คู่แท้ คู่เทียม คู่เวร คู่กรรม ผลกรรมต่างๆ จากสัมภาษณ์ ดังตฤณ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย โทรจิต, 14 กันยายน 2010.

  1. โทรจิต

    โทรจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2010
    โพสต์:
    101
    ค่าพลัง:
    +1,377
    รักหนอ สุขหนอ ทุกข์หนอ คิดถึงหนอ อกหักหนอ
    เมื่อรู้ซึ้งถึงสัจจธรรม พักบ้าง อะไรบ้าง จิตจะชื้นขึ้นนะครับ
    ลำดับต่อไปนี้ ผมขออณุญาตนำเสนอบทสัมภาษณ์เก่า
    ของ ดังตฤณ ชื่อนี้หลายๆคน คงเคยได้ยินมาบ้าง
    จากหนังสือ เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน ฯลฯ
    เป็นบทสัมภาษณ์ตอนไปออก รายการ กรีนเวฟ FM ๑๐๖.๕ ช่วง ‘คืนพิเศษ คนพิเศษ' ครั้งที่ ๗๙
    บทสัมภาษณ์เกี่ยวกับ คู่แท้ คู่เทียม คู่เวร คู่กรรม
    และการอุทิศบุญกุศล ฯลฯ น่าสนใจมากครับ
    อ่านมาแล้ว ก็ทวนพิจารณาอีก ไม่เสียหายขอรับ

    พี่ฉอด: ในช่วงนี้เนี่ย มันก็จะมีหลาย ๆ กรณี
    ที่เป็นความอยากรู้ หรือเป็นความสงสัยของคนทั่ว ๆ ไป
    ซึ่งทางพี่ฉอดเองหรือทีมงานก็ไปหาคำถามเหล่านี้มาจากทั่ว ๆ ไป
    ในคนทุกคนที่มีความอยากรู้อยากเห็นกัน
    ทีนี้พูดถึงเรื่องของมนุษย์ ก็คงต้องหนีไม่พ้นเรื่องความรัก
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งทุกคนก็คงอยากจะรู้เกี่ยวกับเรื่อง...
    แบบเวลาไปหาหมอดูอะไรอย่างเงี้ยะ แล้วทุกคนก็จะถามเรื่องเนื้อคู่กัน
    จริง ๆ แล้ว อันนึงที่ได้ทราบก็คือว่า คำว่า 'เนื้อคู่' ของคนเรา
    ไม่ได้หมายความจะต้องเป็นคู่กันไปในทุก ๆ ชาติ
    ถูกมั้ยคะ เพราะว่าชาตินี้เราเป็นคู่กับคนนี้ ชาติหน้าเราจะไปเป็นคู่กับคนอื่นได้
    ซึ่งมันอาจจะไม่ตรงกับความเชื่อเมื่อก่อนนี้ ที่เรารู้สึกว่า เออ ฉันต้องไปเจอคู่แท้ ซึ่งตอนนี้มันเปลี่ยนไปอีกแล้วความเชื่อนี้

    ดังตฤณ: คือคนเนี่ย มักจะถามกันเรื่องเนื้อคู่ เพราะว่าเชื่อว่าตัวเองมีคู่ที่แท้อยู่
    หรือพูดง่าย ๆ ว่าปักใจว่า คนทุกคนเกิดมาเนี่ยจะต้องมีคู่อยู่แน่ ๆ
    จริง ๆ แล้วผมขอพูดว่า ทุกคนเกิดมาอยากจะมีคู่ดีกว่า
    คือไม่ใช่ว่าทุกคน 'ต้องมีคู่' แต่ทุกคน 'อยากจะมีคู่'
    นะครับ อันนี้ต่างกันนิดนึง อันนี้ก็เพราะว่าธรรมชาติเขามีกลไกบังคับเอาไว้น่ะนะครับ
    คือทำให้ร่างกายเหมือนขาดส่วนประกบประกอบอะไรบางอย่างไป ขาดความอบอุ่น
    จิตใจมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย ก็จึงมีอาการไขว่คว้าหาส่วนมาเติมเต็ม
    ที่เป็นลูกล่อลูกชนของธรรมชาติเขา
    แล้วก็เป็นที่มาของอุปาทานทึกทักว่า แต่ละคน จะต้องมีคู่ของตัวเอง
    เหตุที่ทำให้เจอคู่ดีคู่เลวมีอยู่มากนะครับ
    และที่เป็นแรงบังคับผลักไสหรือว่าหน่วงเหนี่ยวจากอดีตก็มี
    ที่เป็นแรงยุของเพื่อนดีเพื่อนเลวในปัจจุบันก็มี ที่เป็นความด่วนได้ในขณะหน้ามืดก็มี
    พูดง่าย ๆ ว่าเหตุผลที่ตัวเองไปเลือกคู่มาเนี่ย มันหลากหลาย
    คือแล้วแต่ว่า ตอนนั้นจะเข้าใจยังไง เชื่อยังไง
    ขอยกตัวอย่างเพียงสังเขปนะครับ อย่างกรณีผลักไสจากบุญบันดาล
    ถ้าเป็นการสนับสนุนของบุญเนี่ย มันก็จะบันดาลให้เกิดเหตุการณ์ดี ๆ
    ประจวบเหมาะให้พบกันแล้วก็ซึ้งใจกัน มีโอกาสให้เกื้อกูลกัน
    อย่างกรณีผลักไสของบาป หรือว่าการบังคับของบาปเนี่ย
    ก็จะบันดาลเหตุการณ์ร้าย ๆ ให้ประจวบเหมาะได้พบกัน
    แล้วก็ผูกมัดกัน จนดิ้นจากกันไม่หลุด
    โดยมากการผูกมัดเนี่ย ก็จะมาในรูปแบบของเซ็ทที่ไม่เหมาะสม
    อันนี้พอเราพูดถึงเรื่องคู่เนี่ย เราก็โยงมาหาปัญหาของสังคมปัจจุบัน
    คือเรื่องความประพฤติผิดทางเพศเนี่ย มันเจอกันอยู่ทั่วไป
    ซึ่งก็เหมือนกับ น่าจะเป็นคำตอบได้คร่าว ๆ ว่า
    ทุกคนอยากมีคู่เพราะธรรมชาติบังคับโดยทางอ้อม ให้ไปมีคู่
    ส่วนจะไปเลือกใครมาเป็นคู่นั้นน่ะ มันมีหลายเหตุผลนะครับ

    พี่ฉอด: แล้วในที่สุดแล้ว มีมั้ยคะ ใครที่ถูกกำหนดมาว่าไม่มี
    แถวนี้ท่าจะมีเยอะ ทีมงานกรีนเวฟวี้ดวิ้ว (หัวเราะ)

    ดังตฤณ: คือจริง ๆ แล้วนะครับ คำถามนี้เนี่ย กำลังเกิดขึ้นทั่วทุกหัวระแหง
    ไม่ใช่เฉพาะที่กรีนเวฟนะครับ

    พี่ฉอด: ค่อยยังชั่ว ค่อยสบายใจขึ้น (หัวเราะ)

