คู่บาป

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย rinnn, 29 มกราคม 2007.

  1. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,025
    เรื่องที่ ๑๕
    คู่บาป
    โดย.. เลิศ ตาลเดี่ยว จากหนังสือ “กรรมตามทัน” เล่มที่ ๗​
    ************************​
    ผมมันบ้า อยู่ดีไม่ชอบ ดันไปล่อแฟนที่กำลังบวชชีเข้าให้ ผลออกมา ถูกกรรมตามล้างจนไม่รู้จบสิ้น เรื่องของผมมีดังนี้ คือ เมื่อครั้งเป็นหนุ่ม ผมหลงรักสาวในหมู่บ้านเดียวกันอยู่ ๒ คน คือ นิด กับ พา ผมรักนิดมากกว่าพาหน่อย แต่สำหรับเธอทั้งสอง นิดไม่ค่อยสนใจผมนัก แต่พารู้สึกจะรักผมมากเอาการอยู่ ด้วยเหตุที่ไม่รักผม ในระยะต่อมา นิดจึงแต่งงานกับหนุ่มต่างบ้านที่เธอรักไป
    ตอนแรกผมเสียใจอยู่มากที่นิดตีจาก ผมจึงเฉย ๆ ละเลยต่อพาเรื่อยมา ทำเอาพาหงอยเหงาลงอย่างผิดสังเกต ในช่วงที่ผมเฉยเมยต่อเธออยู่นั้น ก็พอมีหนุ่มต่างบ้านคนที่แอบชอบเธออยู่แล้ว คิดลัดคิวขอแต่งงานด้วย พ่อแม่เธอเห็นฝ่ายนั้นฐานะดีมีหลักฐาน จึงเห็นชอบรับปาก พาให้เหตุผลยังไม่พร้อมจะแต่งงาน ให้ระงับไว้ก่อน ขอไปบวชชีสักระยะ จิตใจสบายเมื่อไหร่ สึกออกมาค่อยว่ากันอีกที ซึ่งพ่อแม่เธอก็จนใจ ไม่อยากบังคับ
    พาไปบวชชีอยู่ที่วัดป่า วัดนั้นเป็นวัดกัมมัฎฐานอยู่ห่างจากหมู่บ้านราว ๒๑ กิโลเมตร วัดแห่งนี้ในแต่ละปีจะมีพระอยู่จำพรรษาแค่ ๕ – ๖ รูป บางปีก็มีแค่ ๒ – ๓ รูป ส่วนแม่ชีนั้นก็มีจำนวนไล่ ๆ กัน ปกติก็เป็นผู้หญิงค่อนข้างมีอายุในหมู่บ้านนั่นเอง ออกมาบวชกัน นาน ๆ จะมีสาว ๆ ออกบวชสักคน แต่พวกสาว ๆ นี้ มักอยู่ไม่นานก็สึกออกมา และในปีนั้นก็มีแม่ชีแก่ ๆ อยู่แค่ ๓ รูป พาบวชเข้าไปเพิ่มเป็น ๔ และเธอก็เป็นชีสาวอยู่เพียงคนเดียว โดดเด่นอยู่ในหมู่ชีกลุ่มนั้น (เข้าใจว่าบวชชีพราหมณ์)
    ๖ เดือนผ่านไปที่พาบวช ยังไม่มีทีท่าว่าเธอจะสึก ทั้ง ๆ ที่ได้ข่าวว่าหนุ่มนั้นรอไม่ไหว ได้แต่งงานกับหญิงอื่นไปแล้วก็ตาม วันเวลาที่ผ่านไป นิดแต่งงานไปปีเศษ พาหนีไปบวช ๖ เดือน ผมลืมนิดได้อย่างสนิท แต่กับพาผมเริ่มคิดถึงเธอมากขึ้น คิดอยากจะไปทาบทามชวนเธอสึกออกมาแต่งงานกัน แต่ก็ยังสงวนท่าทีอยู่ ดูทีว่าเธอจะอยู่ไปได้นานสักแค่ไหน จนปีผ่านไปก็ยังไม่มีวี่แววว่าเธอจะสึก ผมชักร้อนใจ เอ๊ะ ! หรือว่าเธอซึ้งในรสพระธรรม ตัดห่วงทางโลกไปแล้วก็ไม่รู้ อย่าเลย ขืนชักช้าคงไม่ได้การ ต้องไปหยั่งเชิงหาทางชวนเธอสึกออกมาแต่งงานกันให้ได้
