งกว่าเดิม
    ถาม : เวลาหนูกลัวหนูก็จิตใจหวั่นไหวอยู่แล้ว แต่ก็นึกได้ว่าต้องอุทิศส่วนกุศลให้เขาน่ะค่ะ แต่ว่าจิตมันก็ไม่ได้มุ่งมั่นมากหรอกค่ะ ก็คือมีควารู้สึกว่าเขาก็ได้รับแต่มันไม่เต็ม ๑๐๐% แล้วเขาก็จางไปน่ะค่ะ
    ตอบ : คราวหน้าตั้งใจให้มั่นคงกว่านั้นหน่อย
    ถาม : มันกลัวน่ะค่ะ
    ตอบ : จ้ะ พยายามพิจารณาบ่อย ๆ ภาวนาอย่างเดียวจะเอาตัวไม่รอดต้องพิจารณาบ่อย ๆ เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด ไม่มีอะไรให้ยึดถือมั่นหมายได้ ตัวเขาเองเขาตายไปแล้วก็จริง ถ้าหากว่าเขายังเวียนตายเวียนเกิดอยู่เขาก็ต้องทุกข์อีก
    ตอนนี้ที่เราเกิดอยู่เราก็ทุกข์เหมือนกันนะ โดยเฉพาะตัวเราเองเป็นมหาเศรษฐีเขามาเพื่อขอส่วนกุศลจากเรา คนที่เป็นเศรษฐีไม่ควรจะกลัวคนที่มาขอทาน ควรจะสงสารและเกื้อกูลเขามากกว่า คราวหน้าเปลี่ยนโลกทัศน์ซะใหม่ ผีน่าสงสารไม่น่ากลัวหรอก
    ถาม : ทำไมภาพมันชัดขึ้นทุก ๆ ที จนเหมือนว่าอยู่ต่อหน้าอย่างนี้ เวลาเห็นหน้าผีก็จะชะงักเลยเจ้าค่ะ ไม่อยากจะเห็นเขาเท่าไหร่เขาก็เสนอหน้ามาให้เห็นทำยังไงดีเจ้าคะ ?
    ตอบ : ถึงตอนนั้นก็รีบ ๆ ให้เขาซะให้ชินนะ ตั้งใจไว้แต่แรกเริ่มเลยว่ากุศลบารมีที่เรากระทำในครั้งนี้ โดยเฉพาะกุศลจากการเจริญภาวนาของเราไม่ว่าผู้ใดก็ตามตั้งความปรารถนาอยากได้ผลบุญอันนี้ ขอให้เขาโมทนาได้ตลอดเวลา ไม่ต้องเสียเวลาให้เราไปบอกไปกล่าว เชิญโมทนาแล้วก็รีบ ๆ ไปอย่าอยู่ใกล้
    ถาม : ตอนนั้นขับรถไปขับรถมาก็พาเข้าไปในป่าช้า แล้วก็นั่งกันหน้าสลอนเลยเจ้าค่ะ
    ตอบ : จ้ะ สวยมั้ย ?
