จะทำยังไงให้ธรรมะเข้าถึงคนที่เกลียด

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย Moonza01, 7 มิถุนายน 2009.

  1. Moonza01

    Moonza01 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +15
    คือว่าเพื่อน(คำสำคัญ) เค้าไม่ชอบพูดถึงเรื่องธรรมะ เค้าเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนตายแล้วสูญ เหลือแค่ผงกระดูก แล้วก็ชอบด่า และว่าคนอื่นว่าไร้สาระ แถมเวลาวันสำคัญชวนเค้าไปทำบุญเค้าก็ยังไม่อยากไป แถมยังขี้งกในการบริจาคอีกด้วยเนื่องจากว่าเค้าไม่ค่อยเชื่อผลบุญ เชื่อเพียงว่าสวรรค์อยู่ในอกนรกอยู่ในใจ และเชื่อว่าเรื่องเล่าเกี่ยวกับเทพ พรมหม์ พระพุทธเจ้า เป็นเรื่องในเทพนิยายเท่านั้นเป้นแค่เรื่องสมมติ

    เราจะทำยังไงให้เค้าเข้าใจและเปิดใจรับธรรมะดี เพราะว่าเราไม่อยากเห็นเค้าตกนรก

    (ทุกทีที่บอกเค้า เค้าก็บอกว่า บรรลุเมื่อไหร่ค่อยกลับมาสอนแล้วกันอ่ะ)

    เลยอยากหาหนทางและคำแนะนำในการสอนธรรมะกับคนประเภทนี้
     
  2. ปัทมินทร์

    ปัทมินทร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    467
    ค่าพลัง:
    +1,393
    วิธีที่ดีที่สุด ในการสอนให้เขาซึมซาบธรรมะ คือ

    1. ยามทุกข์ใจ คือ ยามเมื่อเขาเกิดความทุกข์ใจ เช่น เรื่องครอบครัว เรื่องการเรียน การงาน เรื่องความรัก เรื่องเงินทอง ฯลฯ เป็นโอกาสอันดีที่เราจะหยิบยกเอาธรรมะเข้าชโลมใจ มาสอดแทรก เขาให้คลายทุกข์ได้ครับ เพราะบุคคลที่มีความทุกข์ทางใจ ไม่มียาภายนอกรักษา ต้องใช้ธรรมโอสถรักษาจิตใจของเขา


    2. ยามป่วย ยามที่เขาป่วยด้วยโรคก็ดี หรือด้วยอุบัติเหตุก็ดี เราก็หยิบยกเรื่องธรรมะ เรื่องกฎแห่งกรรม มาชโลมใจเขา เพราะจะมีบ้างที่ยาปฏิชีวนะ หรือแพทย์ยังไม่สามารถรักษาได้ หลายต่อหลายคนหาทางออกที่แตกต่างกัน ทั้งไปหาหมอดู ไปหายาถูก ยาแพง จังหวะนี้แหล่ะเราลองชักชวนเค้าเข้าวัดบริจาคทาน ทำบุญ น่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ

    ขอให้สำเร็จนะครับ เอาใจช่วย
     
  3. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    คนประเภทนี้นั้นคงจะยากที่จะไปเปลี่ยนความคิดเค้าเพราะอวิชชามีความเห็นผิดมาก ธรรมของพระพุทธองค์นั้นคือความจริงเอาง่ายๆไม่ต้องเข้าใจยากผมสอนลูกเรื่องปาณาติบาตรเวลาเค้าทรมานสัตว์ด้วยความไม่รู้ก็ทรมานเค้าเหมือนที่เค้าทำกับสัตว์ตนนั้นเช่นเค้าแกล้งไม่ให้หมากินข้าวทั้งวันผมก็ไม่ให้เค้ากินข้าวทั้งวันเหมือนกันแล้วถามว่าเค้ารู้สึกยังไงเค้าบอกหิวแล้วถามต่อว่ามีสุขนั่งหัวเราะเหมือนที่ทำกับหมาใหมเค้าบอกไม่แล้วผมถามว่าเป็นทุกข์เพราะความหิวใช่ไหมเค้าว่าใช่ผมก็บอกว่าหมาก็มีความรู้สึกเหมือนหนูนี่แหละจากวันนั้นเป็นต้นมาเค้ารักหมามากคอยดูแลเอาข้าวเอานำให้หมากินตลอดกลัวหมาอดแล้วจะเป็นแบบเค้าผมแนะนำได้แค่ว่าการบอกหรือแนะนำธรรมมะขององค์พระสัมมาสัพุทธเจ้าต้องเริ่มจากความจริงอย่าไปเริ่มจากสิ่งที่ไกลตัวเช่นตายแล้วไปไหนอะไรอย่างนี้ให้ใช้ธรรมของพระองค์จากความจริงค่อยๆเปลี่ยนความคิดของเค้าให้เค้าได้รู้ได้เห็นในสิ่งที่เป็นความจริงส่วนที่ยังเป็นปัญหานั้นยังไม่ต้องตอบถ้าเค้ามีปัญญาเค้าจะค่อยๆเรียนรู้เองแต่ถ้ายังมีอวิชชามากก็เปรียบเหมือนบัวเหล่าที่สี่คือบัวโคลนตมรอเป็นอาหารของฝูงปลาไม่สามารถเห็นธรรมของพระพุทธองค์ได้ก็ต้องปล่อยและปลงอนิจังอย่านำความทุกข์ของผู้อื่นมาเป็นทุกข์ของตัวเองเพราะสัตว์โลกย่อมมีกรรมแห่งตนช่วยได้เท่าที่ช่วยนะครับถ้าเค้าไม่ช่วยตนเองคนอื่นก็แบกเค้าไม่ใหวเหมือนกันหรือคุณจะแบกเค้าไปตลอดชีวิตก็แล้วแต่นะครับ
     
  4. อวิปลาส

    อวิปลาส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    211
    ค่าพลัง:
    +353


    รอก่อนครับ...รอดูตอนที่เขาจะเอาทุกข์มาปรึกษา คุณต้องใช้เวลารอโอกาสที่จะตล่อมเขา มันต้องมีสักวันที่เขาจะเจอทุกข์หนัก


    คนที่จะเข้าถึงธรรม จะเห็นธรรม ต้องเห็นทุกข์ก่อนเสมอ

    ตอนมีความสุขเพลิดเพลินกับ กามคุณต่างๆ อย่าพึ่งพูดธรรมะกับเขาครับ



     
  5. Moonza01

    Moonza01 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +15
    ขอบคุณครับ
     
  6. อ่อนหัดธรรม

    อ่อนหัดธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    488
    ค่าพลัง:
    +968
    ค่อยๆคุยนะครับผม ซึมเองละครับ ชวนทำบุญไปเรื่อยๆครับ
     
  7. บุพเพ

    บุพเพ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    92
    ค่าพลัง:
    +21
    สอนตรงๆไม่ได้หรอกค่ะ ต้องสอนทางอ้อม หลักการสอนธรรมะให้กับคนอื่น ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจธรรมะให้ถูกต้องเสียก่อน...ก่อนที่จะไปสอนคนอื่น...

