จิตวิญญาณออกจากร่าง ธรรมคุ้มครอง โดยหลวงปู่จันทา

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย กิดากร, 18 กรกฎาคม 2008.

  1. กิดากร

    กิดากร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +1,048
    พอใกล้เขาพรรษาพรรษาหนึ่ง หลวงปู่จันทาได้ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดบ้านตะเบาะ อ.เมือง จ.เพชรบุรี มีพระจำพรรษาอยู่ด้วยกัน 3 รูป สามเณร 1 รูปและผ้าขาวเฒ่า 1 คน (ผ้าขาวเฒ่า คือ ฆราวาสผู้รักษาศีล 8 อยู่ที่วัด)

    อยู่มาวันหนึ่ง เป็นวันเพ็ญเดือน 10 หลังจากหลวงปู่จันทา ฉันอาหารเช้าแล้ว กลับมาที่กุฏิเอาผ้าคลุมจะไปฟังธรรมะก็พอดีไข้มาลาเรียมันกำเริบหนักขึ้นสมอง จึงล้มลงกับพื้นที่กุฏิซึ่งปูด้วยฟากไม้ไผ่ กุฏินั้นมี 2 ห้อง พักอยู่กับเณรคนละห้อง เณรได้ยินเสียงล้มลง จึงออกมาดูแล้วถามว่า "ครูบาเป็นอะไร..?" (ครูบา เป็นคำเรียกพระที่พรรษาหย่อน 10) "ไม่รู้!...มันตึ้บแล้วก็ล้มลงเลย"

    เณรก็วิ่งออกไปบอกญาติโยมว่า "ครูบาจันทา ล้มลงนะ เป็นอะไรก็ไม่ทราบขี้แตกเยี่ยวออก พูดได้อยู่แต่ไม่รู้อะไร" ทั้งพระและโยมก็เข้ามาดู จึงพาหมอมาด้วย หมอบ้านนอกเป็นตำรวจเก่า เขาก็มาตรวจดูแล้วบอกว่า "เป็นไข้มาลาเรีย ขึ้นสมองอย่างหนัก อีก 5 นาทีก็สิ้นลม" โยมทายกเขาก็บอกว่า "จะสิ้นหรือไม่สิ้นก็ต้องฉีดยา ช่วยเหลือไว้ก่อน"

    พอฉีดยาเสร็จแล้ว ไม่นานหลวงปู้จันทาก็สิ้นลม เมื่อสิ้นลมแล้วดวงจิตยังไม่ยอมออกจากร่าง ยังห่วงใยเสียดายร่างกายอยู่ไม่นานมีเพื่อนคนหนึ่งรูปร่างสวยงามมายืนอยู่ข้าง ๆ ร้องบอกว่า "เพื่อน ๆ รีบออกมาจากเรือนเถอะ ไฟมันจะไหม้ทับหัว"

    กายทิพย์จึงออกมาจากร่างยืนติดกับเพื่อน เพื่อนก็บอกว่า "นี่แหล่ะ เพื่อนเอ๋ย!สมบัติร่างกายนี้อาศัยกันมาตั้งแต่วันเกิดจนถึงวันนี้นั้น ก็ถูกไฟพยาธิเผาให้เร่าร้อนฉิบหายเสียแล้ว จะอาศัยกันอยู่ต่อไปอีกไม่ได้ หมดเพียงแค่นี้นั้นแหล่ะ ถึงจะเสียดายอย่างไร ก็หมดสิทธิอำนาจที่จะเข้าไปครอบครองได้อีกต่อไป"

    จากนั้นทั้งพระและโยมก็ช่วยกันเปลี่ยนผ้า ล้างผ้าอาบน้ำให้ แล้วก็หามศพหลวงปู่จันทาไปไว้ที่ศาลา วางนอนไว้เฉย ๆ ไม่ได้ใส่โลงและก็ไม่ได้ฉีดยา วิญญาณกายทิพย์ของหลวงปู่จันทาก็ตามไปดูอีก เพราะความเสียดายสังขาร เข้าไปนั่งดูลูบคลำร่างกายศพดูแล้วก็เฉยเขย่าดูก็เฉย เหมือนขอนไม้ "โอ้หนอ ... ขึ้นชื่อว่าตายแล้ว ถึงจะคิดเสียดายอาลัยอาวรณ์อย่างไรก็เอากลับคืนมาไม่ได้"