    ถาม : ก็เป็นของเขาสภาพเขาเป็นอย่างนั้น
    ตอบ : สภาพเขาเป็นอย่างนั้นเอง สวยที่สุดที่เขาทำได้ก็คือแค่นั้น ในเมื่อสวยที่สุดแล้วแค่นั้นมันก็เลยไม่ใช่ของน่ากลัว หากแต่น่าสงสาร ยิ่งบุญน้อยเท่าไหร่ร่างกายของเขาก็ยิ่งไม่น่าชมไม่น่ามองมากเท่านั้นเหมือนอย่างกับคนยากจน ยิ่งยากจนเท่าไหร่ก็แต่งตัวปอน ๆ กระมอมกระแมมมากเท่านั้น เพราะฉะนั้นแทนที่เราจะกลัวก็ควรจะสงสารเขามากกว่า สงเคราะห์เขาได้รีบสงเคราะห์เลย ถ้าเห็นเขาได้แสดงว่ากำลังบุญของเราพอ ไม่ต้องทำใหม่ตั้งใจเลยว่า ผลบุญทั้งหมดที่เราทำมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ ขออุทิศแก่เธอทั้งหลาย ขอให้เธอทั้งหลายจงโมทนา เราจะได้รับประโยชน์ความสุขเท่าใดขอให้เธอได้รับด้วยไม่ต้องเสียเวลาทำใหม่ มัวแต่ทำใหม่เดี๋ยวเขาไม่ได้ เพราะว่าบางจังหวะตัวบุญตัวกรรมมันช่วยส่งเหมือนกันเขาถึงเปิดโอกาสให้เราสามารถเห็นเขาได้อย่างนั้น มัวแต่ไปทำบุญใหม่พอดีถ้าเกิดจังหวะนั้นมันเลยไปก็อด

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  13. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,020
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : ทีนี้มันมีอีกเจ้าค่ะ เวลาชาวบ้านรอบ ๆ ตัวเขาเกิดเหตุอะไรเราจะเห็นล่วงหน้าเจ้าค่ะ เราก็จะโทรไปบอกอย่างนี้ ต้องทำอย่างนี้ ต้องระวังอย่างนี้
    ตอบ : คราวหน้าต้องระงับ ๆ ไว้หน่อย ต้องมีสตินิดหนึ่งว่า นี่เราอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง ในเมื่อกฎของกรรมเป็นตัวบังคับอยู่ เราจะไปเปลียนแปลงอย่างไร ถ้าหากว่ากำลังบุญของเขาไม่เพียงพอกรรมอันนั้นก็สนองเขาจนได้
    ดังนั้นก็พยายามหน่อยทำความคล่องตัวในด้านที่จะนึกรู้ได้ทันทีว่าสิ่งที่เรารู้นั้นจะบอกเขาได้อย่างไร จะบอกเขาได้แค่ไหน ซ้อมตัวนี้ให้คล่องไว้แล้วหลังจากนั้นจะได้ไม่ไปดิ้นรนกระวนกระวาย แรก ๆ อาตมาก็อกจะแตกตายเหมือนกัน รู้แล้วบอกไม่ได้น่ะ มันจะคลั่งเอา แต่ว่าพอนาน ๆ ไปเดี๋ยวมันก็ชิน แล้วหลังจากนั้นก็ตายด้าน มันไม่มาล้มทับตีนดิ้นพราด ๆ ไม่ช่วยมันหรอก อุเบกขามันเริ่มเยอะขึ้น ความจริงมันออกไปทางเห็นแก่ตัวหน่อย ๆ เหมือนกันนะ
    ถาม : บางทีปล่อยวางไม่ได้
    ตอบ : เมตตาเกินประมาณเราจะทุกข์เองนะ เขาไม่ได้ให้เมตตากรุณาอย่างเดียว แต่มีอุเบกขาด้วย
    ถาม : ถ้าอย่างนั้นเห็นก็คงจะปล่อยวางจนกว่าเขาจะมาขอความช่วยเหลือ
    ตอบ : ยิ่งทำอย่างนั้นได้ยิ่งดี ถ้าบุญเขามีเขาจะเข้ามาเองโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องมา
    ถาม : ดูเหมือนกับว่าตัวเองวุ่นวายจังเลย
    ตอบ : ใช่เลยจ้ะ วิเคราะห์ตัวเองได้แม่นมาก
    ถาม : ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยวางต่อไปไม่ต้องยื่นเข้าช่วยเหลือเลยนะเจ้าคะ
    ตอบ : ทำอย่างนั้นได้จะดี คือถ้าหากว่ากำลังบุญเขามีถึงวาระถึงเวลาเขาจะมาเอง แล้วเราก็บอกเขาถึงวิธีแก้ไขเป็นอย่างไร แต่ถ้าเขาไม่ได้ประเภทวิ่งมาล้มดิ้นพราด ๆ อยู่ตรงหน้าเราก็ยืนมองไปก่อน ไม่อย่างนั้นแล้วมันจะวุ่นวายไปหมด เนี่ย...ที่ตือเขาไม่สามารถใช้อภิญญาเต็มที่ก็เพราะอย่างนี้ เพราะว่าถ้าได้เมื่อไหร่ก็จะไม่ดูฟ้าดูดินเลย ว่าเขาทำกรรมอะไรมาตั้งท่าจะช่วยท่าเดียว
    ถาม : พระท่านพูดนะคะ ว่าให้เรานึกว่าตัวเรากายนี้ไม่มี แล้วจิตก็คือไม่มีด้วย เลยสงสัยว่ากายไม่มีนี่มันไม่เท่าไหร่ แต่จิตไม่มีด้วยนี่แล้วมันจะหายไปไหนล่ะเจ้าคะ ?