    หลักการดำเนินชีวิตให้มีความสุข...เพราะธรรมะก็คือธรรมชาติค่ะ ....ไม่ใช่เฉพาะมนุษย์นะคะ แต่เป็นหลักธรรมชาติที่ใช้ได้กับทุกสิ่งไม่ว่าจะสัตว์ หิน ดิน ทราย ต้นไม้ ค่ะ

    แล้วที่สำคัญหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า....ล้วนแต่เป็นความจริงของกฏธรรมชาติทั้งสิ้น....

    เมื่อก่อนเคยคิดนะ ว่า "เอ....ทำไมพระพุทธเจ้าท่านทรงสอนว่าทุกอย่างไม่เที่ยง" แต่พอได้ฟังธรรมก็จึงเกิดความเข้าใจค่ะ

    หากเราจะสอนเพื่อนก็ให้ใช้หลักการ เล่าเรื่องต่างๆให้ฟัง ยกตัวอย่างให้ฟัง (แต่อย่าบอกเค้านะว่าเราจะพูดธรรมะให้ฟัง) ให้ยกตัวอย่างเหตุการณ์จริงในชีวิตประจำวัน อย่างเช่น

    ถ้าเพื่อนอกหัก ก็บอกไปเลย....นี่เธอของมันไม่เที่ยงนะ คนเราสุขได้ก็ทุกข์ได้ ทุกข์ได้ก็สุขได้เช่นกัน คนเรารักกันได้ก็เกลียดกันได้ คนเราโกรธได้ก็หายโกรธกันได้นะ....เธอลองคิดดูสิว่าตอนรักกันเค้าปฏิบัติตัวกับเธอยังไงบ้าง....แล้วพอเลิกกันเค้าปฏิบัติกับเธอยังไง...ดูสิว่ามันไม่เหมือนเดิมนะ...ที่แหละที่พระท่านว่า"มันไม่เที่ยง"....ความรู้สึก รัก โภล โกรธ หลง มันไม่เที่ยงนะเธอ.....อยากรู้สาเหตุไหม...ทำไมเธอถึงมาเจอกัน...แล้วก็รักกัน...แล้วก็เลิกกัน....นี่เธอลองอ่านเรื่องนี้ดูซิ....เรื่องคู่เวรคู่กรรมคู่บุญคู่บาปน่ะ...ลองอ่านดูสิสนุกนะ....ค้นหาในเน็ตก็ได้นะ เว็บธรรมะมีเยอะเลย ถ้าเธออ่านแล้วยังไม่ต้องเชื่อก็ได้....แต่จำไว้ก่อน...แล้วเธอก็ใช้ชีวิตของเธอไปเรื่อย ๆ แล้วดูสิว่าจริงไหม....

    เอามายกตัวอย่างค่ะ....



    จะรู้ได้อย่างไรว่าใครคือคู่แท้หรือคู่เวรคู่กรรม

    คู่หญิงชายนั้นมีหลายแบบ ไม่ได้มีแต่คู่เวรกับคู่แท้ คำว่า ‘คู่แท้’ จะทำให้คุณนึกถึงเพศตรงข้ามที่ติดตามกันไปทุกภพทุกชาติ เป็นตัวเป็นตนจับจองกันอย่างถาวรไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งธรรมชาติไม่ได้มีอะไรอย่างนั้น ตามกฎเหล็กข้อแรกสุดคือ ‘ทุกสิ่งต้องเปลี่ยนแปลงไป’

    หากหันมาใส่ใจกับคำว่า ‘คู่บุญ’ และ ‘คู่บาป’ แทน อย่างนี้จะเห็นอะไรกระจ่างขึ้น เพราะคนเราทำบุญทำบาปสลับกันได้ ไม่มีใครทำบุญทำบาปร่วมกันอย่างใดอย่างหนึ่งได้ตลอดไป และนั่นก็แปลว่าคู่บุญอาจหมายถึงคู่ที่ร่วมทำบุญกันมามากกว่าร่วมทำบาป ส่วนคู่บาปก็อาจหมายถึงคู่ที่ร่วมทำบาปกันมากกว่าร่วมทำบุญ

    มองอย่างนี้อคติจะลดลงอย่างฮวบฮาบทันที ประเภทขัดเคืองใจนิดหน่อยก็เหมาว่านี่คู่เวรของเรา หรือประเภทต้องตาต้องใจเมื่อเริ่มพบก็เหมาว่านี่แหละคู่แท้ของฉัน เราจะเห็นตามจริงว่าถ้าต้องตาเมื่อเห็น ถ้าเย็นใจเมื่อใกล้ อันนั้นก็เป็นคะแนนทางความรู้สึกด้านดีชั้นแรก ต่อเมื่อมีความผูกพันผ่านเหตุการณ์ดีร้าย หรือที่เรียกง่ายๆว่าร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน ตรงนั้นค่อยเป็นคะแนนสะสมในชั้นต่อๆมา กระทั่งปักใจเชื่อได้ว่าเป็นคู่บุญกันจริงๆ

    ความรู้สึกด้านดีชั้นแรกในระยะแรกพบสบตานั้น เป็นผลบุญจากการอยู่ร่วมกันมาก่อนในอดีตชาติ ส่วนการร่วมทุกข์ร่วมสุขผ่านเหตุการณ์ดีร้ายต่างๆมาด้วยกัน เป็นบุญใหม่ที่เกิดจากการเกื้อกูลในปัจจุบันชาติ พระพุทธเจ้าตรัสว่าความรักจะเกิดขึ้นไม่ได้หากปราศจากเหตุปัจจัยทั้งอดีตและปัจจุบันประกอบกัน

    ไม่ว่าจะเป็นของเก่าหรือของใหม่ บุญที่สร้าง ‘คู่บุญ’ ขึ้นมาจะเหมือนๆกัน พระพุทธเจ้าตรัสแสดงไว้ได้แก่