    ดังตฤณ: คือจริง ๆ แล้วถ้าเราบอกว่า หาคู่กันไม่ค่อยเจอเนี่ยนะ
    เป็นเพราะสังคมปัจจุบัน เริ่มมีแนวโน้มที่จะ... ผู้ชายอยากจะมีคู่นอนเยอะ
    นี่พูดกันแบบตรงไปตรงมาถึงแก่นของปัญหานะครับ
    พอคนอยากหลับนอนกับใครต่อใครไม่เลือกหน้า ให้ได้มากที่สุดเนี่ย
    มันก็เกิดความรู้สึกที่ผิวเผินต่อกัน คือไม่อยากแคร์กัน
    แค่มีเรื่องกันนิดเดียวเนี่ย ก็พร้อมที่จะชิ่งหนีออกจากกันแล้ว
    แล้วที่มันหาได้ยากเนี่ย ตอนแรกเนี่ยมันก็หาได้ยากอยู่แล้วนะ
    ที่จะเอาคนสองคนที่มีความเหมาะสมกลมกลืน ถูกอัธยาศัยกัน
    เข้ากันได้โดยธาตุมาประกบกันเนี่ย มันยากอยู่แล้ว
    แต่ทีนี้พอมันมาประจวบกับยุคสมัยที่คนมักง่ายทางเพศกัน
    มันก็ยิ่งยากหนักเข้าไปอีก
    เพราะว่าแต่ละคนเนี่ย... พูดถึงผู้ชายน่ะนะครับ
    จะไม่พูดถึงคู่แท้ แต่จะพูดถึงคู่นอน และมีเยอะเลยนะครับ
    ประเภทอายุสามสิบสี่สิบแล้วเนี่ย ก็ยังไม่แต่งงาน
    ไม่อยู่กินกับใครเป็นหลักเป็นแหล่ง คือไม่คิดที่จะแสวงหาด้วย
    ไอ้ที่จะมาเป็นบ่วงผูกคอ อยากจะทำไปเรื่อย ๆ แบบที่เคยทำในช่วงหนุ่ม ๆ ใหม่ ๆ
    ทีนี้พอผู้ชายเริ่มแบบนี้ มันก็มีผลกระทบไปถึงผู้หญิงด้วย
    คือผู้หญิงโดยธรรมชาติแล้วเนี่ย ต้องการผู้ชายคนเดียว
    มีผู้ชายคนเดียวในชีวิต แต่พอมันไม่เจอ
    แล้วก็มีการสนับสนุนจากสื่อต่าง ๆ โดยทางอ้อม
    ว่าไม่ต้องมีเพียงคนเดียวก็ได้ มีไปหลาย ๆ คนก็ได้
    มันก็คล้าย ๆ จะมีพฤติกรรมที่คล้าย ๆ เป็นโรคระบาด
    มันลามไปถึงผู้หญิงด้วยว่า คิดแบบเดียวกัน คือผู้ชายมีหลายคนได้
    ไม่แคร์กับการมีชีวิตคู่ที่แท้จริงได้ ผู้หญิงก็ทำแบบนั้นได้เหมือนกัน
    ซึ่งถ้าหากว่าเราปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ เนี่ย
    ก็ประหนึ่งว่า จะสนับสนุนให้การไม่มีคู่ถาวรมันเกิดขึ้นทุกหัวระแหง
    แล้วที่บอกว่าหาคู่ยากเนี่ย เดิมทีโดยธรรมชาติมันหายากอยู่แล้ว
    ที่จะมีคนมาเข้าคู่กับเรา แล้วไปเพิ่มความยากเข้าไปอีก ตรงที่ว่า
    ไม่มีใครมีแก่ใจที่จะปลูกบ้านสร้างเรือน ทำครอบครัวให้มันเป็นหนึ่ง
    จะไปแสวงหาเศษหาเลยกันทั้งชีวิต
    เพราะฉะนั้นเนี่ยครับ ตรงนี้เนี่ยนะ มันมีเหตุผลทางธรรมชาติอยู่ด้วย
    ว่าถ้าไม่ได้ทำมาด้วยกันจริง ๆ ไม่ได้ตั้งใจอธิษฐานมาอยู่ด้วยกันจริง ๆ เนี่ย
    โอกาสที่จะมีอัธยาศัยกลมกลืนกันมันยากอยู่แล้ว
    แล้วก็มาประจวบกับยุคสมัยที่สนับสนุนให้มีคู่หลายคนอะไรอย่างนี้
    มันก็ยิ่งไปกันใหญ่

    พี่ฉอด: แล้วถ้าเกิดจะถามคำถามโดนใจของทุกคนว่า
    ถ้าเกิดอยากจะมีคู่ดี ๆ ซักคนนึง ควรจะต้องทำอย่างไรคะ

    ดังตฤณ: ครับ คือตรงนี้นะ เอาคำตอบของพระพุทธเจ้าเลย
    เพราะมีคนที่พยายามจะอธิบายหลากหลายแนว
    แต่เอาที่มันเป็นของจริงตามธรรมชาติดีกว่า
    พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้าหากคนจะอยู่ร่วมกันได้ ทั้งในชาตินี้
    และก็ไปเจอกันในชาติหน้าด้วย ด้วยความเหมาะสมกันเนี่ย
    หนึ่ง ต้องมี ศรัทธา เสมอกัน
    สอง ต้องมี ศีล เสมอกัน
    สาม ต้องมี จาคะ เสมอกัน
    สี่ ต้องมี ปัญญา เสมอกัน
    ตัว ศรัทธา นี่นะครับ คือ ตัวที่เชื่ออะไรเหมือน ๆ กัน
    ส่วนเรื่องของ ศีล ก็คือ.. เหมือนคนตัวหอมเนี่ย
    ก็จะไม่อยากอยู่กับคนตัวเหม็นใช่มั้ยครับ
    และคนตัวเหม็น ก็มักจะหมั่นไส้คนตัวหอม อะไรแบบนี้ใช่มั้ย
    เพราะฉะนั้น ถ้ามีศีลเสมอกันเนี่ย มันก็หอมเหมือนกัน ก็พึงพอใจกันและกัน
    จาคะ คือการสละออก เรื่องการสละนี่ มีนัยลึกซึ้งหลายนัยนะครับ
    แต่พูดง่าย ๆ ว่า ถ้าสมมติว่าผัวคิดทำบุญ เมียเกิดรู้สึกต่อต่อต้าน อย่างนี้ก็อยู่ด้วยกันไม่ได้
    หรือว่าผัวอยากช่วยคน เมียบอกไปช่วยทำไม อย่างนี้ก็รู้สึกจะต้องเถียงกันแล้ว
    ว่า เอ๊ย เอาเงินส่วนของเรา เอาเวลาส่วนของเรา เอาไปบริจาคให้คนอื่นทำไม มันก็เถียงกัน
    แต่ถ้าชอบที่จะช่วยเหลือคนเหมือน ๆ กัน มันก็เกิดกิจกรรมร่วมกันได้ แล้วก็มีความสุขร่วมกัน
    ส่วนข้อสุดท้ายคือ ปัญญา ปัญญานี่ก็มีทั้งปัญญาทางโลก และก็ทางธรรม
    ถ้าปัญญาทางโลก ก็พูดง่าย ๆ ว่าใช้ภาษาเดียวกัน คุยด้วยภาษาเดียวกัน
    และก็มีอัธยาศัยในการพูดคุยเรื่องทั่ว ๆ ไปเหมือนกัน
    ส่วนปัญญาทางธรรม ก็หมายความว่า มีความรู้จักบุญ รู้จักบาปเหมือน ๆ กัน
    เชื่อเรื่องบุญ เชื่อเรื่องบาป แล้วก็พร้อมที่จะประกอบแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์เหมือน ๆ กัน
    ตรงนี้เนี่ย มันก็จะทำให้เกิดความกลมกลืน
    สี่ข้อนี้นะครับ ศรัทธา ศีล จาคะ แล้วก็ ปัญญา
    ถ้าหากว่าเสมอกัน หรือว่าอย่างน้อย ไปในทิศทางเดียวกันแล้ว
    ก็จะเกิดความกลมกลืน แล้วก็ความรู้สึกเป็นสุขที่จะได้อยู่ด้วยกัน
    แต่ถ้าหากว่าสี่ข้อนี้ไม่เสมอกันแล้ว โอกาสที่จะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ก็ดูจะเลือนราง
    ซึ่งเราก็จะเห็นจากคู่ทั่ว ๆ ไป ที่ปรากฏอยู่ทุกวันนี้แหละ
    แล้วก็ในอดีตด้วย แล้วก็ในอนาคตด้วย
    บอกได้เลยว่า เรื่องของศรัทธา ศีล จาคะ แล้วก็ปัญญา ที่จะจูนให้เสมอกันได้
    ต้องมาจากสิ่งเดียวเท่านั้นครับ คือ 'ศรัทธาในเรื่องเดียวกัน'
    พระพุทธเจ้าท่านถึงขึ้นด้วยศรัทธา
    ถ้าเชื่อเรื่องเดียวกันซะแล้วเนี่ย โอกาสที่จะทำอะไรสอดคล้องกลมกลืนกัน
    แล้วมีความสุขอยู่ด้วยกันทั้งชีวิต ก็เป็นไปได้
    บางคนนะ ถึงกับบอกเลยว่า คือเขาวิเคราะห์กันมา บอกว่า
    ธรรมชาติเนี่ย เหมือนกับดีไซน์ ออกแบบให้มนุษย์มาอยู่ด้วยกัน มาจับคู่กัน
    แต่เสียดาย ที่ไม่ได้ออกแบบให้อยู่ด้วยกันได้
    คือหมายความว่า ส่งมาแต่แรงดึงดูด ว่าจะต้องมาอยู่ด้วยกัน
    แต่ว่าพอมาอยู่ด้วยกันแล้ว ไม่มีปัจจัยอะไรเกื้อกูลให้อยู่ด้วยกันได้ตลอดรอดฝั่ง
    ตรงนี้เป็นเรื่องของการวิเคราะห์
    แต่ถ้าสมมติว่าเขาได้มาศึกษาพุทธศาสนา แล้วดูให้มันจริง ๆ จัง ๆ อย่างลึกซึ้งว่า
    สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน เรื่องศรัทธา เรื่องศีล เรื่องจาคะ เรื่องปัญญาเนี่ยนะ
    มันจะทำให้เกิดความสุข เกิดความผูกมัด เกิดความป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
    ตรงนี้เนี่ย ชาติหน้านะ ไม่ต้องหาคู่เลย คือจะได้ไปเจอกันแน่นอน
    อันนี้คือสิ่งที่พระพุทธเจ้ายืนยันนะ เวลาคนไปถามท่านเนี่ย
    ว่าทำยังไงถึงจะได้อยู่ด้วยกันตลอดรอดฝั่ง
    ทั้งในชาตินี้ และก็ได้ไปเจอกันในชาติหน้า พระพุทธเจ้าตอบแบบนี้
    ซึ่งถ้าหากว่าเราดูจากความเป็นจริงนะ เราก็จะเชื่อเลยว่า
    เนี่ย มันเป็นหลักการที่ถูกต้องแล้ว เพราะว่าคนเราจะมีความสุข มันต้องมีเหตุ
    คนเราจะรู้สึกว่ากลมกลืนหรือว่าอยากอยู่กับใครเนี่ย
    มันไม่ได้เกิดขึ้นลอย ๆ มันต้องมีความสมเหตุสมผลอยู่
    ซึ่งก็นี่ ตรงนี้ล่ะครับ คือคำตอบที่ชัดเจนที่สุด

