คุณจะเชื่อได้อย่างไรถ้า มีคนมาบอกว่าชาติที่แล้วคุณเป็นใคร..

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย กัปปะ, 6 กุมภาพันธ์ 2011.

  1. กัปปะ

    กัปปะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    271
    ค่าพลัง:
    +118
    คุณจะเชื่อได้อย่างไรถ้า มีคนมาบอกว่าชาติที่แล้วคุณเป็นใคร...ถึงแม้ว่า เขาผู้นั้นจะเป็น พระ แม่ชี หรือบุคคลธรรมดา เพราะทุกวันนี้มีบุคคลประเภทนี้เกิดขึ้นมาเยอะมาก อาศัยความทุกข์ของผู้อื่นเป็นเครื่องแสวงหาผลประโยชน์ อย่างน้อยต้องมีค่าครู หรือเสแสร้งว่าไม่รับเงิน แต่มีตู้บริจาคตั้งไว้ ปกติ คนเราส่วนใหญ่ย่อมมีความเกรงใจ จึงอดไม่ได้ที่จะต้องทำบุญไว้เสมอ คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาสามารถเห็นในสิ่งที่เรามองไม่เห็นได้แต่ฟังเขาเล่าว่า ชาติที่แล้ว เป็น ทหาร เป็นผู้หญิง ผู้ชาย ก่อกรรมไว้ เล่าเป็นตุเป็นตะ สุท้ายก้อลงท้ายด้วยการให้เราทำบุญสะเดาะเคราะห์ (ถ้าแนะนำแล้วให้ไปทำเองก้อโชคดีไป บางที่มีบริการจัดทำให้เสร็จ คิดเป็นจำนวนเงินให้เรียบร้อย) แต่สุดท้ายยังไงก้อต้องจ่ายค่าครูหรือทำบุญอยู่ดี อย่างพระดังๆ แม่ชีดังๆ เรื่องพวกนี้ อยากรู้จริงว่าเคยพาคนที่มาให้ดูไปสัมผัสตัวตนของอดีตชาติของเขาได้หรือเปล่า หรือพาไปดูนรก สวรรค์ หรือเปล่า แต่เชื่อไหมสุดท้ายจะลงเอยด้วยคำพูดที่ว่า คนที่มาดู ติดกรรม หรือ อื่นๆทำให้ไม่สามารถพาไปดูได้ แค่นั้น...
    เราคงไม่ต้องพูดถึงว่า เขาจะมาช่วยเหลือมนุษย์ให้พ้นความทุกข์ ถ้าแน่จริงอย่ารับเงินค่าครู หรืิอ เงินทำบุญสิครับ หรืออาจติดต่อสถานที่อื่นๆ เช่น โรงพยาบาลสงฆ์ บ้านคนชรา หรือบ้านเด็กพิการ ฯลฯ มาตั้งตู้รับบริจาค โดยล๊อคกุญแจไว้สามารถเปิดได้เฉพาะเจ้าหน้าที่ศูนย์นั้นๆ เพื่อนำเงินไปช่วยเหลือมูลนิธินั้นๆ ผมว่าอย่างนี้น่าจะดีกว่าที่จะรับเงินหรือปัจจัยเอง
    .
     
  2. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,647
    ทำให้เห็นเองครับ...ไม่ต้องไปพึ่งคนอื่น....
     
  3. danmra

    danmra Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +80
    [FONT=4711_AtNoon_Traditional][/FONT]
    [FONT=4711_AtNoon_Traditional]กาลามสูตรกังขานิยฐาน [/FONT][FONT=4711_AtNoon_Traditional]10[/FONT][FONT=4711_AtNoon_Traditional] ([FONT=4711_AtNoon_Traditional] [/FONT][FONT=4711_AtNoon_Traditional]“อย่าเชื่อ [/FONT][FONT=4711_AtNoon_Traditional]10 ประการ”)[/FONT][/FONT]
    [FONT=4711_AtNoon_Traditional][FONT=4711_AtNoon_Traditional][/FONT][/FONT][FONT=4711_AtNoon_Traditional][FONT=4711_AtNoon_Traditional][FONT=4711_AtNoon_Traditional]1.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามกันมา (มา อนุสฺสเวน) [/FONT][FONT=4711_AtNoon_Traditional](อย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำที่ได้ยินได้ฟังมา ประเภท "เขาว่า" "ได้ยินมาว่า" ทั้งหลาย)[/FONT][FONT=4711_AtNoon_Traditional] [/FONT]