    กำลังมีความคิดแบบนี้อยู่ก็เลยประจวบเหมาะ คือ ช่วงนั้นเป็นหน้าฝนปลายเดือน ๗ ผมเองนอกจากมีอาชีพทำไร่ ทำนาแล้ว ผมยังเป็นช่างไม้ฝีมือดีคนหนึ่งของหมู่บ้านอีกด้วย วันหนึ่ง ลุงมรรคทายกวัดมาบอกให้ผมลงไปช่วยซ่อมกุฏิหลังหนึ่งที่วัดป่า ที่กำลังชำรุดทรุดโทรม ผมไปพร้อมชาวบ้าน ๔ – ๕ คน เราทำอยู่จน ๕ โมงเย็นก็แล้วเสร็จ
    พองานเสร็จเพื่อนบ้านก็พากันกลับ ส่วนผมบอกพวกเขาว่า ขอนั่งพักก่อน เดี๋ยวจะกลับทีหลัง พอเพื่อนบ้านคล้อยหลังไปแล้ว ผมก็ย่องไปหาแม่ชีที่รักในทันใด กุฏิแม่ชีพานั้นแทรกอยู่ในหมู่ไม้ทางด้านทิศตะวันตกของวัด ห่างจากกุฏิของแม่ชีอื่น ๆ พอสมควร พอไปถึงผมเห็นเธอนั่งถักถุงบาตรอยู่ที่ระเบียงกุฏิ
    เมื่อเธอเหลือบเห็นผมเข้า ดูเธอแปลกใจไม่น้อย ร้องถามผมขึ้นก่อนว่า “มาทำไม มีธุระอะไร ?”
    “ไม่ได้พบกันนาน มีเรื่องอยากจะคุยด้วย วันนี้ลงมาช่วยเขาซ่อมกุฏิ เห็นเป็นโอกาสดีก็เลยแวะมาเยี่ยม” ผมตอบ
    “เรื่องอะไรที่อยากคุยด้วย” เธอซัก
    “ก็เรื่องเก่า ๆ ของเรานั่นแหละ” ผมตอบ
    “ฮึ นึกว่าพี่เริงจะลืม สำหรับฉันไม่เคยลืมเลย แต่ก็ทำใจได้” เธอหลบตาผมอาย ๆ
    “อยู่มานานแล้วไม่คิดสึกบ้างเหรอ เรามาเริ่มต้นกันใหม่ดีไหม ตอนนี้พี่สำนึกแล้ว คิดถึงพาทุกวันเลย คือ พี่อยากจะมาชวนพาให้สึกอกไปแต่งงานกับพี่ไงล่ะ” ผมว่าแบบง่าย ๆ รวบรัด
    “พี่เริงแน่ใจเหรอที่มาพูดเช่นนี้” เธอย้ำ
    “แน่ยิ่งกว่าแน่” ผมตอบ
    พอผมยืนยันเช่นนั้น เธอก็ตัดพ้อย้อนหลังเอากับผมอย่างน้อยอกน้อยใจว่า “แหม....ก็ถ้าพี่เริงตัดสินใจแต่งงานกับฉันไปซะแต่แรก เรื่องมันก็คงจะเรียบร้อยไปแล้ว ฉันก็ไม่ต้องหลบมาบวชชีอยู่อย่างนี้หรอก”
    “ก็หมายความว่า พาพร้อมที่จะสึก เพื่อแต่งงานกับพี่แล้วใช่มั๊ย” ผมถามแบบขอความจริง
    “ถ้าพี่เริงพร้อม พาก็พร้อม เมื่อไหร่ดีล่ะ” เธอยืนยันหนักแน่น