    พี่ฉอด: แล้วเราจะมีวิธีมั้ยคะ ในการที่จะทำยังไง
    ที่เราจะได้เจอกับคนที่มีอะไรเสมอกัน
    ที่กลมกลืนกันทั้งสี่ประการอย่างที่ว่าเนี่ย ต้องทำยังไง

    ต่อกระทู้ตอบข้างล่างนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กันยายน 2010
  2. เมทิกา

    เมทิกา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    952
    ค่าพลัง:
    +2,393
    ^w^

    สนุกมากค่ะ อย่าลืมมาต่อนะคะ

    โมทนาสาธุที่นำมาเผยแพร่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 14 กันยายน 2010
  3. โทรจิต

    โทรจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2010
    โพสต์:
    101
    ค่าพลัง:
    +1,377
    พี่ฉอด: แล้วเราจะมีวิธีมั้ยคะ ในการที่จะทำยังไง
    ที่เราจะได้เจอกับคนที่มีอะไรเสมอกัน
    ที่กลมกลืนกันทั้งสี่ประการอย่างที่ว่าเนี่ย ต้องทำยังไง

    ดังตฤณ: ต้องตอบเป็นสองข้อนะครับ
    ข้อแรก รอดวงอย่างเดียว ซึ่งรอดวงเนี่ย
    มันน้อยคนมากที่จะเคยมีสี่ข้อนี้เสมอกันมาก่อนในอดีตชาติ แล้วก็ได้มาเจอกัน
    ซึ่งการรอเนี่ย มันไม่ใช่เรื่องของมนุษย์ มันเป็นเรื่องของสิ่งมีชีวิตที่สิ้นหวัง
    แต่ถ้า มาดูข้อสอง ข้อสอง คือสร้างเหตุปัจจัย
    ที่จะไปเจอคนที่มีศรัทธา มีศีล มีจาคะ มีปัญญา อย่างนั้น
    แบบเดียวกัน ระดับเดียวกัน
    พูดง่าย ๆ คือเข้าไปในสถานที่ เอาตัวเข้าไปอยู่ในสถานที่ที่มันจะได้เจอ
    คนที่มีศรัทธา มีศีล มีจาคะ มีปัญญานะ เขาไม่อยู่ตามที่สถานเริงรมย์
    ไม่อยู่ตามผับ ไม่อยู่ตามโรงระบำจั้มบ๊ะอะไรพวกนั้น
    แต่เขามักจะไปอยู่ตามวัดกัน สมัยก่อนนี้จะไปพบกันตามวัด
    แต่สมัยนี้ก็มีส่วนหนึ่งของอินเตอร์เน็ทที่อุทิศให้กับคนที่มีศรัทธาในพระพุทธเจ้า
    มีศีลเสมอกัน มีจาคะเสมอกัน มีปัญญาเสมอกัน
    พูดง่าย ๆ ว่าเว็บบอร์ดธรรมะ หรือว่าเว็บไซต์เกี่ยวกับธรรมะ
    เพราะฉะนั้น ถ้าหากว่าถ้าเรารู้จักที่จะ 'เลือก'
    เอาตัวไปอยู่ในที่ที่มีสิทธิ์จะเจอคนเหล่านั้น โอกาสที่จะเจอมันก็สูงขึ้น
    แต่ถ้าเรายังรังเกียจคนที่มีศรัทธา คนที่มีศีล คนที่มีจาคะ คนที่มีปัญญา
    โอกาสที่มันจะเจอก็น้อย ตรงนั้น คือคำตอบแบบรวม ๆ นะครับ

    พี่ฉอด: มีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการหาคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องของคนที่
    อาจจะเกิดมาแล้วอยากเป็นเพศอื่นน่ะค่ะ
    เป็นผู้หญิงแต่ใจเป็นผู้ชาย หรือเป็นผู้ชายแต่ใจเป็นผู้หญิง
    ตรงนี้เพราะว่าเขาทำอะไรมายังไง

    ดังตฤณ: จริง ๆ มันก็... ขอให้สังเกตว่า
    ความรู้สึกผิดปกติทางเพศ มันก็คือเรื่องทางเพศ
    ถ้าผิดปกติทางเพศ แล้วอธิบายว่า
    เพราะเคยทำสิ่งที่ผิดทางเพศมา มันฟังดูเป็นเหตุเป็นผลกันใช่มั้ยครับ
    เพราะทำผิดทางเพศมา ถึงมีความผิดปกติทางเพศ
    เนี่ย ธรรมชาติเขามีเหตุมีผลของเขาแบบนี้
    คืออย่างถ้าหากว่า พูดง่าย ๆ นะครับ เคยเป็นแมงดามา
    เคยหากินกับความทุกข์ของผู้หญิง
    เคยไปปล้นสวาทคนอื่นเขามา แบบไปข่มขืน ไปอะไรต่อมิอะไร
    โดยไม่มีความละอาย ไม่มีความรับผิดชอบเลย
    ตรงนั้นล่ะครับ ธรรมชาติจะสั่งสอน ให้ได้มารู้จักความอับอาย
    เพราะว่า... คือ เราต้องยอมรับ คืออันนี้ขออภัยนะครับ
    คือเราพูดตามเนื้อผ้านะครับ ไม่ได้พูดเพื่อให้เกิดความกระทบกระทั่ง
    หรือพูดให้เกิดความรู้สึกต่ำต้อย น้อยเนื้อต่ำใจอะไรกันนะครับ
    ว่ากันโดยธรรมชาติ ถ้าหากเราทำกรรมไปโดยไม่มีความอับอายในช่วงหนึ่ง
    ช่วงต่อมา ธรรมชาติจะสั่งสอนเรา โดยบันดาลอะไรบางอย่างมาให้เกิดความอับอาย
    อย่างยกตัวอย่างในเรื่องทางเพศ ถ้าหากว่าเราทำผิด ประพฤติผิดไป
    โดยไม่เกิดความอับอาย ไม่เกิดความละอายเลย
    ในจังหวะต่อมา ในช่วงต่อมา เราจะได้รู้จัก ซึ่งธรรมชาติเขาก็จะจัดสรร
    บางคนเนี่ย คือจะรู้ตัวเองเลยนะครับว่า ผิดปกติมาตั้งแต่เกิด
    หมายความว่าตั้งแต่จำความได้ ก็ชอบอย่างนั้นมาตั้งแต่แรกเลย
    ไม่ใช่ว่ามีใครชักจูง ไม่ใช่ว่าเขาอยากจะเป็นอย่างนั้น
    ตรงกันข้าม เขารู้สึกเสียใจที่เป็นแบบนั้น รู้สึกไม่ดีที่เป็นแบบนั้น ตลอดทั้งชีวิต
    ตรงนั้น ถ้าหากว่าเราไม่เอาเรื่องของอดีตมาพูด
    มันจะไม่มีอะไรให้พูด ภาพของเหตุและผลมันจะขาดไป
    เพราะฉะนั้น พูดง่าย ๆ ว่าสำหรับคนที่ผิดปกติมาตั้งแต่แรกเนี่ย
    มันเป็นเรื่องของอดีต ซึ่งอาจจะเข้าใจยากนิดนึง
    แต่เรื่องที่... บางทีเราเข้าใจได้ง่าย ๆ นะ
    ผมยกตัวอย่าง มีดาราอยู่ท่านหนึ่ง เคยให้สัมภาษณ์ว่า
    ตอนแรกเขาเป็นผู้ชายปกติ แต่พอได้มาแสดงเป็นแต๋ว
    เป็นอะไรที่มันออกทางเพศที่สามมาก ๆ เข้า มันเกิดความรู้สึกชอบขึ้นมา
    หรืออย่างผมเคยรู้จักคนนึงที่เขาตอนแรกก็เป็นผู้ชายดี ๆ
    ก็คบกันแบบเพื่อนผู้ชายแท้ ๆ เลยนะ
    แต่หน้าตาเขาสวยเหมือนผู้หญิง และถูกล้อมาก ๆ เข้า
    จนในที่สุดเขาเกิดความรู้สึกเชื่อขึ้นมา
    เพราะฉะนั้น จริง ๆ แล้ว เหตุแห่งการผิดปกติทางเพศ
    มันเป็นได้ทั้งอดีตกรรมในชาติก่อน แล้วก็เป็นไปได้ทั้งปัจจุบันกรรม
    คือไปทำอะไรบางอย่าง หรือไปคิดอะไรบางอย่าง หรือไปเชื่ออะไรบางอย่าง
    แล้วมันก็เกิดการกระตุ้นให้มีความรู้สึกไวต่ออีกด้านหนึ่งของเพศตรงข้าม
    เพราะจริง ๆ แล้ว ผู้ชายกับผู้หญิงเนี่ย ทางแพทย์เขารู้นะครับในปัจจุบันเนี่ย
    จริง ๆ แล้วเป็นผู้หญิงมาก่อนเหมือน ๆ กัน
    คือผู้ชายเนี่ยนะ เคยเป็นผู้หญิงมาก่อน อวัยวะเพศคือยังไม่ได้งอกออกมา
    ต่อมามีปัจจัยอะไรที่เรียกว่า เรื่องโครโมโซมเอ็กซ์วาย อะไรต่อมิอะไร ทำให้มันงอกออกมา
    ตอนเริ่มต้นเลยเนี่ย เป็นอวัยวะเพศหญิงเหมือนกันหมด
    เพราะฉะนั้นเนี่ย หมายความว่า เพศชายเพศหญิงเนี่ยนะ
    เป็นแค่ของหลอกตา จริง ๆ แล้วมันมีการปรุงแต่งของกรรม
    ทั้งจากกรรมที่มันลี้ลับในอดีต แล้วก็กรรมที่มันเป็นปัจจุบัน
    ไปกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกเป็นเพศหญิงขึ้นมา
    ไม่จำเป็นว่าเราอยู่ในร่างของชาย แล้วจะไม่มีความรู้สึกทางเพศหญิงเลย
    มันมีได้ เพราะว่าเดิมทีทุกคนเป็นผู้หญิงเหมือนกันหมด
    แต่มีบุญเก่าบางอย่างที่ทำให้ปรากฎเป็นรูปชายขึ้นมา ซึ่งอันนี้เราก็พูดไปตั้งแต่ต้นรายการ
    ว่ามันคือการริเริ่มทำบุญด้วยความหนักแน่น หรือว่ามีความกล้าหาญ
    ที่จะทำอะไรเพื่อคนอื่น ตรงนั้นก็จะเป็นเหตุผลักดันให้เกิดอัตภาพของชายขึ้นมา