    จากนั้นวิญญาณหลวงปู่จันทาก็หันไปพูดกับเณร เขาก็ไม่พูดด้วย ไม่ถามญาติโยม เขาก็ไม่พูดด้วย เขามองไม่เห็น เพราะมีแต่นามธรรมคือดวงจิต จิตวิญญาณจึงหันมาถามเพื่อนว่า "เราจะไปไหนกันดี..?" เพื่อนก็ตอบว่า "จะพาไปเที่ยวดูภูมิประเทศ"

    จึงออกเดินทางกันวันยังค่ำ มีแต่ดวงจิตไปสบาย ไม่หิวโหย ไม่เหนื่อยล้า ปลิวไปเหมือนนุ่นต้องลมฉะนั้น ครั้นไปถึงกึ่งกลางระหว่าง 2 หมู่บ้าน หมู่บ้านหนึ่งเป็นภูเขา อีกหมู่บ้านหนึ่งเป็นดงป่า ในระหว่างกลางนั้นเป็นสนามเล่น ก็เลยไปพักเล่นกับวิญญาณ (ผี) เล่นอยู่จนกระทั่งตี 3 พวกเขากลับบ้านกันหมด เพราะมันจะค่ำ กลางคืนเป็นกลางวัน เมื่อพวกเขากลับไปกันหมดแล้ว วิญญาณหลวงปู่จันทาก็ถามเพื่อนว่า "เราจะไปไหนกันอีก..?" เพื่อนก็บอกว่า "เราเองก็มาใหม่ ยังไม่รู้จักภูมิประเทศ จะไปข้างหน้าก็เป็นป่าดง ไปข้างหลังก็เป็นภูเขาแต่ว่าขณะนี้สมบัติปัจจัยเก่าคือร่างกายนั้นยังสดชื่นอยู่ พอที่จะกลับคืนสู่ร่างเก่าได้ เพราะมีบุญครึ่งหนึ่งรักษาไว้ เหมือนกับเกลือรักษาเนื้อไม่ให้เน่าเปื่อยนั่นแหล่ะ แต่ว่าเรามาไกลแล้วจะเดินกลับคงไม่ทันแน่ ต้องวิ่ง"

    ว่าดังนั้นวิญญาณจึงวิ่ง ...ก็วิ่ง มีแต่นามธรรมคือใจนั้น เบาเหมือนนุ่นต้องลมแล้วก็ปลิวไปอย่างนั้น ไม่หิวโหย ไม่เหนื่อยล้า ข้ามดงข้ามทุ่ง เมื่อมาถึงวัดแล้วก็ขึ้นไปบนศาลา วิญญาณจึงไปดูซากศพก็เห็นนอนสบายดีอยู่ มีแต่ญาติโยมที่มาเฝ้าศพปรึกษากันว่า "จะเผาหรือฝังนั้น ต้องรอพระอาจารย์จันทร์ซึ่งจำพรรษาอยู่บ้านเฉลียงกลับก่อน เพราะมากับท่าน ท่านจะให้ทำอย่างไรก็ทำตามท่าน"

    วิญญาณเมื่อไปถึงแล้ว เพื่อนก็บอกให้เข้าไปนั่งติดกับร่างศพแล้วตั้งสติให้ดี นึกถึงบุญเก่าและบุญใหม่ บุญเก่าที่ท่านสะสมมาตั้งแต่ครั้งศาสนาของพระพุทธเจ้าสิขี โน้นนั่นแหล่ะ คือเนกขัมมบารมี ตั้งแต่อายุ 7 ขวบตลอดจน 100 กว่าปีนั่นแหล่ะ บุญน้อยใหญ่สะสมมาไม่ลดละ และบุญใหม่ที่บวชมานี้อีก 5 พรรษาประกอบกันเข้านั่นแหล่ะ จะช่วยให้ดวงจิตกลับเข้าสู่ร่างได้ นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณบิดามารดา อุปฌาย์อาจารย์ พอนึกจบแล้วดวงจิตก็เข้าสู่ร่างกายได้สบาย เมื่อหันหน้ากลับมาดูเพื่อนวิญญาณนั้น เพื่อนหายไปเสียแล้ว

    เพื่อนหายไปไหน หลวงปู่จันทาพิจารณาแล้วพิจารณาเล่า จึง "โอ๋...เพื่อนนั้นกลับกลายมาเป็นเตโชธาตุเผาร่างกายให้อบอุ่นสดชื่นดี เพื่อนนั้นได้แก่บุญกุศลที่ได้สะสมไว้สามารถนิมิตเพศเป็นอะไรได้ทุกอย่าง บุญนั้นดีเลิศประเสริฐแท้"