    ครับท่านผู้อ่าน...... ผลการหยั่งเชิงหนึ่งปีเต็ม ๆ ที่เธอหนีมาบวช ก็ปรากฎว่าผมยังเป็นหนึ่งเดียวในดวงใจของเธอตลอดมา เราคุยกันไปเรื่อย ๆ ทั้งเรื่องหลังที่ผ่าน และเรื่องที่จะเป็นไปในวันข้างหน้าของเรา ที่สุดพาตกลงจะไปบอกพ่อแม่ให้ทราบในเรื่องนี้ แล้วจะรีบสึกภายใน ๗ วัน หรือ อย่างช้าไม่เกิน ๑๐ วัน เพราะถ้าขืนช้าไปกว่านี้ เดี๋ยวจะเข้าพรรษาซะก่อน หากสึกในพรรษาคงไม่เหมาะ
    สำหรับผมก็บอกกับพาว่า เมื่อเธอสึกจะไปสู่ขอทันทีเช่นกัน คิดว่าคงไม่มีปัญหา เพราะว่าที่จริงแล้ว พ่อแม่ของพาก็ชอบพอผมอยู่เช่นกัน เราคุยกันเป็นที่เข้าอกเข้าใจทุกอย่างแล้ว ผมก็ว่าจะลาเธอกลับ แต่นรกเป็นใจอะไรอย่างนั้น หมู่เมฆที่อึมครึมตั้งเค้ามาตั้งกะตอนบ่าย ถูกลมพัดเคลื่อนคล้อยลอยต่ำ แล้วเม็ดฝนก็เทกระหน่ำลงมาราวกับฟ้าทะลุ
    ผมกลับบ้านไม่ทันจึงขึ้นไปหลบฝนอยู่ที่บนกุฎิกับแม่ชี พายุเริ่มโหมมาเป็นพัก ๆ ทำเอาต้นไม้น้อยใหญ่ภายในวัด ต่างโอนเอนเสียดสีกันหวีดหวิวอื้ออึงอยู่ไปมา อีกความมืดก็โรยตัวเข้ามาทุกขณะ และชั่วเวลาไม่นาน บริเวณป่าใหญ่ภายในวัด ก็มืดมิดไปทั่ว แต่พายุฝนก็ยังโหมกระหน่ำ ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ตรงระเบียงกุฏิหลังเล็กของแม่ชี ถูกฝนสาดเปียกไปทั่ว เราทั้งสองต่างหนาวสั่นไปด้วยกัน ไม่อาจจะอยู่ข้างนอกต่อไปได้ จึงพากันหลบฝนเข้าไปในกุฏิปิดประตู
    ท่ามกลางบรรยากาศอันมืดมน คละเคล้าไปกับสายฝนกระหน่ำแรงภายนอก....ภายในจิตใจของเราก็มืดมนอนนธการ และถูกกระหน่ำแรงด้วยไฟรัก ไฟราคะ จนสุดที่จะระงับได้ ผมรั้งแขนแม่ชีที่รักเข้ามาโอบกอดไว้แน่น ซึ่งแม่ชีก็เต็มใจซบหน้ากับอกของผม และโอบกอดตอบรับผมไว้แน่นเช่นกัน เรากอดกันกลมดิกอยู่เนิ่นนาน ผมจูบใบหน้าอันอูมอิ่มของเธอ ซอกไซร้อยู่ไปมาอย่างไม่รู้เบื่อ และแล้ว เราก็เต็มใจได้เสียกันอย่างไม่เกรงต่ออาญานรกอเวจี
    คืนนั้นผมสมสู่อยู่กับเธอครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งค่อนรุ่ง ฝนซาฟ้าเกือบสาง ผมจึงร่ำลาเธอหลบออกจากวัดไป ทุกอย่างเป็นไปตามที่พูดกัน พาไปบอกพ่อแม่ของเธอ ซึ่งท่านทั้งสองก็เห็นด้วย ที่จะให้พาสึกมาแต่งงานกับผม และทางพ่อแม่ของผมก็เห็นดีด้วย ที่เราจะแต่งงานอยู่กินกัน ดังนั้น เพียงไม่ถึง ๕ วัน พาก็สึกออกมา และผมเองก็ไม่รอช้า รีบไปขอเธอปุ๊บปั๊บในวันที่เธอสึกมานั้นเลย เล่นเอาชาวบ้านแปลกใจไปตาม ๆ กัน จากนั้นอีกไม่กี่วัน พอย่างเข้าเดือน ๘ ได้ฤกษ์ที่ผู้ใหญ่กำหนด เราก็แต่งงานกันอย่างถูกต้องตามประเพณี