    พี่ฉอด: แล้วเป็นไปได้มั้ยคะว่า ถ้าเกิดเราไปทำอะไรที่ไม่ดีในเรื่องแบบเนี้ยะ
    เช่น เป็นคนเจ้าชู้มาก แล้วผลกรรมมันจะตกทอดไปถึงลูกถึงใครในครอบครัวเรา
    มันมีโอกาสที่จะส่งต่อไปยังคนอื่นได้มั้ยคะ

    ดังตฤณ: ถ้าเชื่อพระพุทธเจ้านะครับ เราต้องบอกว่า
    แต่ละคนมีกรรมเป็นของตัวเอง มีกรรมเป็นที่พึ่ง มีกรรมเป็นแดนกำเนิด
    ตรงคำว่า 'มีกรรมเป็นแดนกำเนิด' เนี่ย
    เป็นคำตอบสำหรับคำถามของพี่ฉอดเมื่อครู่นี้
    คือคนที่เจ้าชู้เนี่ย ดูเหมือนกับว่ากรรมจะตกไปอยู่กับลูกเขาที่ถูกทำเจ้าชู้บ้าง
    หรือถูกคนเจ้าชู้มาหลอกบ้าง อะไรทำนองนี้น่ะนะ
    อันนั้นก็เป็นเพราะว่า ลูกสาวเขามีกรรมที่จะต้องมารับแบบนั้นอยู่แล้ว
    ก็เลยมาเกิดเป็นลูกของคนเจ้าชู้
    คือเหมือนกับว่า กรรมเดิมของเขาอาจจะเคยเป็นผู้ชายเจ้าชู้มาก็ได้
    เลยต้องมาอยู่ในสถานภาพที่จะเสี่ยง หรือล่อแหลมต่อการถูกหลอก
    ตรงนั้น มันก็ดูราวกับว่ากรรมของพ่อถ่ายทอดไปถึงลูก
    จริง ๆ แล้วไม่ใช่ ทุกคนมีกรรมเป็นที่พึ่ง มีกรรมเป็นแดนเกิด
    เราเคยทำอะไรมายังไง ก็จะไปเกิดในที่ที่สอดคล้องกับกรรมแบบนั้น
     
  4. โทรจิต

    โทรจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2010
    โพสต์:
    101
    ค่าพลัง:
    +1,377
    พี่ฉอด: นั่นหมายความว่า กรรมของตัวเขาเองนั่นแหละ เป็นจุดเริ่ม เป็นที่มา

    ดังตฤณ: อันนั้นพูดถึงเรื่องวิบากกรรมอย่างเดียว
    แต่ทีนี้ ถ้าพูดถึงผลกระทบทางอ้อม ยกตัวอย่างเช่น
    มาเกิดในบ้านที่พ่อ ผู้นำครอบครัว ชอบเล่นพนัน เล่นจนหมดเนื้อหมดตัว
    แล้วก็พลอยทำให้คนอื่นลำบากไปด้วย มันก็อธิบายได้ว่า...
    คือคนเป็นผู้นำเนี่ย ชี้ชะตา ว่าจะพลอยทำให้ลูกเต้า ลูกเมีย พลอยลำบากไปด้วยหรือเปล่า
    ตรงนั้นเนี่ย คือถ้าสมมติว่ามองกันด้วยตาเปล่า เหมือนกับว่า
    พ่อทำกรรมชั่วแค่คนเดียว แล้วความเดือดร้อนก็พลอยตกไปถึงครอบครัวด้วย
    อันนั้นอาจจะมีส่วนในแง่ของความสัมพันธ์
    คือพอมาเป็นลูกของคนแบบนี้ มันก็มีความเสี่ยงที่จะได้รับความเดือนร้อนไปด้วย
    ทีนี้ถ้าหากว่าเรามอง เราเชื่อเรื่องของกรรมอย่างบริสุทธิ์ใจจริง ๆ ร้อยเปอร์เซนต์เนี่ย
    ก็ต้องบอกว่า ถ้าหากว่าพ่อชั่วอยู่คนเดียว แล้วทำให้ครอบครัวเดือดร้อนเพราะว่าไปเล่นพนัน
    ตรงนั้น ถ้ามีบุญของคนอื่นในครอบครัวประกอบอยู่ ก็จะทำให้ครอบครัวไม่ตกต่ำเกินไปนัก
    ตัวอย่างเช่น บางคน ลูกบางคนทำบุญมามาก
    แล้วบุญเนี่ย ไม่อนุญาตให้จน ในชาติที่เกิดมาเสวยวิบากกรรมตรงนั้น วิบากขาวตรงนั้น
    ก็จะ... อย่างเด็กบางคนเป็นศิลปินขึ้นมาได้ตั้งแต่อายุยังน้อย ก็สามารถร่ำรวยขึ้นมาได้
    มีนะครับ ที่ลูกร่ำรวย แต่พ่อแม่เอาไปผลาญ
    แต่ก็ผลาญไม่หมด เพราะว่าลูกรวยเกิน เกินที่จะผลาญได้หมด
    นี่คือตัวอย่าง ว่ากรรมสัมพันธ์เนี่ย เป็นเรื่องละเอียดอ่อนซับซ้อนนะครับ
    แต่ไม่ใช่ว่ามีการถ่ายทอดกรรมจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งได้

    พี่ฉอด: เพราะฉะนั้น แปลว่ากรรมของใครก็ของมัน

    ดังตฤณ: ของใครของมัน แต่ว่ามาเกื้อกูลกันได้ หรือว่ามาฉุดดึงกันได้เหมือนกัน
    คือถ้าสมมติว่าอยู่ในครอบครัวเดียวกัน หรือว่าอยู่ในจังหวะที่ต้องอยู่ในภาวะพึ่งพา
    บางทีมันก็เป็นไปตามทิศทางของพ่อแม่เหมือนกัน อันนั้นต้องยอมรับ
    แต่ไม่ใช่ว่า พ่อทำ แม่ทำ แล้วกรรมนั้นไปตกอยู่กับลูก ไม่ใช่นะครับ

    พี่ฉอด: ค่ะ มีคำถามอีกเยอะมากเลยนะคะสำหรับคืนนี้
    ไม่รู้จะตอบกันหมดหรือเปล่า
    เดี๋ยวตอนนี้พักซักครู่ค่ะ ยังมีช่วงสุดท้ายค่ะ

    . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

    พี่ฉอด: มีคำถามนึงเกี่ยวกับเรื่องของการไปหาหมอดู
    เชื่อว่ามีคนจำนวนเยอะมาก ที่พึ่งพาหมอดูกัน ด้วยเหตุผลต่าง ๆ กัน
    คุณตุลย์มีแนวความคิดเกี่ยวกับเรื่องการไปหาหมอดูยังไงบ้างคะ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กันยายน 2010
  5. no-ne

    no-ne เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    1,199
    ค่าพลัง:
    +3,381
    คุณดังตฤนพูดได้อย่างมีเหตุมีผลดีนะคะ เรื่องคู่เราก็เชื่อตามแบบที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้แล้วค่ะ ความเสมอกันของ ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญ เราคิดว่าถ้าา ในใจคู่รักมี 4 ธรรมนี้ใกล้เคียงกัน ชีวิตคู่คงมีความสุขพอสมควรนะคะ ขออนุโมทนาสาธุค่ะ
     
