จะรู้ได้อย่างไรว่าเรามีบารมี วิทยาศาสตร์ทางจิตอธิบายได้

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย คนขายธูป, 18 สิงหาคม 2007.

  1. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    รู้สึกว่าพวกปัญญาสูงๆ อภิญญาไม่น้อยเข้ามาเยอะ เอ้าหัวข้อนี่ละ ถึงจะเหมาะสม


    เชิญว่ามา จะดูออกได้ไง รู้ได้ไงว่ามี "บารมี"?
     
  2. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    ช่วงเวลาที่บารมีปรากฏไม่ใช่ตลอดเวลา!


    เมื่อแรกเกิด บารมี อาจปรากฏเป็นรูปแบบต่างๆ เช่น สิ่งมหัศจรรย์
    ความฝัน คำทำนาย ฯลฯ ซึ่งเป็นสิ่งบ่งบอกได้ว่าผู้มีบุญบารมีมาเกิด
    เช่น การเกิดของพระพุทธเจ้า มีแผ่นดิน โลกธาตุไหวเป็นต้น

    จากนั้น ก็เข้าสู่ช่วงรับกรรมก่อน ช่วงนี้ บารมีจะยังไม่ปรากฏก็ได้
    (หากบารมีไม่มาก ก็ยังไม่ชัดนัก หากบารมีมากๆ ก็อาจเห็นได้เลย)
    ดังนั้น ไม่แปลกที่เด็กบางคน ยังยิงนกตกปลา พอโตขึ้นมาบวชพระ
    ได้อรหันต์ แล้วก็มีบุญบารมีสร้างวัด สร้างสำนักมากมาย


    ช่วงก่อนที่ "บารมี" จะปรากฏนี้ มีอะไรให้สังเกตุได้บ้าง?
     
  3. กังขา ณ ปลาย

    กังขา ณ ปลาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    226
    ค่าพลัง:
    +1,763
    ดูคนที่คุณธรรมนะ

    ไม่ได้ดูฤทธิ์อะไร

    ต้องจิตนิ่งๆ ตัวเราถึงไม่ต้องมีฤทธิ์ ก็สัมผัสได้

    สำหรับคนที่นี่
    ก็อ่านทะลุตัวหนังสือไปอีก
    ไม่งั้น ก็ต้องใช้เวลาศึกษาหน่อยก็ได้ อย่าด่วนตัดสิน
    คนบางคน ไม่ได้คิดแบบที่โพสต์ทั้งหมด สรุปไม่ง่าย


    ส่วนเด็กที่มาเกิด คนเป็นแม่ จะรู้ก่อนใคร ??

    วันนี้ต้องรีบไปก่อน



    (b-malang)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 สิงหาคม 2007
  4. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    สัญญาณบ่งบอกว่า "บารมี" ของเราเริ่มเข้ามาแล้ว

    ตัวอย่างเช่น

    ๑. คนที่มากมายวุ่นวายเข้าถึงตัวเรายากขึ้น เราค่อนข้างสงบ
    ราวกับโลกเป็นวิมานของเราอันกว้างใหญ่ ใครก็เข้าถึงเราได้ยาก
    และเรามีความสุขสงบในภาวะนั้น ไม่ใช่การถูกเมินจากสังคม

    ๒. คนที่จิตใจไม่ดี จะร้อนรนกระสับกระส่าย เวลาที่เราอยู่ใกล้ๆ
    แล้วมักแสดง "ธาตุแท้" ออกมา ให้เราเห็น เช่น เจ้านายเก่าที่เคย
    บ้าอำนาจ จะร้อนรนผิดปกติ จับผิดเรา แต่กลับทำอะไรเราได้ยาก
    โดยที่เราไม่ได้ตอบโต้อะไรเลย แล้วเจ้านายจะมีลางสังหรณ์ที่จะ
    เอาเราออกไปไกลๆ ประมาณว่า "ผีร้อนเวลาอยู่ใกล้พระ"

    ๓. คนดีเริ่มเข้ามาหาในชีวิตมากขึ้น บางคนเห็นเราครั้งแรกก็รู้สึกดี
    ให้ความช่วยเหลืออย่างไม่หวังผลตอบแทน รู้สึกว่าอยากช่วยเรา
    อยากเข้ามาทำอะไรให้เราบางอย่าง อย่างที่อธิบายไม่ถูก