    เมื่อแต่งงานกันแล้ว ผมไม่อยู่บ้านพ่อตาแม่ยาย แต่รับเอาเมียมาอยู่บ้านของตัวเอง ซึ่งผมมีที่ดิน มีบ้านเป็นของตัวเองอยู่แล้ว จากนั้นเราสองก็อยู่กันอย่างมีความสุข ตามประสาผัวหนุ่มเมียสาว ข้าวใหม่ปลามัน
    เพียง ๒ เดือนเศษ เมียของผมก็มีอาการโอ๊กอ๊ากตามประสาของคนจะมีลูก พาตั้งท้องได้ ๓ เดือน เธอก็ได้รับอุบัติเหตุตกบันได ขณะกำลังหาบน้ำขึ้นบ้าน ผลก็คือ เธอแท้งตกเลือดมากจนสลบ ไปฟื้นเอาที่โรงพยาบาล จากการแท้งในครั้งนั้น สุขภาพของพาไม่ค่อยจะดี ดูเธอจะเจ็บออด ๆ แอด ๆ เป็นโน่นนิด นี่หน่อย อยู่เรื่อยมา
    นับแต่นั้นมาจน ๑๐ ปี ผ่านไป พาก็ไม่เคยตั้งท้องอีกเลย รู้สึกระยะหลังนี้ ประจำเดือนของเธอมักมาไม่เป็นปกติ บางครั้งขาดไปเป็น ๓ เดือน ๔ เดือน มาทีบางครั้งก็ร่วมปีถึงจะมาก็ยังมี จากเหตุดังกล่าว พาเองเริ่มมีอาการทางประสาทควบคู่กันไปด้วย บางครั้งอยู่ดี ๆ เธอจะด่าคนโน้น บ่นคนนี้ ในหมู่ญาติบ้านใกล้เรือนเคียงอยู่เป็นประจำ บางครั้งก็ขว้างปาถ้วยชามแตกโครมครามอย่างไม่มีเหตุผล บางทีก็ไม่ยอมหลับนอน นั่งบ่นอยู่ทั้งคืน
    นับวัน นับเดือน นับปี อาการดังกล่าวของเธอพอกพูนขึ้นทุกขณะ ทั้ง ๆ ที่ผมก็พาไปรักษาทั้งหมดราษฎร์ หมอหลวง รวมทั้งหมอผีไสยศาสตร์หลายแห่ง รวมแล้วหมดเงินเป็นหมื่นเป็นแสน แต่อาการของเธอไม่กระเตื้อง ดูเหมือนจะแก่กล้ากำเริบขึ้นตามอายุ จนที่สุด เมียผมก็เข้าข่ายคนวิกลจริต เป็นบ้า เดินแก้ผ้าโทง ๆ บ่นเพ้อไปตามถนน บางครั้งก็ถือมีดถือไม้ไล่ตี ไล่ฟันผู้คน จนน่าหวาดเสียว ผมเห็นท่าไม่ได้การ จึงพร้อมกับญาติ ๆ ช่วยกันจับมาล่ามโซ่ จัดห้องพิเศษกักขังเอาไว้อย่างแน่นหนา
    นับแต่เธอเป็นบ้าวิกลจริตเป็นต้นมา ภาระการงานทางบ้านทุกชนิด ทุกประเภท เป็นต้นว่า ทำไร่ ทำนา ตักน้ำ นึ่งข้าว หาฟืน ซักเสื้อผ้า ออกไร่ไปนา เข้าป่าหาอาหาร ล้างถ้วยล้างชาม จิปาถะ ต้องตกเป็นหน้าที่ของผมแต่ผู้เดียว
    เมื่อจับเธอขัง ผมก็ต้องคอยดูแลจัดสำรับ ส่งข้าว ส่งน้ำ ให้ตามเวลา แม้แต่เวลาขี้เยี่ยวผมก็ต้องคอยจัดการ การณ์เป็นอยู่อย่างนั้น นับเดือน นับปี ผมต้องได้รับทุกข์อย่างหนัก ทั้งกายแหละใจเรื่อยมา ก็มีบ้างเป็นบางครั้งที่ผมเห็นอาการของเธอทำท่าจะดีขึ้น เลยลองปล่อยดู แต่ก็ไม่วายเข้ารอยเดิม คือ เดินแก้ผ้า ออกอาละวาดอีก ผมจึงจำใจนำมากักขังไว้ต่อไป