    [FONT=4711_AtNoon_Traditional]2.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสีบๆกันมา (มา ปรมฺปราย) [/FONT][FONT=4711_AtNoon_Traditional](อย่าได้ยึดถือถ้อยคำสืบๆกันมา ประเภท "ใครๆว่า" "โบราณว่า" ตามกระแส)[/FONT][FONT=4711_AtNoon_Traditional] [/FONT]

    [FONT=4711_AtNoon_Traditional]3.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ (มา อิติกิราย) [/FONT][FONT=4711_AtNoon_Traditional](อย่าได้ยึดถือโดยความตื่นข่าวว่า เข่าว่าอย่างนี้ ประเภทข่าวลือ ข่าวโคมลอย ทั้งหลาย)[/FONT][FONT=4711_AtNoon_Traditional] [/FONT]

    [FONT=4711_AtNoon_Traditional]4.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำรา หรือคัมภีร์ (มา ปิฏกสมฺปทาเนน) [/FONT][FONT=4711_AtNoon_Traditional](อย่าได้ยึดถือโดยอ้างตำรา อย่าไปตามตำรามากนัก ตำราว่าอย่างนั้น ต้องออกมาเป็นอย่างนั้น เท่านั้น เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เด็ดขาด เพราะอย่าลืมว่า ตำราบางเล่ม คนแต่งก็มั่วมาบ้าง เขียนไม่ครบบ้าง ใส่ไข่เอาเองบ้าง คนมีกิเลสไปแก้ไขตำรา คนมีผลประโยขน์ ไม่แก้ไขตำราเท่ากับเราโดนหลอก)[/FONT][FONT=4711_AtNoon_Traditional] [/FONT]

    [FONT=4711_AtNoon_Traditional]5.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก (มา ตกฺกเหตุ) [/FONT][FONT=4711_AtNoon_Traditional](อย่าได้ยึดถือโดยนึกเดาเอาเอง เช่น เข้าใจเอาเอง หรือข้อมูลไม่พอ ใจร้อนเดาสุ่มเอา มั่วๆ เอา)[/FONT][FONT=4711_AtNoon_Traditional] [/FONT]

    [FONT=4711_AtNoon_Traditional]6.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะอ[/FONT][FONT=4711_AtNoon_Traditional]นุมาน (มา นยเหตุ) [/FONT][FONT=4711_AtNoon_Traditional](อย่าได้ยึดถือโดยการคาดคะเน การคาดการณ์ตามประวัติศาสตร์ ตามสถิติ ความน่าจะเป็น ซึ่งอาจจะผิดก็ได้ เพราะเห็นแค่ร้อย อย่าเหมาว่าที่ร้อยเอ็ดจะเป็นไปด้วย)[/FONT][FONT=4711_AtNoon_Traditional] [/FONT]

    [FONT=4711_AtNoon_Traditional]7.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล (มา อาการปริวิตกฺเกน) [/FONT][FONT=4711_AtNoon_Traditional](อย่าได้ยึดถือตรึงตามอาการ อย่าเห็นว่าอาการแบบนี้ น่าจะเป็นแบบนี้ ให้คิดเผื่อๆไว้ด้วย เช่น เห็นคนไข้เป็นแบบที่เคยรักษาคนอื่นๆมาก่อน อย่าไปตรึกเอาเองว่าเป็นแบบนั้น เห็นเงาก็จ่ายยาได้ เพราะเหนือฟ้ายังมีฟ้า อย่าเข้าข้างตนเอง นั่งสมาธิเห็นโน่น เห็นนี้ อย่านึกว่าเป็นจริง เพราะอาจจะเป็นจิตหลอกจิต)[/FONT][FONT=4711_AtNoon_Traditional] [/FONT]

    [FONT=4711_AtNoon_Traditional]8.อย่าปลงใจเชื่อ เพรา[/FONT][FONT=4711_AtNoon_Traditional]ะเข้าได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว (มา ทิฏฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา) [/FONT][FONT=4711_AtNoon_Traditional](อย่าได้ยึดถือโดยชอบใจว่า ต้องกันกับทิฐิของตัว อย่าเอาความเห็นของตนเป็นใหญ่ อะไรที่ตรงกับที่ตนคิดไว้เท่านั้นที่เชื่อได้ คนคิดแบบนี้ ดื้อตายชัก)[/FONT][FONT=4711_AtNoon_Traditional] [/FONT]

    [FONT=4711_AtNoon_Traditional]9.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้ (มา ภพฺพรูปตาย) [/FONT][FONT=4711_AtNoon_Traditional](อย่าได้ยึดถือโดยเชื่อว่าผู้พูดสมควรจะเชื่อได้ ระวังจะโดนหลอก อย่าลืมว่า สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง)[/FONT][FONT=4711_AtNoon_Traditional] [/FONT]