    ๔. คนเลวเริ่มมองตัวเราไม่เห็น ทำให้พวกเขาสับสนว่าเราจะเอายังไง
    เราเป็นคนแบบไหน แล้วพอพวกเขาทึกทักเอาอุปทาน อุปโลกเอาว่า
    เราเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ พวกเขาก็กลับไม่สมดุลในความเชื่อนั้น ใจก็
    ว่อกแว่ก แล้วก็ตาจับตาเราอยู่ร่ำไป เหมือน "กาไม่เคยเห็นหงส์"

    ๕. เราเริ่มเหมือนไม่ค่อยมีงานทางโลกมากขึ้น เหมือนมีงานทาง
    ธรรม ไหลเข้ามาให้เราทำเอง ทั้งๆ ที่ไม่คิดว่าอยากจะทำ แต่มีเหตุ
    ให้เราต้องมาทำ อย่างที่บอกไม่ได้

    ๖. เกิดเหตุอัศจรรย์อธิบายไม่ได้ ให้เราเห็นและมั่นใจหลายอย่างจน
    เราไม่ลังเลสงสัยกับชีวิตข้างหน้าที่จะเกิดขึ้นกับเราอีกต่อไป มั่นใจ
    ที่จะใช้ "บารมี" นี้ในทางที่เราเคยปรารถนาไว้

    ๗. คนรอบกายเราเปลี่ยนพฤติกรรมที่มีต่อเรา เช่น เกรงใจเรา หลบตา
    เรา ไม่กล้าหืมมากเหมือนเมื่อก่อน ทั้งๆ ที่เราไม่ได้ออกฤทธิ์ออกเดช
    ทำอะไรเขาเลย เขาก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ผิดสังเกตุ

    ๘. เริ่มเห็นอะไรในมุมใหม่ เช่น คนที่เคยทำร้ายเรา เมื่อก่อนเรามอง
    เขาว่าทำไมทำเราอย่างนี้ แต่ตอนนี้ เรากลับมองเห็นความทุกข์เหลือ
    คณาในแววตาของเขา จนไม่อาจทำร้ายหรือโต้ตอบเขากลับได้

    ๙. ได้รับ "โชค" หรือคนให้ของมากผิดปกติ เหมือนมีอะไรดลใจให้คน
    ที่เจอเราเอานั่นเอานี่มาให้เรา ราวกับจะทำบุญกับพระ แต่กลับมาทำให้
    เราแทน เอ? เราก็ไม่ใช่พระ ทำไมเขายังเอามาให้เรา

    ๑๐. คนที่ไม่เคยรู้จักกัน แสดงตัวเข้าช่วยเหลืออย่างผิดปกติ และจริงใจ
    คนเลวเริ่มไม่สนใจเรา มองไม่เห็นว่าเรามีตัวตน เราเริ่มทำเลวได้ยากขึ้น
    ทดลองทำดูก็แปลกว่าทำไมทำไม่ได้ เช่น จะลองขโมยของ ก็ไม่มีจังหวะ
    ทำได้สักที ประมาณว่า "บารมี" ของเราไม่อาจให้ทำได้เช่นนั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 สิงหาคม 2007
  5. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    อ้าว เพ่ กังขาฯ มาจองโต๊ะหน้าสุด แล้วไปเลยเสียนี่..
     
  6. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    ปรมัตถปารมี (๓๐ ทัศ)

    จะทุ่มเทอุทิศชีวิตทั้งชีวิตเพื่อการช่วยเหลือปวงสรรพสัตว์ไม่แบ่งแยกเลย
    เช่น ทำยุทธหัตถีย์ ยอมพลีชีพตายคนเดียว เพื่อช่วยเหลือประชาชนทั้งมวล
    ซึ่งมองว่าถ้าประชาชนรอด จะช่วยให้ทั้งโลกรอดได้ (เช่น ช่วยเมืองพุทธ)

    อุปปารมี (๒๐ ทัศ)