    ผมล่ามโซ่กักขังเธอไว้อย่างนั้นจน ๕ ปี ผ่าน อาการเป็นง่อยของเธอก็ปรากฎขึ้น แข้งขาเธอลีบเล็กลงไป ไม่อาจจะลุกยืนได้เหมือนก่อน ถึงตานี้ผมปลดโซ่ออกจากข้อเท้าของเธอ แต่ยังคงกักขังเธอต่อ เพราะคำพูดคำด่าทอบ่นเพ้อ และการขว้างปาสิ่งของต่าง ๆ เธอยังกระทำอยู่
    ล่วงไปอีก ๓ ปีผ่าน ดวงตาของเธอเริ่มมืดมัวลง มองอะไรไม่ค่อยเห็น จะหยิบจะจับอะไรแต่ละที ต้องลูบ ๆ คลำ ๆ ถึงตอนนี้ผมเลิกกักขังเธอแล้ว เพราะเธอไปไหนไม่ได้ สิ่งที่เธอทำได้อยู่ก็คือ การบ่นเพ้ออยู่ตามเดิมเท่านั้นเอง
    นับแต่เธอเป็นบ้า ถูกจับขัง จนกระทั่งกลายเป็นง่อย ตาบอด รวมเวลาแล้วได้ ๘ ปี ก็มีหญิงหม้ายคนหนึ่งมาเห็นอกเห็นใจ ในความทุกข์ยากของผมเข้า ก็เลยยินดีที่จะแต่งงานกับผม เพื่อมาช่วยเหลือแบ่งเบาภาระ ผมเองถือว่าเป็นโชคในยามยาก จึงตกลงอยู่กินกับเธอแบบง่าย ๆ อย่างไม่มีพิธีรีตอง
    เมื่อมีเมียคนที่ ๒ ซ้อนเข้ามา เธอก็ช่วยแบ่งเบาภาระผมไปได้มาก สุขภาพจิตของผมในตอนนั้นค่อยดีขึ้นบ้าง แต่ทว่า ผมมีความสุขอยู่กับเธอชั่วประเดี๋ยวประด๋าว คือ ๑ ปี กับ ๘ เดือน เมียคนที่สองของผม ก็มีอันล้มหายตายจากผมไปด้วยโรคไข้มาลาเรียขึ้นสมอง
    เมื่อประสบกับเหตุการณ์เช่นนั้น ผมเองในตอนนั้นถึงกับทอดถอนใจในโชคชะตา .....เฮ้อ นี่มันอะไรกัน คนที่น่าจะตายไม่ยักตาย คนที่ไม่น่าจะตายกลับตาย ลงท้าย ผมก็ต้องแบกทุกข์หนัก คอยดูแลเมียคนแรกต่อไปตามลำพัง
    นับตั้งแต่ พ.ศ. นั้น จนถึงวันนี้ มันจำเจ เนิ่นนาน จนไม่อยากจะจำ การณ์ทั้งหมดก็ยังเป็นอยู่ในสภาพเดิม ผมเองก็ทรุดโทรมไปมากทั้งร่างกายและจิตใจ ส่วนพานั้นแทบไม่ต้องพูดถึง ผมร่วงเกือบหมดทั้งหัว ดวงตากลวงโบ๋ เหลือแค่หนังหุ้มกระดูก ผมนึกย้อนหลังถึงเหตุการณ์ในอดีต
    ความจริงในเย็นวันนั้น หากฝนฟ้าไม่ตก ผมก็คงลาเธอกลับ รุ่งเช้าเธอก็คงไปบอกพ่อแม่ จากนั้นเธอก็ต้องสึก แล้วเราก็ต้องแต่งงานกับตามครรลอง เพราะเราเข้าใจ ตกลงกันไว้แล้วเป็นมั่นเป็นเหมาะ แต่นรกเป็นใจ ดลให้ฟ้าฝนตกสกัดลัดทาง สุดที่เราจะเหินห่างหลีกเลี่ยง จึงเพลี่ยงพล้ำลงสู่ประตูบาปกันจนได้
    นี่หรือคือกรรมที่เราก่อ ?