    พอรุ่งอรุณเป็นวันใหม่ หลวงปู่จันทาก็เริ่มกระดุกกระดิกร่างกายได้ลืมตาขึ้นมาได้ยินเสียงนกแซงแซงร้องว่า "แจ้งแล้ว ๆ " ก็ระลึกขึ้นมาว่า "เรามีชีวิตกลับมาได้ก็เพราะบุญหรอก บุญที่สะสมไว้ตั้งแต่ชาติปางก่อนโน้นและชาตินี้ประกอบกันเข้าเป็นเครื่องรักษา ไม่ให้เป็นอันตรายฉิบหาย ฉะนั้น ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เราจะสะสมแต่บุญกุศลเท่านั้นสิ่งอื่นไม่เอานะ สิ่งอื่นไม่ว่าจะเป็นสมบัติ ข้าวของ เงินทอง กุฏิ วิหาร สบง จีวร สังฆาฏิ ก็ดี เมื่อสิ้นลมแล้วก็ทอดทิ้งไว้หมดเสียสิ้น มีแต่บุญกุศลเก่าและใหม่เท่านั้นที่จะบันดารให้เป็นเสื้อผ้าอาภรณ์ เป็นผ้าสบง จีวรและสังฆาฏิสวยงาม เป็นที่พึ่งพิงอาศัยได้แท้แน่นอน"

    เมื่อหลวงปู่จันทาตั้งสัตย์อธิฐานเสร็จแล้วก็ลุกขึ้นนั่ง พวกญาติโยมที่มาเฝ้าศพอยู่บนศาลาก็ตกใจ บ้างก็วิ่งหนี บ้างก็กระโดดลงศาลาไปด้วยความกลัวเพราะคิดว่าเป็นผีหลอก

    ไม่นาน พอหายตกใจแล้ว พวกโยมทายกวัดก็เข้ามาถามความเป็นมา เพราะไม่เคยเห็นคนตายไปวันกับคืนแล้วฟื้นคืนมาได้...หลวงปู่จันทาจึงได้เล่าให้เขาฟังอย่างที่ได้ประสบมาและได้กล่าวสอน "โยมทั้งหลาย ต่อไปนี้จงยึดเอาอาตมาเป็นคติธรรมเตือนใจนะ เพราะบุญกรรมดีสะสมไว้แต่ชาติปางก่อนโน้นและชาตินี้ประกอบกันเข้า รักษาสมบัติร่างกายไว้ถึงตายแล้วก็ไม่เปื่อยเน่า ยังสดชื่นเหมือนเดิมทำให้ฟื้นกลับคืนมาได้ ฉะนั้น ขอให้ท่านทั้งหลายจงรีบเร่งสะสมคุณงามความดีใส่ตนไว้ จะได้เป็นเพื่อนสองเป็นคู่ครองติดตามตลอดไป"

    ผลของการบำเพ็ญบุญเห็นอำนาจของบุญดีเลิศประเสริฐแท้ ฝังใจแน่นอนไม่หวั่นไหว จะเป็นหรือตายก็ไม่หวั่นไหวต่อใครทั้งหมดทั้งนั้น ใครว่าดีเลิศประเสริฐอย่างไร ก็ไม่หลงไปตาม นั่นแหล่ะจึงสมกับคำที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า

    สุโข ปุญญัสสะ อุจจะโย การสะสมซึ่งบุญนั้น นำมาซึ่งความสุข ความเจริญ ไม่ให้วิบัติฉิบหายจริงแท้
    ธัมโม หะเว รักขะติ ธัมมะจาริง ผู้ประพฤติธรรม ปฏิบัติธรรม ธรรมย่อมรักษา ไม่ให้เคลื่อนคลาดจากภพชาติที่แล้ว ดีเลิศประเสริฐอย่างนั้น

    (ส่วนหนึ่งจากหนังสือ อ่านก่อนตาย ก่อนที่จะไม่ได้อ่าน 2)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2008
  2. kriengkripob

    kriengkripob เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,326
    ค่าพลัง:
    +2,048
    อนุโมทนาบุญครับ............อ่านแล้วได้ข้อคิดหลายประการ ที่สำคัญต้องหมั่นทำบุญสร้างกุศลทุกวันจนกว่าจะละสังขาร....สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...