    ๑) มีศรัทธาไปในแนวทางเดียวกัน เช่นถือศาสดาองค์เดียวกัน เชื่อหรือไม่เชื่อเรื่องกรรมวิบากด้วยกัน เชื่อว่าโลกกลมหรือโลกแบนเหมือนๆกัน เชื่อแนวทางในการดำรงชีวิตรูปแบบเดียวกัน เป็นต้น เมื่อศรัทธาไม่ตรงกันก็คุยเรื่องไม่ตรงกัน เมื่อคุยเรื่องไม่ตรงกันก็คุยกันได้ไม่นาน เมื่อคุยกันได้ไม่นานก็เบื่อกันเร็ว อันนี้คือความจริงที่เกิดขึ้นกับทุกรูปนาม ไม่จำเพาะเฉพาะคู่รักเท่านั้น ขนาดเพื่อนกันแต่เชื่อไม่เหมือนกันยังยากที่จะเป็นเพื่อนสนิทเลยครับ ศรัทธาที่ร่วมกันปลูกฝังให้มั่นคงย่อมทำหน้าที่สร้างสายตาที่มองไปในทิศเดียวกัน ไม่ก่อความรู้สึกเป็นอื่นจากกัน

    ๒) มีศีลอันเป็นเครื่องหอมทางใจเสมอกัน คือมีความคิดงดเว้นข้อประพฤติผิดแบบเดียวกัน เป็นเหตุให้ไม่รังเกียจหรือหมั่นไส้กัน พรานหนุ่มกับพรานสาวทนกลิ่นอายฆ่าฟันของกันและกันได้ แต่ให้หมอศัลย์ที่มีรังสีช่วยชีวิตมาเป็นคู่ผัวตัวเมียกับมือปืนร้อยศพที่ทะมึนด้วยรังสีเอาชีวิต อย่างไรก็คงทนกลิ่นอายที่เป็นตรงข้ามของกันและกันไม่ไหว และนั่นก็เช่นเดียวกัน ถ้าฝ่ายหนึ่งเจ้าชู้ ร้อยลิ้นกะลาวน สำส่อนไปเรื่อยโดยไม่สนใจความสกปรกหมกมุ่น ย่อมน่ารังเกียจยิ่งสำหรับคนใจซื่อถือความสะอาดผัวเดียวเมียเดียว ศีลที่ร่วมรักษาให้บริสุทธิ์ดีแล้วย่อมทำหน้าที่สร้างความอบอุ่นเชื่อมั่นในกันและกัน สนิทใจ ไว้วางใจกันเป็นมั่นเหมาะ

    ๓) มีจาคะอันเป็นวิธีคิดแบ่งปันเสมอกัน อย่างน้อยต้องเป็นผู้ให้ซึ่งกันและกันในทางใดทางหนึ่ง ไม่ใช่มีแต่ฝ่ายหนึ่งคิดอยู่ข้างเดียว อีกฝ่ายเอาเปรียบตลอด เช่นอีกฝ่ายสละเงินให้ใช้ อีกฝ่ายสละแรงปรนนิบัติ เป็นต้น การเอารัดเอาเปรียบเกิดจากจาคะที่ไม่เสมอกันเป็นมูล ยิ่งหากต่างฝ่ายต่างคิดเจือจานคนอื่น เห็นข้าวของอะไรไม่ใช้แล้วก็คิดตรงกันว่าน่าบริจาคแก่คนที่เขาไม่มี อย่างนี้ยิ่งไปกันได้ มีโอกาสร่วมบุญกันบ่อยๆ ยิ่งให้คนอื่นมากก็ยิ่งได้ความสุขในการสละมาเสริมใยแก้วร้อยสัมพันธ์ให้กันแน่นแฟ้นขึ้น จาคะที่ร่วมกันยินดีโดยพร้อมเพรียงย่อมก่อความรู้สึกซึ้งใจอย่างใหญ่ เหมือนอยู่ด้วยกันจะเป็นที่พึ่งให้กัน ปลอดภัยร่วมกัน ประคับประคองกัน ไม่มีวันล้มพร้อมกัน

    ๔) มีปัญญาเสมอกัน กล่าวทางโลกคือคุยกันรู้เรื่อง กล่าวทางธรรมคือมีระดับการเห็นตามจริงใกล้เคียงกัน หรืออย่างน้อยเป็นไปในทางเดียวกัน ไม่ใช่พูดคนละภาษา ฝ่ายหนึ่งทำก่อนคิด อีกฝ่ายคิดก่อนทำ หรือฝ่ายหนึ่งเอาอารมณ์พูด อีกฝ่ายพูดด้วยสติปัญญา หรือฝ่ายหนึ่งเห็นชัดว่าอะไรๆไม่เที่ยง ความยึดมั่นถือมั่นเหลือน้อย แต่อีกฝ่ายหนึ่งแค่เรื่องน้อยก็ยึดมั่นถือมั่นเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต ก็คงนึกระอาหรือหมั่นไส้ในกันเป็นอย่างยิ่ง ปัญญาที่ร่วมเสริมส่งกันและกันย่อมทำหน้าที่สร้างความร่าเริงในการสนทนา และความไม่พรั่นที่จะต้องฝ่าฟันอุปสรรคร่วมกัน

    หากอดีตกาลคุณเคยครองเรือนกับผู้มีบุญเสมอกันทั้ง ๔ ข้อ (อาจหย่อนนิดหย่อนหน่อยได้) ขอเพียงได้มาพบกันในชาตินี้ ก็จะเกิดแรงดึงดูดที่ก่อความรู้สึกแสนดีอย่างประหลาด เหมือนเข้ากันได้ทุกอย่าง เหมือนเห็นกันได้ทุกแง่มุมด้วยความเข้าใจกระจ่าง

    และขอเพียงเกื้อกูลกันนิดๆหน่อยๆ เช่นฝ่ายหนึ่งมาถามทาง อีกฝ่ายบอกทางให้ เท่านี้ก็จะเกิดแรงปฏิพัทธ์ขึ้นอย่างรุนแรง ชนิดที่ฝ่ายชาย (ซึ่งมีธรรมชาติเป็นรุก) อาจยื่นข้อเสนอเดินพาไปส่ง และฝ่ายหญิงก็ตกลงรับข้อเสนออย่างยินดีเต็มใจทันที แล้วการตกลงร่วมทางกันไปจนกว่าจะตายก็ติดตามมาอย่างรวดเร็ว ไม่มีอะไรซับซ้อน ไม่มีเหตุการณ์น่าปวดหัว ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้สำหรับคู่บุญประเภทนี้