  6. โทรจิต

    โทรจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2010
    โพสต์:
    101
    ค่าพลัง:
    +1,377
    กลับมาแล้วครับ สุดท้ายแล้ว ขออภัยจริงๆที่ต้องทำให้รอ
    เพลียจิตครับไปสอบภาษาจีนมา ไม่ใช่ภาษาแม่ซะหน่อย
    แต่ว่าก็ผ่านไปได้ด้วยดีครับ เพราะธรรมมะทั้งนั้นเลยที่ทำให้มีสติ
    เลยพักกินขนม จิบกาแฟ มาครับให้พลังกาย อีกอย่างกระทู้ยาวด้วย
    กาแฟสองแก้วเอาให้ตาแข็งไปเลย สำหรับภาวนาคืนนี้
    แล้วดูละครต่อ อิอิ ติดวนิดาครับ ดูกับคุณแม่ แต่ดูอย่างมีสติ
    ต่อเลยครับพลังปัญญา สำหรับผู้มาทางสว่างทุกท่าน

    พี่ฉอด: มีคำถามนึงเกี่ยวกับเรื่องของการไปหาหมอดู
    เชื่อว่ามีคนจำนวนเยอะมาก ที่พึ่งพาหมอดูกัน ด้วยเหตุผลต่าง ๆ กัน
    คุณตุลย์มีแนวความคิดเกี่ยวกับเรื่องการไปหาหมอดูยังไงบ้างคะ

    ดังตฤณ: ก็จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันมากที่สุดว่า
    การไปหาหมอดูคือการแสดงถึงการเป็นคนงมงาย
    หรือว่าหมอดูคู่กับหมอเดา อะไรทำนองนี้
    ทีนี้ ถ้าพิจารณากันตามจริง ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทยนะที่ชอบดูหมอเนี่ย
    ทั่วโลก แม้แต่พวกบิลเกทส์ พวกอะไร เขาก็มีนะ ไม่ใช่ไม่มี
    เพียงแต่ว่าใครจะเชื่อแค่ไหน หรือเอามาใช้ประโยชน์แค่ไหนเท่านั้น
    จริง ๆ แล้วที่จะตัดสินว่าการดูหมอเป็นเรื่องงมงายหรือไม่งมมงาย
    มันขึ้นอยู่กับว่าหมอดู ดูด้วยวิธีไหนด้วย
    และก็ขึ้นอยู่กับว่าเรามีความเข้าใจเรื่องกรรมวิบากเป็นทุนอยู่แค่ไหน
    ถ้าดูกันแบบไม่มีเหตุผล โดยไม่มีเรื่องของกรรมวิบากมารองรับบ้างเลยเนี่ย
    อันนี้เรียกว่างมงายได้ เพราะต่างฝ่ายก็ต่างเชื่ออะไรกันอยู่ก็ไม่รู้
    รู้แต่ว่ามีกฎ มีตำรา มีครูสืบ ๆ ความเชื่อกันมาว่าต้องลงล็อคนั้น ลงล็อคนี้
    แล้วก็ทำนายกัน เชื่อกัน
    ขอตั้งข้อสังเกตไว้อย่างนึงนะครับ อันนี้ขอพูดฉีกมานิดนึง
    คือคุณลองไปสืบ ๆ ดูนะ ชีวิตของหมอดูส่วนใหญ่
    ส่วนใหญ่เขาใช้ชีวิตกันอย่างกระวนกระวายนะ
    และทั้งนี้เนี่ย อธิบายได้ด้วยปัจจุบันกรรมของเขาโดยอาชีพ
    เพราะว่าโดยอาชีพของหมอดู ไปก่อความกระวนกระวายให้ลูกค้าโดยไม่มีเหตุผลอันควร
    คือเขามาหาเนี่ย ก็ด้วยความกระวนกระวาย อยากรู้อยากเห็นอยู่แล้ว
    ขากลับ ก็พกเอาความกระวนกระวายรูปแบบใหม่ออกไปอีก
    อันนี้ทำอยู่ทุกวัน มันก็เลยได้ผลเร็ว
    แต่ถ้าหมอดู สามารถทำให้คนมาดู เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง
    ว่าทำกรรมแบบไหนจึงมารับผลแบบนี้
    ทำให้เขาตาสว่าง กลัวบาปกลัวกรรม รักบุญรักกุศล อันนี้ถือว่าได้บุญนะครับ
    แต่พวกที่จะมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องกรรมวิบาก
    หรือกระทั่งพวกที่มีญาณล่วงรู้กรรมวิบาก มันมีน้อย
    มีนะครับ แต่มีน้อย ผมเคยเห็นมา หมอดูที่เขารู้เรื่องกรรมวิบาก
    มีญาณทิพย์ มีอะไรต่อมิอะไรต่าง ๆ แต่มันน้อย
    แล้วก็... อันนี้ถ้าจะถามว่าจะพิสูจน์ได้ยังไง
    ก็ขอให้ดูว่า ถ้าใครนะครับ อ้างว่ามีตาทิพย์ เห็นกรรมในอดีตชาติของคุณได้นะ
    ให้ลองถามกรรมในวัยเด็กของคุณก่อน
    ว่า 'เคย' ทำอะไร แล้ว 'ได้รับผล' มาแล้วอย่างไรบ้าง
    เขาต้องจับคู่ได้ถูกนะครับ ถ้าเขาตอบถูก ค่อยเชื่อเรื่องอดีตชาติ
    เพราะสำหรับผู้มีญาณจริง ๆ นะครับ
    จะทราบว่าอดีตชาตินั้น ดูยากกว่าอดีตใกล้ในปัจจุบัน
    เพราะว่าสิ่งที่มันเป็นปัจจุบันเนี่ย คือ... มันแทบจะไม่ต้องอาศัยตาทิพย์น่ะ
    มันเหมือนกับเป็นสิ่งที่ตามตัวเขามาอยู่แล้ว
    ถ้าคนที่มีความคล่องมีความชำนาญในการรู้ความสัมพันธ์
    ระหว่างกรรม กับวิบากกรรม กับผลของกรรมเนี่ย
    ดูแวบเดียว เขาก็เห็นแล้วว่าช่วงเด็กทำอะไรมา คือไม่ต้องหลับตาอะไรมากมาย
    แต่ว่าถ้าจะดูอดีตชาติ บางทีมันต้อง... เหมือนกับที่คนส่วนใหญ่เรียกกันว่านั่งทางใน
    คือนั่งหลับตา แล้วก็ไปรู้ไปเห็นว่าภาพในอดีต ภาพของกรรม
    ภาพนิมิตของวัตถุที่เคยประกอบกรรม อะไรต่อมิอะไรต่าง ๆ เป็นยังไง
    มันถึงได้ส่งผลให้มามีความติดขัด มามีความเดือดร้อน
    หรือว่ามีรูปแบบเหตุการณ์ซ้ำ ๆ ในชีวิตปัจจุบัน อันนั้นจะดูยากกว่า

    พี่ฉอด: ถ้าอย่างนั้น ถ้าเกิดใครที่ได้ไปเจอหมอดูประเภทนี้
    ถือว่าเป็นโชคดีมั้ยคะ กับการที่เราได้รู้อะไรในสิ่งที่คนอื่นไม่รู้

    ดังตฤณ: ผมว่าหายากนะ แล้วความหายากเนี่ย
    อะไรที่มันดี ๆ ที่มันหายาก แล้วเราไปเจอเนี่ย ก็ถือว่า...

    พี่ฉอด: เพราะว่าเขามีบุญที่จะได้รู้อย่างงี้รึเปล่าคะ

    ดังตฤณ: ครับ ก็จะ... จะเรียกว่าอย่างนั้นก็ได้
    แต่ว่า คือผมขอตั้งข้อสังเกตไว้นิดนึงนะ
    แม้แต่ในช่วงต้นรายการเนี่ย เราก็พูดกันว่า
    บางคนเจอพระพุทธเจ้าเนี่ย แทนที่จะรับอะไรดี ๆ หรือศรัทธาท่านเนี่ย
    กลับไปเถียงท่านก็มี กลับไปจงเกลียดจงชังก็มี
    หรือว่าไปต่อต้านหรือว่าทำร้ายท่านก็มี
    เพราะฉะนั้น คนที่เจอหมอดูดี ๆ เนี่ยนะ
    เราต้องมองด้วยว่าคนที่ไปดู เขาได้อะไรกลับมาบ้าง
    หรือว่าฟังเรื่องบุญเรื่องกรรมแล้ว
    เขามีความเชื่อหรือเปล่า มีความศรัทธาหรือเปล่า
    ถ้าหากว่าไม่เชื่อเนี่ย ต่อให้หมอดูทายทักอะไร
    น่าศรัทธาน่าเลื่อมในแค่ไหน มันก็ไม่มีประโยชน์
    เพราะฉะนั้น จะโชคดีหรือโชคร้าย ขึ้นอยู่กับทุนเก่าของเขาเองด้วย
    ว่าเขาพร้อมที่จะไปเชื่ออะไรที่เป็นเหตุเป็นผลมั้ย
    แต่ว่าถ้าเบื้องต้นน่ะ อันนั้นโชคดีแน่นอนครับ ที่ได้เจอ
    แต่เจอแล้วได้ผลอะไรกลับมา นั่นเป็นตัววัดด้วย
    เพราะบางคนไปเจอคนที่ดี แต่ว่าไปคิดร้ายกับเขา อย่างนี้ก็มี
    หรือว่ายิ่งไปตอกย้ำว่า วิบากกรรมไม่มีหรอก ทำไปแล้วมันสูญเปล่ามากกว่า
    หมอดูก็แค่นักเดาอะไรทำนองนั้น มันมีสิทธิ์ที่จะคิดกันได้
    มันมีสิทธิ์ที่จะไปกันได้เรื่อย ๆ น่ะนะครับ