    [FONT=4711_AtNoon_Traditional]10.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา (มา สมโณ โน ครูติ) [/FONT][FONT=4711_AtNoon_Traditional](อย่าได้ยึดถือโดยความนับถือว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา การยึดอาจารย์ของตนเองมากไป ก็ไม่ดี ควรทำตาม ทดสอบดู ถ้าผิดพลาดก็ไม่ต้องเชื่อ ถ้าทำแล้วดีขึ้นก็แสดงว่าเชื่อได้)[/FONT][FONT=4711_AtNoon_Traditional] [/FONT]

    [/FONT]
    [/FONT]
    [FONT=4711_AtNoon_Traditional][FONT=4711_AtNoon_Traditional][/FONT][/FONT]
     
  4. deelek

    deelek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    6,696
    ค่าพลัง:
    +16,255
    [​IMG]
    [​IMG]
     
  5. นายดอกบัว

    นายดอกบัว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +5,676
    ฟังไว้ แต่ไม่สนใส่ใจมาก เหมือนอะไรเล่นๆ
     
  6. ๒ อัฐ

    ๒ อัฐ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    333
    ค่าพลัง:
    +140
    เราอย่าไปสนใจอยากรู้ครับ ถ้ามีคนอยากรู้ก็จะมีแต่คนอยากบอก ซึ่งการบอกก็ไม่รู้ว่าจริงไหม? จึงทำให้มีคำถามอีกว่าจริงไม่จริง เพราะฉะนั้น อย่าไปอยากรู้ หรืออยากรู้ก็ฝึกรู้ด้วยตนเอง ด้วยธรรมครับ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  7. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,255
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,796
    เห็นด้วยอย่างยิ่งคะ ถ้าใครสักคน บอกเรา แค่บอก เรายังไม่เป็น ใช่หรือไม่เราไม่รู้หรอกคะ เราต้องทำ ทำด้วยตัวเอง ถึงเห็นค่า
     
  8. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ความเชื่อกับความจริงมันคนละเรื่อง

    ความเชื่อไม่สามารถเปลี่ยนแปลงในความจริงให้เป็นไปอีกอย่างหนึ่งได้
    เปรียบเทียบ..คนๆนี้เป็นผู้หญิงแต่เราจะไปเชื่อว่าเป็นผู้ชายคงเป็นไปไม่ได้
    ความเชื่อจึงเป็นเพียงแค่ความเชื่อ

    ล้างบาป แก้กรรมได้หรือ..
    บาปมันอยู่ที่กายหรือที่ใจพราหมณ์..ที่ใจ
    เธอล้างบาปด้วยการชำระร่างกายหรือเธอล้างบาปด้วยการชำระใจ..ที่ใจ
    หม้อที่มีมูตครูตเน่าอยู่ภายในเธอล้างมันแต่ภายนอกแต่เธอไม่ล้างภายในจะสะอาดหรือไม่...ไม่
    ถูกแล้ว..ขึ้นชื่อว่า กาย วาจา ใจทุจริต เราสอนว่าควรชำระมันด้วยกาย วาจา ใจ สุจริต

    นี่คืออำนาจสิ่งหนึ่งที่ทำให้ปรากฏด้วยเหตุและปัจจัย
    เมื่อจิตใจเราอ่อนแอเพราะเผลอไปกระทำชั่ว ประมาทพลาดพลั้ง เพราะจิตใจพ่ายแพ้ต่อกิเลส

    เราก็ต้องสร้างอำนาจอีกชนิดหนึ่งมาต่อสู้คือสติด้วย ศีล หิริ โอตตัปปะ

    ไม่ใช่ไปล้างกรรมชั่ว ไปแก้กรรม มันเป็นกฎที่ตั้งกันขึ้นมาเพื่ออามิส สินจ้าง รางวัลที่ตีกิน เอาบุญที่แปลว่าการชำระจิตให้บริสุทธิ์

    ก็เอาบุญไปลบกรรมให้จิตใจเหมือนได้ถูกชำระล้างความมัวหมองภายนอกได้เท่านั้นแต่ถามไปที่จิตใจของคนทำชั่ว..

    ที่ทำกรรมซ้ำซากเพราะอะไร..