    จะไม่ถึงขั้นยอมตายถวายทั้งชีวิต แต่ยอมทำทุ่มแค่เสียอวัยวะ บ้างก็ทุ่มทั้ง
    ชีวิต แต่ไม่โปรดสรรพสัตว์ทั้วทั้งสามภพ เช่น เป็น ราชา ก็ทุ่มเทชีวิตเพื่อ
    ประชาชนของประเทศตน ไม่ได้ทำเพื่อประชาชนประเทศอื่นด้วย

    บารมี (๑๐ ทัศ)

    หลอมรวมทั้งทศบารมีมาใช้ประยุกต์ช่วยคน แต่อาจจำกัด ไม่ถึงขั้นยอม
    อุทิศเลือดเนื้อ (๒๐ ทัศ) หรือชีวิต (๓๐ ทัศ) แต่ผสมผสานทั้งทศบารมีได้

    บารมีไม่ครบทศบารมี

    อาจได้แค่บารมีบางตัว ไม่อาจผสมผสานบารมีทั้ง ๑๐ เข้าด้วยกันได้


    ................................................................................

    สำหรับทหารที่ยอมตายพลีชีพเพราะศรัทธาในพระราชานั้น จะไม่ได้ถึง ๓๐ ทัศ
    เพราะไม่ได้พุ่งจิตไปที่มวลชน แต่พุ่งจิตไปที่พระราชา แต่หากไปเจอพระ
    พุทธเจ้า แล้วพุ่งจิตยอมตายเพื่อพุทธบูชา ก็อาจจะได้ครบ ๓๐ ทัศ
    เพราะจิตที่พุ่งไปสู่พระพุทธเจ้า เป็นจิตที่มุ่งสู่เมตตาเกื้อกูลไร้ประมาณ
     
  7. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    การสังเกตุว่าพระอริยเจ้าที่ลูกศิษย์ศรัทธามากไปโฆษณาว่าบารมีครบ ๓๐ ทัศจริงหรือไม่


    ๑. ลองสังเกตุดูว่า พระอริยเจ้านั้นทำคุณาณุประโยชน์ให้กับมวลชนหรือไม่?
    หรือรอเข้านิพพานอย่างเดียว (สาวกภูมิ) เช่น หลวงปู่ทวด ใช้ปัญญาเพื่อรักษา
    เอกราชของชาติจากพม่า แบบนี้ เป็น "บารมีระดับมหาโพธิสัตว์"

    ๒. ลองสังเกตุดูว่า พระอริยเจ้านั้นยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลกด้วยหรือไม่ หากไม่
    ยุ่งเกี่ยวเลย จัดเป็น "สาวกภูมิ" หากพระอริยเจ้าเริ่มเอาธรรมะ มาแก้ไขสังคม
    เช่น พระพุฒาจารย์โต ใช้วิธีสอนให้ปัญญาแก่พระมหากษัตริย์ไทยหลาย
    พระองค์ แบบนี้ น่าจะอยู่ใน "โพธิสัตว์ภูมิ"

    ๓. ลองสังเกตุดูว่า พระอริยเจ้านั้นมีความเป็นตัวเองมีความเป็นผู้นำสูงหรือไม่
    เนื่องจาก "สาวกภูมิ" จะอ่อนด้านความเป็นผู้นำ แต่สำหรับ "โพธิสัตว์ภูมิ" แล้ว
    ความเป็นผู้นำเต็ม ๑๐๐ ทั้งยัง แสดงบทบาทได้อย่างถูกต้อง เช่น ปรามาจารย์
    ตั๊กม้อ ก่อตั้งวัดเส้าหลินได้ มีคนเชื่อถือมากมาย

    ๔. ลองสังเกตุดูว่า พระอริยเจ้านั้นได้สร้างสิ่งใดไว้แทนตัว แล้วสิ่งนั้นยั่งยืน
    ยาวนานแค่ไหน เช่น พระอาจารย์มั่น สร้างแนวทาง "สายพระป่า" ทำให้เกิด
    พระป่าที่บรรลุธรรม ตามมาอีกมากมาย ลักษณะนี้เข้าลักษณะ "โพธิสัตว์ภูมิ"
    ซึ่ง อาจจะบำเพ็ญบารมีแบบโพธิสัตว์มาก่อน แล้วจะเข้านิพพานหรือไม่ก็ตาม