    พี่ฉอด: เหมือนคนที่ให้อะไรมาแต่เราไม่รับ ก็ไม่ได้

    ดังตฤณ: ใช่ครับ ใช่

    พี่ฉอด: มีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการทำอะไรที่เป็นเรื่องร้ายแรง
    แต่ว่าไม่ได้ตั้งใจ เช่น ขับรถชนคนตาย หรือไปทำให้คนเขาเสียใจ
    หรือทำอะไรก็แล้วแต่ลงไป โดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ อันนี้ถือว่ามันจะเป็นบาปมั้ยคะ

    ดังตฤณ: เอาเรื่องการขับรถชนคนตายก่อนนะครับ
    คือต้องดูว่า ก่อนชนเนี่ย มีความประมาทอยู่รึเปล่า
    ถ้าไม่มี ก็ไม่บาปตอนเริ่มต้น คือไม่ได้ประมาทอยู่
    แล้วดูว่า ตอนที่ชนไปแล้ว แล้วเขาตายเนี่ย
    มันไม่ได้เกิดจากเจตนาที่เราจะไปฆ่า
    แต่เขาตั้งใจว่าจะขับรถไปตามธรรมดา
    แล้วมันมีเหตุสุดวิสัยเกิดขึ้น มันถึงเกิดการตายกันขึ้นมา
    พระพุทธเจ้าตรัสว่า 'กรรมคือเจตนา เจตนาคือกรรม'
    ไอ้ตัวความตั้งใจนี่แหละ ความจงใจนี่แหละ เป็นประธานของการก่อกกรรม
    ถ้าหากว่า ในขณะที่เราขับรถไปแล้วไม่มีเจตนาว่าจะไปไล่ชนใครเขาเนี่ยนะ
    ไม่ได้ไปล่าฆ่าใครเขาเนี่ย ตรงนั้น ไม่มีเรื่องของปาณาติบาตเกิดขึ้นในใจ
    คือปาณาติบาตยังไม่ได้ผุดขึ้นมา
    ทีนี้ ถ้าหากว่า เราพิจารณาในภายหลัง
    ว่าหลังจากที่ชนไปแล้ว แล้วเกิดการตายกันขึ้นมา ท่าทีของเราเป็นยังไง
    เพราะบางคนเนี่ย พอชนเสร็จ ก็หนีเลย ไม่รับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น
    กลัวจะติดคุก กลัวจะต้องเสียค่าปรับ กลัวจะต้องรับผิดชอบคนถูกชนนอะไรต่าง ๆ เนี่ยนะ
    ตรงนั้น มันกลายเป็นกรรมแบบเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่.. คือ ไม่ได้เจตนาฆ่าก็จริง
    แต่เสมือนว่ามีความเต็มใจให้เขาตาย คือทอดทิ้งเขา ดูดาย ไม่ดูแล
    ตรงนั้น ก็อาจจะเป็นบาปส่วนหนึ่ง บาปของการไม่ดูแล
    เพราะฉะนั้น เราต้องดู ว่าก่อนทำ ขณะทำ แล้วก็หลังทำ
    ก่อนชน ขณะชน แล้วก็หลังชน มีท่าทียังไง มีเจตนายังไง
    ถ้าก่อนชน ไม่ได้เจตนาฆ่า โอเค ตรงนั้นคุณไม่ใช่นักฆ่า
    แล้วถ้าหากว่า หลังชนแล้ว มีความรับผิดชอบ ตรงนั้นคุณมีใจเป็นกุศล
    ไม่ใช่มีใจที่คิดดูดาย ไม่ใช่มีใจที่คิดทำบาป โดยการปล่อยให้เขาตาย

    พี่ฉอด: เพราะฉะนั้น โดยวิธีคิดแบบนี้ก็ใช้กับการกระทำอื่น ๆ ด้วย
    ใช่มั้ยคะ มันใช้หลักการเดียวกัน

    ดังตฤณ: ใช่ครับ ใช่ มันขึ้นอยู่กับว่ามีเจตนาทำให้เป็นแบบนั้นรึเปล่า
    ตั้งใจให้เป็นอย่างนั้นรึเปล่า ถ้าหากว่ายิ่งตั้งใจหนักแน่นเท่าไหร่
    มันก็จะยิ่งมีผลเป็นบุญหรือเป็นบาปมากขึ้น เป็นอัตราเดียวกัน

    พี่ฉอด: ค่ะ ทีนี้มีคำถามเกี่ยวกับเรื่องของการทำบุญแทนน่ะค่ะ
    เช่น สมมติว่าเราไปทำบุญโดยที่เราบอกว่าเราให้กับคนนั้นคนนี้
    เหมือนกับเอาผลบุญเนี่ยให้คนอื่น เป็นไปได้มั้ยคะ

    ดังตฤณ: ถ้าหากว่าเขามีใจยินดีด้วย คือเขารับรู้ และก็ยินดีด้วย
    อย่างนั้น เขาก็ได้ส่วนบุญ แต่ถ้าหากว่าเราทำบุญแทนเฉย ๆ
    แล้วก็นึกอยู่ในใจคนเดียวโดยที่ไม่ให้เขารับรู้ด้วย อันนั้น เขาก็จะไม่ได้อะไร
    คือจะมีใจของเรานี่แหละได้เต็ม ๆ คือมีใจคิดเป็นทาน มีใจคิดเฉลี่ยบุญ
    และถ้าพูดถึงหลักธรรมชาติ ถ้าอันนี้พูดในแง่ของพลังอะไรทำนองนี้
    คนที่เป็นเป้าหมายอาจจะได้รับบ้าง ในแง่ของความรู้สึกสบายขึ้นมาชั่ววูบ
    เพราะเวลาที่เราคิดดีกับใคร มันจะมีพลังออกไป
    ถ้าหากว่าการคิดดีของเรามันมีความหนักแน่นมาก จิตของเราเป็นสมาธิใหญ่
    ตรงเจตนาดี เจตนาอุทิศให้คนอื่นเขาสบายเนี่ย มันจะไปถึงเขาจริง ๆ
    แต่เขาจะไม่รู้ ว่าความสบายนั้นได้มายังไง อยู่ ๆ ก็สบายขึ้นมาวูบนึง แล้วก็หายไป

    พี่ฉอด: แล้วอย่างเวลาที่เราทำบุญ แล้วก็บอกว่า
    อุทิศให้พ่อแม่ญาติพี่น้องอะไรอย่างนี้น่ะค่ะ มันได้ไปถึงจริง ๆ อย่างนั้นรึเปล่า

    ดังตฤณ: ตรงนี้เป็นเรื่องละอียดอ่อนนะครับ
    เพราะถ้าหากว่า เรามองกัน อันนี้ยกตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด
    สมมติว่าพ่อแม่เราไปเกิดเป็นเทวดา บุญที่เราทำ
    ถ้าหากว่าน้อย ๆ มันก็เหมือนกับ อยากเอาเงินร้อยบาทไปให้เศรษฐีที่มีเป็นหมื่นล้าน
    อะไรอย่างเงี้ยะ เขาก็ไม่สนใจ หรือสมมติว่าเขาจะอนุโมทนา แต่คือ...
    มันก็จะไม่มีกำลังใจที่จะทำให้เบิกบานในบุญของเราเท่าไหร่
    ถ้าเราทำบุญน้อย ๆ อะไรอย่างนี้น่ะนะ
    หรือไม่บางที สมมติน่ะนะ อันนี้สมมติว่า
    พ่อแม่เราไปอยู่ในที่ต่ำ สมมติไปอยู่ในท้องสัตว์
    ขณะนั้นไม่สามารถที่จะอนุโมทนาอะไรทั้งสิ้นได้แน่นอน เพราะจิตเป็นภวังค์อยู่
    หรืออย่างกลับมาเกิดเป็นคนอีก อยู่ในท้อง ก็อนุโมทนาไม่ได้
    หรือว่ารับส่วนบุญไม่ได้ อันนี้ยกตัวอย่างภาพที่ชัดเจนที่สุด
    เพื่อให้เห็นนะครับว่า การที่เราจะให้ใครรู้สึกยินดีในบุญร่วมกับเราเนี่ย
    มันต้องทำกันในขณะที่มีชีวิต ไอ้ที่ทำไปหลังจากตายไปแล้วเนี่ย
    มันมีนะ มีทางเป็นไปได้ อย่างเช่น ถ้าไปเป็นเปรต
    หรือเป็นวิญญาณที่พอจะรับส่วนบุญได้
    หรือว่าอนุโมทนาร่วมยินดีกับบุญได้เนี่ย อันนั้นก็มีสิทธิ์ แต่ยาก
     