    ตอบ : อาตมาก็ไม่ทราบเหมือนกันจ้ะ พระพุทธเจ้าก้ไม่เคยสอน ถ้าอยา่งนั้นฟังจากใครหรืออ่านจากไหนก็สืบหาจากต้นตอให้เจอแล้วต้องถามท่านโดยตรงน่ะ
    ถาม : สรุปว่ากายไม่มีจิตยังมีอยู่ ?
    ตอบ : มีอยู่ ขนาดนอกศาสนาอย่างพราหมณ์ของอะไรเขาก็ยังยึดจิตอย่างเดียว โดยไม่เอากายที่เป็นพวกอรูปพรหมน่ะ ถ้าจิตไม่มีด้วยแล้วมันจะอยู่ยังไง จิตเป็นสิ่งอมตะไม่มีคำว่าตาย หากแต่ว่าวนเวียนไปเรื่อยตามบุญตามกรรมที่ตัวเองทำอยู่ เปลี่ยนร่างเปลี่ยนภพภูมิไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะหลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพาน เพราะฉะนั้นจิตไม่มีเป็นไปไม่ได้
    ถาม : แล้วจิตมีสภาพรับรู้ ?
    ตอบ : รู้เป็นปกติเหมือนกับเครื่องบันทึกเทป บันทึกไปเรื่อย ๆ
    ถาม : แล้วจิตมีอารมณ์มั้ยคะ ?
    ตอบ : มีสิ เพราะว่าเขาจะนึกรู้ นึกปรุง นึกแต่งอยู่ตลอดเวลา แล้วเลยทำให้เกิดกรรมต่าง ๆ ขึ้นมาได้ ดังนั้นเราก็ต้องควบคุมจิตของเราให้มันอยู่ในลักษณะที่เรียกว่าไม่ให้ผิดศีลผิดธรรมเป็นอย่างน้อย ถ้้าสามารถทำให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปก็คือหยุดการปรุงแต่งของมันเสีย ถ้าหยุดการปรุงแต่งของมันได้ทุกอย่างก็หยุดหมดดับหมดการหลุดพ้นก็จะง่ายขึ้น
    ถาม : เรื่องของการนั่งสมาธิ ตัวเองเพิ่งจะเริ่ม ๆ หัดนั่ง แล้วมีอยู่วันหนึ่งที่พยายามจะกำหนดตามรู้ลมหายใจ แต่ว่าหลังจากนั่งไปแล้ว ผ่านไปวันรุ่งขึ้นมีอาการรู้สึกเจ็บหน้าอก เลยไม่แน่ใจว่าอันนี้เกิดจากการที่เราพยายามตามรู้ลมหายใจหรือเปล่า ?
    ตอบ : ลองทำดูอีกสักทีนะ ดูว่าจะเป็นอีกมั้ย ...