    ๕. ลองสังเกตุดูว่า พระอริยเจ้านั้นมีภูมิธรรมสูงเป็นพิเศษใช่หรือไม่ เช่นรู้เรื่อง
    อจิณไตยมากเป็นพิเศษ ที่ไม่ได้เกิดจากอิทธิฤทธิ์ ไม่ได้ใช้ฤทธิ์ไปดูมา แต่มี
    "ปัญญาญาณ" ระดับสูง เช่น พระมัญชูศรี ผู้ล่วงรู้ในหมื่นโลกธาตุ

    ๖. ลองสังเกตุดูว่า พระอริยเจ้านั้นมีประวัติ การสละและอุทิศร่างกายและชีวิต
    บ้างหรือไม่ เช่น ถึงจุดหนึ่งยอมตายได้เพื่อแลกธรรม (ยอมตายจริงๆ ไม่ใช่
    แค่คิดว่ายอม) มีวิธีการบำเพ็ญหรือพฤติกรรมที่ไม่มุ่งให้คนมาเชื่อถือตนมาก
    ไป หากเน้นให้คนมาหลงตัวเองมากๆ คือ "เจ้าลัทธิภูมิ" ไม่ใช่ชาวพุทธ
     
  8. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    บารมี เป็นลักษณะเฉพาะตัวของผู้บำเพ็ญ มีข้อสังเกตุดังนี้

    ๑. พระอวโลกิเตศวร บารมีของท่านจะมีความสงบสุขร่มเย็น
    หากใครได้พบท่านบนโลก จะรู้สึกอยากอยู่ใกล้นานๆ ไม่อยาก
    ไปไหน หากจ้องที่ตาท่านจะรู้สึกใสมาก และจิตเราจะนิ่งมีสมาธิ
    มาก เหมือนเราถูกสงดให้อยู่ในภวังค์แห่งฌานอันสุขสงบ

    ๒. พระกษิติครรภ์ บารมีท่านจะทำให้คนมากมายร่ำไห้ปีติท่วม
    น้ำตาไหลอาบแก้มได้ง่ายๆ เลยทีเดียว เรียกว่า แค่ท่านปรากฏกาย
    ไกลๆ เรา หรือแค่เรานึกถึงคุณของท่าน เราก็ขนลุกแล้วน้ำตาไหล
    อาบแก้มได้ไม่ยากเลย ลองนึกๆ ดูนะฮะ เราเคยรู้สึกแบบนี้กับใคร
    ในประเทศไทยของเรา

    ๓. พระมัญชูศรี บารมีของพระมหาโพธิสัตว์องค์นี้ ออกไปทางด้าน
    ปัญญาญาณ หากได้พูดคุยกับท่านจะอึ้งทึ่งตะลึง ว่าคนอารายจะ
    อัจฉริยะขนาดนั้น รู้ไปหมดทุกอย่าง จนอยากจะได้สัพพัญญูญาณ
    กะเขาบ้าง แล้วจิตก็เริ่มปรารถนาพุทธภูมิ และปัจเจกภูมิไม่รู้ตัว

    ๔. พระมหาสถามปราบต์ บารมีของพระมหาโพธิสัตว์องค์นี้ ค่อน
    ข้างสูงไปอยู่กับพระราชาเสียส่วนใหญ่สินะ คนทั่วๆ ไปเลยไม่เข้าใจ
    ท่าน ก็อาจเห็นท่านเป็นคนแก่คนดี ใจดี มีอภิญญาพิเศษ แต่จะไม่
    เข้าใจปัญญาระดับท่านได้ พระราชา และพระโพธิสัตว์ส่วนใหญ่จะ
    เข้าใจดี ด้วยเพราะบารมีท่าน ออกไปทางด้านการเมืองการปกครอง

    ๕. พระสมันตภัทร บารมีขององค์นี้ทำให้คนมาทำบุญได้ล้นหลามเลย
    ละ เรียกว่าทำกันทุ่มสุดตัว มีครั้งหนึ่ง ชายผู้ได้รับคำแนะนำจากพระมัญชูศรี
    ให้ไปพบพระสมันตภัทร ชายคนนั้น ถึงกลับตั้งความปรารถนาเสียมากมาย
    เรียกได้ว่าจากสาวกภูมิ เป็นโพธิสัตว์ภูมิครั้งแรกก็เพราะพระมหาโพธิสัตว์องค์นี้