  7. โทรจิต

    โทรจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2010
    โพสต์:
    101
    ค่าพลัง:
    +1,377
    พี่ฉอด: มีคำถามเรื่องคู่ ยังวน ๆ อยู่เรื่องคู่ ๆ นะคะ
    สมมติว่าเขาบอกว่ามันมีคนที่เป็นคู่กัน ที่บอกว่ามีอะไรที่พ้องต้องกันในสี่ข้อที่ว่า
    ทีนี้ มันก็อาจจะมีบางคู่ที่อยู่ด้วยกันไปแล้วก็เหมือนเป็นศัตรู
    ที่เขาเรียกว่าคู่เวรคู่กรรมอะไรกันมาแบบนี้
    อันนี้โอกาสในการที่จะไปพบไปเจอคนที่เป็นคู่ประเภทนี้เนี่ย
    เราจะต้องมีวิธีการทำอย่างไร

    ดังตฤณ: ก็ต้องทำความเข้าใจว่า ที่เป็นคู่เวรกันเนี่ย
    สาเหตุมันเพราะว่าอยู่ด้วยกันแบบไม่ดี อย่างเช่น พูดจาหยาบคายต่อกัน
    หรือว่ามีการแสดงอารมณ์เกี้ยวกราดต่อกันอยู่เรื่อย ๆ
    หรือว่ากระทั่งไปนอกใจกัน หรือว่ามีการทำร้ายกัน ตบตีกัน หรือกระทั่งฆ่ากัน
    พวกนี้ จะมีความผูกมัดกัน พอมาเจอกันใหม่ จะเหมือนคล้าย ๆ
    อาศัยแรงดึงดูดทางกามารมณ์ หรือว่าเพศสัมพันธ์มาเป็นสื่อ
    แต่พอมาอยู่ด้วยกันแล้ว ก็จะอยู่ด้วยกันด้วยความรู้สึกที่ต่ำ
    มันจะมีเหตุบันดาลหรือว่ามีเหตุจูงใจให้เกิดความเกรี้ยวดกราดใส่กันอีก
    หรือว่าให้เกิดความรู้สึกไม่ดีต่อกันอีก หรือว่าอยากนอกใจกันอีก
    ตรงนี้ มันก็เลยกลายเป็นคู่เวร คือพอเจอกันแล้วเนี่ย ก่อเวรต่อกันไปไม่รู้จบ
    ทีนี้ ถ้าหากว่าอยากเปลี่ยนภาวะของคู่เวรให้เป็นคู่บุญ
    ก็ต้องมาทำความเข้าใจพื้นฐานร่วมกัน
    ว่าที่ต้องมาเป็นคู่เวรกันเนี่ย เพราะทำไม่ดี พูดไม่ดี คิดไม่ดี ต่อกันมาก่อน
    มันถึงได้เกิดเหตุการณ์อะไรแบบนี้ขึ้นมา
    อะไรนิดอะไรหน่อยมันเป็นเรื่องได้หมด อะไรอย่างนี้น่ะนะ
    ถ้าหากว่าทำความเข้าใจอย่างนี้แล้ว และก็พยายามจะเปลี่ยนแปลงให้มันเป็นตรงกันข้าม
    คือเริ่มจากคิดดีต่อกันก่อน คือมีทัศนคติที่ดีต่อกัน
    ว่า เออ ไหน ๆ ก็มาผูกมัดกันแล้ว พยายามร่วมมือกัน ทำให้อะไร ๆ มันดีขึ้น
    ทำให้ความสัมพันธ์ข้างหน้ามันมีความสว่าง ไม่ใช่มีแต่ความมืดอย่างที่เป็นอยู่
    พอคิดดีอย่างนี้แล้ว มันก็จะได้เริ่มมีแก่ใจที่จะพูดดีต่อกัน
    ไอ้ที่ไม่เคยมีแก่ใจที่จะพูดหวาน ๆ
    ไอ้ที่ไม่เคยมีแก่ใจเรียกกันด้วยสรรพนามที่มันไพเราะเสนาะหู มันก็จะเริ่มมีแก่ใจ
    แล้วทีนี้ การประพฤติปฏิบัติต่อกัน ซื่อสัตย์ต่อกัน ไม่นอกใจกัน มันก็จะตามมาอีก
    ตรงนี้ล่ะครับ ที่ในที่สุดมันพลิกทางได้ มันเปลี่ยนทางได้ จากคู่เวรเป็นคู่บุญ

    พี่ฉอด: ซึ่งเมื่อกี้ฟังบอกว่า สมมติว่าถ้าเราทำบุญให้นี่
    มันก็ต้องมีทั้งความรู้สึกในการให้ มีความรู้สึกในการรับ
    พอเป็นคู่กัน ก็ต้องมีทั้งความตั้งใจในการที่จะเปลี่ยนแปลงร่วมกันอะไรอย่างเงี้ยะ
    มันเหมือนกับว่ามันต้องเป็นสองฝ่ายอยู่ตลอด

    ดังตฤณ: ใช่ครับ

    พี่ฉอด: มันมีโอกาสมั้ยคะที่เราฝ่ายเดียว คืออยากจะเปลี่ยน หรือว่าอยากจะให้
    หรืออยากจะทำอะไรให้ใคร แล้วอีกคนเขาไม่รู้ ไม่ร่วมมืออะไรอย่างเนี้ย

    ดังตฤณ: มีทางครับ มีทาง แต่ว่าเราต้องเหนือกว่าเขามาก ๆ
    เหนือกว่าจนกระทั่งเป็นแรงบันดาลใจให้เขา
    อย่างมีนะครับ คือคู่เวรเนี่ยนะ พอมาเจอกันแล้ว เหมือนต้องมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้ง
    เรื่องน่าหงุดหงิด เรื่องไม่พอใจคอบครัวของแต่ละฝ่าย ไม่ชอบ อะไรอย่างเนี้ยะ
    มันมีแต่ปัญหาเยอะแยะไปหมด
    แต่ว่า อันนี้เคยเห็นมานะครับ ฝ่ายหนึ่งมีความตั้งใจที่แน่วแน่มาก
    ที่จะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่าง คือต่อให้อีกฝ่ายร้ายมายังไง ก็พยายามทำใจ
    คือไม่ใช่พยายามทำใจแบบหงอนะ
    เพราะถ้าหงออย่างเดียวเนี่ย มันก็ปล่อยให้เขาร้ายไปเรื่อย ๆ

    พี่ฉอด: เขาก็ยิ่งร้ายใหญ่

    ดังตฤณ: ใช่ ธรรมชาติคนมันจะเป็นแบบนั้น
    แต่คือ... มีการพยายามเอาชนะอีกฝ่าย ด้วยความดีงาม
    ด้วยความรู้สึกที่เป็นกุศล ด้วยความรู้สึกที่ทำให้เขาเห็นว่าความดีมันมีจริง
    และผลของความดีคือมันจะได้เป็นสุข
    คือหมายความว่า ให้อภัยได้ไม่มีขอบเขต
    และในขณะเดียวกัน คือไม่ใช่ให้อภัยแบบไม่พูดอะไรเลย ไม่ชี้แจงอะไรเลย
    แต่พยายามค่อย ๆ พูด ค่อย ๆ ชี้แจง ค่อย ๆ ทำความเข้าใจ
    ด้วยความสงบ ด้วยความเยือกเย็น ด้วยความมีใจเมตตาจริง ๆ
    พอผ่านเดือนผ่านปีไป ...เขาทนไม่ได้หรอกครับ
    คนทุกคนเนี่ย พร้อมที่จะดี เพียงแต่ไม่มีแรงบันดาลใจให้ดี
    แต่ทีนี้ถ้าหากว่าได้มาอยู่ใกล้กับคนที่มีความตั้งใจแน่วแน่จริงๆ
    ผ่านเดือนผ่านปีไปเนี่ย ในที่สุด กำแพงนั้นมันก็พัง กำแพงทิฏฐิ กำแพงอะไรต่อมิอะไร
    กำแพงบาปมันก็พังทลายลงไป แล้วก็ยอมอ่อนให้กับความดี
    เพราะว่าหลักการเลยนะครับ ถ้าหากว่า มีใครคนนึง
    ที่ยอมใช้เวลา ยอมอุทิศตัว ทำตัวเป็นแบบอย่าง ทำตัวเป็นแรงบันดาลใจ
    จะต้องมีผลกระทบ เขาจะต้องได้รับแรงบันดาลใจในจุดใดจุดหนึ่งเสมอ

    พี่ฉอด: ค่ะ คงได้อีกซักคำถามนึง มีคนฝากถามถึงเรื่องของการทำบุญ
    ว่าจำเป็นมั้ยคะที่ต้องมีเรื่องของการกรวดน้ำ อุทิศส่วนกุศลให้อะไรต่าง ๆ
    อันนี้เป็นความถูกต้องหรือเปล่าในการทำบุญ