    แน่นอนว่าสายตาทั่วไปมองแล้วย่อมนึกอิจฉา โดยไม่มีใครเข้าใจต้นสายปลายเหตุที่แท้จริงว่าเหตุใดจึงมีคู่ที่น่าอิจฉาได้ปานนั้น รู้แต่ว่ามีจริง แต่ไม่รู้ว่ามีขึ้นมาได้อย่างไร ต้องต่อว่าใครที่แกล้งลำเอียง ความจริงคือคู่บุญได้รับความยุติธรรมจากธรรมชาติกรรมวิบากต่างหาก แต่อาจเป็นความยุติธรรมที่ลึกลับ เพราะนำอดีตชาติมาแสดงให้เห็นเป็นภาพยนตร์ตามโรงไม่ได้

    อย่างไรก็ตาม แม้วิบากเก่าบันดาลให้ช่วงแรกคบเกิดแต่เรื่องดีๆ ต่างฝ่ายต่างเป็นสุขชื่นมื่น ไปที่ไหนใครก็เชียร์ ทำอะไรร่วมกันก็รุ่งเรือง แต่ถ้าบุญเก่าแพ้บาปใหม่ ค่อยๆสั่งสมบาปจนต้องทะเลาะเบาะแว้ง หรือเกิดการทำร้ายกันด้วยวิธีต่างๆ คู่บุญก็เปลี่ยนเป็นคู่ครึ่งบุญ (เก่า) ครึ่งบาป (ใหม่) ได้ ความหลงลืมอดีตชาติ ความประมาทในวัย และความไม่รู้จักบุญบาป ไม่เชื่อว่าบุญบาปมีผลนั่นแหละ ที่อาจเปลี่ยนคู่บุญให้เป็นคู่บาปได้ตลอดเวลา

    บาปนั้นแม้เล็กน้อยก็เหมือนเหรียญหยอดกระปุก เพียงสั่งสมให้มากวันละเล็กวันละน้อย เมื่อถึงวันหนึ่งลองยกกระปุกดู ก็อาจพบว่ามันหนักราวกับลูกเหล็กใหญ่ และถ้าเป็นบาปที่สะสมร่วมกัน ก็อาจถูกฉุดลากลงต่ำพร้อมกันได้

    บาปอันมีผลที่ทำร่วมกันแล้วหญิงชายกลายเป็นคู่บาปนั้น ยืนพื้นอยู่บนกิเลส ๓ ประการของมนุษย์ ได้แก่

    ๑) ราคะ คือทำเรื่องบาดใจกันทางเพศ ไปมองคนอื่น ไปคุยกับคนอื่น และกระทั่งไปมีคนอื่น กระแสกรรมอันสำเร็จด้วยการนอกใจ จะเป็นของแหลมคมที่กรีดใจผู้ทำให้เป็นทุกข์ก่อน ในรูปของความรู้สึกผิด และเมื่อประจวบกับความจริงที่ว่าความลับไม่มีในโลก วันหนึ่งเมื่อเรื่องแดง คู่ของตนทราบเรื่อง ก็ต้องเป็นทุกข์ตาม ในรูปของความผิดหวังเสียใจ ความร้าวฉานอันเกิดจากเรื่องทางเพศนั้น แม้คู่ครองไม่ผูกใจเจ็บ อย่างน้อยก็กลายเป็นเงามืดติดตามไปบนเส้นทางความสัมพันธ์ เมื่อเกิดชาติใหม่ความสัมพันธ์ทางเพศจะเป็นแรงดึงดูด แต่แรงดึงดูดนั้นแฝงความน่าคลางแคลงชอบกล อย่างน้อยก็มีเหตุน่าสับสน ทำให้คิดๆว่าจะเอาใครดี คนนี้ดีแน่ไหม หรือกระทั่งเกิดความรู้สึกสกปรกเมื่อถูกเนื้อต้องตัวในช่วงแรกๆ ขัดแย้งกันแปลกๆกับความวาบหวามเมื่อใกล้กัน

    รสนิยมทางเพศที่ไม่เสมอกันก็อาจเป็นชนวนได้ แต่มาในรูปของความหน่าย ไม่อยากไปด้วยกัน ไม่ใช่ความบาดใจเหมือนอย่างการนอกใจกัน แต่หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งข่มเหงและเป็นโรคจิตวิปริตทางเพศ กระทำย่ำยีให้อีกฝ่ายเจ็บกายเจ็บใจเป็นประจำ ก็มีส่วนก่อกระแสภัยเวรขึ้นในสายสัมพันธ์ได้เช่นกัน

    ๒) โทสะ ส่วนใหญ่มักมีมูลจากช่องว่างระหว่างคน เมื่อทรรศนะต่างกัน เมื่อความอยากต่างกัน เมื่อรสนิยมต่างกัน เมื่อสำเนียงและภาษาต่างกัน อะไรๆในทางร้ายก็เกิดขึ้นได้เสมอ โดยเฉพาะในรูปของการทะเลาะเบาะแว้ง เมื่อทะเลาะเบาะแว้งย่อมผูกใจเจ็บ คิดอาฆาตพยาบาท อยากแก้แค้น อยากเอาคืน ไม่รูปแบบใดก็รูปแบบหนึ่ง พูดไม่ได้ก็เย้ยหยันเหยียดหยามผ่านแววตาให้สะใจเสียหน่อยก็ยังดี กรรมร่วมกันที่ทำด้วยโทสะจะเป็นแรงผลักไส หรือดลใจให้นึกเกลียดกัน แต่โทสะนั้นเองก็เป็นพลังร้อยรัดให้ต้องอดรนทนไม่ได้ อยากวนเวียนมาทิ่มตำกันเสียหน่อย ได้ประชดประชัน ได้เอาชนะสำเร็จแล้วสะใจและเป็นสุขพิลึก ท้ายที่สุดพอร่วมหอลงโรงจริง ความสนุกจากการงอน การง้อ ก็แปรไปเป็นโศกนาฏกรรมได้ โดยเฉพาะเมื่ออิทธิพลทางเพศกลายเป็นเครื่องมือกดความรู้สึกให้ดูถูกกันและกัน เห็นอีกฝ่ายแต่ในทางต่ำ เรื่องเพียงเล็กน้อยก็เป็นน้ำผึ้งหยดเดียว อาจบันดาลให้อยากส่งคู่ครองไปสู่ปรโลกได้ และถ้าฆ่ากันตายในชาติหนึ่ง ชาติถัดมาก็เกิดแรงยึดเหนี่ยวมาหากันอีกผ่านความดึงดูดทางเพศ แล้วต้องทำร้ายถึงเลือดถึงเนื้ออีก จนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะอโหสิให้อย่างไม่มีเงื่อนไข