    ๖. พระศรีอาริยเมตตรัย องค์นี้แปลกประหลาดลึกลับ มักมีอะไรที่คนคาดไม่ถึง
    แต่เป็น "มรรค" ที่ง่ายเร็วลัด บารมีของท่านออกมาในด้านการปราบมารค่อน
    ข้างมากเหมือนกัน เรียกว่าได้ว่า มารอยู่ใกล้ๆ แล้วร้อนรน หากแปลงกายก็จะ
    แสดงธาตุแท้ออกมาได้ง่ายๆ มีศาลเจ้าแห่งหนึ่ง "หลวงปู่ฤษีลิงดำ" ท่านให้
    สร้างไว้ เป็นตำหนักพระศรีอาริยเมตตรัย เวลาคนทรงเจ้าเข้ามาทีไร เป็นต้อง
    ร้อนตัวแล้วแสดงอาการออกมาทันที เสมอๆ
     
  9. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    การบำเพ็ญบารมียาวนานและมีขั้นตอน

    เช่น

    ๑. ก่อนจะไปเป็นกษัตริย์ ต้องบำเพ็ญบารมี "พรหมวิหารธรรม"
    จนมีบริวารภักดีมาอยู่ด้วยมากมาย หากอาศัยแต่กำลังผลบุญ
    แล้วอธิษฐานเอา เมื่อไปเกิดเป็นราชา ก็ไม่ได้บริวารที่จริงใจ
    เพราะขาดบารมีจาก "พรหมวิหารธรรม"

    มีมารมากมายที่อยากได้บริวารแบบพระโพธิสัตว์บ้าง
    จึงใช้อิทธิฤทธิ์ขู่เข็ญบังคับให้ผู้คนกลัวตนแล้วยอมเข้า
    เป็นพวกของตน

    เมื่อผู้มีบารมีทำอะไรดีๆ ไว้ มารก็อยากได้อย่างนั้นบ้าง
    แต่มารจะไม่ทำแบบเดียวกัน ไม่บำเพ็ญบารมี แต่จะใช้วิธี
    ของตนเอง เช่น จุติเป็นคนหน้าตาดีมากๆ ร้องเพลงเพราะ
    แล้วให้คนฆ่าตัวตายเพราะหลงใหลตน

    เมื่อจุติเป็นมาร ก็จะได้บริวารเป็นคนที่หลงใหลคลั่งไคล้ตนด้วย
    ดังนั้น หากไม่อยากเกิดเป็น "บริวารมาร" อย่าได้ไปคลั่งไคล้คอนเสิร์ต

    มารจะกระเตงแบกภาระ เอาบริวารประหนึ่งเป็นสมบัติที่ตนหวง
    จนเมื่อรับกรรมมากมาย ยอมทิ้งบริวารสมบัติ จึงจะพ้นทางมาร
    หรือยอมอุทิศตนให้บริวาร ก็จะไม่เป็นมาร แต่กลับเป็นพุทธภูมิ
    ในภายหลังได้เหมือนกัน

    ดังนั้น ช่วงก่อนมาเกิดเป็นโพธิสัตว์เต็มตัว
    จึงจุติเป็นมารมาแล้วทั้งสิ้น

    สรรพสิ่งเป็นเพียง "ขั้นตอน" ดำเนินไป ไม่เรียกว่าดีหรือเลว เป็นแค่ ขั้นตอนหนึ่ง
     
  10. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    บางท่านที่เปลี่ยนภูมิจากปัจเจกภูมิ เป็นพุทธภูมิ จะมาหาบริวาร


    พระปัจเจกพุทธเจ้าไม่มีบริวารพอ เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ไม่สามารถสร้างศาสนาได้
    แต่พระพุทธเจ้า เมื่อเป็นโพธิสัตว์ก็มีบริวารมากมายอยู่แล้ว รออยู่บนสวรรค์บ้าง
    ในขณะที่ตนลงมาจุติสะสมบุญบารมี