    นั้นเพราะเชื่อว่าบาปล้างได้ด้วยบุญ ได้ด้วยกรรมฐานที่แปลถึงการสร้างสติให้ตื่นรู้ในความจริง กรรมฐานแปลว่า..จุดที่ตั้งแห่งการกระทำคือสติที่สร้างขึ้นเพื่อรู้จักทุกข์ หาทางละเหตุและรู้จักการดับมันด้วยปัญญาที่อบรมตน

    การตีกิน..เรื่องเจ้ากรรมนายเวรมีนตลกสิ้นดี..
    จิตเป็นผู้สั่งให้กาย วาจาไปกระทำ จิตมันจึงคือต้นเรื่อง ตัวมันคือเจ้ากรรมของมัน..

    ท่านที่ศึกษาอยู่ย่อมรู้ว่า ผู้ผูกโกรธในเรื่องนางยักษ์นั้นที่มีต่อนางมนุษย์
    พระพุทธองค์ตรัสถึงการผูกโกรธ ไม่ควรจองเวรกันและกัน เวรย่อมระงับไปด้วยการไม่จองเวร

    นางยักษ์กลัวจึงสมาทานศีล ให้อภัยต่อนางมนุษย์นั้น
    สิ่งนี้คือการให้อภัยทานด้วยปัญญาแห่งความฉลาด เลิกผูกขอบเขตแห่งกรรม
    แต่ผลที่เป็นเหตุปัจจัยก็คงอยู่ ในอนาคตกาลเมื่อถึงความสุกงอมนางมนุษย์
    คนนั้นก็หนีกรรมไม่พ้น

    บาปล้างไม่ได้ บุญล้างไม่ได้ สร้างเหตุปัจจัยอันใดก็ย่อมไหลไปหาเหตุปัจจัย
    นั้นๆเป็นเพียงเรื่องธรรมดาชนิดหนึ่งของปฎิกิริยาธรรมชาติแห่งการตอบสนอง
    ก็แค่นั้น

    เจ้ากรรมนายเวรคือจิตแห่งเรา
    ส่วนผู้ผูกโกรธ อาฆาตแค้นนั้น ทำอันใดไม่ได้จนกว่าจะโคจรมาในภพเดียวกันอีกและต้องมีเหตุปัจจัยที่พร้อมสมบูรณ์เท่านั้นจึงทำให้การจองเวรสำเร็จผล

    ส่วนกรรมชั่วทางจิตที่กระทำต่อระบบวิญญาณธาตุต่อกันนั้นเป็นมิติภพแห่งใจ
    เมื่อสิ้นอายุขัยกรรมที่ทำมาทางใจต้องไปเสวยกรรมในอบาย๔เป็นทุคติทางอกุศลกรรมหยาบช้าทางจิต นั่นคือผู้เบียดเบียนย่อมเจอผู้จองผลาญ

    หลักของเจ้ากรรมนายเวรจึงเป็นเรื่องมั่วนิ่มที่ตีกิน จนอ้วนท้วนสมบูรณ์หลักทรัพย์เป็นพันล้าน คนฉลาดกลายเป็นคนโง่ในพริบตาและกลายเป็น

    ภัยพิบัติในเรื่องเจ้ากรรมนายเวรที่ตีกิน ขยายออกไปไม่สิ้นสุดพร้อมๆกับ
    ทำบุญโดยเอาชีวิตอีกชีวิตมาแก้กรรม แก้ตัวไปวันๆ ที่ไม่ได้สร้างอำนาจ
    จิตใจของตนให้เข้มแข็งเพื่อมาต่อสู้กิเลส

    ต่อไปคนจะทำชั่วเยอะมากขึ้นและคำสอนเจ้ากรรมนายเวร การแก้กรรมใดๆนั้นๆก็
    ล้วนเป็นการลบล้างคำสอนอันเป็นความจริงของพระพุทธองค์
    โดยที่ใช้ความเชื่อมาทดแทนสร้างกฎแก้กรรมอย่างตลกสิ้นดีในความเชื่อ
    เพื่อมาเปลี่ยนแปลงในความจริง

    ความเชื่อกับความจริงมันคนละเรื่อง
    (กรรมซ้ำซาก ทำผิดก็เผลอทำใหม่และหนักกว่าเก่าเพราะเชื่่อว่าล้างได้ แก้ได้)
     
  9. เขตปกครอง230

    เขตปกครอง230 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    463
    ค่าพลัง:
    +324
    ก็ดูเอาสนุกไป อย่าได้ซีเรียสไปอย่าน้อยก็ได้รู้ว่าทำดีได้ดี ทำชั่วก็มารับๆไปซะ โดยส่วนตัวจะไม่ให้ใครมาดูภพชาติย้อนหลังเป็นอันขาด (จะดูคนเดียว)อิ อิ
     

แชร์หน้านี้

Loading...