    ถาม : คือว่าเจ็บทั้งวันเลยค่ะ พอวันรุ่งขึ้นก็หาย
    ตอบ : ความจริงน่าจะทำต่อไปเลย เพราะว่าบางอย่างมันก็เป็นในลักษณะของขันธมาร คือ เขามาทดสอบเรา จริง ๆ ก็คือดึงความสนใจของเราไปจากสิ่งที่เราทำเพราะกลัวเราจะได้ดีเร็วเกินไป แล้วเราเองก็ให้ความสนใจในทางที่ผิด เพราะในทางปฏิบัติจริง ๆ เขาไม่สนใจร่างกายมาก อะไรจะเกิดขึ้นก็ช่างมัน...ถึงตายก็ยอม เขาสามารถจะดึงความสนใจของเราให้เปลี่ยนแปลงไปสนใจในจุดที่เขาต้องการได้ เราก็ลืมการภาวนาหรือทิ้งการภาวนาไป
    ถาม : นั่นแสดงว่าเรากลัวตายใช่ไหมคะ ?
    ตอบ : ชัดเลยจ้ะ มันอ้อมซะไกลเลย ทำเดี๋ยวจะเจ็บหน้าอก เจ็บแล้วจะเป็นยังไง เจ็บมาก ๆ แล้วตาย มันออ้อมไปไกลไปหน่อย บอกแล้วว่าความกลัวทุกอย่างมันจะเกิดจากกลัวตายตัวเดียว ตามดูมันอยู่นานดูซะจนชักคุ้นหน้ามันก็เลยพอจะจำหน้ามันได้ว่ามาหลอกแบบไหน

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  14. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,020
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : ทำไมเวลากระแสจิตส่งถึงกัน ทำไมถึงส่งกันได้เจ้าคะ?
    ตอบ : มันมีพลังของมันอยู่แล้วก็เป็นพลังที่ไม่จำกัดด้วยรูปแบบซะด้วย มันไม่ต้องวิ่งผ่านเครื่องไม่ต้องวิ่งผ่านสาย ไม่ต้องอาศัยเกาะไปตายในแก้วนำแสง มันนึกปุ๊บถึงเลยจ้ะ เป็นเครื่องมือที่วิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถสร้างแบบนี้ได้ ปกติของมันเป็นแบบนั้น
    ถาม : ขึ้นอยู่กับผู้รับผู้ส่งด้วยใช่มั้ยเจ้าคะ ?
    ตอบ : สำคัญตรงผู้รับ ผู้ส่ง ๆ ไปแล้วจะรับได้แค่ไหน บางคนก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ส่วนใหญ่จะเป็นอย่างนั้น บางทีก็รู้แต่เป็นแค่เลา ๆ ว่า เอ๊ะ ! ทำไมเราคิดถึงคนนั้น เราอยากจะติดต่อกับคนนั้น บางรายก็รับได้ชัดเจนเลยเหมือนยังกับเราไปยืนอยู่เฉพาะหน้า
    ถาม : บังเอิญน่ะค่ะ แค่นึกเฉย ๆ ว่าอยากให้พี่คนนี้โทรมาหาแล้วประมาณสักหนึ่งวันเขาก็โทรมา เขาบอกว่าเขามีความรู้สึกว่าเราไปบอกเขาว่าเขาต้องโทรมาหาเรา
    ตอบ : แสดงว่ากำลังใจของเขาสะอาดใช้ได้ถึงสามารถรับได้ ถ้าหากว่ากำลังใจของเขามืดมัวมากกว่านั้น ก็ไม่สามารถที่จะรับได้ชัดเจน แหม...ช้าไปหน่อย ถ้าปุ๊บปั๊บโทรเลยจะดีกว่านี้มาก
    ถาม : ก็ไม่ช้ามากหรอกเจ้าค่ะ พอนึกช่วงเช้า ช่วงเย็นเขาก็โทรมา
    ตอบ : จ้ะ แต่คนอื่นนี่ห้ามนะ ใครนึกถึงอาตมานี้ห้าปีก็ไม่โทร หนอยแน่ะ ! จะใช้วิธีลัด บังเอิญอาตมาห่วยจ้ะ จิตใจมืดมัวมากรับไม่ค่อยได้ ปิดเครื่องตลอด ในวัดคลื่นเข้าไม่ถึง
    ถาม : เวลาจะตายนี่จิตออกจากร่างทางไหนได้มั่งคะ ?