    ดังนั้น หากท่านที่เคยปรารถนาแบบ "ปัจเจกภูมิ" จะเปลี่ยนมาเป็น "พุทธภูมิ"
    เขาจึงต้องหาบริวารที่นับถือศรัทธาเขาอย่างมากมายเพียงพอเสียก่อน จากนั้น
    เขาจึงจะไปเกิดอีกหลายชาติเป็น "หัวหน้า" ทั้งสิ้น เช่น เป็น พญาช้าง,
    พญาลิง, พญากา ฯลฯ

    หากสังเกตุพระพุทธเจ้าสมณโคดมจะเห็นว่าท่านก็เกิดเป็น "พญา" ตลอด
    และจะมี "ลูกน้อง" ในฝูงตัวหนึ่งที่ก่อเรื่องอยู่ตลอด ตัวนั้นก็คือ "เทวทัต"
    ซึ่งปรารถนา "ปัจเจกภูมิ" จึงไม่มีความเมตตาพอที่จะให้คนมานับถือเป็น
    บริวารของตนได้แท้จริง
     
  11. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    พระโพธิสัตว์บารมีสูงๆ จะอยู่ในฐานะผู้เลือกบริวารทั้งสิ้น

    ระหว่างแต่ละชาติของการบำเพ็ญเพียร พระโพธิสัตว์บารมีสูงจะทรงรู้ตลอด
    ว่ามีผู้ปรารถนามาเป็นบริวารของตน แล้วท่านก็จะเลือกตามแต่ท่านจะเลือก
    บางคนปรารถนาเป็นพระอุปถาก, พุทธบิดา, พุทธมารดา, อัครสาวก ฯลฯ
    เหล่านี้ ไม่ได้มีแค่ "เทวดาองค์เดียว" ที่ปรารถนานั้น มีมากมาย เรียกว่า
    เรียงคิวกันเลย


    ใครบำเพ็ญได้ดี พระโพธิสัตว์ท่านก็จะเลือกจะดู จะตัดสินใจว่าเหมาะจะ
    ให้รับตำแหน่งที่ปรารถนานั้นหรือไม่

    ยกตัวอย่าง "พระศรีอาริยเมตตรัยโพธิสัตว์" มีเทวดาเยอะมากมาย รอคิว
    เป็น พุทธบิดา, พุทธมารดา, อัครสาวก ฯลฯ ซึ่ง เทวดาเหล่านี้ก็บำเพ็ญ
    เพียรรอให้ท่านเลือกเองเช่นกัน


    ดังนี้ ไม่แปลกที่จะกล่าวว่า "พระโพธิสัตว์จะเลือกพุทธมารดาก่อนจุติ"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 สิงหาคม 2007
  12. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    ยุคทองแห่งการเลือก "ตำแหน่งเทพ" ใครอยากเป็นบริวารใครเชิญเอา


    ตอนนี้ภัยพิบัติโลกกำลังมา เทพเทวดาจุติมารอบำเพ็ญเพียรกันมากมาย
    เหล่าโพธิสัตว์เองก็มาด้วย ดังนี้ ทั้งเทพเทวดาเองก็เลือกพระโพธิสัตว์ที่
    ตนจะไปเป็นสาวก แล้วก็ตั้งจิตปรารถนาว่าจะเป็นสาวกอย่างไร

    พระโพธิสัตว์แต่ละองค์ก็จะใช้ความรู้สึก ความเป็นส่วนตั้ว ส่วนตัว ในการเลือก
    ไปด้วย ดังนั้น ในขณะทำความดี อย่าคิดว่าไม่มีคนเห็น เพราะใครบางคนอาจ
    จ้องมองจับตัวอยู่ หุๆๆ เขาอาจรู้เห็นคุณบำเพ็ญเพียรโดยตลอด แล้วเลือกคุณ
    อยู่ในใจ ตายไป ทั้งคู่เจอกับบนวรรค์ ถึงได้รู้ตำแหน่งที่แท้จริงบนสวรรค์

    ตอนนั้น เหมือนถูกหวยครับท่าน
    แหม ได้บังเอิ้ญ บังเอิญ ช่วยพระศรีอาร์ฯ
    ตอนตกยากพอดี บังเอิ้ญ ท่านเลือกเราพอดี
    อิๆๆ เทวดาองค์อื่นเลยอดตำแหน่งไปก็มี


    เราคว้าไว้ หวานหมู...
     