    ทุกวันนี้ที่เห็นดาษดื่นคือการน้อยใจกันแล้วฆ่าตัวตาย นี่ก็เป็นกรรมร่วมที่อยู่ในหมวดของโทสะ เจอกันใหม่ในชาติถัดไปก็จะมีอารมณ์รุนแรง ฉุนเฉียว หรือเป็นเหตุบันดาลใจให้มักง่ายกับชีวิตอีก

    ๓) โมหะ หมายถึงทำกรรมแบบโง่ๆร่วมกัน โดยอาจสำคัญว่าได้ใช้ความฉลาดเฉียบแหลม ไม่มีใครจับได้ไล่ทัน เช่นเคยร่วมกันโกงสงฆ์ โกงเงินบริจาควัด โกงประชาชน โกงหมู่คณะ โกงเพื่อนฝูง หรือโกงคนแปลกหน้าเป็นรายตัว กรรมที่ทำร่วมกันแบบโง่ๆนั้นกว้างขวางพิสดารไม่รู้จบ เอาเป็นว่าถ้าทำความเดือดเนื้อร้อนใจให้กันและกันด้วยเหตุเพียงเล็กน้อย หรือทำความเสียประโยชน์สุขแก่มวลชนเป็นอันมาก อันนั้นแหละกรรมร่วมกันที่ยืนพื้นอยู่บนโมหะ ไม่ต้องรอชาติหน้า เอาแค่ชาตินี้เมื่อถึงจังหวะที่กรรมเผล็ดผล ก็จะอยู่ร่วมกันอย่างไม่เป็นสุขสักนาที มีแต่เรื่องราวรุมเร้า หรือไม่มีเรื่องก็ก่อเรื่องให้กันเอง ความพินาศอันเกิดจากโมหะนั้น กล่าวได้ว่าน่ากลัวเหนือสิ่งอื่นใด เพราะราคะและโทสะนั้นยังเปิดโอกาสให้ตั้งสติคิดพิจารณาทบทวนและให้อภัยกัน แต่โมหะจะปิดกั้นสติปัญญาแทบทุกประตู มองทิศไหนเหมือนเจอแต่ทางตันทึบทึม นั่นเป็นลักษณะสะท้อนของการทำกรรมด้วยความหลงเขลามืดบอด

    แต่แม้เจอเรื่องร้ายรุมเร้า ก็ยังอุตส่าห์ปักใจเชื่อว่าต้องอยู่ร่วมกันถึงจะดี ทิ้งขว้างกันไม่ได้ ต้องทนทู่ซี้ทั้งอย่างนั้น นี่ก็เป็นภาคต่อยอดของโมหะด้วย

    ขอสรุปเพื่อให้เกิดความเข้าใจง่ายๆและรวบรัด ถ้าชวนใครทำบุญได้สำเร็จ ทั้งทำต่อกัน ทั้งทำต่อคนอื่น ด้วยกาย วาจา และใจอันเป็นสุจริต คนนั้นมีแนวโน้มจะเป็นคู่บุญ และอยู่กับคุณได้อย่างแท้จริงในชาติปัจจุบัน แต่ถ้าเป็นตรงข้าม เจอกันมีแต่ชวนกันตกต่ำ ทำอะไรเหมือนเป็นบาปกับตัวเองและคนอื่นไปหมด อย่างนั้นก็ส่อเค้าว่าไปด้วยกันไม่รอดหรอกครับ ถึงแม้มีความดึงดูดทางเพศขนาดไหนก็ตาม

    เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนอยู่ด้วยกันก็พอบอกเป็นเค้าๆได้ระดับหนึ่ง ถ้ามีแต่เรื่องดีๆเข้ามาก็น่าจะเคยทำบุญร่วมกันไว้ก่อน แต่ถ้ามีแต่เรื่องร้ายๆ ก็ให้สันนิษฐานว่าไปทำอะไรไม่ดีร่วมกันไว้ เพราะมีอยู่ครับ วิบากชนิดที่จ้องรอจังหวะตอนคู่บาปมาเจอกัน เจอเมื่อไหร่เกิดเรื่องแย่เมื่อนั้น อันนี้สะท้อนให้เห็นบาปแต่ปางก่อนค่อนข้างชัด (ยิ่งถ้าต่างฝ่ายต่างมีชีวิตเรียบง่ายดีๆ พอมาอยู่ด้วยกันค่อยเกิดเรื่องขรุขระร้ายแรงบ่อยๆ อันนั้นแหละฟันธงเลยครับ ใช่คู่บาปแน่)

    หลักการดูคู่ ขอแนะว่าลองชักชวนกันทำบุญ ดูความรู้สึกผูกพันด้านดี จะแน่นอนกว่าการดูฤกษ์ยามใดๆครับ แต่ผมก็เข้าใจและเห็นใจ บางคนไม่มีโอกาสเลือกมากนัก ถ้าใครคิดว่าตนเองมีบุญในเรื่องคู่น้อย ผมอยากแนะนำให้ตั้งใจรักษาศีล ๕ อย่างเข้มงวด ทำทานด้วยความเบิกบานอย่างเข้าใจสักพัก มนุษย์เรายกระดับความมีบุญได้ในชาติเดียว เดี๋ยวถ้าบุญถึงขีดบันดาลสุขในปัจจุบันทันตาเมื่อไหร่ บุญนั้นก็จะแปรสภาพเป็นแรงดึงดูดชักนำคนดีๆที่สมกันมาหาเราเองครับ หากถือหลักความจริงนี้ ก็คงเป็นคำตอบไปในตัว ว่าเราจำเป็นต้องเชื่อเกณฑ์ชะตาราศีไหม

    สำหรับการหลบหลีกคู่เวรหรือคู่บาป ให้ตอบตรงไปตรงมาคือยาก แต่เป็นไปได้ครับ คือเมื่อเจอแล้วเรามีสติตั้งมั่น ไม่หลงถลำไปตามแรงดึงดูดทางเพศ การหักห้ามใจได้ บวกกับการตั้งใจเป็นผู้ไม่มีเวร ให้อภัยได้ด้วยใจบริสุทธิ์แท้จริงในทุกเรื่องที่น่าขัดเคือง จะค่อยๆแยกคุณออกห่างจากเขามาโดยดีในที่สุด


    จาก เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่ม 5 <!-- / message --><!-- sig -->
    __________________


    http://www.agalico.com/board/showthread.php?t=8643
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มิถุนายน 2009
  8. บุพเพ