    ตอบ : รอบร่างเลยจ้ะ ทุกขุมขนออกได้หมด เพราะฉะนั้นเขาจะออกทางไหนก็แล้วแต่เขา
    ถาม : เคยอ่านเจอนะคะ ว่านักวิทยาศาสตร์ของพวกฝรั่งนี่ เขาพยายามที่จะทำห้อง แล้วก็พยายามที่จะเก็บจิตอะไรอย่างนี้ ?
    ตอบ : ไม่มีสิทธิ์จ้ะ
    ถาม : อะไรก็เก็บไม่ได้ใช่ไหมคะ ?
    ตอบ : เก็บไม่ได้หรอก เพราะจิตมีสภาพพิเศษสามารถผ่านวัตถุทุกชนิดได้ ไม่โดนจำกัดด้วยข้อจำกัดทางโลกใด ๆ ทั้งสิ้น เอาไว้ในเซพสักกี่ชั้น เอาไว้ในห้องปลอดภัยของธนาคารชาติก็หลุดไปได้ เป็นไง....ห้องปลอดภัยหนาสักเมตรหนึ่งใช่ไหม ? น่าจะกักอยู่นะ...ไปจ้อยเลยล่ะ
    ถาม : ถวายสังฆทานให้น้องที่ทำงานเขามอเตอร์ไซด์คว่ำแล้วคอหักตายเมื่อวันศุกร์ ต้องยกเครื่องอะไรหรือเปล่าคะ ?
    ตอบ : แล้วแต่เราจ้ะ ถ้าคิดว่าใจถึงก็ไม่เป็นไร ถ้าอย่างนั้นหนูส่งตรงนี้แล้วให้เขาโมทนา ตั้งใจนึกถึงเขาแล้วกันจ้ะ ส่วนใหญ่พวกเรามักจะไปคิดว่าเขาตายไม่ดี ความจริงตายแบบนี้ดีทำบุญให้เท่าไหร่ก็ได้ โดยเฉพาะมีประเภทเพื่อนดี ๆ ญาติดี ๆ ก็คือที่เขารู้ว่าถ้าเขาทำบุญในลักษณะนี้แล้ว เขาจะได้รีบทำให้ พวกนี้ถือว่าโชคดีซะด้วยซ้ำนะ
    ถาม : อย่างนี้ขึ้นไปชั้น ๕ กระโดดลงมาเลยครับ (หัวเราะ)
    ตอบ : เอาเลย เดี๋ยวจะทำให้ สัญญาเลยว่าทำให้ รับรองไม่โกหกทำให้จริง ๆ
    ถาม : เผอิญต้องเลี้ยงลูกอีก ๒ คน
    ตอบ : อุ้มลูกโดดมาด้วย
    ถาม : ถ้าเกิดว่าฝันเห็นเปรตน่ะค่ะ ซึ่งเราไม่เคยฝันอย่างนี้มาก่อน หมายความว่าัยังไงคะ เขามาขอส่วนบุญหรือเปล่า ?
    ตอบ : ตอนนั้นถามเขาเลย ถามเขาว่ามีธุระอะไรมาเพื่ออะไร ? ถามเขาได้ในหรือไม่ในฝัน ถ้านึกออกถามเขานะ จะได้รับคำตอบที่ตรงเลย แต่ของเรามันแค่คาดว่า ...ถ้าหากคาดว่าโอกาสผิดมันสูง
    ถาม : แล้วทำยังไงให้เราถามในฝันได้ ?