    ปัจจุบันอายุของเราแต่ละคนใกล้จะ ๖๐ เข้าไปแล้ว ผมไม่หวัง และไม่ตั้งความหวังใด ๆ ทั้งสิ้น คิดอยู่เพียงว่า เมื่อไหร่ผมหรือเธอ ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะตายลง หรือ ไม่ก็ตายไปพร้อม ๆ กัน ทุกอย่างจะได้จบสิ้นกันซะที
    นี่แหละครับท่านผู้อ่าน สิ่งที่เราได้รับอยู่คือ เมียผมเป็นบ้า, ตาบอด, เป็นง่อย ส่วนผมไม่บ้า ตาไม่บอด ไม่เป็นง่อย แต่ก็ต้องมารับภาระหนัก ปากกัดตีนถีบ ปฏิบัติวัฎฐาก อุ้มขี้อุ้มเยี่ยวสารพัดอย่าง เลี้ยงดูเธอมาอย่างโดดเดี่ยวเดียวดายเป็นเวลาอันยาวนาน ซึ่งยังไม่รู้วันจบสิ้นนั้น
    ถ้าไม่ใช่เพราะบาปกรรมที่เราก่อ (คือสมสู่กันตอนที่แฟนผมบวชเป็นชีแล้ว) กรรมที่เราได้รับอยู่มันจะเกิดมาจากสาเหตุอะไร ท่านผู้อ่านช่วยวิเคราะห์ดูที
    *** ********************
    บทวิเคราะห์กรรม
    ทั้งสองคนคงจะมีเวรกรรมร่วมกันมาแต่ชาติปางก่อน ส่งผลให้ได้รับกรรมในชาตินี้ ๘๐ เปอร์เซ็นต์ จึงดลบันดาลให้ฝนตก ฟ้าคะนอง มีโอกาสอยู่ด้วยกันสองต่อสอง ในภาวะที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการสมสู่ได้โดยง่าย แม้ฝ่ายหนึ่งจะอยู่ในฐานะของผู้ทรงศีล (แม่ชี ต้องถือศีลอุโบสถ ๘ ข้อ ซึ่งข้อที่ ๓ ต่างจากศีล ๘ ทั่วไป คือ ต้องถือพรหมจรรย์ จะสมสู่กับผู้หนึ่งผู้ใดไม่ได้ เช่นเดียวกับ พระ หรือ เณร) ทีนี้ เมื่ออยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น แล้วฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เกิดยับยั้งชั่งใจ อกุศลกรรมก็จะไม่เกิด (ตบมือข้างเดียวไม่ดัง) ยิ่งคนที่เป็นแม่ชีด้วยแล้ว บวชเรียน ปฏิบัติมานานถึง ๑ ปี กว่า น่าจะมีจิตสำนึกที่ดี รู้การใดควรไม่ควร แต่กลับถูกกิเลส ตัณหา ราคะ เข้าครอบงำจิตใจ นอกจากไม่ขัดขืนแล้ว ยังเต็มใจเสียอีก จุดนี้เป็นกรรมปัจจุบัน ๒๐ เปอร์เซ็นต์ เพิ่มเติมจากอดีตกรรมจนครบถ้วน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ทำให้กรรมต้องส่งผลทันตาเห็นในปัจจุบันชาติ และต้องชดใช้กรรมในที่สุด ซึ่งดูให้ดี จะเห็นว่าทั้งฝ่ายชายฝ่ายหญิง ต่างก็รับกรรม ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน แต่ดูเหมือนว่า ฝายชายจะมีโอกาสแก้กรรมได้มากกว่า เพราะยังมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์