    บุพเพ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    92
    ค่าพลัง:
    +21
    แต่ถ้าเพื่อนหลงในรูป ในความสวย เป็นกังวลใจ กะสิวขึ้นแค่ 1 เม็ดบนหน้าผาก....เราก็เล่นตอบปัญหาทายใจที่แฝงไปด้วยเรื่องของขันธ์ทั้ง ๕ เป็นกองทุกข์....เธอ..เธอว่าคนเรามีกี่ขี้....เธอลองนับซิ...คนเรามีสารพัดขี้เลยนะ...ไม่ว่าจะเป็น ขี้หู ขี้ตา ขี้ฟัน ขี้มูก น้ำลาย ขี้เหงื่อ ขี้ไคล ขี้สะดือ ขี้เล็บ แถมด้วยขี้รังแค อุจจาระ ปัสสาวะ ไหนจะ น้ำหนอง น้ำเหลือง เธอน่ะอย่าไปหลงในความสวยนักนะ....ที่เห็นสวย ๆ น่ะน้ำเหลืองทั้งนั้น...เธอเนี้ยหลงน้ำเหลือง...(เรื่องนี้รวมไปถึงหลงคนหล่อด้วยนะคะ

    หรือ

    เธอ....คนเราที่เกิดมาได้เนี้ย....จะต้องประกอบด้วยอะไรมั่ง ร่างกายคนเรามีอะไรเป็นองค์ประกอบมั่ง....ถึงจะเกิดมาได้เป็นคนหนึ่งคนเนี้ย....แล้วเราก็พูดเรื่องขันธ์ ๕ ให้เค้าฟังค่ะ....รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ คืออะไรบ้าง....ตามนี้เลยค่ะ

    ขันธ์ - วิกิพีเดีย






    ขันธ์ แปลว่า กอง, หมวด, หมู่, ส่วน ในทางพุทธศาสนาหมายถึงร่างกายของคนเรา คือแยกร่างกายออกเป็นส่วนๆ ตามสภาพได้ 5 ส่วน หรือ 5 ขันธ์ คือ
    1. รูป ได้แก่ ส่วนที่ผสมกันของธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ เช่น ผม หนัง กระดูก โลหิต
    2. เวทนา ได้แก่ ระบบรับหรือรู้สึกสิ่งที่สัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ
    3. สัญญา ได้แก่ จำสิ่งที่ได้รับและรู้สึกนั้นๆ
    4. สังขาร ได้แก่ ระบบคิดปรุงแต่ง แยกแยะสิ่งที่รับรู้สึกและจำได้นั้นๆ
    5. วิญญาณ ได้แก่ ระบบรู้สิ่งนั้นๆ หลังจากแยกแยะแล้ว
    ขันธ์นี้ อาจเรียก "ขันธ์ 5" เบญจขันธ์ หรือ ขันธปัญจก ก็ได้

    แล้วลงท้ายด้วยว่า....ตอนนี้สาวอยู่ร่างกาย ผิวหนังมันก็เต่งตึง ดูสวยงามน่าหลงไหล...แล้วเธอดูแม่เธอสิ...เดี๋ยวเธอก็ต้องเป็นเหมือนแม่เธอ....ยังไม่พอ....เธอลองนึกดูสิว่าผิวหนังยายของเธอเป็นไงบ้าง.....เออ...นั่นและ พอเธออายุเท่ายาย....ก็เหมือนกันนั่นแหละ....เธอดูสิ...ธรรมะของพระพุทธเจ้านี่มีประโยชน์นะเธอ....รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม....ตอนนี้ยังสวยอยู่ก็อย่าหลงในรูปให้มากนัก....พออายุมากขึ้นก็ต้องทำใจไว้มั่งนะว่าเดี๋ยวรูปก็ต้องเปลี่ยนนะ (ที่จริงมันเปลี่ยนได้ทั้ง ๕ ขันธ์ เลยล่ะ ) .....แถมด้วยธรรมะเรื่องขันธ์ ๕ ของหลวงปู่เทสก์ค่ะ....

    <TABLE width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center></TD><TD vAlign=center>อุปมาขันธ์5 : หลวงปู่เทสก์
    « เมื่อ: เมษายน 03, 2009, 10:31:23 PM »





    </TD><TD style="FONT-SIZE: smaller" vAlign=bottom align=right height=20></TD></TR></TBODY></TABLE>






    <HR class=hrcolor width="100%" SIZE=1>รูปขันธ์ "เปรียบเหมือนฟองน้ำอันเกิดจากคลื่นหรือระลอกเป็นต่อมเป็นฟองขึ้นมาชั่วครู่หนึ่งประเดี๋ยวแล้วก็ดับแตกไปเป็นน้ำตามเดิม"รูปกายนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกันแปรสภาพเป็นรูปมนุษย์ชายหญิงหรือเป็นสัตว์ต่างๆ นานา มาจากธาตุ ๔อยู่ได้ชั่วระยะหนึ่งซึ่งคนเราเข้าใจว่านานแต่สัตว์บางจำพวกซึ่งมีอายุนานกว่าเขาจะเห็นว่าชั่วครู่เดียวแล้วก็แตกดับสลายไปเป็นธาตุ ๔ ตามเดิมฯ

    เวทนา"เปรียบเหมือนคลื่นกระทบฝั่งลูกคลื่นเหมือนกับเป็นตัวตนกลิ้งมากระทบกับฝั่งดังซู่ซ่าแล้วสลายหายตัวไปเป็นน้ำตามเดิม" เวทนาก็เกิดจากสัมผัสแล้วมีความรู้สึกเปรียบเหมือนเสียงคลื่นเป็นสุขบ้างทุกข์บ้างหรือเฉยๆแล้วก็หายไป เดี๋ยวสัมผัสอื่นมากระทบอีก ดังนี้อยู่ตลอดกาลฯ

    สัญญา"เปรียบเหมือนพยับแดด ธรรมดาพยับแดดอันเกิดจากไอระเหยของความร้อนเมื่อบุคคลเพ่งมองดูอยูแต่ที่ไกลจะแลเห็นเป็นตัวระยิบระยับเป็นกลุ่มเป็นหมู่ๆ เมื่อเข้าไปถึงใกล้แล้ว สิ่งที่เห็นอยู่นั้นก็จะหายไป" ฉันใดสัญญาความจำที่เกิดจากสัมผัสในอายตนะทั้ง ๖ ก็ผลุบๆ โผล่ๆ เกิดทางตาบ้างทางหูบ้าง โน่นบ้าง นี่บ้างอยู่ตลอดกาล ไม่เป็นของตัวเองเลยก็ฉันนั้นฯ