    ดังตฤณ: คือเจตนาที่เป็นุบุญ เจตนาที่เป็นกุศลเนี่ย
    เป็นความสว่าง เป็นความอบอุ่น เป็นความดีในตัวเองอยู่แล้ว
    เรื่องการกรวดน้ำ ไม่ได้อยู่ในสารบบของพุทธศาสนา นะครับ
    แต่อย่างไรก็ตาม น้ำเนี่ย ตามความเชื่อแบบนึง เขาก็บอกว่าเป็นสื่อข้ามมิติได้
    คือมีลักษณะที่เป็นตัวกลางอะไรบางอย่างที่เชื่อม ที่ส่งถ่าย
    จากมิติหนึ่งไปสู่อีกมิติหนึ่ง เพราะว่าทุกมิติจะมีน้ำ
    ตรงนั้นเราพูดได้ว่า ที่ต้องมีการกรวดน้ำ เพราะต้องการสื่อ
    และสิ่งที่เห็นได้เป็นรูปธรรมก็คือ มันจะเหนี่ยวน้ำให้จิตของเราไปอยู่กับความเย็นของน้ำ
    ก็ทำให้นึกถึงว่า เออ น้ำเนี่ย แทนบุญแทนกุศลที่เราได้ทำไป
    แล้วก็ได้เทให้กับคนที่อยู่ในภพอื่น
    แต่ขอชี้ว่า กระแสของจิตนั่นแหละ เป็นสื่อข้ามภพข้ามมิติที่ดีที่สุด ดีกว่าน้ำ
    เพราะว่าจิตนั่นแหละ ที่มันสามารถเชื่อมถึงกันได้โดยไม่ต้องมีการเห็น การได้ยิน มาประกอบ
    อย่างสมมติว่า เรารู้สึกถึงใครเป็นพิเศษที่เขาล่วงลับไปแล้ว ด้วยความแน่วแน่
    จนกระทั่งมันเกิดความรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา เราก็ อ้อ สงสัยนี่เขาอยู่บนสวรรค์
    หรือว่าพอระลึกถึงใคร ที่เป็นญาติผู้ใหญ่ที่เรารัก
    ที่เราเป็นห่วงอะไรอย่างนี้ แล้วเพิ่งเสียไปเนี่ย
    เราเกิดความรู้สึกกระวนกระวาย เราเกิดความรู้สึกกลัว
    หรือว่าบางทีฝันร้าย ตรงนั้น เราก็รู้สึก อ้อ สงสัยเขาไปไม่ดี
    นี่แสดงให้เห็นว่า กระแสจิตมันเชื่อมกันได้ มันเข้าถึงกันได้ มันสัมผัสกันได้
    ทีนี้ถ้าหากว่าเรามองในแง่ของการอุทิศบุญ อุทิศกุศลเนี่ย
    เราเพียงตั้งใจให้แน่วแน่นะครับ
    รู้ว่ากุศลที่เราทำไปแล้ว มันมีความอบอุ่นยังไง มันมีความเป็นตัวเป็นตนยังไง
    แล้วเรานึกถึงใครอีกคนนึง เสมือนกับว่าเรายื่นขนมก้อนนึงให้เขา หรืออาหารจานนึงให้เขา
    ตรงนั้น มันจะชัดเจนยิ่งกว่าการได้ไปกรวดน้ำ
    แต่ถ้าใครยังรู้สึกว่าติดอยู่กับการกรวดน้ำ หรือว่าจะต้องกรวดน้ำ
    อันนั้นก็ไม่ใช่ความผิดนะครับ ก็ทำได้
    ก็ทุกวันนี้เวลาผมไปทำสังฆทาน ผมก็กรวดน้ำ ตามธรรมเนียมเขา

    พี่ฉอด: คงมีคำถามอีกเยอะมากเลยนะคะ ที่เราคงไม่มีเวลาพอในการตอบ
    ทีนี้ อยากฝากนิดนึงสำหรับคุณผู้ฟังที่ฟังอยู่แล้วเกิดรู้สึกมีข้อข้องใจ
    แล้วอยากถามไถ่คุณตุลย์ แบบที่เรามานั่งคุยกันวันนี้เนี่ย
    จะมีช่องทางหรือมีวิธีการยังไงบ้างมั้ยคะที่จะติดต่อกับคุณตุลย์

    ดังตฤณ: ตอนนี้ผมก็... มีจดหมายข่าวจากเว็บดังตฤณดอททอมอยู่น่ะนะ
    ก็เป็นการพูดคุยกันเรื่องทั่ว ๆ ไป ทุกอาทิตย์นะครับ
    ทุกวันพฤหัส ผมก็จะส่งจดหมายข่าวออกไป สำหรับสมาชิก
    นะครับ คือคงเป็นในรูปแบบนั้นมากว่า เพราะว่าถ้าตอบคำถามของทุกคน ตอนนี้คงไม่ไหว
    แต่ผมก็ก็ทำคอลัมน์ 'เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว' อยู่ในนิตยสารบางกอก
    ก็จะเป็นการรวบรวมคำถามที่คนส่วนใหญ่อยากรู้ หรือไม่ก็เขียนจดหมายมาโดยตรง
    เขียนอีเมล์ หรือว่าส่งผ่านนิตยสารบางกอกเนี่ยนะครับ
    ก็จะมีรวบรวมไปเก็บไว้ที่นั่น เยอะเลยครับ

    พี่ฉอด: ก็คงจะติดตามกันได้นะคะ
    รวมถึงหนังสือหลาย ๆ เล่มที่คุณตุลย์เขียนออกมาด้วย
    วันนี้ 'คืนพิเศษ คนพิเศษ' ขอบคุณคุณดังตฤณ
    หรือว่าคุณตุลย์ของเรามาก ๆ เลย (เสียงปรบมือ)
    ที่เป็นแขกรับเชิญพิเศษของเราวันนี้ และก็ต้องบอกว่า
    วันนี้คงทำให้คุณผู้ฟังชาวกรีนเวฟของเรา
    ได้รับอะไร ๆ กันไปมากมายพอสมควรทีเดียวนะคะ
    มีอะไรอยากฝากนิดนึงสุดท้ายมั้ยคะ

    ดังตฤณ: ก็... ความอบอุ่นใจนี่ก็มีหลายแบบนะครับ
    สำหรับตาเปล่าเนี่ย เราจะยึดเอาบ้าน เอารถ เอาเสื้อผ้า เอาบุคลิกของตัวเอง
    กับคนที่รักเนี่ย เป็นความอบอุ่น เป็นความปลอดภัย เป็นความมั่นคง
    ยิ่งดูไฮคลาสมากเท่าไหร่ ก็เหมือนยิ่งจะน่าอบอุ่นมากขึ้นเท่านั้น
    แต่สำหรับคนที่ศรัทธาในกรรมวิบาก
    จะเห็นว่า ที่พึ่งอันน่าอบอุ่นใจสูงสุด มีอยู่ประการเดียวคือ
    คือกรรมขาวของตัวเอง คือกุศล คือบุญของตัวเอง
    อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า เมื่อกายนี้แตกทำลายลงไปแล้ว
    ทรัพย์สิน บ้านเรือน และก็ลูกเมีย ต่างก็ต้องถูกทอดทิ้งไว้ในโลกนี้
    มีสมบัติติดตัวเดียวที่สามารถติดตัวเราไปได้ก็คือ 'กรรม'
    กรรมจะเป็นที่พึ่ง เป็นแดนเกิด
    แล้วก็จะเป็นพลังบันดาลให้ชีวิตเป็นไปตามทิศทางอันเหมาะสมเสมอ
    ครับ ก็อยากฝากไว้เท่านี้ครับ

    พี่ฉอด: ค่ะ ขอบคุณคุณตุลย์มากเลยนะคะ

    ดังตฤณ: ขอบคุณพี่ฉอดเช่นกันครับ

    พี่ฉอด: ค่ะ แล้วติดตาม 'คืนพิเศษ คนพิเศษ' ต่อไปในเดือนหน้านะคะ
    ใครจะเป็นแขกรับเชิญคนพิเศษของเรา คืนนี้ราตรีสวัสดิ์ค่ะ สวัสดีค่ะ

    ดังตฤณ: ราตรีสวัสดิ์ครับ สวัสดีครับ
    . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

    ผมรู้สึกว่าคำถามเกือบสุดท้าย จะมาจากความรู้สึกส่วนตัวของคุณพี่ฉอดนะครับ
    ซึ่งมันโดนมาก


    วังน้ำวนแม้วนแรงเร่า ไม่เท่ารักวน
    วังรักวน วนด้วยเล่ห์กล วกวนล้นไป
    หากใจใครถลำรักกล
    รักพาใจวน หลงจนเวียนใจ
    สุดปัญญา สุดหาทางไป
    ทุกข์ทนจนใจอยู่ใน วังรักวน
    รักลึกล้นกลสวาท
    อาจจะก่อกวนหัวใจให้มัวหม่น
    เล่ห์ความรักวน
    เปรียบน้ำวนใครถูกวนต้องหลง


    จบด้วยประการฉะนี้

    สัมภาษณ์ดังตฤณในรายการกรีนเวฟ FM 106.5
    สัมภาษณ์ ‘ดังตฤณ'
    ช่วง ‘คืนพิเศษ คนพิเศษ' ครั้งที่ ๗๙
    รายการ กรีนเวฟ FM ๑๐๖.๕
    วันเสาร์ที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๔๘
    เวลา ๒๑.๐๐ น. – ๒๔.๐๐ น.

    ถอดเทปเป็นตัวหนังสือโดย อลิสา ฉัตรานนท์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กันยายน 2010

แชร์หน้านี้

Loading...