    ตอบ : พยายามสร้างสติให้มั่นคงอยู่ ถึงหลับก็รู้เหมือนกับตื่น ถ้าหลับก็รู้เหมือนกับตื่นนี่เราก็ทำได้ยังกับเราตื่นอยู่นั่นเอง สร้างสติให้มั่นคงกว่านันนิดหนึ่งจ้ะ ไม่ต้องมากหรอกนิดเดียว ฝันถึงนี่ถือว่าใช้ได้แล้ว ต่อไปก็เอาให้มันดียิ่งกว่าเดิม แล้วฝันบ่อยมั้ย ?
    ถาม : ฝัน ๒ ครั้งแล้วค่ะ
    ตอบ : ๒ ครั้ง ภายใน ๕ ปี ?
    ถาม : ไม่ใช่ค่ะ เมื่อเร็ว ๆ นี้เอง
    ตอบ : (หัวเราะ) จ้ะ ๆ ต่อไปไม่ต้องฝันก็ได้ ตื่นขึ้นมาแล้วก็ตั้งใจว่าบรรดาผีหรือเปรตทั้งหลายที่เราพบในความฝันนั่นน่ะ เราทำบุญอะไรมาขอให้เขาโมทนาแล้วก็ตั้งใจอุทิศให้เขาไป ของเขาเองจะหลับจะตื่นเขาเอาทั้งนั้นแหละ
    ถาม : ถามเรื่องความฝันอีกคนหนึ่งได้ไหมคะ ?
    ตอบ : ได้จ้ะ
    ถาม : คือว่าฝันในคืนเดียวกันนะคะ ฝันว่านี่เป็นการฝันที่ว่าจะมีคนมาแย่งของรักของเรา แล้วในฝันตอนแรกที่เราโกรธแฟนเรามากเลย แต่ในที่สุดเราก็ตัดสินใจว่าเราไม่เอาเขาแล้ว ให้เขาอยู่กับคนนันไป ส่วนฝันที่สองถัดมาติดกันเลยค่ะ เป็นความฝันที่ว่าอยู่ ๆ ก็มีคนเหมือนกับว่ามาจากนรก เขาบอกเราว่าเราจะเหลือเวลาอีกแค่วันเดียวแล้วเราจะต้องตาย
    ตอบ : โห ! ทำไมเหลือเยอะอย่างนั้นล่ะ วันหนึ่งของนรกขุมที่ต่ำสุดเท่ากับ ๙ ล้านปีมนุษย์ ความฝันอันไหนสร้างกำลังใจแก่เราได้ คือมันดีมันชื่นใจก็เก็บมันเอาไว้ อันไหนที่เรารู้สึกว่าไม่ดีลืมมันซะ ...ถ้าไม่ทำอย่างนั้น บางทีเราไปมัวแต่ฟุ้งซ่านกลัดกลุ้มอยู่ มันทำให้เสียการปฏิบัติหมด
    ถาม : แล้วเราจะรู้ได้ยังไงคะ ความฝันอันนี้มันมีเหมือนกับเป็นสิ่งที่เขามาทดสอบเราหรือเปล่า ?
    ตอบ : มันทดสอบทุกอย่าง จะหลับจะตื่นเขาทดสอบทังนั้น ในฝันถ้าหากเราสามารถล่วงศีลได้เราจะต้องรัก โลภ โกรธ หลงได้ แต่เราไม่ล่วงในศีลนั้น ไม่รัก โลภ โกรธ หลง ไปตามในฝัน สามารถควบคุมกำลังใจของเราได้ ถือว่าตอนนั้นกำลังใจของเราใช้ได้ แต่ถ้าหากว่เราล่วงศีลไปเรารัก โลภ โกรธ หลง ไปตามเหตุการณ์ในฝันนั้น ๆ ก็แสดงว่ากำลังใจของเรายังใช้ไม่ได้ เอาไว้เป็นเครื่องวัดของเราเอง เก็บเอาไว้วัดกำลังใจของเราเอง

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...