    สังขาร"เปรียบเหมือนต้นกล้วย ธรรมชาติของต้นกล้วยย่อมไม่มีแก่นเป็นธรรมดา"สังขารรูปกายของคนเรานี้ก็หาสาระมิได้เริ่มเกิดขึ้นมาก็มีสภาวะแปรสภาพไปพร้อมๆ กันเลย จะอยู่ได้นานแสนนานสภาพความแปรปรวนของสังขารก็เปลี่ยนแปลงไปตามทุกขณะอยู่อย่างนั้นแล้วก็มีความแตกดับเป็นที่สุดแม้แต่สังขารจิตคิดนึกปรุงแต่งเอาจริงเอาจังกันประเดี๋ยวๆ ก็หายวูบไปฉะนั้นเหมือนกันฯ

    วิญญาณ "เปรียบเหมือนมายาธรรมดาเรื่องของมายาแล้วมีแต่จะหลอกลวงผู้อื่นให้เข้าใจผิดคิดตามไม่ทันในเรื่องของตัวเท่านั้น"วิญญาณก็มีลักษณะหลอกลวงให้ผู้อื่นตามไม่ทันพอตาเห็นรูปเกิดความรู้สึกขึ้น เมื่อจะตามไปดูความรู้สึกนั้นยังไม่ทันอะไรเดี๋ยวไปเกิดความรู้สึกขึ้นทางหู เมื่อจะตามไปดูความรู้สึกทางหูนั้นยังไม่ทันอะไร เดี๋ยวไปเกิดความรู้สึกขึ้นทางอื่นต่อๆไปอีกแล้วมีแต่จะหลอกลวงให้คนอื่นตามไม่ทันฉันนั้นเหมือนกันฯ

    ผู้มาพิจารณาเห็นขันธ์มีอุปมาดังแสดงมาแล้วนี้ชัดแจ้งด้วยปัญญาอันชอบด้วยตนเองแล้วจะไม่หลงเข้าไปยึดเอาขันธ์มาเป็นอัตตาหรืออนัตตาแต่จะหยิบยกเอาขันธ์เป็นเป้าหมายแห่งญาณทัสสนะของปัญญาวิปัสสนาการใช้ปัญญาแยบคายไม่เข้าไปยึดเอาของมีอยู่แลเนื่องด้วยอัตตาจัดเป็นปัญญาในอริยมรรค เพราะของที่ไม่มีและไม่เนื่องด้วยอัตตาสามัญญนามใครๆก็ละได้ หรือจะเรียกว่าผู้ไปยึดของไม่มี เป็นผู้ไร้ปัญญาก็ได้

    ͘???ѹ?쵠: ˅ǧ?٨්?즬t;/a>

    และถ้าจะสอดแทรกเรื่องศีลเข้าไปในเรื่องของความสวยก็ได้นะคะ.....อยากสวยไหม....รักษาศีล ๕ ให้ครบสิ....ได้บุญด้วยแล้วก็สวยด้วยนะ... ถ้าจะให้ดีนะ...ต้องไปรักษาศีล ๘ ในช่วงปิดเทอม...พวกเราไปกันยกแก๊งเลย...ไปฟังธรรมนั่งสมาธิกัน...อ๋อที่สำคัญอย่าเครียดอย่าโกรธนะ....หน้าตาจะได้แจ่มใส หน้าคบหา....อันนี้คือสวยด้วยศีลค่ะ.....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มิถุนายน 2009
  9. center-in-center

    center-in-center เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2009
    โพสต์:
    458
    ค่าพลัง:
    +1,717
    ตอบง่ายๆเลย รู้เขา รู้เราเสียก่อนจ้า
    เราได้ตัวอย่างจากการสำเร็จอนุตรสัมโพธิญาณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายมาแล้ว
    นั่นคือความโดดเด่นแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ไม่เหมือนกัน คือ 1. พระปัญญาธิกะสัมมาสัมพระพุทธเจ้า (มีปัญญาโดดเด่น) 2. พระศรัทธาธิกะสัมมาสัมพุทธเจ้า (มีศรัทธาโดดเด่น) 3. พระวิริยะธิกะสัมมสัมพุทธเจ้า (มีวิริยะโดดเด่น)
    ลองสังเกตมนุษย์ทั่วไปเถิด แต่ละคนก็มีความโดดเด่นอยู่ประมาณ 3 ประเภทนี้แหละงับ เพียงแต่ว่า แตกต่างกันตรงที่ฝักไปในทางดีหรือไม่ดีเท่านั้นเอง แล้วก็ฝักไฝ่ไปในทางนั้น มากน้อยแค่ไหน
    ยกตัวอย่างง่ายๆ คนที่มีศรัทธาเด่น มาคุยกับ คนที่มีปัญญาเด่น อันนี้อาจคุยกันไม่รู้เรื่อง หากแต่ละฝ่ายต่างก็ไม่เข้าถึงแก่นธรรมได้ดีพอ จึงไม่สามารถตอบคำถามของกันและกันได้แจ่มแจ้งแทงตลอด คนที่มีปัญญาเด่นก็อยากได้เหตุผลในทุกกระบวนความ คนที่มีศรัทธาเด่นก็อาจตอบไม่ได้ทุกอย่าง ในขณะเดียวกันคนที่มีปัญญาเด่นอาจบกพร่องเรื่องศรัทธาจนปัญญาก็ไม่เจรฺญงอกงามก็ได้ ดังนั้น รู้เขา รู้เรา เสียก่อน ก่อนที่จะสอนใคร คนสอนบางครั้งต้องมีภูมิธรรมมากพอ ภูมฺิธรรมในที่นี้มิได้หมายถึงรู้ทฤษฎีมากๆ หากแต่หมายถึง รู้สัทธรรมความจริงที่แจ้งประจักษ์โดยตนเองมากๆ ก็จะสามารถสั่งสอนผู้อื่นได้ แนะนำผู้อื่นได้ รู้อุบายในการสั่งสอนได้ แต่กระนั้นก็ตาม แม้พระปัจเจกพุทธเจ้าเอง ก็มิได้เกิดมาเพื่อสอนใครได้เสียทั้งหมด
    ดังนั้นเรื่องของคุณที่เล่านั้น มันธรรมดา ของโลกนี้ เพื่อนของคุณอาจเป็นประเภทปัญญาเด่นชอบเหตุผล ทิฐิมานะมาก(มักพบในอาชีพครู อาจารย์ นักวิชาการ นักวิทยาศาสตร์) แต่คุณเองอาจเป็นประเภทศรัทธานำ จึงคุยกันไม่รู้เรื่อง
    ความจริงเพื่อนคุณพูดถูกแล้ว เอาไว้ถ้าคุณบรรลุซะก่อน คุณคงสามารถสอนเขาได้จริงๆ
    จ้า สาธุ
     