  13. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    เทพลองใจ โพธิสัตว์ลองใจ ก่อนเลือกบริวาร


    โพธิสัตว์บางองค์ ตอนอยู่บนสวรรค์โด่งดังมากๆ เทวดามากมายได้ยินชื่อ
    เสียงเรียงนามเข้าก็อยากเป็นบริวารมากมาย จุติมาช่วยงาน บำเพ็ญเพียรกัน
    มากมาย โดยเฉพาะองค์ที่ใกล้จะตรัสรู้นี่ ฮอตสุดๆ

    ดังนั้น โพธิสัตว์บางองค์จึงลองใจเทวดาเหล่านั้น ว่ามั่นคงในศรัทธาจริงหรือไม่
    อย่างเช่น พระเยซูโพธิสัตว์ ได้ทรงลองใจ พระสาวก และได้รับพระสาวกไป
    จำนวนไม่มาก คือ รับแต่ที่เยียมจริงๆ เช่น ศรัทธาพระองค์ถึงขนาดถูกจับไปฆ่า
    ตัดคอ ก็ไม่ละศรัทธาในพระองค์ เป็นต้น

    ด้วยเพราะตัวเลือกมันมีมาก แล้วก็ต้องคัดกันหน่อย ดังนี้
    โพธิสัตว์บางองค์ ก็แสร้งจุติมาเป็นคนบ้า คนไม่ดี คนเลว
    แต่มีอะไรบางอย่าง บ่งบอกและทดสอบดูว่าเทวดาเหล่านั้น
    ปรารถนาที่อะไร เพียงแค่ได้ยินชื่อเสียงของตนบนสวรรค์
    หรือว่าจิตศรัทธาจริง

    การลองใจของโพธิสัตว์ และมหาเทพ เกิดขึ้นเสมอ เพื่อดูว่า
    เราที่กราบไหว้บูชา และศรัทธาพระองค์นั้น ศรัทธาจริงหรือไม่



    เมื่อถึงเวลาปิดรับสมัคร เรียกว่า "อดหมดกัน" เพราะหมดเวลาแล้ว
     
  14. PAGE.14A

    PAGE.14A เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2006
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +305
    รู้ดีอย่างงี้ทำไมยังเป็นแค่คนขายธูปอยู่ล่ะมีหนทางมากมายชีวิตน่าจะดีกว่านี้นะ
    ทำไมคุณไม่ปฎิบัติให้เห็นเป็นตัวอย่างมั่งหง่าได้แต่เที่ยวไปแหย่คนโน้นคนนี้ทีไม่บอกมาตรงๆๆว่าจุดประสงค์ที่มาในเวปนี้คืออะไร......
    เด็กจบม.6อย่างข้าน้อยนี้งงเป็นหนักหนา
    ถ้าล่วงเกินมากไปก็ขออภัย พอดีเรียนมาน้อย
    พ่อแม่สอนแค่ว่าเกิดมาอย่าโกงใครอย่าเอาเปรียบใคร
    ใครจะโกงจะเอาเปรียบเราก็ช่างเค้าแสดงว่าเรายังพอมีอยู่ เค้าจึงโกงเอาเปรียบถ้า
    ถ้าเค้าเลิกโกงเลิกเอาเปรียบ นั่นคือเราหมดตัวแล้ว5555
    แต่ว่าแค่มีชีวิตไม่เอาเปรียบไม่โกงใคร มีข้าวกินมีบ้านอยู่มียารักษาเวลาเจ็บป่วยและมีเสื้อผ้าที่สะอาดใส่ แค่นี้ก็อยู่ได้ เอาแค่ตายไปไม่ลงนรกก็น่าจะพอแล้ว
     
  15. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    อ่า ขอบคุณคุณสายทองเป็นเกียรติ์เข้ามาเยี่ยมและโพสด้วย


    จริงๆ ปัจจุบัน คนซื้อคนขาย แล้วแต่ความพอใจครับ
    สมมุติเขาจะซื้อธูปผม เป็นล้านๆ บาท เพราะว่าเขา
    ศรัทธาผมมาก ผมพูดเก่ง อันนี้ ก็ไม่ผิดหลักการตลาด
    กฏหมายไม่ว่าอะไร