    หากทั้งสองจะละเลิกกรรม ไม่ให้กรรมส่งผลในชาติต่อไป ฝ่ายชายที่ยังมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน และเป็นผู้ที่เริ่มจุดไฟราคะ (คือ ดึงฝ่ายหญิงเข้ามาในอ้อมกอด) จะต้องเป็นผู้ดับไฟราคะในจิตใจของตนให้ได้ซะก่อน ไม่ให้ไปกำเริบในชาติต่อไป ด้วยการสำนึกในกรรม (ทำแล้ว) และต้องหมั่นฝึกฝนจิตใจ ด้วยการปฏิบัติ ธรรมกรรมฐาน ให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา แผ่เมตตาให้ตนเอง และภรรยาที่กำลังได้รับทุกขเวทนาจากกรรม ตลอดทั้งเจ้ากรรมนายเวร ถ้าฝ่ายหญิงตายก่อน ฝ่ายชายบวชเรียนได้ยิ่งดี และควรตั้งใจบวชตลอดชีวิต อุทิศกุศลให้กับวิญญาณของภรรยาที่ตายไป หากได้ตายในผ้าเหลือง จะดีที่สุด ไม่ว่าจะสำเร็จมรรคผลหรือไม่ก็ตาม แล้วทุกอย่าง มันจะทิ้งห่าง หรือสูญหายไปเอง ด้วยอำนาจแห่งกุศลกรรม ที่ทำไว้ในชาติปัจจุบัน กรรมที่ทำไว้ในอดีต อาจจะสิ้นสุดลงในชาตนี้ได้
    การปฏิบัติธรรมกรรมฐานนั้น ไม่จำเป็นต้องออกบวช หรือ ต้องไปทำที่วัด แค่ไปขอรับกรรมฐานจากพระอาจารย์ แล้วนำมาปฏิบัติที่บ้านก็ย่อมได้ ควรทำในช่วงเช้า หลังจากร่างกายได้รับการพักผ่อน ไม่ควรทำก่อนเข้านอน เพราะเราเหน็ดเหนื่อยมาจากภาระกิจการงาน จะทำให้ง่วงเหงาหาวนอน ขัดขวางการปฏิบัติธรรม และไม่จำเป็นต้องกำหนดเวลาว่า นั่งเท่านั้น เท่านี้ ได้เท่าไร เอาเท่านั้น นั่ง ยืน เดิน แม้จิตสงบเพียง ๕ นาที หรือ ๑ นาที ดีกว่าปฏิบัติทั้งวันทั้งคืน แล้วจิตไม่สงบ กลับฟุ้งซ่าน เพ้อเจ้อ ควบคุมไม่ได้ แม้แต่นาทีเดียว ไอ้ประเภทมานั่ง หรือ ปฏิบัติแข่งกัน ว่าใครจะนานกว่ากันนั้น รับรองได้เลยครับว่า เข้าป่า หรือ ลงทาง เป็นเรือ ก็ออกทะเล มหาสมุทร ยากที่จะกลับเข้าฝั่ง หรือถึงจุดหมายปลายทาง
    การอ้างว่า ไม่มีเวลาปฏิบัติธรรมนั้น อ้างได้ในขณะที่มีชีวิต และมีลมหายใจอยู่ แต่จะหมดสิทธิ์อ้างทันที เมื่อละจากโลกนี้ หรือ หมดลมหายใจไปแล้ว เพราะถึงตอนนั้น ไม่ใช่ไม่มีเวลา แต่ หมดเวลา และหมดโอกาสที่จะปฏิบัติซะแล้ว ยิ่งการเจริญอานาปานสติ หรือ การกำหนดลมหายใจเข้าออกด้วยแล้ว เมื่อหมดลมหายใจ แล้วจะเอาอะไรมาเป็นเครื่องมือปฏิบัติกันล่ะ จริงไหม สาธุชน ทั้งหลาย

    อ.เล็ก พลูโต
    ๑๙ ตุลาคม ๒๕๔๖​
    ลอส แองเจลิส แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา​

     

แชร์หน้านี้

Loading...