  10. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,792
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,020
    มันเป็นกรรมของเขานะครับ ผมหวังว่าสักวันเขาคงหันมาใส่ใจในธรรมได้ เเต่เราอย่าไปตําหนิเขาเลยครับ ของเเบบนี้บังคับกันไม่ได้เเน่ เเต่ยังไงมันต้องมีซักเหตุการณ์หรืออะไรซักอย่างมาเปลี่ยนความคิดเขาได้ไม่วันใดก็วันหนึ่งครับ ยังไง จขกท ก็ชวนเขาบ่อยๆเเล้วกันครับเเต่พอประมาณนะครับ มากไปก็ไม่ดี ต้องพอดีๆครับ อนุโมทนากับความตั้งใจครับ
     
  11. ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก"

    ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก" สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +21
    เป็นเรื่องยากคับ..เพราะ บัวมี 4 เหล่า ก็ต้องรอดู ว่าบัวนั้นมีการเจริญเติบโตหรือไม่??
    ตราบใดที่ชีวิตยังไม่สิ้น..การเปลี่ยนแปลงย่อมมี
    ..แต่ก็็อย่าเลิกตั้งใจที่จะ ช่วยเขาเลยนะคับ..แต่เราต้องใจเย็นๆ อย่ารีบร้อนจะเอาให้ได้ดั่งใจเรา...การที่คนเราจะสนใจพุทธศาสนา จนหันมาลงมือปฏิบัติ มันก็ต้องเห็น "ทุกข์" กันซะก่อน...ก็ต้องดูว่า "ทุกข์" ของเขาคืออะไร..แล้วค่อยๆ ชี้แจงให้เห็นกรรม ไปตามนั้น..
    ซึ่งคุณจะชี้แจงได้ดี.. คุณ ต้องมีความเข้าใจในธรรม ในคำสอนพระพุทธองค์ใน ลักษณะที่เป็น "วิทยาศาสตร์" เช่น...
    ..[​IMG]..1.เรื่องธรรมะ คือธรรมชาติ ตามที่คุณ บุพเพ กล่าวไว้ในกระทู้ที่ #7
    ..[​IMG]..2.เรื่องชาตินี้ชาติหน้า ไม่ต้องมองถึง อดีตชาติ หรือ อนาคตที่เป็น สวรรค์ แต่.พูดแค่วันนี้ กับ พรุ่งนี้พอ...คือ ชี้ให้เห็นอดีต คือเมื่อวาน ซึ่งให้ผล คือวันนี้ ... และแนะนำวันนี้ เพื่อให้เกิดผล ในวันพรุ่งนี้ พอ...นี่คือ ชี้ให้เห็น "กรรม"
    เพราะ ถ้าเขาเชื่อเรื่องกรรมได้ ก็จะทำวันนี้ให้ดีเอง
    ..[​IMG]..3.บุญ-บาป อย่างที่เขาบอก เขาเข้าใจอยู่ ว่า"สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ" ถูกของเขานะคับ... ชี้ในเห็นสิ การทำบุญในเบื้องต้น คือการให้ (ทาน)สิ่งที่ได้รับกลับมาคือ ความสบายใจ นี่เป็นบุญ.. และเมื่อ มีกิเลสในใจ ราคะ โทษะ โมหะ ก็เป็น บาป..ผลที่เกิด ก็ที่ใจเขาอีกนั้นแหละ.. ชี้ให้เป็น วิทยาศาสตร์ นะคับ... เอาความเชื่อเดิมเขาที่มีอยู่นั้นแหละ มาขยายความต่อยอด..ชี้ลงไปที่ปัจจุบัน..ยังไม่ต้องพูด ถึงนิพพาน
    ..[​IMG]..หลังจากชี้ให้เห็นผลของ บุญ-บาปแล้ว .. ก็ค่อยๆ ชี้ให้ดู ศีล..5 ข้อ ตรงนี้ยากหน่อย.. ต้องถามคุณ ก่อนว่า..ในความคิดของคุณ ศีล5 ในคนธรรมดา สามารถรักษา ศีลได้ไหม? คุณ ต้องมีความเข้าใจ ตรงนี้อย่างแจ่มแจ้งก่อน จึงจะ ชี้ให้เขาเห็นได้..เริ่มจากง่ายๆ ก่อนนะ..
    ..ศีล แปลว่า ปกติ เอาแบบ หยาบๆ กรรมหนักๆไม่ทำ คือ ไม่ฆ่าใคร ทำร้ายใคร 1.. ไม่ลักทรัพย์ ผู้อื่น 1. ไม่ผิดลูกเมียชาวบ้าน 1 ไม่โกหกให้คนอื่นเดือดร้อน จากคำพูดเรา 1 ..เอา แค่นี้ก่อน ส่วน ข้อ 5 การดื่มน้ำเมา ทำให้ขาดสติ เป็นเหตุให้ พร้อมจะผิดศีล ข้ออื่นได้ทุกข้อ..การถือศีล แบบหยาบๆ ก็เอากฏหมายบ้านเมืองนี้แหละ เป็นตัวตั้ง ..ชี้ให้เห็นถึง ความปลอดภัยจาก คุณ ตำรวจ..จะมาตามล่า..แค่นี้ ก็ทำให้เห็น พระปรีชา ของพระพุทธองค์แล้วคับ....แค่ ศีล5 ข้อ ก็ครอบคุม กฏหมายบ้านเมืองหมดแล้ว.. ศีลจึงได้ชื่อว่าเป็นเครื่อง ป้องกันทางกาย....

    .........[​IMG]..ทั้งหมดที่กล่าวมา [​IMG]....
    คือสิ่งที่คุณเองต้องทำความเข้าใจ ให้ออกมาในรูปของ "วิทยาศสาตร์" ชี้และพูดให้เห็นได้ ในชาติปัจจุบัน...ไม่ต้อง รอตายแล้วถึงพิสูจน์ได้..
    ...และ ค่อยๆหยอด ค่อยบอกที่ละเรื่อง ที่ละอย่าง ตามเหตุปัจจัย ตรงหน้า... อย่าเอา ความ อยากของตัวเอง(อยากให้เพื่อนดี) เป็นที่ตั้ง..
    ...จำไว้เสมอว่า..."เราเป็นเพื่อน ไม่ใช่เจ้าชีวิตเขา เราบังคับเขาไม่ได้ ทำได้แค่ ชี้ทาง.. และคอยปลอบ เมื่อเขา "ทุกข์"...สุดท้ายก็อยู่ที่เขา.. จะก้าวเดินเอง เมื่อถึงเวลา
     

แชร์หน้านี้

Loading...