    บางท่านก็ว่าเขาไม่ได้โกงนะ
    ครับ ผมก็ไม่ว่าอะไร เขาชอบกันทั้งคนซื้อและคนขาย


    หากไม่ไปรักษาโรคคนผิดๆ จนต้องถูกฟ้องแบบหมอน่ะ
    อันนี้ เตือนไว้ เพราะมันมีหมอแผนปัจจุบัน โดนฟ้องเป็นล้านมาแล้ว
    สิทธิผู้บริโภคน่ะ บางทีก็เป็น "วิบากกรรม" ได้นะฮะ


    แต่ผมก็ไม่ว่าอะไรหรอก คนทุกคนต้องมีจุดยืนในสังคม
    บางคนจะมาซื้อธูปผมเพราะศรัทธามากๆ แต่บางคน
    มีปัญญา เขาก็ซื้อทั่วๆ ไปราคาถูก หากเราไม่เกินขอบเขตเกินไป


    ผมก็ไม่ว่าอะไรนะฮะ อิๆๆ..
     
  16. วิทย์

    วิทย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    2,036
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,439
    อืม.....น่าสนใจดีครับ ^ ^
     
  17. The Third Eyes

    The Third Eyes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +51,007
    เรื่องบารมี
    เท่าที่อ่านมา..ดูจะอธิบายออกไปทาง พระ

    ง่ายนิดเดียว..ดูออร่า ที่ขนาดและสี
    ถ้าใหญ่ และสีสวย ก็แปลว่า มีบารมีสูง

    เวลามีการสัมพันธ์ ทางวาจา ทางธุระกิจ
    คนที่ มีออร่า ใหญ่ หรือ มีบารมีสูง
    จะได้เปรียบ คนที่มีออร่าเล็กและแคบ

    ในรูปแบบเดียวกับ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก
    คิดง่ายๆๆ..เวลารับปริญญา แล้ว ราชวงค์ระดับสูง มาแจกปริญญา
    คนที่เดินเข้าไปรับ จะ ขาสั่น เพราะ บารมี ข่มกัน

    หรือ ขณะที่ใครกำลังยืนอยู่ แล้ว ราชวงค์ ระดับสูงเสด็จมาและทรงมีพระปฏิสันฐานด้วย..เขาจะสั่นใหม
     
  18. ลมรำเพย

    ลมรำเพย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    126
    ค่าพลัง:
    +503
    ขออนุญาต จขกท

    ขอถาม อ.ตาที่สาม
    ถ้าไม่รู้ว่าเป็นใครจะสั่นมั้ย
    อย่างเช่น ร.5 เคยปลอมเป็นสามัญชน
    ไปตรวจดูหรือไปเยี่ยมในที่ต่างๆ
    คนที่สนทนากับพระองค์โดยไม่รู้ว่าเป็นใคร
    เขาจะสั่นมั้ย

    ถามเป็นความรู้นะครับ
     
  19. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964

    รู้สึกได้แน่นอนครับ ถ้าจิตเขาไม่ปิดกั้นจนตามืดบอด
    บางคนเป็นสามัญชนธรรมดา แต่บารมีเริ่มเปิดแล้ว
    เวลาเข้าใกล้คน แล้วสังเกตุดีๆ บางคนจนมาก แต่
    คนรอบข้างกลับนึกว่าเขารวยมาก ไปก็มี


    เมื่อมารู้ภายหลังว่า ร. ๕ ปลอมตัวมา
    เขาจะระลึกย้อนได้ทันทีว่า "อ้อ ทำไมรู้สึกแปลกๆ อย่างนั้น"


    เรื่องนี้รู้สึกได้แน่นอนครับ
     
  20. tualatin55

    tualatin55 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +391
    คนขายธูปมีบทความคุณภาพใหม่ๆ มาให้เพื่อนชาวเว็บ ได้รับข้อมูลเพิ่มอีกแล้วนะครับ
    สมัยนี้บางคนเคารพคนที่มีบารมี(เงินหนา)อำนาจ มากกว่าคนมีบารมี(ความดี)เมตตา ซึ่งก็มีจำนวนมากซะด้วย สังคมถึงได้เป็นแบบทุกวันนี้

    พี่ๆ เพื่อนๆ ต้องการบารมีหรือว่ามีบารมีแบบไหนคงรู้ตัวเองอยู่แล้วนะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...